[Haikyuu]Against all odds ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
เขียนโดย Dark_Shinigami
วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.34 น.
แก้ไขเมื่อ 27 กันยายน พ.ศ. 2558 17.53 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
2) Ch.1 (2/3)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความChapter 1 - Part 2-
Title: Against all odds ไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
Story: Sharkbaitsekki (SS)
Translator: KITDS
อาทิตย์ที่ 1 – วันพฤหัสบดี
“ดูสิ่งที่เจ้าแมวพามาด้วยสิ*”โบคุโตะต้อนรับโออิคาวะด้วยรอยยิ้มเยาะทันทีที่เขาก้าวเข้าไปในห้องประชุมตอนเย็นวันพฤหัสบดีทำให้โออิคาวะมีความคิดที่จะหันหลังกลับ วันนี้เขาไม่อยากจะรับมือกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
“แมวหรอ?! ไหนๆ?!”แต่ก็มีคนหนึ่งที่กระปรี้กระเปร่าตั้งแต่เช้าของวันนี้อย่างเห็นได้ชัด นั่นก็คือลูกชายของไดจิ และความกระปรี้กระเปร่านั่นก็คงชัดเจนกว่านี้ถ้าเขาไม่ได้วิ่งรอบห้อง ตามไล่จับปิศาจในจินตนาการของเขามาก่อนหน้านี้
“มันเป็นแค่การแสดงคามคิดเห็นน่ะ โนยะ อยากจะมานั่งตรงนี้มั้ย?”ซาวามูระถอนหายใจ ตัวเขาดูเหนื่อยมากแต่โออิคาวะก็ใส่แว่นกันแดดอยู่ เขาเลยบอกได้ไม่แน่ชัดเท่าไหร่นัก
“ไม่เอา”โนยะบอกอย่างภาคภูมิใจแล้ววิ่งต่อไป
“น่าสมเพช”
“โอ้โห สึกกี้”คุโร่หัวเราะ เด้งเข่าแกล้งเด็กหนุ่มผมบลอนด์บนตักเขาเบาๆ แต่เด็กชายดูไม่แยแสเลยแม้แต่น้อย (ซึ่งโออิคาวะชื่นชมเด็กชายที่สามารถเมินพ่อแสนแสบของเขาได้อย่างสมบูรณ์) กลับกันเด็กชายกลับเล่นกับไดโนเสาร์บนตักของเขาต่อไป “ทำตัวเป็นมิตรหน่อยสิ แล้วนี่ลูกรู้รึเปล่าว่าคำนั้นมันหมายความว่าอะไร?”
“มันก็หมายความว่าน่าสมเพช”เด็กน้อยตอบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง ทำให้คุโร่หัวเราะอีกครั้งพลางยีผมลูกชายเบาๆ และนั่นทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมามองในที่สุด โออิคาวะรู้สึกว่าแว่นตาทรงเหลี่ยมที่เขาสวมอยู่นั้นอยู่ใหญ่เกินไปสำหรับเขา หรือเขาจะต้องเป็นคนที่คอยแนะนำเกี่ยวแฟชั่นให้กับทุกคนตรงนี้จริงๆ?
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนอยู่ที่นี่แล้ว เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”สึกาวาระพยายามจะทำให้สถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุม และโออิคาวะก็พาตัวเองไปนั่งที่เก้าอี้ตัวสุดท้ายที่เหลืออยู่ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังโบคุโตะที่กำลังเคลิ้มหลับบนเก้าอี้โดยมีลูกของเขาหลับเอาแอบแนบกับแผ่นอกอยู่ด้วย
“เฮ้”โออิคาวะงึมงำพลางเตะเก้าอี้ของโบคุโตะเบาๆ แต่แรงสั่นเบาๆ กลับทำให้โบคุโตะสะดุ้งโหยงขึ้นเกือบสุดตัวและลูกชายของเขาก็ร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจเมื่อโบคุโตะลุกขึ้นกะทันหัน แต่โชคยังดีที่โบคุโตะตอบสนองไวพอที่จะคว้าตัวลูกชายเขาไว้ก่อนจะตกถึงพื้น และจากสายตาพิฆาตที่เด็กน้อยมีให้คนตัวใหญ่ที่อุ้มเขาอยู่แล้ว บ่งบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เรื่องแบบนี้เกิดขึ้น
“ไง พ่อหนุ่มหน้าสวย”โบคุโตะทักทายพร้อมกับหาวไปด้วย มือก็ลูบหัวหยักศกของลูกชายขณะที่เจ้าตัวงึมงำๆ ด้วยความง่วงนอน “ทำไมใส่แว่นดำมาล่ะ?”
