Conquerhearts ปฏิบัติการพิชิตหัวใจ

9.4

เขียนโดย NannyCandy

วันที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559 เวลา 19.31 น.

  21 chapter
  861 วิจารณ์
  31.36K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2559 15.37 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

11) ชิงช้ากับฟ้าฝน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
Chapter 10 ชิงช้ากับฟ้าฝน
 
 
 
 
 
           “ออกมาจากบ้านผีนั่นแล้ว ทีนี้ก็กลับกันได้แล้วสินะ” โทโมะถามอย่างเหนื่อยๆ พร้อมกับเหล่ตาไปยังบ้านผีสิงที่เราสองคนเพิ่งเดินออกมาเมื่อกี้
 
 
 
 
 
 
 
           เชื่อมั้ยว่าเราอยู่ในนั้นไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ มันเป็นเวลาที่รวดเร็วมากจนฉันตกใจ โทโมะไม่กลัวผีหรืออะไรเลยที่สร้างบรรยากาศชวนขนลุกข้างในนั่น เขาเอาแต่จูงมือฉันแล้วเดินจ้ำอ้าวเหมือนรีบไปตามควายพาฉันออกมาจนถึงข้างนอก เขาคงเบื่อมากสินะที่ต้องอยู่กับฉันเนี่ย
 
 
 
 
 
 
 
           “ใช่สิ!ฉันไม่ใช่แฟนนายนี่ นายถึงจะได้มีความสุข แล้วก็ไม่เร่งแบบนี้ T_T”
 
 
 
 
 
 
 
           “รู้ตัวก็ดีแล้ว” จึก! เหมือนมีเข็มนับร้อยทิ่มแทงลงมาที่กลางใจอย่างจัง
 
 
 
 
 
 
 
           “ว่าแต่แฟนนายเถอะ วันนี้ฉันเห็นขึ้นรถไปกับผู้ชายที่ไหนก็ไม่รู้” ฉันพูดแล้วเบ้ปากด้วยความหมั่นไส้ ความจริงแล้วก็ไม่เห็นหรอกว่าคนที่ยัยพม่าขึ้นรถไปด้วยเป็นผู้ชายหรือเป็นผู้หญิง อย่างที่บอกว่าฉันไม่ได้จำอะไรมาเลยนอกจากจำได้ขึ้นใจว่าผู้หญิงคนนั้นคือ ยัยพม่าหน้าตุ๊กตาแอ๊บแบ้วจอมลวงโลกลวงจักรวาล(?)
 
 
 
 
 
 
 
           “เธอนี่มันช่างใส่ร้ายจริงๆ เลยนะ จิตใจทำด้วยอะไรกัน”
 
 
 
 
 
 
 
           “โอ๊ย!” ฉันร้องขึ้นด้วยความเจ็บเมื่อจู่ๆ โทโมะก็บีบมือฉันแน่น จริงสิ! เขา ยังจับมือฉันอยู่นี่นา ตั้งแต่เราอยู่ในบ้านผีสิงจนกระทั่งกลับออกมาเขาก็ยังไม่ปล่อยมือฉันเลย ลืมไปเลยนะเนี่ย ดูเหมือนเขาเองก็เพิ่งจะรู้สึกตัวเหมือนกันก็เลยรีบชักมือกลับไปทันที
 
 
 
 
 
 
 
           “ขอโทษ…แต่ เธอไม่ควรมาใส่ร้ายคนอื่นแบบนี้ มันไม่ดี” โทโมะพูดแล้วหันหน้าไปทางอื่นเหมือนต้องการสะกดกลั้นอารมณ์โกรธที่ฉันไป พูดให้ร้ายแฟนสุดที่รักที่หลงของเขา
 
 
 
 
 
 
 
           “ฉันไม่ได้ใส่ร้ายนะ แต่นายต้องฟังคนอื่นบ้างสิ ฉันหวังดีกับนายหรอกเลยบอกเนี่ย”
 
 
 
 
 
 
 
           “หวังดีกับฉัน หรือพยายามสร้างเรื่องให้ฉันเลิกกับแฟนกันแน่”
 
 
 
 
 
 
 
           “สักวันนายจะรู้เองว่าฉันสร้างเรื่อง หรือแฟนนายกันแน่ที่สร้างเรื่อง” ฉันก็พูดส่งๆ ไปเรื่อย แต่ฉันมั่นใจว่าจะต้องทำให้โทโมะหายโง่ให้ได้ ยัยพิมนั่นไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดเดียว ฮึ่ม!
 
 
 
 
 
 
 
           “สร้าง เรื่องเหรอ?วันนี้พิมไปกินเลี้ยงกับสายรหัส แล้วพี่รหัสของยัยนั่นก็เป็นผู้ชาย คนที่เธอเห็นก็คงเป็นคนอื่นไปไม่ได้หรอก” เป็นไปได้สิถ้ายัยนั่นแอบนอกใจนายน่ะ ไม่เชื่อฉันแล้วจะเสียใจ เหอะ!
 
 
 
 
 
 
 
           “แสดงว่านายก็รู้อยู่แล้วสิว่าแฟนนายไปกับผู้ชายจริงๆ แล้วมาหาว่าฉันใส่ร้ายทำไม”
 
 
 
 
 
 
 
           “เอ่อ…”
 
 
 
 
 
 
 
           “นายก็มองฉันแต่แง่ร้าย เฮอะ!” พูดจบฉันก็เดินหนีเขาออกมาจากตรงนั้นทันที ฉันไม่หวังให้เขาเดินตามมาหรอกนะ ยิ่งเห็นหน้าโง่ๆ ของหมอนั่นฉันก็ยิ่งอารมณ์ขึ้น ผู้ชายอะไรจะหลงแฟนได้ขนาดนี้ มันก็ดีอยู่หรอกที่เขาไว้ใจแฟนตัวเองน่ะ แต่สำหรับยัยพม่านั่นไม่ควรไว้ใจ!
 
 
 
 
 
 
 
           “แก้วใจๆ จะรีบเดินไปไหนของเธอเนี่ย” โทโมะเดินตามมาดักหน้าฉันเอาไว้ได้ในที่สุด
 
 
 
 
 
 
 
           “เบื่อ ขี้หน้านายน่ะสิ นายลืมไปแล้วเหรอว่าที่นายต้องมาเป็นเบ๊ฉันอยู่ตอนนี้มันก็เพราะนายเข้าใจ ฉันผิด แล้วนี่ยังจะไม่เชื่อที่ฉันพูดอีก นายมันเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อที่สุด!”
 