“นายไม่อยากจะรู้หรอก”โออิคาวะบอก รู้สึกว่าตาของเขากระตุกจากการถูกทักเรื่องแว่นตา
“เอาจริงก็อยากรู้นะ ก็ฉันถามนี่”
โออิคาวะเลิกคิ้วใส่ด้วยความเหลือเชื่อ ก่อนจะดึงแว่นลงพอให้ทุกคนมองเห็นสภาพตาแดงๆ และถุงใต้ตาดำคล้ำของเขาก่อนจะดันแว่นกลับขึ้นไปเหมือนเดิม และพยายามเมินสายตาสงสัยของทุกคน
“เพื่อน เกิดอะไรขึ้น?”คุโร่เป็นฝ่ายถามขึ้นมาคนแรก
“เจ้านี่”โออิคาวะตอบด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด ชี้ไปยังลูกชายของเขาที่หลับอย่างสบายใจในเป้อุ้มเด็กที่เขาสวมไว้ด้านหน้าของเขา “เกิดกลัวปิศาจอะไรบางอย่างขึ้นมา ฉี่รดที่นอนแล้วก็ร้องไห้จ้าตลอดคืน”
“โอ๊ย”
“ทุกคืนตั้งแต่คืนวันจันทร์”
“โอ้ หลับให้สบายนะ พี่น้อง”โบคุโตะรู้สึกเสียวแทน “ฉันเข้าใจความรู้สึกดีเลย เคย์จิเองก็ขี้แยเหมือนกัน”
“ผมไม่ใช่ซะหน่อย”เด็กน้อยหรือเคย์จิบอกด้วยความไม่พอใจ
“ใช่สิ”
“ไม่ใช่”
“ใช่สิ เจ้าเด็กขี้แย”
“พ่อ ผมไม่ใช่เด็กขี้แย”
“โอเค โอเค ใจเย็นกันก่อน”ซาวามูระถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “โนยะ มานั่งเถอะ”
“แต่ว่าพ่อครับบบ”
“ผมหิว”ลูกของคุโร่พึมพำ เงยหน้าขึ้นมาจากไดโนเสาร์ของเขา
“ลูกเพิ่งกินขนมไปเองนะ เคย์”พ่อของเขาแย้ง
“ผมโตแล้ว ผมหิว”
“พ่อ ผมไม่ใช่เด็กขี้แย”
“จริงหรอ? ลูกเกือบจะร้องไห้อยู่แล้วตอนพ่อเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกฟัง”
“พ่อฮะ ดูสิ! ผมกำลังไล่เจ้าพวกเอเลี่ยนนี่ออกไปล่ะ! ผมเป็นยอดดมนุษย์!”
“โนยะ มาตรงนี้เถอะ!”
“พระเจ้าช่วย”โออิคาวะโอดครวญ มือขยี้ตาด้วยความเหนื่อยอ่อน “จริงดิ? มันจะมีอะไรแย่กว่านี้ได้อีกหรอ”
ทันใดนั้นที่ฮินาตะตื่นขึ้นมาและเริ่มร้องไห้
โออิคาวะสงสัยว่ามันจะโอเคมั้ยถ้าเขาร้องไห้บ้าง สำหรับเขาแล้วการได้ร้องไห้หนักมากฟังดูดีมากในตอนนี้
“โชโย ลูกรัก อย่าร้องนะ”เขาโอดครวญ มือล้าๆ ของเขาสั่นขณะที่ปลดสายเพื่อเอาลูกชายเขาลงมาจากเป้ ระหว่างที่เขาทำเขาก็รู้สึกได้ว่าเสียงในห้องนั้นเงียบลงและทุกสายตาจดจ้องมาที่เขาตอนที่เขาพยายามจะปลดสายออก แทบจะในทันทีที่เขารู้สึกอยากจะร้องไห้ให้ได้ “ไม่เอาน่า ลูกรัก บอกพ่อสิว่าเป็นอะไร ลูกโตแล้วนะ อย่าร้องเลย...”