 
 
 
 
 
 
           “ฉัน…”
 
 
 
 
 
 
 
           “เถียงไม่ออกล่ะสิ!ที่นี้จะเชื่อฉันได้หรือยัง”
 
 
 
 
 
 
 
           “เชื่อ?เชื่ออะไร”
 
 
 
 
 
 
 
           “ก็!...”
 
 
 
 
 
 
 
           “…”โทโมะเริ่มขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าฉันเงียบไป เขากำลังมองมาที่ฉันเพื่อรอฟังคำตอบ มันเป็นสายตาที่กดดันฉันมากเลยอะบอกตรงๆ
 
 
 
 
 
 
 
           “เชื่อว่าฉันหวังดีกับนายไง” ฉันพูดแล้วก้มหน้าลงมองพื้นทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่กล้ามองหน้าเขา รู้แต่เพียงว่าฉันยังไม่อยากสบตากับเขาตอนนี้ก็เท่านั้นแหละ
 
 
 
 
 
 
 
           “เธอชอบฉันจริงๆ เหรอ o.O?”
 
 
 
 
 
 
 
           “เปล่านะ!” ฉันเบิกตาโตแล้วรีบเงยหน้าขึ้นไปปฏิเสธทันที ฉันไม่ได้บอกว่าชอบเขาสักหน่อย แค่บอกว่าหวังดีเท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าชอบสักหน่อย -///-
 
 
 
 
 
 
 
           “แล้วเธออยากให้ฉันไปเป็นแฟนเธอทำไม”
 
 
 
 
 
 
 
           ตุ้บ!!!
 
 
 
 
 
 
 
           “โอ๊ย!” ยังไม่ทันที่จะได้อ้าปากตอบอะไรฉันก็เซเข้าไปหาโทโมะทันทีตามแรงกระแทกของ ใครบางคนที่จู่ๆ ก็เดินมาชนฉัน เมื่อหันไปดูก็พบว่าเป็นคนที่แต่งชุดโจ๊กเกอร์เดินแจกลูกโป่งในงานนั่นเอง ใบหน้าของเขาถูกเมคอัพด้วยสีสันคัลเลอร์ฟูลจนไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริง รู้เพียงแต่เขาเป็นผู้ชายเท่านั้น เขาจะแต่งหน้ายังไงนั่นไม่สำคัญหรอก ประเด็นก็คือ…เขามาเดินชนฉันทำไมเนี่ย! ซวยจริงๆ เลยฉัน
 
 
 
 
 
 
 
           ซวยอย่างนั้นเหรอ?
 
 
 
 
 
 
 
           “ก็เพราะอย่างนี้ไง!” ฉันโวยวายออกมาทันทีก่อนที่จะผละตัวออกมายืนให้ห่างจากโทโมะเล็กน้อยเพราะ เมื่อกี้เขาประคองฉันเอาไว้ แต่ฉันไม่มีอารมณ์หวั่นไหวตอนนี้หรอกนะเพราะกำลังเซ็งกับดวงตัวเองอยู่ โจ๊กเกอร์คนนั้นก้มหัวให้ฉันสองสามครั้งเป็นเชิงขอโทษแล้วยื่นลูกโป่งสี เขียวมาให้ฉันลูกหนึ่งเมื่อเห็นว่าฉันทำหน้าเหวี่ยงใส่
 
 
 
 
 
 
 
           “เอ่อ…” ฉันอ้ำอึ้งแล้วก็ไม่กล้ารับลูกโป่งมา นี่เห็นฉันเป็นเด็กสามขวบเหรอเนี่ย-_-^
 
 
 
 
 
 
 
           “ขอบคุณครับ” โทโมะยื่นมือผ่านหน้าฉันไปรับลูกโป่งแทน เขาไม่ได้จับแค่เชือกแต่กลับจับมือของโจ๊กเกอร์คนนั้นแน่น ก่อนที่คนให้จะรีบชักมือตัวเองกลับไปแล้วหันหลังเดินหนีพวกเราไปทันที
 
 
 
 
 
 
 
           ทำไมเขาต้องจับแน่นขนาดนั้นด้วยล่ะ?
 
 
 
 
 
 
 
           เขาปิ๊งโจ๊กเกอร์อย่างนั้นเหรอ?
 
 
 
 
 
 
 
           บ้าน่า! มีสาวสวยอย่างฉันมาอ่อยเขาขนาดนี้เขายังไม่หวั่นไหวเลย เพ้อเจ้อใหญ่แล้วฉันเนี่ย-_-^
 
 
 
 
 
 
 
           “มีอะไรหรือเปล่า” ฉันเอ่ยถามออกมาในที่สุดเมื่อเห็นว่าสายตาของผู้ชายข้างๆ ยังคงมองตามโจ๊กเกอร์แจกลูกโป่งคนเมื่อกี้ไป
 
 
 
 
 
 
 
           “ฉันว่าฉันคุ้นหน้าไอ้หมอนั่น…อะ ลูกโป่ง” เขาขมวดคิ้วตอบก่อนที่จะหันกลับมายื่นลูกโป่งให้ฉัน คุ้นหน้าเหรอ?คงเป็นเพื่อนที่มหา’ลัยมารับจ็อบพิเศษนั่นแหละ
 
 
 
 
 
 
 
           “จะบ้าเหรอ เห็นฉันเป็นเด็กน้อยชอบเล่นลูกโป่งหรือไง รับมาทำไมก็ไม่รู้ ชนฉันแล้วก็ไม่ขอโทษ -0-” ฉันบ่นอุบ
 
 
 
 
 
 
 
           “เขาก็ก้มหัวขอโทษแล้วไง…แล้วนี่เขาให้เธอ รับไปได้แล้ว” โทโมะพูดพร้อมกับเอาเชือกลูกโป่งมายัดใส่มือฉัน บอกว่าไม่เล่นไง เอ๊ะ! ไอ้นี่พูดไม่รู้เรื่องแฮะ
 
 
 
 
 
 
 
           ฉันได้แต่มองเขาอย่างไม่สบอารมณ์ก่อนที่จะเหลือบไปเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอายุน่าจะประมาณสามสี่ขวบได้ เด็กน้อยคนนั้นกำลังยืนรอคุณยายซื้อลูกชิ้นปิ้งอยู่แหละ ฉันยิ้มกว้างออกมาทันทีก่อนที่จะเดินตรงไปยังเด็กคนนั้นจนโทโมะรีบเดินตามมาแทบไม่ทัน
 
 
 
 
 
 
 
           “หนูน้อย พี่ให้ลูกโป่งนะ” ฉันนั่งลงยองๆ เพื่อให้หน้าอยู่ระดับเดียวกันกับเด็กคนนี้ก่อนที่จะยิ้มกว้างแล้วยื่นลูกโป่งให้เธอ
 
 
 
 
 
 
 
           “ขอบคุณค่ะพี่คนสวย ^O^” เธอตอบพร้อมกับยกมือไหว้แล้วรับเชือกลูกโป่งไปถือไว้ ฉันลูบหัวเธอสองสามครั้งก่อนที่จะลุกขึ้นมาแล้วเดินกลับมาหาโทโมะที่ตามมาหยุดยืนดูอยู่ห่างๆ
 
 
 
 
 
 
 
            “คิดว่าเป็นนางสาวไทยเหรอ” ดูเขาพูดเข้า มองว่าฉันเป็นคนดีบ้างมันจะตายหรือไงฮะ -_-^
 
 
 
 
 
 
 
            “เปล่า แต่ฉันเป็นคนจิตใจดีโดยพื้นฐานอยู่แล้ว -^-”
 
 
 
 
 
 
 
           “งั้นเธอก็คงชอบฉันจริงๆ ใช่มั้ย ถึงได้มาจีบฉัน เมื่อกี้เธอยังไม่ตอบเลยนะ” เขาวกกลับเข้ามาเรื่องเดิมอีกจนได้ จริงสินะ ฉันยังไม่ทันได้ตอบก็ดันมาโดนชนซะก่อน คนเยอะแยะไม่ชนแต่ดันมาชนฉัน เฮ้อ! สงสัยต้องรีบเผด็จศึกแอมแปร์ให้เร็วที่สุดซะแล้ว >_<
 
 
 
 
 
 
 
            “ฉันไม่ได้ชอบนาย แต่ฉันมีเหตุผลส่วนตัวที่จำเป็นจริงๆ บอกไปนายก็คงไม่เชื่อ”
 
 
 
 
 
 
 
           “ก็ลองบอกมาสิ” เขาพูดอย่างสนใจ
 
 
 
 
 
 
 
           “หมายความว่า ถ้าฉันบอก นายจะรีบโทรไปบอกเลิกยัยพม่าแล้วมาเป็นแฟนกับฉันทันทีเลยใช่ป้ะ! ^O^” ฉันถามเสียงดังด้วยความตื่นเต้น จนลืมไปว่า พม่า ไม่ใช่ชื่อจริงๆ ของแฟนโทโมะ แต่มารู้ตัวว่าพูดผิดก็ตอนที่เขาถลึงตาใส่จนฉันต้องรีบหุบยิ้ม
 
 
 
 
 
 
 
           “เลิกเพ้อเจ้อแล้วบอกเหตุผลของเธอมา”
 
 
 
 
 
 
 
           “นายเชื่อเรื่องดวงอะไรพวกนั้นหรือเปล่า”
 
 
 
 
 
 
 
           “ถ้าเธอจะมามุกที่ว่า ดวงเราสองคนสมพงษ์กันหรือฉันเป็นเนื้อคู่ของเธอล่ะก็ หยุดพูดไปได้เลยเพราะมันไร้สาระ” อ้าว เล่นตัดบทกันแบบนี้แล้วใครมันจะไปกล้าบอกล่ะว่า…มันเป็นอย่างที่นายพูดจริงๆ น่ะ โฮ~ TTOTT
 
 
 
 
 
 
 
           “แต่นายต้องเป็นแฟนฉัน!”
 
 
 
 
 
 
 
           “นี่อย่าบอกนะว่าที่ฉันพูดเมื่อกี้มันเป็นเรื่องจริงน่ะO_O!”
 
 
 
 
 
 
 
           “ถ้าจริง แล้วนายเชื่อหรือเปล่าล่ะ”
 
 
 
 
 
 
 
           “เชื่อก็โง่แล้ว นอกจากเธอจะเป็นพวกชอบสร้างความร้าวฉานแล้ว ยังจะชอบเพ้อเจ้ออีกนะ” เขาพูดแล้วจะส่ายหัวเบาๆ ก่อนที่จะเดินหนีไปทันที แต่ฉันก็พยายามก้าวขาสั้นๆ ของตัวเองตามเขามาทันจนได้ นี่เขาไม่รู้ตัวเลยหรือไงว่ากำลังโดนสวมเขาอยู่น่ะ
 
 
 
 
 
 
 
นายกำลังโง่อยู่ต่างหาก ไม่ใช่เชื่อฉันแล้วจะโง่ -0-
 
 
 
 
 
 
 
           “เอาล่ะๆ ฉันหยุดพูดเรื่องพวกนี้ก็ได้ เรามาเดินเที่ยวงานวัดให้สนุกดีกว่าเนอะ>_<” ฉันพูดด้วยเสียงเริงร่า เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าไม่ควรทำให้เขารำคาญ ถึงแม้ฉันจะรำคาญในความซื่อ(บื้อ)ของเขาก็เถอะ
 
 
 
 
 
 
 
           “สนุกไปคนเดียวเถอะ ฉันจะกลับแล้ว” ไม่พูดเปล่าแต่พยายามเดินหนีฉันที่เดินมาขวางทางเขาเอาไว้ด้วย
 
 
 
 
 
 
 
           “โทโมะ นายเป็นเบ๊ฉันนะ!” อ๊ากกก! ใจเย็นสิแก้วใจ ค่อยๆ พูดค่อยๆ จากันก็ได้ไม่ต้องขึ้นเสียง บางครั้งก็ไม่ไหวกับความปากไวของตัวเอง เฮ้อ! เดี๋ยวก็เสียการเสียงานกันพอดี
 
 
 
 
 
 
 