“มาฉันช่วย”
โออิคาวะไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขายอมซาวามูระได้เร็วขนาดนั้น แต่เขาก็ยอมให้อีกฝ่ายช่วยปลดสายรัดออกแทนเขา เขาเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ขณะที่พยายามจะสูดหายใจเข้าลึกและพยายามไม่ให้น้ำตาแห่งความผิดหวังที่คลออยู่ไหลออกมาขณะที่คนรู้จักของเขา (เพื่อนร่วมกลุ่มสนับสนุน? พวกพ้องคุณพ่อคนเดียว? เพื่อน?) ปลดเป้ลงแล้วอุ้มลูกชายเขาออกจากเขา
“เอาล่ะ โชโย”เขาโยกตัวเด็กชายเบาๆ เสียงสะอื้นที่สั่นตามแรงฟังดูตลก “ทำไมไม่บอกพ่อของเธอล่ะว่าทำไมถึงร้องไห้?”
“มันเจ็บบบ”ทารกผมส้มร้องบอก เอามือของเขาเข้าปากและร้องไห้ทั้งอย่างนั้น
“เจ็บอะไร?”โออิคาวะเด้งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มือก็ปัดเป้อุ้มเด็กออกจากตัว น้ำเสียงไม่ปกปิดความเป็นห่วงที่เจืออยู่นั้น ซาวามูระมองเขาเหมือนว่าเขามีคำตอบ แต่โออิคาวะไม่รู้จริงๆ ว่าลูกของเขาพูดถึงอะไร
แต่ฮินาตะก็ไม่ตอบเขา ทำเพียงแค่ร้องไห้ทั้งมือคาปากและโออิคาวะก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี
“พ่อครับ”โนยะเรียกพลางดึงขากางเกงของไดจิหลายๆ ครั้ง “โชโยอยากจะกินขาของผมอีกหรอ?”
“นี่ฉันอยากจะรู้มั้ยเนี่ย?”โบคุโตะขมวดคิ้วพร้อมส่งสายตาไปทางคุโร่ แต่อีกฝ่ายก็ทำเพียงยัดไหล่กลับมา “เฮ้ ยู มานี่หน่อยสิ มาให้ฉันดูเสื้อเท่ๆ ของนายหน่อย”
“มันคือเสือล่ะ”ยูบอกอย่างภาคภูมิ ปล่อยให้ไดจิยืนคนเดียวเพื่อจะได้โชว์เสื้อของตัวเองให้โบคุโตะดู
“บางทีเขาอาจจะเจ็บเงือกก็ได้นะ ฟันกรามกำลังขึ้นไม่ใช่หรอ? ลองให้เคี้ยวของเล่นดูสิ”คุโร่แนะนำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา โออิคาวะพยักหน้าก่อนจะเปิดกระเป๋าผ้าอ้อมแล้วควานหาของเล่นสำหรับขบที่ฮินาตะชอบ
“นี่ ลูกรัก อยากได้ไอ้นี่รึเปล่า?”เขาถามพร้อมยื่นของเล่นให้ลูกชายของเขาที่กำลังร้องไห้ใส่บ่าของซาวามูระอยู่ ฮินาตะมองของเล่นสักพักก่อนจะยื่นมือชุ่มน้ำลายมาคว้ามันไปแล้วเอามันเข้าปาก
โออิคาวะลืมหายใจไปชั่วครู่ ก่อนที่เสียงร้องไห้ของฮินาตะจะค่อยๆ เงียบลง
“พระเจ้า”เขาถอนหายใจ พลางเอามือเสยผ่านผมของตัวเอง “มันได้ผล”
“นี่”ซาวามูระหัวเราะ ยื่นฮินาตะที่กำลังยุ่งอยู่กับการเคี้ยวของเล่นคืนให้โออิคาวะ “ดีใจที่เขาไม่เป็นอะไร”
“สิบเต็มสิบสำหรับการดูแลลูกนะทุกคน”โบคุโตะยิ้มกริ่มให้ทุกคนพร้อมกับชูนิ้วโป้งให้
“ขอบคุณ”โออิคาวะหันไปขอบคุณคุโร่ที่สะบัดมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นอะไร
“ไม่เป็นไรๆ! มันเป็นสิ่งที่พวกเรามาทำกันที่นี่ ใช่มั้ยล่ะ?”