           “เอาล่ะ ฉันให้เวลาเธออีกหนึ่งชั่วโมง อยากทำอะไรก็รีบๆ ทำ” เขาพูดอย่างเหลืออด ความจริงเขาก็เป็นคนดีนะที่ทำตามหน้าที่ของตัวเองน่ะ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เต็มใจก็เถอะ แล้วก็เหมือนว่าเขาจะเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “เอ่อ…ขอแว่นคืนหน่อยได้มั้ย”
 
 
 
 
 
 
 
           “ไม่…นายไม่อยากให้คนเห็นสินะว่ามาเดินกับฉันน่ะ”
 
 
 
 
 
 
 
           “แล้วมันควรหรือเปล่าล่ะที่มีแฟนอยู่แล้วแต่มาเดินเที่ยวกับผู้หญิงคนอื่นน่ะ”
 
 
 
 
 
 
 
           “เดินกับฉันนี่แหละควรทำที่สุดแล้ว!” ฉันพูดก่อนที่จะเดินลอยหน้าลอยตาตรงมายังชิงช้าสวรรค์ที่อยู่ใกล้ๆ ไม่ได้เล่นตั้งแต่เด็กๆ คิดถึงบรรยากาศตอนนั่งบนกระเช้ารูปบ้านหลังเล็กนั่นที่สุดเลย>_<
 
 
 
 
 
 
 
           “อยากเล่นเหรอ” เสียงทุ้มถามขึ้นราวกับว่าอ่านใจฉันออก
 
 
 
 
 
 
 
           “นายนี่รู้ใจฉันจัง เหมาะจะเป็นแฟนฉันที่สุดแล้ว ^O^” หยอดไปหน่อย ฮิฮิ
 
 
 
 
 
 
 
           “เดี๋ยวฉันซื้อบัตรให้ แล้วเธอขึ้นไปเล่นคนเดียวนะ ฉันจะยืนรออยู่ข้างล่าง” เขาพูดก่อนที่จะเดินตรงไปยังโต๊ะจำหน่ายบัตร ก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับบัตรชิงช้าสวรรค์หนึ่งใบด้วยความรวดเร็วในขณะที่ฉัน ยังคงยืนอ้าปากพะงาบๆ อยู่ที่เดิม
 
 
 
 
 
 
 
           “ไปสิ” เขาบอกพร้อมกับยื่นบัตรมาให้ฉัน
 
 
 
 
 
 
 
           “นาย ต้อง ขึ้น ไป บน นั้น กับ ฉัน” ฉันบอกช้าๆ ชัดๆ พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ชิงช้าสวรรค์ที่รอบก่อนหน้านี้ยังคงหมุนอยู่
 
 
 
 
 
 
 
            “ไม่…ไปยืนรอตรงนั้นซะ หมดรอบนั้นเมื่อไหร่เธอจะได้รีบๆ ขึ้นไปนั่งเพ้อเจ้อคนเดียวเสร็จแล้วจะได้กลับกันสักที”
 
 
 
 
 
 
 
           “ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้านายไม่ยอมขึ้นไปนั่งด้วยกัน” ฉันบอกเสียงหนักแน่นแล้วยืนกอดอกอยู่ที่เดิมเตรียมตั้งหลักปักฐานอยู่ตรงนี้ ถ้าโทโมะไม่ยอมตกลงปลงใจ(?)ขึ้นสวรรค์กับฉัน เอ๊ย! ชิงช้าสวรรค์ -.,-
 
 
 
 
 
 
 
           “เฮ้อ!เรื่อง มากจริงๆ เลย เล่นแต่ละอย่างไม่ได้จรรโลงใจสักนิดเดียว” เขาพ่นลมหายใจอย่างแรงแล้วทำหน้ามุ่ยก่อนที่จะเดินกลับไปซื้อบัตรมาอีกใบ และนั่นก็ทำให้ฉันยิ้มกว้างออกมาได้
 
 
 
 
 
 
 
 
 
            เป็นเบ๊ก็ต้องตามใจคนเป็นเจ้านายอย่างนี้แหละ!
 
 
 
 
 
 
 
            “ว้าว!ไอ้ ชิงช้านี่มันสูงกว่าที่มองขึ้นมาจากข้างล่างอีกนะเนี่ย” ฉันร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น พร้อมกับใช้มือเกาะลูกกรงฝั่งตัวเองแล้วมองวิวรอบๆ หลังจากที่เราขึ้นมานั่งได้สักพักจนเกือบจะหมุนถึงด้านบนสุดแล้ว
 
 
 
 
 
 
 
            เนื่องจากในกระเช้าชิงช้าแบ่งที่นั่งออกเป็นสองฝั่ง ฉันกับโทโมะจึงจับจองกันคนละฝั่งเพื่อสร้างความสมดุล ความจริงถ้านั่งข้างกันแล้วมันเอียงก็ไม่เป็นอะไรหรอก แต่เขาคงไม่อยากนั่งข้างฉันสักท่าไหร่ แค่ขึ้นมานั่งเป็นเพื่อนยังอึดอัดแทบตายแล้วล่ะมั้งนั่น หน้าบูดซะขนาดนั้น -*-
 
 
 
 
 
 
 
            “เฮ้อ!” เขาถอนหายใจออกมาแรงๆ อย่างตั้งใจให้ฉันได้ยิน และมันก็ไม่ใช่แค่ครั้งแรก มันนับครั้งไม่ถ้วนแล้วต่างหากตั้งแต่เราสองคนขึ้นมาบนนี้ ให้ตายเถอะ
 
 
 
 
 
 
 
           “นายช่วยทำหน้าให้มันสดใสหน่อยสิ ไม่ใช่เอาแต่หน้าบึ้ง เบื่อโลกอยากจะตายแบบนั้น” ฉันมองไปที่เขาเล็กน้อยแล้วบ่นอุบก่อนที่จะเลื่อนสายตาไปยังวิวรอบๆ ที่มองแล้วสดชื่นกว่าหน้าของผู้ชายที่นั่งฝั่งตรงข้าม ถึงเขาจะหล่อมากก็เถอะ แต่ทำหน้าแบบนั้นอย่างเดียวใครจะไปอยากมองกันล่ะ
 
 
 
 
 
 
 
            “เธอก็รีบๆ ชมวิวแล้วรีบๆ ลงสิ แล้วฉันจะยิ้มให้ดู” เขาตอบอย่างเซ็งๆ พูดเหมือนอยากลงตอนนี้ก็ทำได้ย่างนั้นแหละ -_-^
 
 
 
 
 
 
 
           “มันก็ค่อยๆ หมุนของมันอย่างนี้ นายจะให้ฉันไปเร่งมันยังไงเล่า!ฉันไม่คุยกับนายแล้ว อารมณ์เสีย”
 
 
 
 
 
 
 
           “อยากคุยด้วยตายล่ะ” เขาบ่นลอยๆ แล้วเสมองไปทางอื่น
 
 
 
 
 
 
 
            กึกๆ กึก!
 
 
 
 
 
 
 
 
 
            กะ…เกิดอะไรขึ้น!!!
 
 
 
 
 
 
 
            เมื่อกระเช้าที่ฉันกับโทโมะนั่งมาถึงจุดสูงสุดของชิงช้า จู่ๆ ก็มีเสียงเหมือนเครื่องยนต์ติดขัดดังขึ้นก่อนที่ชิงช้าที่หมุนอยู่จะหยุดลง อย่างสง่าสามในขณะที่ฉันค้างอยู่กลางอากาศ! โฮกกก~ ไม่ตลกนะ จากข้างบนนี่ลงไปที่พื้นข้างล่างนั่นเป็นระยะไม่ต่ำกว่าสิบเมตร ฉันไม่กระโดดลงไปแน่ๆ
 
 
 
 
 
 
 
           “เธอทำอะไร ทำไมมันถึงหยุดแบบนี้”โทโมะเอ่ยถามเสียงเรียบพลางมองลงไปข้างล่างที่เจ้าหน้าที่กำลังเดินกันให้ วุ่น
 
 
 
 
 
 
 
            ไอ้บ้านี่ก็โทษฉันตลอดเลย -_-^
 
 
 
 
 
 
 
            “ฉัน ทำที่ไหนล่ะ ก็นั่งอยู่ด้วยกันเนี่ย แหกตาดูหน่อยสิว่าฉันนั่งชมวิวเฉยๆ” ฉันบอกอย่างหงุดหงิดก่อนที่จะเริ่มมองไปรอบๆ ความสนุกเมื่อครู่พลันทลายหายไปกลายเป็นความกลัวเข้ามาแทนที่ กลัวว่าจะกลับลงไปไม่ได้น่ะสิ
 
 
 
 
 
 
 
            “สงสัยเครื่องจะขัดข้องล่ะมั้ง…บอกแล้วว่าไม่เล่นๆ เธอนี่มันหาเรื่องซวยจริงๆ” ว่ากันเข้าไป! เดี๋ยวฉันก็แหกปากร้องไห้ซะหรอก โฮกกก~
 
 
 
 
 
 
 
            “นายก็รีบเป็นแฟนฉันสิ บางทีถ้านายตกลงเป็นแฟนฉันตอนนี้ชิงช้าอาจจะกลับมาหมุนอีกครั้งก็ได้นะ” ฉันรีบบอกอย่างกระตือรือร้น ก็เขาบอกเองว่าฉันเป็นคนหาเรื่องซวย แล้วคนที่จะหยุดเรื่องซวยของฉันได้ก็มีแต่เขาเท่านั้นใช่มั้ยล่ะ แบบนี้มันก็ดูสมเหตุสมผลดีแล้วนี่…เอ่อ ใช่มั้ยอะY_Y
 
 
 
 
 
 
 
            “-_-^” เขามองฉันด้วยสีหน้าประมาณว่า ฉันไม่ตลกกับเธอนะ ก่อนที่จะเลื่อนสายตาหยิ่งยะโสโอหังนั่นไปทางอื่น
 
 
 
 
 
 
 
 
 
           “อย่างนี้เมื่อไหร่จะได้ลงไปเนี่ยTOT” ฉันบ่นพลางมองกลับลงไปข้างล่างอีกครั้งมือก็จับลูกกรงอย่างสิ้นหวัง แล้วก็เห็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งถือโทรโข่งพลางพูดอะไรบางอย่างคนเดียวเหมือน กำลังทดสอบเสียงอยู่
 
 
 
 
 
 
 
           “อย่าตกใจนะครับ!ขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ! เจ้าหน้าที่กำลังแก้ไขเครื่องให้กลับมาทำงานเป็นปกติครับ!” เสียงเจ้าหน้าที่คนเมื่อกี้บอกผ่านโทรโข่ง กว่าเสียงจะมาถึงข้างบนนี้มันก็แผ่วเต็มทนแต่ก็ยังได้ยินชัดอยู่ว่าเขาพูดว่าอะไร เฮ้อ! ไอ้คนที่ไปถึงข้างล่างพอดีนั่นโชคดีชะมัดเลยเพราะเขามีโอกาสออกไปได้ แต่ฉันที่อยู่ข้างบนสุดเนี่ยสิ ยิ่งคิดชีวิตยิ่งระทวย
 
 
 
 
 
 
 
            “ไม่ให้ตกใจได้ไงวะ ลองขึ้นมาติดอยู่กับยัยเพ้อเจ้อนี่บ้างสิจะรู้สึก!” โทโมะเหวี่ยงอย่างหัวเสียเหมือนกับว่าฉันไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้ -0-
 
 
 
 
 
 
 
            “ชาติไหนจะซ่อมเสร็จก็ไม่รู้ ข้างบนนี่อึดอัดชะมัดเลย!” ฉันแกล้งบ่นประชดเขาด้วยความหมั่นไส้
 
 
 
 
 
 
 
           “ฮ้า!~ข้างบนนี้ลมเย็นเป็นบ้าเลย ถ้านั่งคนเดียวคงเย็นกว่านี้แน่ๆ” ดูเหมือนฝั่งตรงข้ามก็ไม่ยอมอ่อนข้อเหมือนกันนะ ฮึ่ม! “เฮ้ย!ฝนตก O_O” ยังไม่ทันที่ฉันจะได้พูดอะไรตอกหน้าเขากลับไป เสียงร้องอย่างตกใจของเขาก็ดังขึ้นมาจนฉันต้องเงยหน้ามองฟ้าทันที
 
 
 
 
 
 
 
            แปะ! แปะ!  แปะ!
 