“ใช่แล้ว”คราวนี้เป็นสึกาวาระที่ตอบ เมื่อทุกคนหันไปมองเขาเขาก็ยิ้มกว้างให้ “นั้นเป็นตัวอย่างที่ดีมากของการร่วมแรงร่วมใจกัน ฉันดีใจมากที่พวกเราได้เห็นการร่วมมือกันเมื่อกี้ และฉันก็หวังว่าจะได้เห็นมันอีกตลอดหกอาทิตย์ของพวกเรา”
“นายพูดเกินไปแล้ว”คุโร่พูดแหย่ ก่อนจะก้มลงไปมองลูกชายเขาเมื่อเด็กชายผมบลอนด์กระตุกเสื้อเขา
“ผมหิว ถ้าผมร้อง พ่อจะให้อาหารผมรึเปล่า?”
“เราไม่ร้องไห้เพราะเรื่องแค่นี้หรอกนะ เคย์”คุโร่ดุ “ถ้าลูกทำตัวดีๆ สักพัก พ่อจะให้ขนม โอเคมั้ย?”
“อืม”
“ฉันขอให้พวกนายพาลูกมาด้วยสำหรับเรื่องแรกของเราในวันนี้”สึกาวาระพูดต่อด้วยความปลาบปลื้มใจ “ฉันแค่อยากให้พวกนายแสดงวิธีการเลี้ยงดูลูกในแบบของพวกนายรวมถึงลักษณะนิสัยของลูกๆ ของทุกคน ในเมื่อผู้ปกครองจะไร้ค่าถ้าไม่มีลูก”
“พ่อของผมไร้ค่าถ้าไม่มีผม”ยูทวนคำเสียงกระซิบด้วยความทึ่ง ตามมาด้วยเสียงเคืองๆ ของซาวามูระ “ยู...” โออิคาวะช่วยไม่ได้แต่แอบรู้สึกโล่งที่เขาอยู่ที่นี่ตรงนี้กับคนกลุ่มนี้
“ฉันอยากให้พวกนายทำความรู้จักกับเด็กๆ ด้วย ยังไงมันก็จำเป็นที่จะรู้พัฒนาการของพวกเขาผ่านการแบ่งปันเรื่องราวและแนะนำเคล็ดลับให้กับคนอื่นๆ และฉันก็อยากให้พวกนายของดูพัฒนาการของลูกๆ หลังจากเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา การสูญเสียผู้ปกครองไปหนึ่งคน ยิ่งไปกว่านั้นพวกนายทุกคนบอกฉันว่าทุกอย่างมันเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานเท่าไหร่ ซึ่งมันสามารถสร้างแผลในใจหรือรบกวนจิตใจของเด็กได้ ถ้าพบเจอปัญหาไม่ว่าจะทางด้านพฤติกรรมหรือทางด้านจิตใจตั้งแต่เนิ่นๆ เป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้พวกเขากลับเป็นเหมือนเดิม”
“เข้าใจที่เขาพูดมาบ้างรึเปล่า เจ้าลูกชาย?”โบคุโตะถามลูกชายของเขาที่กำลังเล่นรถของเล่นอยู่บนขาของเขา
“ไม่”
“พ่อเองก็เหมือนกัน”เขาหัวเราะ แต่ก็รู้สึกถึงสายตาที่จ้องมายังเขา “ฉันล้อเล่นหรอกน่า แน่นอนว่าฉันเข้าใจ แค่ถามให้แน่ใจว่าเด็กๆ ตีความไม่ถูกเท่านั้นเอง”
“ดี เอาล่ะ ถ้าเราพักกันยี่สิบนาทีเพื่อที่พวกนายจะได้พาลูกๆ ไปที่สถานรับเลี้ยงเด็กนอกเวลา บางอาจจะซื้อกาแฟสักแก้วที่โรงอาหาร แล้วกลับมาคุยกันเรื่องที่เราอยากให้พวกเด็กๆ ตีความไม่ออก?”สึกาวาระแนะนำ แล้วก็ไม่มีเสียงคัดค้านจากทุกคน