 
 
 
 
 
 
            เม็ดฝนที่จู่ๆ ก็หล่นลงมาจากฟ้ากระทบเข้ากับใบหน้าของฉันอย่างจังต้องรีบก้มหน้าแล้วเอามือ ปาดหยดน้ำออกทันที ถึงฝนจะตกไม่หนัก แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ตัวเปียกได้ทั้งตัว
 
 
 
 
 
 
 
           ฮ่วย! อะไรจะซวยขนาดนี้ ฮือออ~
 
 
 
 
 
 
 
           “วันนี้มันวันบ้าอะไรเนี่ย!” โทโมะเริ่มโวยวายอีกครั้งในขณะที่ฉันเริ่มยกมือทั้งสองขึ้นมาชนกันอยู่ เหนือกระหม่อมเพื่อกันฝนเข้าหน้า ฝนตกแบบนี้การซ่อมเครื่องข้างล่างนั่นก็ต้องลำบากน่ะสิ แล้วมันก็จะเสร็จช้าด้วย อ๊ากกก! แล้วเมื่อไหร่ฉันจะได้ลงไป ฮือๆๆ
 
 
 
 
 
 
 
            “…เดี๋ยวจะไม่สบาย” จู่ๆ โทโมะก็ลุกมานั่งข้างฉันพร้อมกับถอดเสื้อช็อปออกแล้วกางขึ้นคลุมเหนือเราสองคนไว้เพื่อเป็นที่กำบังฝน
 
 
 
 
 
 
 
           “เอ่อ ขอบคุณนะ -///-” ฉันบอกโดยที่ก้มหน้ามองเท้าตัวเองไม่กล้าหันไปมองหน้าเขา
 
 
 
 
 
 
 
            “อืม” สิ้นเสียงนั้นก็ไม่มีใครพูดหรือบ่นอะไรอีกเลย มีเพียงเสียงของฝนเท่านั้นที่ตกหนักกว่าเมื่อกี้นิดหน่อย จะว่าบรรยากาศตอนนี้มันโรแมนติกก็พูดได้ไม่เต็มปาก ฉันเหลือบมองเขาด้วยหางตาเล็กน้อยก็เห็นว่าเขากำลังก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเองอยู่เหมือนกัน
 
 
 
 
 
 
 
ซ่าๆๆๆๆๆ
 
 
 
 
 
 
 
           ฝนที่ตกหนักกว่าเดิมทำให้ฉันต้องขยับตัวเข้าไปใกล้โทโมะมากขึ้นเพราะกลัวว่า ตัวจะเปียกไปมากกว่านี้ ถึงเสื้อช็อปของเขาจะพอกันฝนให้พวกเราได้แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าหลังกับแขน ข้างที่ไม่ได้อยู่ติดกับโทโมะตัวเองยังโดนฝนสาดอยู่ดี
 
 
 
 
 
 
 
 
 
           “ท่าทางจะอีกนานเลยกว่าเขาจะซ่อมไอ้เครื่องบ้านี่เสร็จ”
 
 
 
 
 
 
 
 
 
           โทโมะพูดกับฉันหรือเปล่านะ?
 
 
 
 
 
 
 
            ด้วยความสงสัยฉันจึงเงยหน้าขึ้นมาเพื่อหันไปมองคนข้างๆ แล้วก็พบว่าเขาผงะไปเล็กน้อยเพราะหน้าของเราเกือบจะชนกัน เมื่อกี้เขามองฉันอยู่เหรอ?
 
 
 
 
 
 
 
            “เอ่อ…หนาวมั้ย” ฉันคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ นะถึงได้ถามออกไปแบบนั้นน่ะ ความจริงไม่พูดอะไรเขาก็คงไม่ง้างปากฉันหรอก -_-^
 
 
 
 
 
 
 
            “เฉยๆ”
 
 
 
 
 
 
 
           “งั้นเหรอ…ฉัน ก็ไม่รู้สึกหนาวนะ นั่งข้างนายแบบนี้มันก็อุ่นดีเหมือนกันแฮะ” ฉันพูดจริงๆ นะ ไม่ได้โกหก ถึงแม้ฝนจะตกอยู่แต่การที่เราสองคนมานั่งอยู่ข้างๆ กันมันทำให้ฉันไม่รู้สึกหนาวเลยล่ะ
 
 
 
 
 
 
 
           “ก็เธอจะสิงฉันอยู่แล้ว ไม่อุ่นก็คงแปลก” เขาพูดแล้วเลื่อนสายตาจากหน้าฉันลงไปที่ตัวก่อนที่จะมองกลับขึ้นมาที่หน้าใหม่ จนฉันถึงกับหน้าร้อนผ่าวต้องรีบเขยิบห่างออกมานิดหน่อยแต่ก็ไม่มากนักเพราะ กลัวตัวจะเปียกฝนมากกว่านี้ Y_Y
 
 
 
 
 
 
 
            “แหะๆ”
 
 
 
 
 
 
 
           “เธอไม่ได้แอบไปบอกให้เจ้าหน้าที่เขาแกล้งทำให้เครื่องติดขัดเพื่อจะได้ใกล้ ชิดกับฉันใช่มั้ย” คิดได้ไงเนี่ย!? สาบานว่าฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นเลย เหอะๆ
 
 
 
 
 
 
 
           “นายจะไม่มองฉันในแง่ดีบ้างหรือไง ฉันไม่ทำอะไรบ้าๆ แบบนั้นหรอกน่า”
 
 
 
 
 
 
 
           “ใครจะไปรู้ พูดจริงๆ นะ เธอจะอยากให้ฉันไปเป็นแฟนทำไมถ้าไม่ได้ชอบฉัน คิดไปคิดมาแล้วเพราะเธอหลงเสน่ห์ฉันใช่มั้ยล่ะถึงได้ทำแบบนี้” หลงตัวเองก็เป็นแฮะหมอนี่
 
 
 
 
 
 
 
           “ไม่เห็นจะน่าหลงตรงไหนเลย เฮอะ!”
 
 
 
 
 
 
 
           “ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เธอล้มเลิกความคิดนี้ซะเถอะ” ฉันไม่ถอดใจง่ายๆ หรอกนะ! ฉันไม่ยอมซวยไปยี่สิบปีเด็ดขาด ถ้าปล่อยให้ดวงตกแบบนี้ชีวิตฉันก็หมดสิ้นซึ่งความสุขน่ะสิ
 
 
 
 
 
 
 
           “คงจะยาก…จริงสิ ฉันถามอะไรนายสักข้อสองข้อได้มั้ย”
 
 
 
 
 
 
 
            “…อืม” เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะตอบรับสั้นๆ ฉันสูดหายใจลึกแล้วนั่งทำใจอยู่ประมาณครึ่งนาที กว่าจะถามออกไปได้
 
 
 
 
 
 
 
           “ทำไมนายถึงรักแฟนนายนักล่ะ”
 
 
 
 
 
 
 
           “ก็รักไง”
 
 
 
 
 
 
 
           “ไม่ใช่แบบนั้น ฉันหมายถึงแบบว่า ดูนายจะเชื่อแฟนนายมากเลยน่ะ”
 
 
 
 
 
 
 
           “คนเราถ้าจะคบกันมันก็ต้องรักและเชื่อใจกันไม่ใช่เหรอ ถ้ามัวแต่มานั่งจับผิดแล้วจะคบกันไปทำไม เธออาจจะมองว่าฉันโง่ แต่ฉันทำสิ่งที่ควรจะทำ” มันก็เป็นข้อดีของเขานะ
 
 
 
 
 
 
 
           “ไม่ใช่แค่ฉัน แต่คนที่นายเชื่อใจก็…เฮ้อ!ช่าง มันเถอะ” ฉันว่าไม่พูดออกไปจะดีกว่าล่ะมั้งยัยพม่าต้องกำลังหลอกอะไรโทโมะอยู่แน่ๆ ฉันมั่นใจ แล้วคนที่ยัยนั่นขึ้นรถไปด้วยวันนี้ต้องไม่ใช่พี่รหัสอย่างที่โทโมะบอกแน่นอน อะไรบางอย่างบอกว่ามันไม่ใช่แบบนั้น…
 
 
 
 
 
 
 
            “…”
 
 
 
 
 
 
 
           “ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าแฟนนายกำลังทำอะไรอยู่ แต่สักวันฉันจะต้องรู้ให้ได้ แล้วนายก็จะต้องรู้และยอมรับด้วย”
 
 
 
 
 
 
 
           “ไม่ต้องมานั่งจับผิดพิมแทนฉันอย่างนี้หรอก บอกแล้วไงว่าอย่ายุ่งกับเธอ”
 
 
 
 
 
 
 
           “ก็ไม่ได้อยากจะยุ่งนักหรอกถ้าแฟนนายมันดีจริงๆ น่ะ”
 
 
 
 
 
 
 
           “เธอนี่ทำตัวไม่น่ารักเลยนะแก้วใจ...เป็นคนยังไงของเขากัน” เขาว่าแล้วเบือนหน้าหนีไปทางอื่นก่อนที่จะบ่นกับตัวเอง ฉันมันก็เป็นคนแบบนี้ ต่อให้ทำตัวดียังไงเขาก็คงไม่รักฉันอยู่แล้วแหละ นี่ก็ยังไม่รู้เลยว่าถ้าเขาตาสว่างขึ้นมาจริงๆ ฉันจะทำยังไงต่อ
 
 
 
 
 
 
 
           “นายก็อยู่แบบนี้ของนายต่อไปแล้วกัน ฉันนี่แหละจะทำให้นายรู้เองว่าอะไรมันเป็นอะไร” ซึ่งฉันก็ยังไม่รู้ว่ามันคืออะไร แย่ก็ตรงนี้ -_-^
 
 
 
 
 
 
 
            “…”
 
 
 
 
 
 
 
           “ถามจริงๆ เถอะ นายคบกันยัยนั่นมานานหรือยัง แล้วเคยทะเลาะกันบ้างหรือเปล่า” รักกันปานจะกลืนกินขนาดนี้จะมีเรื่องตบตีกันบ้างมั้ยนะ
 
 
 
 
 
 
 
           “ก็…เกือบปีแล้วล่ะ…เราเคยทะเลาะกันแค่ครั้งเดียวก่อนที่จะมีเรื่องเธอเข้ามา” ฉันผิดอีกสินะที่เข้ามาก็มือที่สามนี่เนอะ มันคงจะถูกอยู่หรอก -0-
 
 
 
 
 
 
 
            “แล้วตอนนั้นทะเลาะกันเรื่องอะไรเหรอ” ฉันถามด้วยความอยากรู้ทันที
 
 
 
 
 
 
 
           “เธอเก็บข้อมูลอยู่สินะ”
 
 
 
 
 
 
 
            “-0-”
 
 
 
 
 
 
 
            “เมื่อเดือนที่แล้ว…ฉันเห็นไอ้ป๊อปชอบทำตัวตีสนิทกับยัยนั่นทั้งๆ ที่ปกติมันไม่สนใจผู้หญิง แล้วก็ไม่ค่อยคุยกับใครด้วย”
 
 
 
 
 
 
 
           “กลัวเพื่อนหักหลังนี่เอง”
 
 
 
 
 
 
 
           “ไม่มีผู้ชายคนไหนชอบหรอกที่แฟนตัวเองสนิทกับผู้ชายคนอื่นน่ะ ยิ่งคนอื่นที่ว่าเป็นเพื่อนสนิทตัวเอง…” เขาพูดด้วยเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่
 
 
 
 
 
 
 
           “แล้วตอนนี้นายไม่กลัวแล้วเหรอ”
 
 
 
 
 
 
 
           “ก็ตอนทะเลาะกัน…พิมพูดว่าถ้าไม่ไว้ใจและเชื่อใจกันจะคบกันได้ยังไง ฉันก็เลยปรับตัวเองใหม่…ไอ้ป๊อปเองก็บอกว่าที่ทำแบบนั้นเพราะเป็นห่วงอยากรู้ว่านิสัยใจคอของพิมเป็นยังไง เพราะฉันกับยัยนั่นคบกันหลังจากที่รู้จักกันได้สองอาทิตย์เท่านั้น มันบอกว่าเร็วเกินไป”
 
 
 
 
 
 
 
            สองอาทิตย์!!! เร็วไปจริงๆ นั่นแหละ หมอนี่มันใจง่ายชะมัดเลย -3-
 
 
 
 
 
 
 
            “แล้วนายก็เชื่อสองคนนั้นสินะ”
 
 
 
 
 
 
 