“ผมต้องไปแล้ว”เคย์จิบ่นเบาๆ กับโบคุโตะที่ลุกทันทีแล้วจับมือลูกชายของเขา
“เอาล่ะ ทุกคน ฉันจะพาชายน้อยไปห้องน้ำ ก่อนจะไปหาพี่เลี้ยง แล้วจะมาใหม่!”เขาโบกมือลาด้วยท่าทางโอเวอร์ในขณะที่ลูกชายขอให้เขาหยุด
คุโร่หัวเราะเล็กน้อย แต่ก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกับอุ้มเคย์ขึ้นมาด้วย เด็กหนุ่มผมบลอนด์ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจเบาๆ แต่ก็กอดพ่อของเขาแน่น แถมด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย
“เอาล่ะชายน้อยของพ่อ...”
“ผมตัวไม่เล็ก”
“โอเคๆ หนุ่มใหญ่ของฉันหิวแล้ว เพราะฉะนั้นฉันจะพาเขาไปที่ยิมแล้วให้ขนมเขา แล้วจะกลับมาเหมือนกัน”คุโร่ขอตัวออกไป มือคว้ากระเป๋าจากพื้นแล้วก้าวออกจากประตูไป ส่วนเคย์ก็ยังคงแอบเล่นหุ่นไดโนเสาร์ของเขาเงียบๆ
ในห้องเหลือเพียงสึกาวาระกับโออิคาวะและซาวามูระ และนักศึกษาหนุ่มก็กำลังอ่านทบทวนบันทึกที่เขาจด โออิคาวะเลยคิดที่จะไม่รบกวน
“สำหรับเมื่อครู่ ขอบคุณนะ”หนุ่มผมน้ำตาลบอกซาวามูระที่กำลังพยายามจับตัวโนยะให้นิ่งเพื่อจะให้เขาดื่มน้ำ
“ไม่เป็นไร”ซาวามูระยิ้มให้อีกฝ่าย “นายดูเหมือนนายต้องการความช่วยเหลือ แล้วโนยะก็บอกว่าฉันค่อนข้างเก่งในการอุ้มเขา ฉันก็เลยลองดูเท่านั้นเอง”
“ตอนที่พ่ออุ้มผม มันเหมือนผมกำลังบินเหมือนเครื่องบินเลย”โนยะแทรกเข้ามา ยังคงสดชื่อสดใสเหมือนเดิมทำให้โออิคาวะหัวเราะเบาๆ
“ยังไงเธอก็กำลังวิ่งไปเร็วๆ ไปรอบๆ ห้องเหมือนกับรถแข่งอยู่แล้ว ต่อไปเธอจะเป็นเรือรึเปล่าล่ะ?”เขาเอ่ยแซวเด็กชายเล่น ในใจก็รู้ดีว่าปีกประมาณหนึ่งปี ฮินาตะคงจะเป็นเหมือนเด็กน้อยตรงหน้า และการเตรียมตัวก็เป็นกุญแจสำคัญ
“ไม่เอา”โนยะกอดอก จ้องเขม็งมาที่เขา “ถ้าผมเป็นเรือ มันหมายความว่าผมจะต้องไปที่อย่างถ้ำฉลาม ผมไม่ชอบถ้ำฉลาม”
“อาบน้ำน่ะ”ซาวามูระขยายความพลางหัวเราะ “เขาไม่ชอบอาบน้ำ แต่เขาก็ชอบเล่นซนจนเปื้อนเสมอ เขาเลยต้องอาบน้ำบ่อยๆ”
“ผมไม่สกปรกซะหน่อย!”โนยะประท้วง วิ่งวนรอบซาวามูระเมื่อเขายืนขึ้น “ผมไม่สกปรกนะ!”
“ลูกกลิ้งเล่นบนพื้นแล้วลูกก็เปื้อนฝุ่นไปหมด ยู สำหรับพ่อแล้ว นั่นดูสกปรกมากเลยนะ”พ่อของเขายิ้ม มีความสุขกับคำค้านครึ่งๆ กลางๆ ของลูกชาย โออิคาวะเองก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วอุ้มฮินาตะขึ้น จ้องมองดวงตากลมโตสีน้ำตาลเล็กน้อยก่อนจะจูบหน้าผาก
ฮินาตะหัวเราะคิกคักทั้งที่อมของเล่นอยู่ในปากแล้วเอนตัวลงซบบ่าของโออิคาวะ
“นายกำลังจะไปยิมแล้วหรอ?”ซาวามูระถามทำให้เขาออกจากห้วงภวังค์
“ใช่ ก็ควรจะไปได้แล้วล่ะนะ”โออิคาวะยักไหล่ ถอนหายใจขณะที่ถอดแว่นกันแดดออก นึกออกว่าเขาคงดูไม่แย่นักถ้าหากไม่ใส่มัน อีกอย่างเวลาอยู่ข้างในตึกเขามองอะไรไม่ค่อยเห็นเวลาใส่แว่นกันแดดเท่าไหร่ เขาไม่อยากจะเสี่ยงเดินชนกำแพงซะด้วย คนอื่นๆ อาจจะมองเขาแปลกๆ ถ้าพวกเขาเห็นดวงตาแดงเถือกกับการเดินแย่ๆ พร้อมกัน
เขาคว้ากระเป๋าและเดินไปยังสถานรับเลี้ยงเด็กกับซาวามูระ ก่อนจะลงชื่อเข้าให้ฮินาตะ ทิ้งเขาไว้กับขนมก่อนจะจูบหน้าผากลาอีกหนึ่งที
++++++++++++++++
ตอนที่พวกเขากลับมาพร้อมกาแฟในมือคนละแก้ว โบคุโตะกับคุโร่กำลังดูรูปบนมือถือของคุโร่และหัวเราะกันอยู่
“นั่นคือตอนที่เขาโดนจับได้ว่าร้องเพลงให้ไดโนเสาร์ของเขาฟังอยู่”คุโร่ชี้ไปที่จอมือถือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาหาผู้มาใหม่ “ไง มาดูนี่สิ ลูกชายฉันเป็นเด็กเนิร์ดและฉันก็ถ่ายทุกอย่างไว้ด้วย”
โออิคาวะกับซาวามูระแห่กันไปด้านหลังทั้งสองคนด้วยความสงสัยแล้วก้มมองลงไปขณะที่คุโร่กดเล่นวิดีโอในมือถือ
มือเริ่มต้นด้วยเสียงหายใจเบาๆ ของคุโร่ระหว่างที่เขากำลังเดินเข้าไปหาเคย์ที่นั่งเล่นอยู่ที่ห้องนั่งเล่น เห็นได้ชัดว่าลูกชายของเขาไม่ทันสังเกตเห็นเขา ไม่ช้าก็มีเสียงร้องเพลงเด็กๆ ดังขึ้นเรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากคุโร่ทั้งในวิดีโอและในชีวิตจริง โออิคาวะต้องยอมรับว่ามันน่ารักมากที่ได้ยินเด็กน้อยผมบลอนด์ขี้หงุดหงิดมาร้องเพลงแบบนี้ ถึงเพียงมันจะใช่เพลงน่ารักอย่างพวกเซซามี่ สตรีท หรือโดร่าหรืออะไรน่ารักๆ ก็ตาม
เมื่อวิดีโอซูมเข้าไปหาเคย์ ทุกคนก็อมยิ้มเมื่อเห็นเขาอุ้มหุ่นไดโนเสาร์ของเขาและโยกพวกมันไปมาเหมือนกำลังกล่อมพวกมันอยู่ แก้มยุ้ยๆ ของเขาเป็นสีแดงระเรื่อจากการพยายามหายใจขณะที่ร้องเพลง ไม่นานนักคุโร่ในวิดีโอก็ทนไม่ไหว
“เฮ้ หนุ่มน้อย ทำอะไรอยู่น่ะ?”เสียงคุโร่ดังถามนอกจอ พวกเขาทั้งสองคนหลุดหัวเราะเมื่อเห็นเคย์สะดุ้ง ปล่อยไดโนเสาร์ในมือร่วงลงพื้น
“พ่อไปไกลๆ เลย!”เขาร้อง ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าแดงเถือก
“ไม่ ไม่ พ่อหมายถึงว่านั่นมันเท่มาก”คุโร่ดึงดันพลางขยับเข้าใกล้ “ลูกร้องดีมาก เป็นไงมาไงลูกถึงไม่เคยร้องให้พ่อฟังล่ะ?”
“พ่อเป็นผู้ใหญ่แล้ว พ่อไม่ต้องฟังเพลงกล่อมเด็กซะหน่อย”เคย์งึมงำเหมือนกับมันเป็นหลักการทั่วไป และดูจะกลับเป็นปกติขณะที่คุโร่นั่งลงข้างๆ กล้องยังคงจับไปที่หน้าของเด็กน้อย
“งั้นแสดงว่าไดโนเสาร์ของลูกไม่ใช่ผู้ใหญ่?”
“ไม่ใช่ พวกมันเป็นทารก”
“เหมือนลูกน่ะหรอ?”
“ผมไม่ใช่เด็กทารก ผมอายุสามขวบแล้ว”
“แล้วไดโนเสาร์ของลูกอายุเท่าไหร่?”
“อืม....”เคย์เอานิ้วชี้ทาบปากแล้วเงยหน้าขึ้นมองกล้องเหมือนมันเป็นปัญหาเชาว์ คุโร่เลยถามอีกครั้ง
“ไดโนเสาร์ของลูกอายุเท่าไหร่หรอ เคย์? เกือบเท่าลูก?”
“ไม่ พวกมันเป็น ทารกไดโนเสาร์ ประมาณสองขวบ”เด็กน้อยผมบลอนด์ตัดสินใจ ส่งเสียงร้องออกมาตอนที่พ่อของเขายีหัวพร้อมกันปัดแว่นอันใหญ่ของเขาเบี้ยว มันเป็นอะไรที่น่าเอ็นดูมาก โดยเฉพาะตอนที่เขาส่งเสียงคำรามในลำคอด้วยความไม่พอใจขณะที่จัดแว่นให้เข้าที่ แล้ววิดีโอก็หยุดลงที่เสียงหัวเราะด้วยความเอ็นดูของคุโร่
“ลูกชายตัวน้อยของฉัน”คุโร่ถอนหายใจเมื่อวิดีโอจบลง ก่อนจะเอาโทรศัพท์เก็บลงกระเป๋า
“จริงๆ นะ”โบคุโตะถอนหายใจบ้าง “อาคาชิเองก็เงียบเหมือนกับเคย์ แต่เขาไม่เคยมีแอบไปเล่นสนุกเหมือนกับเคย์ เขาเอาแต่พึมพำเบาๆ แล้วก็พูดกับตัวเองขณะที่เล่น”
“นั่นอาจจะเป็นนิสัยของเขาก็ได้”ซาวามูระเสนอ “ในทางตรงกันข้าม โนยะอยู่เฉยไม่ได้เลย มันเหมือนปาฏิหาริย์ถ้าฉันหาเขาเข้านอนตอนกลางคืนแล้วไม่ได้ยินเสียงเขาเล่นสมมตินู่นนี่เสียงดังจนกว่าจะผล็อยหลับ
“ฮินาตะเอาแต่น้ำลายยืด”โออิคาวะเล่าบ้าง รู้สึกมีอารมณ์สร้างสรรค์เรื่องราวกับเขาบ้าง “อ่า... แต่เขาก็เล่นซนได้เวลาที่เขาอยาก แต่ส่วนมากแล้วเขาก็ทำตัวน่ารักล่ะนะ ฉันรู้สึกเหมือนเขากำลังตามหาตัวตนของตัวเองจนไม่ได้สนใจสิ่งรอบตัว”
“ก็คงวัยของเขาแหละ”โบคุโตะบอก “เขาสองขวบใช่มั้ยล่ะ?”
“ใช่”โออิคาวะพยักหน้า ยกสองมือขึ้นกอดอก “แต่ก็ไม่รู้สิ ฉันลองหาดูข้อมูลดู แล้วฉันก็รู้สึกว่าเขาควรจะเลยวัยนั้นมาแล้ว”
“น่า เด็กแต่ละคนมีระยะเวลาการเติบโตเป็นของตัวเอง”คุโร่ยักไหล่ “ถ้าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ก็ปล่อยเขาไปอีกสักพักเถอะ”
“ใช่ อย่างยูเองกว่าจะเลิดฉี่รดที่นอนก็ช้ามากแล้วเหมือนกัน ตอนนี้เขาก็ทำมันได้ดี เพราะงั้นอย่าคิดมากเลย”ซาวามูระลูบหลังเขาเบาๆ ก่อนที่พวกเขาจะแยกย้ายกันกลับไปนั่งตามที่ของตัวเอง
“เราเริ่มได้แล้วสินะ?”สึกาวาระถามเมื่อทุกคนนั่งลงแล้วจิบกาแฟที่ทุกคนต้องการกันเรียบร้อยแล้ว ทุกคนพยักหน้าแทนคำตอบ “ถ้าอย่างนั้น เรามาเริ่มกันเลย เพื่อมอบการสนับสนุนที่เหมาะสมระหว่างครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว มันสำคัญมากที่จะรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่หายไปจากภาพรวม เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะละเอียดขนาดไหน ฉันอยากให้ทุกคนผลัดกันเล่าถึงสาเหตุว่าทำไมทุกคนถึงเป็นคุณพ่อยังโสด” สึกาวาระมองทุกคนด้วยความเฉียบขาด “ได้โปรดอย่ารู้สึกกดดัน การพูดถึงมันจะช่วยได้จริง แต่ถ้ายังไม่พร้อมสำหรับเรื่องเครียดๆ แค่บอกว่านายอยากจะผ่าน แล้วเราจะข้ามนายไป”
ความเงียบเข้าปกคลุม ดวงตามองซ้ายทีขวาที พยายามมองหาว่าใครอยากเป็นคนแรกที่เริ่มเล่าประเด็นเครียดนี้ ทุกอย่างทำให้โออิคาวะนึกถึงความอึดอัดในวันแรก
แต่น่าขอบคุณที่’อะไรบางอย่าง’ของเขาตื่นมากับเขาด้วย และมันก็ค่อนข้างจะใช้งานได้ดีตลอดวันที่ผ่านมาของเขา
“ฉันเริ่มก่อนก็แล้วกัน”เขาเสนอตัวด้วยความร่าเริง พยายามเพิกเฉยว่าความจริงแล้วเขาเหนื่อยล้าแค่ไหน “จริงๆ แล้วของฉันมันเรียบง่ายมาก ฉันเป็นเกย์"
++++++++++++++++
*Look at what the cat dragged in หรือในต้นเรื่องที่ผมแปลว่า “ดูสิ่งที่เจ้าแมวพามาด้วยสิ” นั้นเป็นวลีที่แปลว่า “ดูสิว่าใครมา” แต่ที่ผมแปลตรงตัวก็เพื่อให้เข้ากับโนยะที่ยังเด็กและไม่เข้าในวลีนั้นครับ เพราะฉะนั้นในความเป็นจริงคือโบคุโตะต้องการจะพูดแซวโออิคาวะครับ ประมาณว่า “ดูสินั่นใคร” ครับผม
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