           “ไม่เชื่อก็อยู่ด้วยกันลำบากนะ ดูๆ แล้วไอ้ป๊อปมันก็เป็นห่วงฉันจริงๆ จนตอนนี้มันก็ยังไม่ค่อยไว้ใจพิมเท่าไหร่ แต่ก็คงน้อยกว่าเธอ เหอะๆ” ถึงเขาจะพูดแบบนั้นแต่ก็เหมือนเขายังไม่วางใจเรื่องนี้เท่าไหร่นะ
 
 
 
 
 
 
 
           “เหรอ…” ฉันส่งเสียงออกมาอย่างครุ่นคิด…
 
 
 
 
 
 
 
           ป๊อปปี้? เป็นไปได้มั้ยว่าหมอนั่นก็อาจจะกำลังแอบยุให้โทโมะเลิกกับแฟนแบบไม่ แสดงออกโจ่งแจ้งเพื่อจะแฮฟยัยนั่นซะเอง เพราะเมื่อวานเขาก็ดูเข้าข้างฉันนะเรื่องที่ให้โทโมะมาเป็นเบ๊ หมอนี่น่าสงสัยแฮะ…เดี๋ยวสิ! เขื่อนเองก็เข้าข้างฉัน อย่างนี้หมอนั่นไม่น่าสงสัยด้วยเหรอ
 
 
 
 
 
 
 
           “แล้วเขื่อนล่ะ ไม่คุยกับแฟนนายหรือไง”
 
 
 
 
 
 
 
           “คุยแต่หมอนั่นมันอัธยาสัยดีอยู่แล้ว มันก็เป็นแบบนี้กับทุกคน” เขาตอบอย่างไม่ใส่ใจมากนัก น้ำเสียงของเขาดูไม่กังวลเหมือนตอนที่พูดถึงป๊อปปี้เลย
 
 
 
 
 
 
 
           “อ๋อ…” เพราะอย่างนี้เขาเลยวางใจเขื่อนสินะ
 
 
 
 
 
 
 
            “แล้วฉันจะมานั่งเล่าเรื่องส่วนตัวให้เธอฟังทำไมเนี่ย เฮ้อ!ฝน บ้านี่ก็ตกอยู่ได้ ข้างล่างก็ซ่อมไม่เสร็จสักที” โทนเสียงเขาเปลี่ยนไปเป็นหงุดหงิดเหมือนก่อนหน้านี้แล้วมองซ้ายทีขวาที สลับกับข้างล่างบ้าง
 
 
 
 
 
 
 
           “เพราะนายเริ่มปันใจให้ฉันแล้วไง ถึงได้ไว้ใจเล่าเรื่องส่วนตัวให้ฟัง >_<”
 
 
 
 
 
 
 
           “อย่าสำคัญตัวเองผิด” เขาหันกลับมามองฉันนิ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบ
 
 
 
 
 
 
 
           “อะๆงั้นถามอีกข้อได้มั้ย…นายเป็นคนขอยัยนั่นคบเหรอ”
 
 
 
 
 
 
 
           “อืม”
 
 
 
 
 
 
 
           “นายไปจีบยัยนั่นสินะ” ฉันพูดพร้อมกับพยักหน้าสองสามครั้งพลางสมองก็เรียบเรียงข้อมูล อย่างนี้เรื่องที่ยัยพม่าหน้าตุ๊กตาลิงเผือกมาคบโทโมะเพื่อหวังผลบางอย่าง มันก็ดูไม่น่าเป็นไปได้แล้วน่ะสิ…
 
 
 
 
 
 
 
           “เปล่า”
 
 
 
 
 
 
 
            อ๊ะ! ความเป็นไปได้เริ่มกลับมาแล้ว >_<
 
 
 
 
 
 
 
            “งั้นแฟนนายก็ไม่ต่างจากฉันหรอกที่มาจีบนายก่อนน่ะ”ยัยนั่นต้องมีจุดประสงค์เหมือนฉันแน่ๆ ฉันยอมรับว่าตัวเองหวังผลจากแอมแปร์เหมือนกัน บอกแล้วว่าเขาเหมือนเครื่องรางของขลังที่จะมากันซวยให้ฉัน =.,=
 
 
 
 
 
 
 
            “ไม่มีใครจีบใคร แต่ต่างคนต่างรู้สึกดี แล้วฉันก็ลองขอคบดู”
 
 
 
 
 
 
 
           “ก็ตีความว่านายไปจีบยัยนั่นได้เหมือนกันและน่า โถ่!”
 
 
 
 
 
 
 
           “ผู้ชายจีบผู้หญิงก่อน มันก็ดีกว่าผู้หญิงจีบผู้ชายไม่ใช่หรือไง” เอ๊ะ! รู้สึกเหมือนโดนจิกกัดแฮะ ทุกคนรู้สึกเหมือนฉันใช่มั้ยว่าเขาแอบว่าฉันทางอ้อมน่ะ
 
 
 
 
 
 
 
           “จะว่าฉันก็ว่ามาตรงๆ ไม่ต้องพูดให้มากความหรอก”
 
 
 
 
 
 
 
           “เปล่าสักหน่อย ถ้าจะว่าฉันพูดตรงๆ อยู่แล้ว แบบนี้ไง…เธอนี่หน้าด้านเนอะ” อ๊ากกก! ดูเขาทำกับฉันสิ T_T ใจร้ายชะมัดเลย เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเขาก็จีบผู้ชายก่อนเยอะแยะ ฉันหน้าด้านตรงไหนไม่ทราบ
 
  
 
 
 
 
           “ฮึ่ย!”
 
 
 
 
 
 
 
            “:)” ไม่ต้องมายิ้มเลยไอ้บ้า!
 
 
 
 
 
 
เกลียดหมอนี่ชะมัดเลย มันใช่เนื้อคู่ของฉันแน่เหรอแม่หมอ!?
 
 
 
-------------------------------------------โปรดติดตามตอนต่อไป----------------------------------
 
โทโมะเป็นคนดีนะ!!! พี่ขนมเข่งเคยบอกไปแล้วไง 555555 พระเอกมีฟีลเหวี่ยงๆ ไม่ต่างจากนางเอกเท่าไหร่ๆ แหม่ ตอนนี้สร้างปริศนาอีกแล้วป้ะ?
 
1 ตอน 1 คอมเม้นท์ = 1 กำลังใจนะคะ :) อย่าลืมให้คะแนนโหวตด้วยน้าาาาา
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.4 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.5 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา