Stop หยุดหัวใจนายเย็นชา
9.6
เขียนโดย NannyCandy
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.18 น.
43 chapter
860 วิจารณ์
67.52K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 19.34 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
33) - I Know You Do - ( ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนทำ )
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ- I Know You Do -
( ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนทำ )
[ บันทึกพิเศษ : โทโมะ ]
เช้าของวันที่ 13 กุมภาพันธ์
: ก่อนวันเกิดโทโมะ 1 วัน :
“เอ วันพรุ่งนี้วันเกิดเด็กคนไหนน้า ^O^//”
แม่ของผมเอ่ยขึ้นมาทันทีที่เห็นผมกำลังเดินลงบันไดจากห้องนอนมายังชั้นล่างใน เช้าของวันอาคารที่ 13 กุมภาพันธ์ และการที่แม่พูดแบบนั้นเป็นเพราะว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญวันหนึ่งใน ชวิตผมก็คือวันเกิดอายุครบ 18 ของผมนั่นเอง ^^
ส่วนวันเกิดของแก้วก็ยังคงอีกนานเพราะว่าตั้งเดือนธันวาโน่นแน่ะ
แต่ก็ดีแล้วที่ผมก็ยังได้รู้ว่ายัยนั่นเด็กกว่า ^O^// และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นได้เปรียบกว่าแก้วก็คือแลดูมีอำนาจมากกว่ายังไงล่ะ 5555+ ( ร้ายกาจจจจ )
“ปกติเห็นไปโรงเรียนสายไม่ใช่เหรอลูกแล้วทำไมวันนี้แลดูตื่นเช้าจังเลย”แม่ผมถามแล้วมองดูผมที่ตอนนี้แต่งตัวในชุดนักเรียนที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยสักเท่าไหร่
ถึงผมจะแต่งตัวแบบนี้ทุกวันแต่แม่ผมก็ยังทำสีหน้าไม่ค่อยจะชินอยู่ดีนั่นแหละน่า = =;;;
แต่ ถึงแม้ว่ากลุ่มของพวกผมจะโดนพวกอาจารย์บางท่านที่รักระเบียบจนเกินป๊ายยยยย มองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะพอใจอยู่หลายครั้ง พวกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกเอาตรงๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคารพนะครับเพราะทุกครั้งพวกผมเจออาจารย์ก็ไหว้สวัสดี ตามปกติถึงเขาจะสอนหรือไม่ได้สอนเราก็ตามเพราะนั่นถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง ของการเป็นนักเรียน
ถึงแม้ว่าในสายของอาจารย์พวกผมอาจจะถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ไม่น่าเข้า ใกล้เพราะลักษณะออกท่าทางสร้างอิทธิพลจนดูน่ากลัวเลยทำให้กลุ่มของพวกผมนั้น ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษเวลาที่มีนักเรียนโรงเรียนของเราไปมีเรื่องกับนักเรียน โรงเรียนอื่น
ถ้าถามว่าทำไมไม่คิดที่จะแต่งตัวให้สุภาพเรียบร้อยบ้างหรือไง? อันนั้นก็เพียงแต่ว่า...ยังไงดีอ่ะ เอิ่ม คงเป็นเพราะพวกผมเป็นพวกที่รักอิสระไม่ชอบความจู้จี้จุกจิกแล้วไม่ชอบอยู่ในกรอบล่ะมั้ง? เลยไม่ชอบทำตามใคร
“อะไรอ่ะแม่ = =?”
เพราะปกติผมก็ไม่ค่อยแต่งชุดนักเรียนแบบเรียบร้อยเท่าไหร่อยู่แล้วถ้า ที่โรงเรียนมันไม่มีวันสำคัญจริงๆ และตอนนี้ผมก็ยังเอาเสื้อสูทขึ้นมาพาดไว้บนบ่าอีกต่างหากพอแม่เห็นอย่างนั้น ก็ถึงกับเอ่ยคำพูดนึงขึ้นมาซึ่งมันทำให้ผมถึงกับชะงักไปเลยทีเดียวเชียวแหละ = =;;;
“แต่งตัวเหมือนพ่อลูกสมัยเรียนไม่ผิดเล้ยยยย”
ฮะ? ผมเนี่ยนะเหมือนพ่อสมัยเรียน?
“พ่อได้ยินนะแม่” พ่อผมที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงหัวโต๊ะทานข้าวใครห้องครัวเอ่ยขึ้นมาจนแม่ผมต้องหันไปมองแล้วพูดกับพ่อ
“ได้ยินแล้วไงก็ฉันพูดเรื่องจริง คุณกับลูกนี่ก็เหมือนกันอย่างกับแกะจริงๆเลยนะสมัยเรียนเนี่ย ”
“เหมือนที่ไหนเล่า >^<!” พ่อผมเถียง
“ไม่ต้องเถียงเลย”
“ผมเหมือนจริงเหรอแม่” ผมถามแม่ยิ้มๆเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่เพราะว่าเท่าที่มองแล้วพ่อของผมนั้นเขาดูเป็นคนที่รักความสงบเรียบร้อยสุภาพ? ถึงได้ประกอบอาชีพเป็นอาจารย์ไง
และถ้าให้ผมนึกถึงตอนที่พ่ออายุเท่าผมอย่างที่แม่ว่าผมคง...จะนึกไม่ออกล่ะ ครับว่าตอนนั้นพ่อผมจะมีนิสัยเป็นยังไงกันแน่ = =;;;
“จริง ก็ตอนที่พ่อเขาคบกับแม่พ่อเขาเอารูปตอนที่เขาเรียนให้แม่ดู ตอนนั้นพ่อเขาเหมือนกับลูกในตอนนี้เป๊ะเลยนะโทโมะ เสียดาย ตอนนี้พ่อลูกอ้วนไปหน่อย”
“ว่าใครอ้วนฮะมาซากิ เดี๋ยวเธอจะโดนมิใช่น้อยนะ” พ่อผมเอ่ยขึ้นมาอย่างทันควันหลังจากที่แม่พูดจบเหมือนกับรับไม่ได้ที่โดนบอกว่า ‘อ้วน ’
“คิก...”และนั่นก็ทำให้ผมถึงกับหัวเราะออกมาที่นานๆทีจะได้เห็นพ่อกับแม่แหย่ๆเล่นกันอะไรแบบนี้น่ะ
ไม่ใช่พ่อกับแม่ไม่เคยแหย่อะไรแบบบนี้กันหรอกครับ ก็คงเป็นเพราะผมเองตอนนั้นผมแทบจะไม่ค่อยได้คุยอะไรกับพวกเขาเลย แต่นั่นไม่ใช่การแสดงความห่างเหินนะ ก็คงเป็นเพราะตอนนั้นผมโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง มีเวลาว่างก็จะชอบออกไปเล่นกีฬากับเพื่อนๆที่สวนๆเป็นประจำ
พอเรามาโตขึ้นๆเราก็จะเริ่มรู้จักการแบ่งเวลาที่จะใช้มันอยู่กับครอบครัว แล้วก็คนที่รัก จนผมเข้าใจแล้วว่าควรจะทำยังไงใช้ชีวิตผมได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวกับ เพื่อน เพราะว่าผมเริ่มโตขึ้นแล้วความคิดเลยอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่พัฒนาขึ้น ล่ะมั้งครับ ^^
“ต่อหน้าลูกนะ อย่าได้คิดๆ”
“ทำมาพูด เออโทโมะ! แล้วพรุ่งนี้วันเกิดลูกแล้วลูกอยากให้พ่อจัดวันเกิดมั้ย?”
พ่อ ผมถามขึ้นมาในตอนนั้นจนทำให้ผมดันนึกขึ้นได้เลยว่ายังไม่ได้คิดเรื่องจัดวัน เกิดเลยเพราะบางครั้งก็จัดสังสรรค์ที่บ้านแล้วพวกเพื่อนกลุ่มเคโอติคก็มากัน แต่ปีนี้ไม่รู้สิว่าผมจะจัดมั้ย แต่ถ้าจัดก็ดีนะลุงวิชัยพิชชี่แล้วก็แก้วจะได้มากินข้าวที่บ้านผม ไง ^^
“อืมมม จัดก็ดีนะพ่อ จะได้ชวนลุงวิชัยมากินด้วยกัน”ผม บอกพ่อก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายพร้อมกับสะเก็ตบอร์ดที่ไม่ได้ เล่นมานานกะว่าวันนี้จะเอาไปเล่นกับไอ้พวกนั้นที่โรงเรียนซะหน่อย
“อ้าวแล้วนี่จะไม่กินอะไรก่อนเหรอลูก OoO?” แม่ผมถามเมื่อเห็นว่าผมสะพายกระเป๋าเป้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ฮะงั้นไปแล้วนะแม่ พ่อ! ผมไปแล้วนะ” ผม หันไปไหว้พ่อกับแม่ก่อนที่จะเดินเปิดประตูบ้านออกไปแต่พอเดินออกไปจนเดินจะ ถึงประตูรั้วแล้วเสียงพ่อที่ดังมาจากข้างหลังก็เอ่ยเรียกผมไว้เสียก่อน
“โทโมะ!”
“ฮะ?” เมื่อผมหันไปมองก็เห็นว่าพ่อเดินออกจากบ้านมาแล้วกำลังเดินตรงมาที่ผมยิ้มๆ
อะไรอีกอ่ะ =[]=;;;
“เมื่อคืนตอนพ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านแก้วมาดูลูกรึปล่าว?”
จึก!
เอิ่มมมมม อะไรดลใจให้พ่อถามผมแบบนี้เนี่ยยยย ><///////
เพราะ ยิ่งพ่อถามมันยิ่งตอกย้ำภาพที่ผมจูบแก้วได้ชัดเจนเลยอ่ะ แล้วบอกเลยว่าเมื่อคืนนี้ผมนอนไม่หลับเลยจริงๆเพราะเหตุการณ์นั้นมันฟินเกิน ยิ่งนึกถึงตอนที่ผมอยู่กับแก้วนี่ผมก็ยิ่งนอนยิ้มคนเดียวแล้วก็นอนพลิกตัว ไปพลิกตัวมาจนตัวเองตกเตียงเลยอ่ะเอาจริงๆ 555555+
“ก็...มาครับ” ผมตอบแต่ก็พยายามเลี่ยงจากพ่อสายตาไปทางอื่นเพราะกลัวพ่อรู้ว่าผมอาจจะทำอะไรแก้ว
รู้เลยแหละ! ว่าถ้าพ่อรู้ว่าผมกับแก้วจูบกันพ่อจะต้องแซวผมทางอ้อมบ่อยๆแน่ๆ
เพราะพ่อคนนี้ยิ่งร้ายเงียบอยู่ด้วยสิ ^^
“แหม๋ๆๆ ทำมาเขินนะ ^^”
“เขินอะไรพ่อ ก็เขามาที่บ้านมาทำข้าวให้ผมเฉยๆ”
“ไปขอให้เขาทำให้น่ะสิไม่ว่า แกเนี่ยหัวร้ายไม่ธรรมดาทำไมพ่อจะไม่รู้”พ่อผมพูดลากเสียงเอามือยกขึ้นกอดอกจนผมต้องเบ้ปากใส่
“หัวร้ายเหมือนพ่อน่ะเหรอครับ ^^”
“ไอ้โมะ = =!”
“ฮ่าๆๆๆ หยอกเล่นน่ะพ่อ เอ่อ...แล้วพ่อจะถามอะไรผมงั้นเหรอ O_O?” ผมถาม
“ปล่าว ก็แค่เดี๋ยวนี้เห็นลูกแลดูสดใสขึ้นนะ”พ่อผมพูดยิ้มๆ
“...”
“เฮ้อ...โทโมะ..ลูกจะ 18 แล้วนะเนี่ย เวลามันผ่านไปเร็วจริงๆเลย” พ่อผมเดินมาหาใกล้ๆก่อนจะเอามือมาเตะบ่าผมไว้ข้างหนึ่งเหมือนกับว่าพ่อเขากำลังรู้สึกอะไรบางอย่างอยู่ข้างในภายในใจลึกๆ
“ทำไมเหรอฮะ”
“ปล่าวหรอกพ่อแค่...”พ่อผมหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วถอนหายใจออกมา “พ่อแค่คิดว่าเมื่อวานลูกยังเป็นเด็กตัวเล็กๆอยู่เลย พอมาวันนี้ลูกก็โตขึ้นจนลูกเหมือนพ่อมากในตอนนั้น...”
“อ๋อ ที่แม่บอกน่ะเหรอครับ”
“ใช่ ลูกเหมือนพ่อมากเลยนะโทโมะ แต่ติดตรงที่ว่าพ่อมาเจอแม่ในตอนที่พ่อทำงานเป็นครูฝึกสอนอยู่ ส่วนลูกมาเจอผู้หญิงที่ลูกชอบในตอนที่ยังอายุเพียงแค่ 18 คิดๆไปแล้วนะ พ่อก็อยากจะเจอแม่ของลูกให้เร็วกว่านี้จริงๆ”
“ทำไมอ่ะพ่อ”
“ก็...พ่อก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าพ่อเจอแม่ในช่วงนั้นพ่อจะมีอาการตกหลุมรักเหมือนกับลูกรึปล่าว”
“พ่อ คงไม่เหมือนผมหรอกครับ...เพราะผมเชื่อว่าถ้าพ่อเป็นผม พ่อคงจะบอกชอบคนที่พ่อรู้ชอบว่าเขาเป็นคนพิเศษไปตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ส่วนผมน่ะ...กว่าจะรู้ตัวว่าชอบผู้หญิงที่อยู่ข้างบ้านก็เกือบจะเสียอะไร หลายๆอย่างในใจไปเหมือนกัน”
ผม พูดออกไปตามความรู้สึกของผมเอง และคำพูดนั้นมันจะคอยย้ำเตือนผมตลอดเวลา นี่ถ้าผมไม่แกล้งพูดเพื่อขอคำแนะนำแม่ เชื่อสิว่าตอนนี้ผมคงเป็นไอ้หน้าโง่ที่เสียผู้หญิงดีๆอย่างแก้วไป แน่ๆ และตอนนั้นปมร้าวของผมที่คลอรีนเคยฝากไว้มันก็เจ็บจนยากจะถอน
นั่นน่ะ...คือความคิดที่โง่มาก!
เพราะ ผมมัวแต่ฝังใจอยู่กับอดีตที่มันผ่านไปแล้ว และก็พยายามปิดกั้นตัวเองจากแก้วสนมาโดยตลอดจนมาเริ่มรู้ตัวเนี่ย แหละ ผมถึงได้คิดแล้วว่าผมคงจะชอบผู้หญิงคนอื่นไม่ได้อีกนอกจากแก้วคนนี้ และในใจของผมก็ไม่เคยคิดจะมองใครอีกเลยด้วยหากว่าผมได้มอบหัวใจของตัวเองให้ ใครสักคนไปแล้ว
แต่ผมขอสาบานว่าแก้วไม่ใช่ผู้หญิงที่มาแทนที่คลอรีนในหัวใจผม สำหรับผมแล้วคลอรีนคือเพื่อนที่ดีคนหนึ่งซึ่งผมเคยแอบชอบเธอเพราะเธอเป็นคน ดี แต่นั่นมันไม่ใช่ตัวตนของผมที่จะมอบหัวของตัวเองให้เธออย่างสุดใจเหมือนแก้ว เพราะว่าคนที่รักกันจริงๆน่ะ มันต้องเห็นทั้งด้านดีด้านเสียของอีกฝ่าย
แต่ถึงเขาคนนั้นจะมีข้อเสียบ้างแต่ถ้าความรู้สึกของเราคืออยากจะอยู่กับเขา นั่นก็คือ...เรารักเขา และถ้าเขาอยากอยู่กับเรา...นั่นก็คือเขารักเรา... แบบนี้แหละที่เรียกว่า ‘ความรัก’จริงๆ
“คิดอย่างนี้ได้ก็ดีแล้ว...”เมื่อพ่อผมบอกแบบนั้นทั้งผมแล้วพ่อก็ยิ้มบางๆให้กัน “แล้วนี่...ขอเขาคบรึยังล่ะเนี่ย”
“...ยังเลยครับ”ผมตอบก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เอ๋า? ชอบเขาแล้วไม่ขอคบเขาเลยล่ะ”
“มันยังไม่ถึงโอกาสที่ผมอยากขอน่ะครับ”
เมื่อผมตอบพ่อไปแบบนั้นพ่อก็ทำปาก ‘อ๋อ’แล้วยิ้มๆเหมือนว่าผมมันร้ายกาจที่จะขอคบต้นสนในวันสำคัญของตัวเอง ถึงไม่ต้องบอกไปพ่อผมก็รู้ว่าผมจะเอาโอกาสไหนขอเธอ
ก็...ตลอดชีวิตที่เกิดมา ผมไม่เคยได้ให้ของขวัญวันเกิดกับตัวเองเลย และปีนี้แหละครับ! ที่ผมได้ปฏิญาณไว้เลยว่าผมจะให้‘ของขวัญ’กับตัวเองเป็นชิ้นแรก! และเป็นของขวัญชิ้นที่สำคัญที่สุดในชีวิต...
ที่ผมจะไม่ยอมปล่อยของขวัญชิ้นนี้ไปเด็ดขาด ^O^//
[ จบบันทึกพิเศษ : โทโมะ ]
โรงเรียน
“แหม๋ๆๆๆๆ วันนี้เพิ่งวันที่ 13 กุมภานะย๊ะหล่อนจะแต่งตัวสวยกันไปไหนเนี่ย ><!”
“เชิญแกกลับห้องแกไปเลยไปอีแป๊ะยิ้ม! ><! ”
เสียงของเพื่อนผู้หญิงเมื่อกี้ที่เพิ่งถูกสาวประเภทสองใส่ที่คาดผมมิกกี้เม้าส์สีชมพูไว้บนหัวและอยู่ในชุดนักเรียนชายที่มีนามว่า‘แป๊ะยิ้ม’ที่ คาดว่าจะอยู่ห้องเดียวกับโทโมะแล้วรู้จักกับเพื่อนผู้หญิงห้องฉันล่ะมั้งเลย เดินมาแซวในขณะที่ตอนนี้พวกเพื่อนๆในห้อง ม.5/2 ต่างก็ออกมาช่วยกันนั่งตัดกระดาษจัดบอร์ดวันวาเลนไทน์กันที่หน้าห้อง
พรุ่งนี้ก็วาเลนไทน์แล้วสินะแถมยังเป็นวันเกิดโทโมะอีกด้วยเนี่ยสิฉันเองก็ยัง ไม่รู้เลยว่าจะทำของขวัญอะไรให้เขาดี และถ้าจะทำจะทำทันมั้ยนะ? =[]=!!!
“แก้วหยิบกระดาษสีฟ้าให้หน่อย”ฟาง ที่กำลังนั่งจดจ่ออยู่กับการพับกระดาษเป็นรูปหัวใจในมือหันมาบอกขอให้ฉัน หยิบกระดาษให้ แล้วฉันก็เพิ่งสังเกตในตอนนั้นว่าฟางนี่ท่านั่งแมนมากเหอะ =[]=;;;
ก็ตามประสาสาวห้าวแหละนะ ยิ่งพออยู่ในชุดพละแบบนี้แล้วนี่ฟางก็ยิ่งดูเหมือนสาวทอมเข้าไปใหญ่เลย เฮ้อ เพื่อนฉัน จะแมนไปไหน = =??
“อ๊ากกก แกฉันอยากจะบ้าต๊าย”
“อะไรของแกเนี่ย >O<!!”
“ก็ไม่เห็นรึไงว่าพวกกลุ่มเขาเคโอติคออกมานั่งหน้าระเบียงแถมยังมองมาทางห้องเราด้วยอ่ะ โง้ยยยยยย เขิลลลอ่า ><////” เพื่อนในห้องที่นั่งอยู่ใกล้ฉันเอ่ย
แต่ฉันก็ทำเป็นไม่ได้ยินไปซะอย่างงั้นแหละ เพราะรู้เลยว่าประเด็นต่อมาที่พวกนั้นจะพูดคืออะไร
“ก็แฟนโทโมะเขานั่งหัวโด่อยู่นี่แกจะให้เขามองไปทางไหนล่ะยัยมิ้งค์ ><!”
นั่นไง! ฉันเดาผิดซะที่ไหนล่ะ
อืม มมมม แต่ฉันกับโทโมะเราสองคนยังไม่ได้เป็นแฟนอะไรกันเลยนะ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าคนทั้งโรงเรียนเขาคงจะพากันเข้าใจไปในทางนั้นเสียแล้วล่ะ ให้ทำไงได้ล่ะ ก็โทโมะดันไปพูดไว้ซะอย่างงั้นนี่นา = =;;;;
“แหม่ ถ้าพวกเคโอติคจะมองมาตรงนี้เป็นระยะๆนี่ฉันอยากจะบ้าตายพับกระดาษไม่มีสมาธิเล้ย ><!” ฟาง มากระซิบบอกจนฉันหลุดขำออกมาหน่อยๆเมื่อใช้สายตามองไปยังข้างหลังฟางก็เห็น ได้ว่าพวกเคโอติคกำลังนั่งคุยๆอะไรกันไม่รู้แล้วก็มองมาทางนี้เป็นระยะอย่าง ที่ฟางบอกจริงๆด้วยแหละ
และฉันก็เห็นว่าโทโมะที่กำลังคุยอยู่กับจองเบดันมองมาเจอฉันที่กำลัง มองอยู่พอดีก่อนที่เขาจะส่งยิ้มหวานมาให้จนจองเบหันมามองฉันก่อนจะหันไปมองโทโมะ แล้วส่ายหัวจากนั้นโทโมะก็ละสายตาจากฉันไปมองจองเบก่อนที่เขาจะใช้มือของตัวเองตีหัวจองเบเบาๆเหมือนๆหยอกเล่นกันจนฉันอดที่จะยิ้มออกมาหน่อยๆไม่ได้
ตอนนั้นเองที่สายตาของฉันดันมองไปเห็นว่าป๊อปปี้กำลังมองมาทางนี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเจาะจงมองมาที่ฟางพิเศษเลยนะ เอ๊ะยังไง?
“เอ่อ...เอาน่าปล่อยพวกเขาเหอะ ป๊อปปี้ไม่มากวนแกก็ดีเท่าไหร่แล้ว”สุดท้ายฉันก็กระซิบบอกฟางกลับไปก่อนจะยิ้มแล้วหันไปตัดกระดาษต่อ แล้วก็ส่งๆให้เพื่อนที่นั่งข้างๆเอาไปรวบรวมจะได้เอาไปแปะบอร์ด
“ฟาง!”
ขวับ
“ฮะ?”ฟางที่กำลังนั่งพับกระดาษรูปหัวใจอยู่นั้นจำต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงเรียกจากใครคนหนึ่งซึ่งก็คือเพื่อนผู้ชายในห้องนั่นเอง “อะไรวะบอส”
ฟาง ถามขณะที่บอสเพื่อนผู้ชายที่เป็นคนเรียกนั้นยังคงยืนอยู่ตรงราวบันไดแต่ก็ ไม่ได้เดินมาหาฟางแถมยังกวักมือเรียกให้ฟางเดินไปหาอีกเสียด้วยสิ
“มานี่หน่อยดิ” บอสกวักมือเรียกฟางอีกครั้งเมื่อเห็นว่าฟางเอาแต่มองเขาอย่างสงสัย
และในตอนนั้นเองที่ทำให้เพื่อนๆในห้องก็เริ่มหันมาสนใจกันแล้วว่าฟาง กับบอสมีอะไรกันรึปล่าวนะ? แถมฉันยังเห็นกลุ่มเคโอติคโดนเฉพาะป๊อปปี้ที่ยังคงมองฟางอยู่ด้วยเหมือนกับว่ากำลังคิดว่าฟางจะลุกขึ้นไปหาบอสหรือไม่
“อะไรของมันวะ = =;;;” สุดท้ายแล้วฟางนั่งลังเลใจอยู่สักพักก็ลุกขึ้นพลางส่ายหัวนิดๆอย่างเซ็งๆแล้วเดินไปหาบอสที่ยืนรอดูที่เดิมท่ามกลางวายตาของเพื่อนๆ
แล้วฉันก็เพิ่งสังเกตเห็นในตอนนั้นนั่นเองว่าในมือของบอสนั้นมีดอกกุหลาบ อยู่ 1 ดอก ที่ห้อยกระดาษจดหมายเล็กๆถือไว้ในมือเสียด้วยสิ น่ะ...นี่อย่าบอกนะว่าบอสจะเอาดอกกุหลาบที่อยุ่ในมือของเขานั้นให้ฟาง อ่ะ O_O???
“อะไรอ่ะบอส!?” เสียงของเพื่อนๆจอมอยากรู้อยากเห็นเอ่ยขึ้นมาจนบอสต้องเอ่ยบอกเหมือนไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่จนเอาไปเม้าท์มอยกันต่างๆนาๆ
ก็คงจะรู้แหละว่าเพื่อนสาวๆนั่นนิสัยส่วนใหญ่เป็นยังไง = =;;;
“มีรุ่นน้องฝากดอกกุหลาบมาให้ฟางอ่ะดิ!”บอสพูดบอกก่อนจะยื่นดอกกุหลาบดอกนั้นให้ฟาง
แต่ฟางเนี่ยสิที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงจนฉันยังสังเกตเห็นได้ชัดเลย
คงจะเขินล่ะมั้งที่มีหนุ่มฝากดอกไม้มาให้นะ ^^
ตอน นั้นนั่นเองที่เสียงฮือฮาของเพื่อนๆในห้องก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อฟางรับ ดอกกุหลาบนั้นจากบอส บอสก็เดินกลับลงไปข้างล่างเหมือนจะไปนั่งสุมหัวคุยกับเพื่อนต่อล่ะมั้ง ฟางที่เห็นอย่างนั้นก็หันเดินกลับมาที่เดิมท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆในห้อง แล้วก็กลุ่มเคโอติคกับเพื่อนๆในห้องเขาที่นั่งทำบอร์ดอยู่ข้างนอกกำลังมองมา ทางนี้เป็นระยะๆเช่นกัน
“ว๊ายๆๆๆ หนุ่มคนไหนใจกล้าเอาดอกไม้มาให้แกก่อนวาเลนไทน์เนี่ยยยยย” เพื่อนผู้หญิงในห้องแซวจนฟางถึงกับเอามือเกาหัวตัวเองก่อนจะนั่งลง
“หนุ่มคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแหงๆอ่ะ พวกแกว่าป่ะ”
“อั๊ยยยย่ะ! มีการ์ดด้วยอ่ะ ฟางๆอ่านดิๆ ”
“อยากรู้กันจริงๆเลยนะ = =;;;”ฟางที่ตอนนี้เริ่มปรับสีหน้าจากอาการหน้าแดงเมื่อกี้ให้ดูเป็นปกติแล้วชะโงกหน้าไปพูดกับเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆฉัน
“โหย ยยย ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งนานเพิ่งเห็นแกได้ดอกกุหลาบจากผู้ชายก็วันนี้เนี่ยแหละ เพราะปกติเห็นได้แต่ของผู้หญิงเพราะพวกน้องๆเขาคงคิดว่าแกเป็นทอมล่ะมั้ง ฮ่าๆๆๆ”
“โว๊ะ! อยากรู้ก็เอาไปอ่านเองเลยไปรำคาญว่ะ แซวจริงๆ ><!”
ฟาง บอกอย่างรำคาญก่อนจะยื่นเจ้าดอกกุหลาบนั่นผ่านฉันแล้วเพื่อนผู้หญิงเอาดอก กุหลาบนั่นไปก่อนจะเปิดการ์ดอ่านเสียงดังๆให้เพื่อนในห้องได้ยิน
“จะอ่านล่ะน้า มีใครรอฟังมั้ยเนี่ยยยย”
“อ่านเล้ยๆๆๆ”
“อะแฮ่ม สาม สอง หนึ่ง โอเค เริ่ม”
“...”
“ ‘พี่ฟางครับ! โสดนานมั้ยครับพี่? ในปีนี้ พี่มีใครแล้วหรือยัง ถ้าไม่มีงั้นพี่ก็จงฟัง! ว่าผมนั้นเน้นรักสมัครใจ ^^’อ๊ากกก อิจชี่ม๊ากกกก ><!!!”
“ฮิ้วววววววววว” เมื่อได้ฟังคำกล่าวในจดหมาย ( รัก )เสร็จเพื่อนๆในห้องก็พากันกรื๊ดกร๊าดตื่นเต้นกันใหญ่
แต่ฟางเนี่ยสิถึงกับชะงักไปเพราะว่าเกิดมาไม่เคยมีใครมาจีบแบบนี้มาก่อนเลยล่ะมั้งเนี่ย
“อร๊ายยยย พวกเรามีเด็กมาจีบฟางแล้วเว้ย ท่าทางจากออกตัวแรงงงงง”
“เดี๋ยวๆๆๆ มีอีกๆ ฉันยังอ่านไม่จบ! ><!”เพื่อนที่นั่งข้างๆฉันพูดขึ้นแล้วโบกมือบอกให้เพื่อนๆในห้องที่กำลังฮือฮานั้นเงียบแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อให้ตัวเองดูเด่นและเป็นจุดสนใจ
แต่นั่นมันก็ยิ่งทำให้ห้องข้างๆต่างก็หันมามองกันมากขึ้นอีกว่าไอ้ห้องนี้ มันมีอะไรกันเนี่ย ทำนองนั้น = =;;;;
“พูดดังๆเลยว่าใครเป็นคนส่งดอกไม้มาให้ยัยฟาง><!”
“เออ เอาเข้าไป” ฟางพูดเบาๆอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเอาหัวมาซบที่ไหล่ฉัน
“มี ป.ล. ใต้จดหมายด้วยอ่ะแกรรรร เขาบอกว่า‘วันนี้ผมให้แค่กุหลาบ 1 ดอกก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้วาเลนไทน์ผมจัดให้อีกดอก’ว๊ายยยยย ไม่ติดเรทชิป๊ะ???”
“อ๊ากกก พอแล้ว! เอามานี่ๆ ><!” ฟาง ที่ได้ยินคำพูดของจดหมายคำหลังไม่ไหวเลยกวักมือเรียกเพื่อนคนนั้น ยัยนั่นก็เบ้ปากให้เพราะว่าได้แซวแกล้งฟางจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นหล่อนก็ยื่นดอกกุหลาบนั่นให้ฟางก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม
“เอ่อ...ฉันว่าน้องที่เขียนคงไม่ได้ตั้งใจให้ความหายออกมาเป็นแบบนั้นหรอกมั้ง?”
“มันกล้ามากกกก เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าเขียนจดหมายแบบนี้มาให้ฉันเลยนะ แล้วไอ้หมอนี่มันใครเนี่ย?” ฟางพูดอย่างหัวเสียแล้วพลิกกระดาษจดหมายนั้นดูว่ามีชื่อคนส่งติดเอาไว้บ้างรึปล่าว
เพราะดูท่าทางแล้วบอสคงจะไม่ได้บอกมาน่ะสิว่าใครฝากมาให้แต่ให้เดานะฉันว่าคงจะเป็นรุ่นน้องเนี่ยแหละ ชัวปาบ!
“เจอมั้ยอ่ะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าฟางพลิกจดหมายไปมา
“โอ๊ะ? เดี๋ยวนะ” ฟางทำตาโตขึ้นมาก่อนจะเอามือแกสติ๊กเกอร์ตุ๊กตาหมีที่แปะอยู่ตรงจดหมายออก เท่านั้นแหละ! ก็เห็นชื่อคนที่ส่งมาทันที “B.A.M.B.A.M??”ฟางอ่านตัวอักษรภาษาอังฤษนั่นก่อนจะหันหน้ามามองฉัน
“ชื่อแบมแบมเหรอ?”
“แบมแบมไหนวะ = =?”ฟางทำท่านึกนิดๆก่อนจะหลับตาแล้วส่ายหัวไปมาแล้วพูดปัดๆเหมือนว่าให้ลืมๆมันไปซะ “ช่างเหอะ”
“ซะงั้น”
แต่ฉันก็แค่ขำในลำคอก่อนจะหันไปตัดกระดาษที่อยู่ในมือต่อ ส่วนเพื่อนๆทั้งหลายก็ยังคงมีเสียงซุบซิบถึงเรื่องของเปาอยู่ อ่า...อยากจะรู้จังว่าน้องคนที่ชื่อ ‘แบมแบม’ นั้นคือคนไหนกันนะที่เขียนจดหมายเหมือนเป็นทำนองว่าสนใจในตัวฟาง
แต่เท่าที่ฉันเดานะน้องคนนั้นคงไม่ธรรมดาแน่ๆ
อืมมมม แต่ก็น่าลุ้นดีนะที่ว่าใน ‘เร็วๆนี้’ พรมลิขิตจะบันดาลให้ฟางมี ‘แฟนเด็ก’ หรือว่า ‘ป๊อปปี้’ แต่ คนหลังนี่เดาไม่ออกเลยจริงๆว่าจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อทะเลาะด่ากันจนเหมือน กับอยากจะคว้านไส้ของอีกฝ่ายออกมากระทืบแบบนั้นน่ะ ก็...คงต้องรอดูกันต่อไปก็แล้วกันนะ >_O
พักเที่ยง
“ฟางฉันจะลงไปซื้อน้ำที่โรงอาหารอ่ะแกจะเอาอะไรมั้ย?”
ฉัน ถามฟางที่ตอนนี้ก็ยังคงช่วยๆเพื่อนๆจัดบอร์ดกันอยู่ แต่ก็มีบางส่วนพากันลงไปพักกินข้าวกันบ้างแล้ว แต่ฟางบอกว่ายังอยากจัดบอร์ดให้เสร็จก่อนส่วนกลุ่มบังทันก็พากันลงไปจากห้อง เรียนของพวกเขาได้สักพักแล้วล่ะ
“น้ำขวดนึงก็พอ วันนี้ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”
“โอเค” เมื่อ ฟางบอกอย่างนั้นฉันก็เดินลงมาจากบันไดเพื่อไปข้างล่างแล้วไปโรงอาหารแต่ทว่า จังหวะนั้นที่เดินลงมาพอดีนั่นเองฉันก็เห็นว่าพิมพ์กำลังเดินมาทางนี้
แต่เธอเดินมาคนเดียวแถมยังก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือราคาแพงระยับอยู่ในมืออีกต่างหาก
ด้วยความที่ฉันจำเป็นจะต้องเดินผ่านเธอไปฉันจึงเงียบแล้วก้มหน้าเดิน แต่หากทว่ากะอยู่แล้วว่าคนอย่างพิมพ์จะต้องพูดกัดอะไรหน่อยๆแน่ๆเลย และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
“แหม นึกว่าจะหายหัวไปแล้วซะอีก”
กึก
เท้าของฉันนั้นหยุดเดินทันทีเมื่อเดินผ่านพิมพ์มาได้ไม่กี่ก้าว ตอนนั้นฉันมีแต่ความนิ่งงันเฉยชาและไม่รู้ว่าจะพูดยังไงกับผู้หญิงคนนี้แล้ว เพราะว่าพิมพ์เป็นคนที่ไม่เป็นมิตรเอามากๆเป็นคนมองโลกแคบ หาเรื่องฉัน สั่งให้คนมาตบฉันจนฉันเจ็บทั้งกายและใจแบบนั้นมันก็ยากจะทนเหมือนกัน
แต่ฉันก็จะไม่ทำเหมือนที่เธอทำไว้กับฉันหรอก...ไม่ใช่ ‘ยอม’ แต่ฉันไม่อยากจะเอาตัวเองไม่มีเรื่องกับคนที่นิสัยแบบนี้หรอก มีเรื่องแล้วได้อะไรล่ะ? สิ่งที่ตามมาคือทำให้พ่อแม่เสียใจ แบบนั้นมันดีเหรอ?
พิมพ์น่ะเป็นคนที่ทำอะไรไม่ค่อยคิด คิดแค่ว่าซะใจก็ทำ แบบนั้นน่ะ...เป็นความคิดที่แย่มาก!
“...”
“เราจะไม่กล้าสู้หน้าเธอเรื่องอะไร”ฉัน หันไปถามพิมพ์เสียงนิ่งและใช้สายตามองเธอด้วยความว่างปล่าว พิมพ์เอาโทรศัพท์ของเธอเก็บใส่กระเป๋าเสื้อสูทก่อนจะหันมามองฉันพร้อมกับ กอดอกแล้วเหยียดยิ้มมาให้
“ก็แกกลัวฉันไม่ใช่เหรอ?”
“เราไม่ได้กลัวเธอ แต่ที่เงียบเพราะเราไม่อยากมีเรื่องกับคนบ้า”
“นี่แกว่าฉันเหรอ!” ตอนนั้นพิมพ์ถลึงตาใส่ฉันเหมือนว่าโกรธและโมโห
แต่คิดเหรอว่าฉันจะสน หึ ตอนนี้ฉันไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนหรอกนะที่จะเงียบไม่พูดอะไร พอมาถึงคราวนี้มันก็ต้องพูดบ้างแล้วล่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าคนอย่างพิมพ์นั้นมีสมองที่จะเอาคำเหล่านี้กลับไปคิด อะไรบ้างรึปล่าว
“ร้อนตัวทำไมกันเรายังไม่ได้เอ่ยชื่อเธอเลยนิ” คราวนี้ฉันยกมือขึ้นกอดอกบ้างแล้วมองพิมพ์ด้วยสายตาที่นิ่งงันตามเดิม และนั่นแหละยิ่งทำให้พิมพ์ถึงกับกำหมัดในมือแน่นทั้งสองข้าง
“ถึงแกไม่เอ่ยชื่อฉันก็รู้ว่าแกหมายถึงฉัน!”
“ก็รู้ตัวนิ”ฉันเลิกคิ้วมองพิมพ์กวนๆจนพิมพ์ถึงกับกัดฟันตัวเองดังกรอด และเธอก็ทำในสิ่งที่ฉันคิดอยู่แล้วว่าเธอทำแน่ๆ
“นี่แก๊!”
หมับ!!
ใน จังหวะที่พิมพ์จะฟาดฝ่ามือของเธอลงมาบนใบหน้าของฉันเหมือนครั้งก่อน ฉันเลยเอามือของตัวเองขึ้นมาจับเอาไว้ได้ทันเสียก่อน และแรงของพิมพ์ที่จะตบลงมากลับต้องหยุดชะงักเพราะไม่คิดล่ะมั้งว่าฉันจะสู้ บ้างไม่เอาแล้ว! ฉันจะไม่ยอมให้พิมพ์มาทำร้ายฉันอีกเด็ดขาด!
“...”
“น่ะนี่แกสู้เหรอ?” พิมพ์ถลึงตามองฉันแล้วเม้นริมฝีปากแต่เธอก็ยังมิวายกะจะตบฉันให้ได้แต่ฉันก็กำข้อมือของเธอไว้ให้แน่นขึ้นกว่าเดิม “โอ๊ยยย นะ...นี่แก๊!”
หมับ!
คราว นี้พิมพ์ใช้ฝ่ามืออีกข้างกะจะตบฉันอีกครั้งแต่ฉันก็คว้าไว้ได้ทันเหมือนเดิม และคราวนี้ฉันก็บีบข้อมือของพิมพืพร้อมกับมองพิมพ์ด้วยสายตาแข็งกระด้างก่อนจะ ใช้แรงของตัวเองที่มีดันพิมพ์ให้ออกไปต่างๆ จนพิมพ์นั้นเซไปเซมาเลยทีเดียว
“แกกล้ามากนะที่ผลักฉัน แกรู้มั้ยว่าฉันลูกใคร!”พิมพ์เมื่อตั้งหลักได้จึงพูดขึ้นมาด้วยความโมโห
“...”
“แหม๋ ทำตัวเป็นคนใสๆนะนังแรด ที่แท้ก็อ่อยผู้ชาย จะบอกให้นะว่าโทโมะน่ะเขาก็เห็นเธอเป็นแค่ของเล่นชั่วคราวเท่านั้นแหละ คบไม่นานเดี๋ยวเธอก็จะโดนเฉดหัวทิ้ง!”
“เคยเป็นมาก่อนเหรอถึงได้รู้?”
“ปากดีนักนะอีนี่ อยากรู้จริงๆว่าไอ้หนุ่มแว่นใสที่ชื่อมิณท์นั่นหลงชอบแกไปได้ยังไงกัน ”
“มิณท์เป็นเพื่อนที่ดีของเรา”
“เพื่อนที่ดี? เพื่อนที่ดีหรือเป็นเพื่อนแอบกิ๊กกันลับหลังโทโมะกันแน่ฮึ?”พิมพ์เค้นเสียงถามจนฉันต้องสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง
“...”
“แกน่ะ...หัดเจียมตัวซะบ้างนะไอ้พวกชั้น - ต่ำ ว่าอย่ามาบังอาจทำตัวมีอำนาจมากกว่าคนชั้นสูง”พิมพ์เอานิ้วชี้หน้าฉันก่อนจะพูดประโยคไม่มีหัวคิดนั้นออกมาจนทำให้ฉันถึงกับมองพิมพ์ด้วยสายตาที่ไม่พอใจมากกว่าเดิม
“จะชั้นต่ำหรือสูงมันก็ ‘คน’ เหมือนกันนั่นแหละ!” ฉันสวนกลับทันที “พ่อแม่เธอคงดีใจเน๊อะที่มีลูกสาวบ้าอำนาจ เอาแต่ใจ ชอบรังแกคนไม่มีทางสู้แบบเธอน่ะ”
“กะ...”
“และทีหลังน่ะนะ ถ้าจะตบเราก็มาด้วยตัวเองเล้ยมาด้วยด้วยเองเลยสิพิมพ์ อย่าดีแต่ใช้ให้คนอื่นทำ เพราะว่าไอ้แบบนั้นน่ะเขาเรียกว่า ขี้ - ขลาด” ฉันพูดเน้นย้ำพิมพ์เสียงแข็งและมองจ้องเธอด้วยความแข็งกร้าว
หึ ดูสีหน้าพิมพ์ตอนนี้สิ คงไม่คิดว่าฉันจะรู้ล่ะมั้งว่าเธอเป็นคนสั่งให้ไอ้เด็กรุ่นน้อง 3 คนนั้นมารุมตบฉันในห้องน้ำน่ะ แต่ขอโทษเหอะ! ในโรงเรียนนี้น่ะมีใครน่าสงสัยมากกว่านางผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าตอนนี้บ้าง? จะเป็นใครถ้าไม่ใช่เธอล่ะจริงมั้ย?
“เราถามหน่อยเหอะ จะจองล้างจองผลาญเราไปถึงไหน? สั่งให้คนตามถ่ายรูปเราเอามาแปะหน้าห้องทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังให้เด็กพวกนั้นมาตบเรานี่เธอเป็นโรคจิตเหรอพิมพ์?”
“นี่หาว่าฉันโรคจิตอย่างงั้นเหรอ?! แกนี่มัน...!”
“จะทำอะไรน่ะพิมพ์”
ขวับ!
“คลอรีน”
ฉัน เอ่ยขึ้นเมื่อหันไปเห็นว่าคลอรีนมาได้จังหวะที่พิมพ์กำลังจะพุ่งตัวเข้ามาตบ ฉันอีกครั้ง และเพิมพ์ก็รีบเอามือลงทันทีที่เห็นว่าคลอรีนกำลังเดินมาหานิ่งๆ แล้วใช้สายตามองเธออย่างตำหนิจนพิมพ์ต้องบ่นมึมงัมเบาๆ
“เห๊อะ”พิมพ์เค้นเสียงเมื่อหันไปเห็นว่าคลอรีนกำลังมองเธออยู่
“มีอะไรกันรึปล่าว”คลอรีนถามแล้วหันมามองฉัน
“ถ้าเธอไม่มา...ได้มีแน่!” พิมพ์พูดแค่นั้นก่อนจะเดินเชิดสะบัดผมสีแดงของเธอแล้วเดินขึ้นบันไดไป
ตอนนี้ก็เหลืออยู่แค่ฉันกับคลอรีน...
“พิมพ์ไม่ได้ขู่อะไรเธอใช่มั้ย”คลอรีนถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ได้ขู่หรอก แต่เขาพูดในสิ่งที่เราทนไม่ได้น่ะ” ฉันบอก
“เข้าใจ...” คลอรีนพยักหน้าแล้วยิ้มให้ฉันบางๆ “คน เราน่ะมีขีดจำกัดของความอดทนเหมือนกันหมดนั่นแหละ อยู่ที่ว่าจะอดทนได้มากหรือว่าน้อย แต่เธอนี่เก่งมากเลยนะที่อดทนพยายามจะไม่มีเรื่องกับพิมพ์ทั้งๆที่พิมพ์ก็เป็น คนค่อนข้างแรง”
“อืม ก็ขอบใจนะที่เข้ามาถูกเวลา ไม่งั้นเราคงโดนพิมพ์เล่นงานแหงๆ” ฉันพูดบอกคลอรีนยิ้มๆ แต่มันก็ยังมีคำถามที่ค้างอยู่ในใจนิดหน่อย “เอ่อ...คลอรีน”
“ว่า?”
“เธอกับพิมพ์รู้จักกันเหรอ? คือ...เราเห็นเหมือนว่าพิมพ์ไม่ค่อยแรงใส่เธอเลย” ฉันถามและนั่นก็ทำให้คลอรีนพยักหน้าหน่อยๆ
“ใช่ พ่อแม่เราเป็นญาติกันน่ะ เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ฉันกับพิมพืก็ไม่จะค่อยถูกชะตากันเท่าไหร่ แต่พ่อแม่เรานี่ถูกชะตากันมากๆเลยล่ะ”
“อ๋อ ”ฉันตอบรับแล้วก็พยักหน้าเป็นเชิง
“แล้วนี่จะไปไหน่ละเนี่ย”
“อ้อเราไปซื้อน้ำที่โรงอาหารน่ะ แล้วคลอรีนจะไปไหน”
“จะเอาแฟ้มบันทึกการสอนไปส่งที่ตึกวิชาการน่ะ งั้น...ไว้เจอกันนะ ^^”
“อื้ม!”
หลัง จากนั้นฉันกับคลอรีนเลยแยกกันไปคนล่ะทางเพราะคลอรีนจะไปตึกวิชาการส่วนฉันก็ จะไปโรงอาหาร เฮ้อ...ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าคลอรีนไม่เข้ามาพิมพ์จะทำอะไรฉันอีก ให้ตายสิ...
อีกฝั่ง...
“ไว้เจอกันงั้นเหรอ? เห๊อะ ”
น้ำเสียงอันร้ายกาจของพิมพ์ที่เมื่อกีที่เธอเดินขึ้นมานั้นเธอยังคงไม่ไปไหนแต่ ก็แอบดูแก้วกับคลอรีนอยู่ตรงบันได และเมื่อเห็นว่าสองคนนั้นแยกกันแล้วเธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือราคาแพงระยับ ขึ้นมากดๆโทรหาใครสักคนทันทีเพราะว่าเธอคงจะมี ‘แผนการ’ อะไรอีกสักอย่างแน่ๆ
ตื๊ด...กรึก
[ ฮะ...ฮัลโหล ว่าไงพิมพ์ ]
“ยัยจินนี่แกอยู่ไหน”พิมพ์พูดเสียงเย็นแล้วถอนหายใจออกมา
[ อยู่ห้องน้ำน่ะ ]
“งั้นแกรีบไปจัดการยัยแก้วอะไรนั่นให้ฉันหน่อย จัดการมันให้สะใจฉันทีเพราะมันทำฉันแสบมาก”
[ แล้ว...เธอจะให้ฉันทำอะไรล่ะ? ]
“ทำยังไงก็ได้แหละ! ขอแค่ให้วันนี้มันไม่ได้โผล่หัวกลับขึ้นมาบนห้องเรียนมันก็พอแล้ว! ”
ติ๊ด!
พิมพ์ กดตัดสายทิ้งและนึกถึงหน้าของแก้วเมื่อไม่นานมานี้ที่มันทำให้เธอถึงกับ โมโหจนควันออกหูเหมือนอยากจะกรื๊ดใส่ใครสักคน แต่เมื่อสั่งจินนี่ไปแบบนั้นมีหรือเพื่อนที่กลัวแก้วอย่างจินนี่จะไม่ทำตามที่พิมพ์สั่ง และรับรองว่าจินนี่จัดการสิ่งที่พิมพ์สั่งไม่ได้ดั่งใจ เธอได้โดนดีแน่!
“บังอาจมาว่าฉันอย่างงั้นเหรอยัยแก้ว หึ แกได้เจอดีแน่!”
________________________________________________________อัพแล้วจ้า เม้นกันหน่อยนะค่ะ^^
( ฉันรู้ว่าเธอเป็นคนทำ )
[ บันทึกพิเศษ : โทโมะ ]
เช้าของวันที่ 13 กุมภาพันธ์
: ก่อนวันเกิดโทโมะ 1 วัน :
“เอ วันพรุ่งนี้วันเกิดเด็กคนไหนน้า ^O^//”
แม่ของผมเอ่ยขึ้นมาทันทีที่เห็นผมกำลังเดินลงบันไดจากห้องนอนมายังชั้นล่างใน เช้าของวันอาคารที่ 13 กุมภาพันธ์ และการที่แม่พูดแบบนั้นเป็นเพราะว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นวันสำคัญวันหนึ่งใน ชวิตผมก็คือวันเกิดอายุครบ 18 ของผมนั่นเอง ^^
ส่วนวันเกิดของแก้วก็ยังคงอีกนานเพราะว่าตั้งเดือนธันวาโน่นแน่ะ
แต่ก็ดีแล้วที่ผมก็ยังได้รู้ว่ายัยนั่นเด็กกว่า ^O^// และนั่นก็ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองนั้นได้เปรียบกว่าแก้วก็คือแลดูมีอำนาจมากกว่ายังไงล่ะ 5555+ ( ร้ายกาจจจจ )
“ปกติเห็นไปโรงเรียนสายไม่ใช่เหรอลูกแล้วทำไมวันนี้แลดูตื่นเช้าจังเลย”แม่ผมถามแล้วมองดูผมที่ตอนนี้แต่งตัวในชุดนักเรียนที่ไม่ค่อยจะเรียบร้อยสักเท่าไหร่
ถึงผมจะแต่งตัวแบบนี้ทุกวันแต่แม่ผมก็ยังทำสีหน้าไม่ค่อยจะชินอยู่ดีนั่นแหละน่า = =;;;
แต่ ถึงแม้ว่ากลุ่มของพวกผมจะโดนพวกอาจารย์บางท่านที่รักระเบียบจนเกินป๊ายยยยย มองด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะพอใจอยู่หลายครั้ง พวกผมก็ไม่ได้สนใจอะไรหรอกเอาตรงๆ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคารพนะครับเพราะทุกครั้งพวกผมเจออาจารย์ก็ไหว้สวัสดี ตามปกติถึงเขาจะสอนหรือไม่ได้สอนเราก็ตามเพราะนั่นถือเป็นมารยาทอย่างหนึ่ง ของการเป็นนักเรียน
ถึงแม้ว่าในสายของอาจารย์พวกผมอาจจะถูกมองว่าเป็นกลุ่มที่ไม่น่าเข้า ใกล้เพราะลักษณะออกท่าทางสร้างอิทธิพลจนดูน่ากลัวเลยทำให้กลุ่มของพวกผมนั้น ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษเวลาที่มีนักเรียนโรงเรียนของเราไปมีเรื่องกับนักเรียน โรงเรียนอื่น
ถ้าถามว่าทำไมไม่คิดที่จะแต่งตัวให้สุภาพเรียบร้อยบ้างหรือไง? อันนั้นก็เพียงแต่ว่า...ยังไงดีอ่ะ เอิ่ม คงเป็นเพราะพวกผมเป็นพวกที่รักอิสระไม่ชอบความจู้จี้จุกจิกแล้วไม่ชอบอยู่ในกรอบล่ะมั้ง? เลยไม่ชอบทำตามใคร
“อะไรอ่ะแม่ = =?”
เพราะปกติผมก็ไม่ค่อยแต่งชุดนักเรียนแบบเรียบร้อยเท่าไหร่อยู่แล้วถ้า ที่โรงเรียนมันไม่มีวันสำคัญจริงๆ และตอนนี้ผมก็ยังเอาเสื้อสูทขึ้นมาพาดไว้บนบ่าอีกต่างหากพอแม่เห็นอย่างนั้น ก็ถึงกับเอ่ยคำพูดนึงขึ้นมาซึ่งมันทำให้ผมถึงกับชะงักไปเลยทีเดียวเชียวแหละ = =;;;
“แต่งตัวเหมือนพ่อลูกสมัยเรียนไม่ผิดเล้ยยยย”
ฮะ? ผมเนี่ยนะเหมือนพ่อสมัยเรียน?
“พ่อได้ยินนะแม่” พ่อผมที่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ตรงหัวโต๊ะทานข้าวใครห้องครัวเอ่ยขึ้นมาจนแม่ผมต้องหันไปมองแล้วพูดกับพ่อ
“ได้ยินแล้วไงก็ฉันพูดเรื่องจริง คุณกับลูกนี่ก็เหมือนกันอย่างกับแกะจริงๆเลยนะสมัยเรียนเนี่ย ”
“เหมือนที่ไหนเล่า >^<!” พ่อผมเถียง
“ไม่ต้องเถียงเลย”
“ผมเหมือนจริงเหรอแม่” ผมถามแม่ยิ้มๆเหมือนไม่ค่อยอยากจะเชื่อเท่าไหร่เพราะว่าเท่าที่มองแล้วพ่อของผมนั้นเขาดูเป็นคนที่รักความสงบเรียบร้อยสุภาพ? ถึงได้ประกอบอาชีพเป็นอาจารย์ไง
และถ้าให้ผมนึกถึงตอนที่พ่ออายุเท่าผมอย่างที่แม่ว่าผมคง...จะนึกไม่ออกล่ะ ครับว่าตอนนั้นพ่อผมจะมีนิสัยเป็นยังไงกันแน่ = =;;;
“จริง ก็ตอนที่พ่อเขาคบกับแม่พ่อเขาเอารูปตอนที่เขาเรียนให้แม่ดู ตอนนั้นพ่อเขาเหมือนกับลูกในตอนนี้เป๊ะเลยนะโทโมะ เสียดาย ตอนนี้พ่อลูกอ้วนไปหน่อย”
“ว่าใครอ้วนฮะมาซากิ เดี๋ยวเธอจะโดนมิใช่น้อยนะ” พ่อผมเอ่ยขึ้นมาอย่างทันควันหลังจากที่แม่พูดจบเหมือนกับรับไม่ได้ที่โดนบอกว่า ‘อ้วน ’
“คิก...”และนั่นก็ทำให้ผมถึงกับหัวเราะออกมาที่นานๆทีจะได้เห็นพ่อกับแม่แหย่ๆเล่นกันอะไรแบบนี้น่ะ
ไม่ใช่พ่อกับแม่ไม่เคยแหย่อะไรแบบบนี้กันหรอกครับ ก็คงเป็นเพราะผมเองตอนนั้นผมแทบจะไม่ค่อยได้คุยอะไรกับพวกเขาเลย แต่นั่นไม่ใช่การแสดงความห่างเหินนะ ก็คงเป็นเพราะตอนนั้นผมโลกส่วนตัวค่อนข้างสูง มีเวลาว่างก็จะชอบออกไปเล่นกีฬากับเพื่อนๆที่สวนๆเป็นประจำ
พอเรามาโตขึ้นๆเราก็จะเริ่มรู้จักการแบ่งเวลาที่จะใช้มันอยู่กับครอบครัว แล้วก็คนที่รัก จนผมเข้าใจแล้วว่าควรจะทำยังไงใช้ชีวิตผมได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวกับ เพื่อน เพราะว่าผมเริ่มโตขึ้นแล้วความคิดเลยอาจจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่พัฒนาขึ้น ล่ะมั้งครับ ^^
“ต่อหน้าลูกนะ อย่าได้คิดๆ”
“ทำมาพูด เออโทโมะ! แล้วพรุ่งนี้วันเกิดลูกแล้วลูกอยากให้พ่อจัดวันเกิดมั้ย?”
พ่อ ผมถามขึ้นมาในตอนนั้นจนทำให้ผมดันนึกขึ้นได้เลยว่ายังไม่ได้คิดเรื่องจัดวัน เกิดเลยเพราะบางครั้งก็จัดสังสรรค์ที่บ้านแล้วพวกเพื่อนกลุ่มเคโอติคก็มากัน แต่ปีนี้ไม่รู้สิว่าผมจะจัดมั้ย แต่ถ้าจัดก็ดีนะลุงวิชัยพิชชี่แล้วก็แก้วจะได้มากินข้าวที่บ้านผม ไง ^^
“อืมมม จัดก็ดีนะพ่อ จะได้ชวนลุงวิชัยมากินด้วยกัน”ผม บอกพ่อก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นมาสะพายพร้อมกับสะเก็ตบอร์ดที่ไม่ได้ เล่นมานานกะว่าวันนี้จะเอาไปเล่นกับไอ้พวกนั้นที่โรงเรียนซะหน่อย
“อ้าวแล้วนี่จะไม่กินอะไรก่อนเหรอลูก OoO?” แม่ผมถามเมื่อเห็นว่าผมสะพายกระเป๋าเป้เสร็จเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ฮะงั้นไปแล้วนะแม่ พ่อ! ผมไปแล้วนะ” ผม หันไปไหว้พ่อกับแม่ก่อนที่จะเดินเปิดประตูบ้านออกไปแต่พอเดินออกไปจนเดินจะ ถึงประตูรั้วแล้วเสียงพ่อที่ดังมาจากข้างหลังก็เอ่ยเรียกผมไว้เสียก่อน
“โทโมะ!”
“ฮะ?” เมื่อผมหันไปมองก็เห็นว่าพ่อเดินออกจากบ้านมาแล้วกำลังเดินตรงมาที่ผมยิ้มๆ
อะไรอีกอ่ะ =[]=;;;
“เมื่อคืนตอนพ่อกับแม่ไม่อยู่บ้านแก้วมาดูลูกรึปล่าว?”
จึก!
เอิ่มมมมม อะไรดลใจให้พ่อถามผมแบบนี้เนี่ยยยย ><///////
เพราะ ยิ่งพ่อถามมันยิ่งตอกย้ำภาพที่ผมจูบแก้วได้ชัดเจนเลยอ่ะ แล้วบอกเลยว่าเมื่อคืนนี้ผมนอนไม่หลับเลยจริงๆเพราะเหตุการณ์นั้นมันฟินเกิน ยิ่งนึกถึงตอนที่ผมอยู่กับแก้วนี่ผมก็ยิ่งนอนยิ้มคนเดียวแล้วก็นอนพลิกตัว ไปพลิกตัวมาจนตัวเองตกเตียงเลยอ่ะเอาจริงๆ 555555+
“ก็...มาครับ” ผมตอบแต่ก็พยายามเลี่ยงจากพ่อสายตาไปทางอื่นเพราะกลัวพ่อรู้ว่าผมอาจจะทำอะไรแก้ว
รู้เลยแหละ! ว่าถ้าพ่อรู้ว่าผมกับแก้วจูบกันพ่อจะต้องแซวผมทางอ้อมบ่อยๆแน่ๆ
เพราะพ่อคนนี้ยิ่งร้ายเงียบอยู่ด้วยสิ ^^
“แหม๋ๆๆ ทำมาเขินนะ ^^”
“เขินอะไรพ่อ ก็เขามาที่บ้านมาทำข้าวให้ผมเฉยๆ”
“ไปขอให้เขาทำให้น่ะสิไม่ว่า แกเนี่ยหัวร้ายไม่ธรรมดาทำไมพ่อจะไม่รู้”พ่อผมพูดลากเสียงเอามือยกขึ้นกอดอกจนผมต้องเบ้ปากใส่
“หัวร้ายเหมือนพ่อน่ะเหรอครับ ^^”
“ไอ้โมะ = =!”
“ฮ่าๆๆๆ หยอกเล่นน่ะพ่อ เอ่อ...แล้วพ่อจะถามอะไรผมงั้นเหรอ O_O?” ผมถาม
“ปล่าว ก็แค่เดี๋ยวนี้เห็นลูกแลดูสดใสขึ้นนะ”พ่อผมพูดยิ้มๆ
“...”
“เฮ้อ...โทโมะ..ลูกจะ 18 แล้วนะเนี่ย เวลามันผ่านไปเร็วจริงๆเลย” พ่อผมเดินมาหาใกล้ๆก่อนจะเอามือมาเตะบ่าผมไว้ข้างหนึ่งเหมือนกับว่าพ่อเขากำลังรู้สึกอะไรบางอย่างอยู่ข้างในภายในใจลึกๆ
“ทำไมเหรอฮะ”
“ปล่าวหรอกพ่อแค่...”พ่อผมหยุดคำพูดไว้เพียงแค่นั้นก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกแล้วถอนหายใจออกมา “พ่อแค่คิดว่าเมื่อวานลูกยังเป็นเด็กตัวเล็กๆอยู่เลย พอมาวันนี้ลูกก็โตขึ้นจนลูกเหมือนพ่อมากในตอนนั้น...”
“อ๋อ ที่แม่บอกน่ะเหรอครับ”
“ใช่ ลูกเหมือนพ่อมากเลยนะโทโมะ แต่ติดตรงที่ว่าพ่อมาเจอแม่ในตอนที่พ่อทำงานเป็นครูฝึกสอนอยู่ ส่วนลูกมาเจอผู้หญิงที่ลูกชอบในตอนที่ยังอายุเพียงแค่ 18 คิดๆไปแล้วนะ พ่อก็อยากจะเจอแม่ของลูกให้เร็วกว่านี้จริงๆ”
“ทำไมอ่ะพ่อ”
“ก็...พ่อก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าพ่อเจอแม่ในช่วงนั้นพ่อจะมีอาการตกหลุมรักเหมือนกับลูกรึปล่าว”
“พ่อ คงไม่เหมือนผมหรอกครับ...เพราะผมเชื่อว่าถ้าพ่อเป็นผม พ่อคงจะบอกชอบคนที่พ่อรู้ชอบว่าเขาเป็นคนพิเศษไปตั้งแต่แรกเห็นแล้ว ส่วนผมน่ะ...กว่าจะรู้ตัวว่าชอบผู้หญิงที่อยู่ข้างบ้านก็เกือบจะเสียอะไร หลายๆอย่างในใจไปเหมือนกัน”
ผม พูดออกไปตามความรู้สึกของผมเอง และคำพูดนั้นมันจะคอยย้ำเตือนผมตลอดเวลา นี่ถ้าผมไม่แกล้งพูดเพื่อขอคำแนะนำแม่ เชื่อสิว่าตอนนี้ผมคงเป็นไอ้หน้าโง่ที่เสียผู้หญิงดีๆอย่างแก้วไป แน่ๆ และตอนนั้นปมร้าวของผมที่คลอรีนเคยฝากไว้มันก็เจ็บจนยากจะถอน
นั่นน่ะ...คือความคิดที่โง่มาก!
เพราะ ผมมัวแต่ฝังใจอยู่กับอดีตที่มันผ่านไปแล้ว และก็พยายามปิดกั้นตัวเองจากแก้วสนมาโดยตลอดจนมาเริ่มรู้ตัวเนี่ย แหละ ผมถึงได้คิดแล้วว่าผมคงจะชอบผู้หญิงคนอื่นไม่ได้อีกนอกจากแก้วคนนี้ และในใจของผมก็ไม่เคยคิดจะมองใครอีกเลยด้วยหากว่าผมได้มอบหัวใจของตัวเองให้ ใครสักคนไปแล้ว
แต่ผมขอสาบานว่าแก้วไม่ใช่ผู้หญิงที่มาแทนที่คลอรีนในหัวใจผม สำหรับผมแล้วคลอรีนคือเพื่อนที่ดีคนหนึ่งซึ่งผมเคยแอบชอบเธอเพราะเธอเป็นคน ดี แต่นั่นมันไม่ใช่ตัวตนของผมที่จะมอบหัวของตัวเองให้เธออย่างสุดใจเหมือนแก้ว เพราะว่าคนที่รักกันจริงๆน่ะ มันต้องเห็นทั้งด้านดีด้านเสียของอีกฝ่าย
แต่ถึงเขาคนนั้นจะมีข้อเสียบ้างแต่ถ้าความรู้สึกของเราคืออยากจะอยู่กับเขา นั่นก็คือ...เรารักเขา และถ้าเขาอยากอยู่กับเรา...นั่นก็คือเขารักเรา... แบบนี้แหละที่เรียกว่า ‘ความรัก’จริงๆ
“คิดอย่างนี้ได้ก็ดีแล้ว...”เมื่อพ่อผมบอกแบบนั้นทั้งผมแล้วพ่อก็ยิ้มบางๆให้กัน “แล้วนี่...ขอเขาคบรึยังล่ะเนี่ย”
“...ยังเลยครับ”ผมตอบก่อนจะถอนหายใจออกมา
“เอ๋า? ชอบเขาแล้วไม่ขอคบเขาเลยล่ะ”
“มันยังไม่ถึงโอกาสที่ผมอยากขอน่ะครับ”
เมื่อผมตอบพ่อไปแบบนั้นพ่อก็ทำปาก ‘อ๋อ’แล้วยิ้มๆเหมือนว่าผมมันร้ายกาจที่จะขอคบต้นสนในวันสำคัญของตัวเอง ถึงไม่ต้องบอกไปพ่อผมก็รู้ว่าผมจะเอาโอกาสไหนขอเธอ
ก็...ตลอดชีวิตที่เกิดมา ผมไม่เคยได้ให้ของขวัญวันเกิดกับตัวเองเลย และปีนี้แหละครับ! ที่ผมได้ปฏิญาณไว้เลยว่าผมจะให้‘ของขวัญ’กับตัวเองเป็นชิ้นแรก! และเป็นของขวัญชิ้นที่สำคัญที่สุดในชีวิต...
ที่ผมจะไม่ยอมปล่อยของขวัญชิ้นนี้ไปเด็ดขาด ^O^//
[ จบบันทึกพิเศษ : โทโมะ ]
โรงเรียน
“แหม๋ๆๆๆๆ วันนี้เพิ่งวันที่ 13 กุมภานะย๊ะหล่อนจะแต่งตัวสวยกันไปไหนเนี่ย ><!”
“เชิญแกกลับห้องแกไปเลยไปอีแป๊ะยิ้ม! ><! ”
เสียงของเพื่อนผู้หญิงเมื่อกี้ที่เพิ่งถูกสาวประเภทสองใส่ที่คาดผมมิกกี้เม้าส์สีชมพูไว้บนหัวและอยู่ในชุดนักเรียนชายที่มีนามว่า‘แป๊ะยิ้ม’ที่ คาดว่าจะอยู่ห้องเดียวกับโทโมะแล้วรู้จักกับเพื่อนผู้หญิงห้องฉันล่ะมั้งเลย เดินมาแซวในขณะที่ตอนนี้พวกเพื่อนๆในห้อง ม.5/2 ต่างก็ออกมาช่วยกันนั่งตัดกระดาษจัดบอร์ดวันวาเลนไทน์กันที่หน้าห้อง
พรุ่งนี้ก็วาเลนไทน์แล้วสินะแถมยังเป็นวันเกิดโทโมะอีกด้วยเนี่ยสิฉันเองก็ยัง ไม่รู้เลยว่าจะทำของขวัญอะไรให้เขาดี และถ้าจะทำจะทำทันมั้ยนะ? =[]=!!!
“แก้วหยิบกระดาษสีฟ้าให้หน่อย”ฟาง ที่กำลังนั่งจดจ่ออยู่กับการพับกระดาษเป็นรูปหัวใจในมือหันมาบอกขอให้ฉัน หยิบกระดาษให้ แล้วฉันก็เพิ่งสังเกตในตอนนั้นว่าฟางนี่ท่านั่งแมนมากเหอะ =[]=;;;
ก็ตามประสาสาวห้าวแหละนะ ยิ่งพออยู่ในชุดพละแบบนี้แล้วนี่ฟางก็ยิ่งดูเหมือนสาวทอมเข้าไปใหญ่เลย เฮ้อ เพื่อนฉัน จะแมนไปไหน = =??
“อ๊ากกก แกฉันอยากจะบ้าต๊าย”
“อะไรของแกเนี่ย >O<!!”
“ก็ไม่เห็นรึไงว่าพวกกลุ่มเขาเคโอติคออกมานั่งหน้าระเบียงแถมยังมองมาทางห้องเราด้วยอ่ะ โง้ยยยยยย เขิลลลอ่า ><////” เพื่อนในห้องที่นั่งอยู่ใกล้ฉันเอ่ย
แต่ฉันก็ทำเป็นไม่ได้ยินไปซะอย่างงั้นแหละ เพราะรู้เลยว่าประเด็นต่อมาที่พวกนั้นจะพูดคืออะไร
“ก็แฟนโทโมะเขานั่งหัวโด่อยู่นี่แกจะให้เขามองไปทางไหนล่ะยัยมิ้งค์ ><!”
นั่นไง! ฉันเดาผิดซะที่ไหนล่ะ
อืม มมมม แต่ฉันกับโทโมะเราสองคนยังไม่ได้เป็นแฟนอะไรกันเลยนะ แต่ตอนนี้ฉันคิดว่าคนทั้งโรงเรียนเขาคงจะพากันเข้าใจไปในทางนั้นเสียแล้วล่ะ ให้ทำไงได้ล่ะ ก็โทโมะดันไปพูดไว้ซะอย่างงั้นนี่นา = =;;;;
“แหม่ ถ้าพวกเคโอติคจะมองมาตรงนี้เป็นระยะๆนี่ฉันอยากจะบ้าตายพับกระดาษไม่มีสมาธิเล้ย ><!” ฟาง มากระซิบบอกจนฉันหลุดขำออกมาหน่อยๆเมื่อใช้สายตามองไปยังข้างหลังฟางก็เห็น ได้ว่าพวกเคโอติคกำลังนั่งคุยๆอะไรกันไม่รู้แล้วก็มองมาทางนี้เป็นระยะอย่าง ที่ฟางบอกจริงๆด้วยแหละ
และฉันก็เห็นว่าโทโมะที่กำลังคุยอยู่กับจองเบดันมองมาเจอฉันที่กำลัง มองอยู่พอดีก่อนที่เขาจะส่งยิ้มหวานมาให้จนจองเบหันมามองฉันก่อนจะหันไปมองโทโมะ แล้วส่ายหัวจากนั้นโทโมะก็ละสายตาจากฉันไปมองจองเบก่อนที่เขาจะใช้มือของตัวเองตีหัวจองเบเบาๆเหมือนๆหยอกเล่นกันจนฉันอดที่จะยิ้มออกมาหน่อยๆไม่ได้
ตอนนั้นเองที่สายตาของฉันดันมองไปเห็นว่าป๊อปปี้กำลังมองมาทางนี้ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะเจาะจงมองมาที่ฟางพิเศษเลยนะ เอ๊ะยังไง?
“เอ่อ...เอาน่าปล่อยพวกเขาเหอะ ป๊อปปี้ไม่มากวนแกก็ดีเท่าไหร่แล้ว”สุดท้ายฉันก็กระซิบบอกฟางกลับไปก่อนจะยิ้มแล้วหันไปตัดกระดาษต่อ แล้วก็ส่งๆให้เพื่อนที่นั่งข้างๆเอาไปรวบรวมจะได้เอาไปแปะบอร์ด
“ฟาง!”
ขวับ
“ฮะ?”ฟางที่กำลังนั่งพับกระดาษรูปหัวใจอยู่นั้นจำต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงเรียกจากใครคนหนึ่งซึ่งก็คือเพื่อนผู้ชายในห้องนั่นเอง “อะไรวะบอส”
ฟาง ถามขณะที่บอสเพื่อนผู้ชายที่เป็นคนเรียกนั้นยังคงยืนอยู่ตรงราวบันไดแต่ก็ ไม่ได้เดินมาหาฟางแถมยังกวักมือเรียกให้ฟางเดินไปหาอีกเสียด้วยสิ
“มานี่หน่อยดิ” บอสกวักมือเรียกฟางอีกครั้งเมื่อเห็นว่าฟางเอาแต่มองเขาอย่างสงสัย
และในตอนนั้นเองที่ทำให้เพื่อนๆในห้องก็เริ่มหันมาสนใจกันแล้วว่าฟาง กับบอสมีอะไรกันรึปล่าวนะ? แถมฉันยังเห็นกลุ่มเคโอติคโดนเฉพาะป๊อปปี้ที่ยังคงมองฟางอยู่ด้วยเหมือนกับว่ากำลังคิดว่าฟางจะลุกขึ้นไปหาบอสหรือไม่
“อะไรของมันวะ = =;;;” สุดท้ายแล้วฟางนั่งลังเลใจอยู่สักพักก็ลุกขึ้นพลางส่ายหัวนิดๆอย่างเซ็งๆแล้วเดินไปหาบอสที่ยืนรอดูที่เดิมท่ามกลางวายตาของเพื่อนๆ
แล้วฉันก็เพิ่งสังเกตเห็นในตอนนั้นนั่นเองว่าในมือของบอสนั้นมีดอกกุหลาบ อยู่ 1 ดอก ที่ห้อยกระดาษจดหมายเล็กๆถือไว้ในมือเสียด้วยสิ น่ะ...นี่อย่าบอกนะว่าบอสจะเอาดอกกุหลาบที่อยุ่ในมือของเขานั้นให้ฟาง อ่ะ O_O???
“อะไรอ่ะบอส!?” เสียงของเพื่อนๆจอมอยากรู้อยากเห็นเอ่ยขึ้นมาจนบอสต้องเอ่ยบอกเหมือนไม่อยากให้เข้าใจผิดกันไปใหญ่จนเอาไปเม้าท์มอยกันต่างๆนาๆ
ก็คงจะรู้แหละว่าเพื่อนสาวๆนั่นนิสัยส่วนใหญ่เป็นยังไง = =;;;
“มีรุ่นน้องฝากดอกกุหลาบมาให้ฟางอ่ะดิ!”บอสพูดบอกก่อนจะยื่นดอกกุหลาบดอกนั้นให้ฟาง
แต่ฟางเนี่ยสิที่ตอนนี้กำลังหน้าแดงจนฉันยังสังเกตเห็นได้ชัดเลย
คงจะเขินล่ะมั้งที่มีหนุ่มฝากดอกไม้มาให้นะ ^^
ตอน นั้นนั่นเองที่เสียงฮือฮาของเพื่อนๆในห้องก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆเมื่อฟางรับ ดอกกุหลาบนั้นจากบอส บอสก็เดินกลับลงไปข้างล่างเหมือนจะไปนั่งสุมหัวคุยกับเพื่อนต่อล่ะมั้ง ฟางที่เห็นอย่างนั้นก็หันเดินกลับมาที่เดิมท่ามกลางสายตาของเพื่อนๆในห้อง แล้วก็กลุ่มเคโอติคกับเพื่อนๆในห้องเขาที่นั่งทำบอร์ดอยู่ข้างนอกกำลังมองมา ทางนี้เป็นระยะๆเช่นกัน
“ว๊ายๆๆๆ หนุ่มคนไหนใจกล้าเอาดอกไม้มาให้แกก่อนวาเลนไทน์เนี่ยยยยย” เพื่อนผู้หญิงในห้องแซวจนฟางถึงกับเอามือเกาหัวตัวเองก่อนจะนั่งลง
“หนุ่มคนนั้นต้องไม่ธรรมดาแหงๆอ่ะ พวกแกว่าป่ะ”
“อั๊ยยยย่ะ! มีการ์ดด้วยอ่ะ ฟางๆอ่านดิๆ ”
“อยากรู้กันจริงๆเลยนะ = =;;;”ฟางที่ตอนนี้เริ่มปรับสีหน้าจากอาการหน้าแดงเมื่อกี้ให้ดูเป็นปกติแล้วชะโงกหน้าไปพูดกับเพื่อนผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆฉัน
“โหย ยยย ก็อยู่ด้วยกันมาตั้งนานเพิ่งเห็นแกได้ดอกกุหลาบจากผู้ชายก็วันนี้เนี่ยแหละ เพราะปกติเห็นได้แต่ของผู้หญิงเพราะพวกน้องๆเขาคงคิดว่าแกเป็นทอมล่ะมั้ง ฮ่าๆๆๆ”
“โว๊ะ! อยากรู้ก็เอาไปอ่านเองเลยไปรำคาญว่ะ แซวจริงๆ ><!”
ฟาง บอกอย่างรำคาญก่อนจะยื่นเจ้าดอกกุหลาบนั่นผ่านฉันแล้วเพื่อนผู้หญิงเอาดอก กุหลาบนั่นไปก่อนจะเปิดการ์ดอ่านเสียงดังๆให้เพื่อนในห้องได้ยิน
“จะอ่านล่ะน้า มีใครรอฟังมั้ยเนี่ยยยย”
“อ่านเล้ยๆๆๆ”
“อะแฮ่ม สาม สอง หนึ่ง โอเค เริ่ม”
“...”
“ ‘พี่ฟางครับ! โสดนานมั้ยครับพี่? ในปีนี้ พี่มีใครแล้วหรือยัง ถ้าไม่มีงั้นพี่ก็จงฟัง! ว่าผมนั้นเน้นรักสมัครใจ ^^’อ๊ากกก อิจชี่ม๊ากกกก ><!!!”
“ฮิ้วววววววววว” เมื่อได้ฟังคำกล่าวในจดหมาย ( รัก )เสร็จเพื่อนๆในห้องก็พากันกรื๊ดกร๊าดตื่นเต้นกันใหญ่
แต่ฟางเนี่ยสิถึงกับชะงักไปเพราะว่าเกิดมาไม่เคยมีใครมาจีบแบบนี้มาก่อนเลยล่ะมั้งเนี่ย
“อร๊ายยยย พวกเรามีเด็กมาจีบฟางแล้วเว้ย ท่าทางจากออกตัวแรงงงงง”
“เดี๋ยวๆๆๆ มีอีกๆ ฉันยังอ่านไม่จบ! ><!”เพื่อนที่นั่งข้างๆฉันพูดขึ้นแล้วโบกมือบอกให้เพื่อนๆในห้องที่กำลังฮือฮานั้นเงียบแล้วลุกขึ้นยืนเพื่อให้ตัวเองดูเด่นและเป็นจุดสนใจ
แต่นั่นมันก็ยิ่งทำให้ห้องข้างๆต่างก็หันมามองกันมากขึ้นอีกว่าไอ้ห้องนี้ มันมีอะไรกันเนี่ย ทำนองนั้น = =;;;;
“พูดดังๆเลยว่าใครเป็นคนส่งดอกไม้มาให้ยัยฟาง><!”
“เออ เอาเข้าไป” ฟางพูดเบาๆอย่างเหนื่อยใจก่อนจะเอาหัวมาซบที่ไหล่ฉัน
“มี ป.ล. ใต้จดหมายด้วยอ่ะแกรรรร เขาบอกว่า‘วันนี้ผมให้แค่กุหลาบ 1 ดอกก่อนนะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้วาเลนไทน์ผมจัดให้อีกดอก’ว๊ายยยยย ไม่ติดเรทชิป๊ะ???”
“อ๊ากกก พอแล้ว! เอามานี่ๆ ><!” ฟาง ที่ได้ยินคำพูดของจดหมายคำหลังไม่ไหวเลยกวักมือเรียกเพื่อนคนนั้น ยัยนั่นก็เบ้ปากให้เพราะว่าได้แซวแกล้งฟางจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว จากนั้นหล่อนก็ยื่นดอกกุหลาบนั่นให้ฟางก่อนจะกลับมานั่งที่เดิม
“เอ่อ...ฉันว่าน้องที่เขียนคงไม่ได้ตั้งใจให้ความหายออกมาเป็นแบบนั้นหรอกมั้ง?”
“มันกล้ามากกกก เกิดมายังไม่เคยมีใครกล้าเขียนจดหมายแบบนี้มาให้ฉันเลยนะ แล้วไอ้หมอนี่มันใครเนี่ย?” ฟางพูดอย่างหัวเสียแล้วพลิกกระดาษจดหมายนั้นดูว่ามีชื่อคนส่งติดเอาไว้บ้างรึปล่าว
เพราะดูท่าทางแล้วบอสคงจะไม่ได้บอกมาน่ะสิว่าใครฝากมาให้แต่ให้เดานะฉันว่าคงจะเป็นรุ่นน้องเนี่ยแหละ ชัวปาบ!
“เจอมั้ยอ่ะ”ฉันถามเมื่อเห็นว่าฟางพลิกจดหมายไปมา
“โอ๊ะ? เดี๋ยวนะ” ฟางทำตาโตขึ้นมาก่อนจะเอามือแกสติ๊กเกอร์ตุ๊กตาหมีที่แปะอยู่ตรงจดหมายออก เท่านั้นแหละ! ก็เห็นชื่อคนที่ส่งมาทันที “B.A.M.B.A.M??”ฟางอ่านตัวอักษรภาษาอังฤษนั่นก่อนจะหันหน้ามามองฉัน
“ชื่อแบมแบมเหรอ?”
“แบมแบมไหนวะ = =?”ฟางทำท่านึกนิดๆก่อนจะหลับตาแล้วส่ายหัวไปมาแล้วพูดปัดๆเหมือนว่าให้ลืมๆมันไปซะ “ช่างเหอะ”
“ซะงั้น”
แต่ฉันก็แค่ขำในลำคอก่อนจะหันไปตัดกระดาษที่อยู่ในมือต่อ ส่วนเพื่อนๆทั้งหลายก็ยังคงมีเสียงซุบซิบถึงเรื่องของเปาอยู่ อ่า...อยากจะรู้จังว่าน้องคนที่ชื่อ ‘แบมแบม’ นั้นคือคนไหนกันนะที่เขียนจดหมายเหมือนเป็นทำนองว่าสนใจในตัวฟาง
แต่เท่าที่ฉันเดานะน้องคนนั้นคงไม่ธรรมดาแน่ๆ
อืมมมม แต่ก็น่าลุ้นดีนะที่ว่าใน ‘เร็วๆนี้’ พรมลิขิตจะบันดาลให้ฟางมี ‘แฟนเด็ก’ หรือว่า ‘ป๊อปปี้’ แต่ คนหลังนี่เดาไม่ออกเลยจริงๆว่าจะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อทะเลาะด่ากันจนเหมือน กับอยากจะคว้านไส้ของอีกฝ่ายออกมากระทืบแบบนั้นน่ะ ก็...คงต้องรอดูกันต่อไปก็แล้วกันนะ >_O
พักเที่ยง
“ฟางฉันจะลงไปซื้อน้ำที่โรงอาหารอ่ะแกจะเอาอะไรมั้ย?”
ฉัน ถามฟางที่ตอนนี้ก็ยังคงช่วยๆเพื่อนๆจัดบอร์ดกันอยู่ แต่ก็มีบางส่วนพากันลงไปพักกินข้าวกันบ้างแล้ว แต่ฟางบอกว่ายังอยากจัดบอร์ดให้เสร็จก่อนส่วนกลุ่มบังทันก็พากันลงไปจากห้อง เรียนของพวกเขาได้สักพักแล้วล่ะ
“น้ำขวดนึงก็พอ วันนี้ไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”
“โอเค” เมื่อ ฟางบอกอย่างนั้นฉันก็เดินลงมาจากบันไดเพื่อไปข้างล่างแล้วไปโรงอาหารแต่ทว่า จังหวะนั้นที่เดินลงมาพอดีนั่นเองฉันก็เห็นว่าพิมพ์กำลังเดินมาทางนี้
แต่เธอเดินมาคนเดียวแถมยังก้มหน้ากดโทรศัพท์มือถือราคาแพงระยับอยู่ในมืออีกต่างหาก
ด้วยความที่ฉันจำเป็นจะต้องเดินผ่านเธอไปฉันจึงเงียบแล้วก้มหน้าเดิน แต่หากทว่ากะอยู่แล้วว่าคนอย่างพิมพ์จะต้องพูดกัดอะไรหน่อยๆแน่ๆเลย และมันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ
“แหม นึกว่าจะหายหัวไปแล้วซะอีก”
กึก
เท้าของฉันนั้นหยุดเดินทันทีเมื่อเดินผ่านพิมพ์มาได้ไม่กี่ก้าว ตอนนั้นฉันมีแต่ความนิ่งงันเฉยชาและไม่รู้ว่าจะพูดยังไงกับผู้หญิงคนนี้แล้ว เพราะว่าพิมพ์เป็นคนที่ไม่เป็นมิตรเอามากๆเป็นคนมองโลกแคบ หาเรื่องฉัน สั่งให้คนมาตบฉันจนฉันเจ็บทั้งกายและใจแบบนั้นมันก็ยากจะทนเหมือนกัน
แต่ฉันก็จะไม่ทำเหมือนที่เธอทำไว้กับฉันหรอก...ไม่ใช่ ‘ยอม’ แต่ฉันไม่อยากจะเอาตัวเองไม่มีเรื่องกับคนที่นิสัยแบบนี้หรอก มีเรื่องแล้วได้อะไรล่ะ? สิ่งที่ตามมาคือทำให้พ่อแม่เสียใจ แบบนั้นมันดีเหรอ?
พิมพ์น่ะเป็นคนที่ทำอะไรไม่ค่อยคิด คิดแค่ว่าซะใจก็ทำ แบบนั้นน่ะ...เป็นความคิดที่แย่มาก!
“...”
“เราจะไม่กล้าสู้หน้าเธอเรื่องอะไร”ฉัน หันไปถามพิมพ์เสียงนิ่งและใช้สายตามองเธอด้วยความว่างปล่าว พิมพ์เอาโทรศัพท์ของเธอเก็บใส่กระเป๋าเสื้อสูทก่อนจะหันมามองฉันพร้อมกับ กอดอกแล้วเหยียดยิ้มมาให้
“ก็แกกลัวฉันไม่ใช่เหรอ?”
“เราไม่ได้กลัวเธอ แต่ที่เงียบเพราะเราไม่อยากมีเรื่องกับคนบ้า”
“นี่แกว่าฉันเหรอ!” ตอนนั้นพิมพ์ถลึงตาใส่ฉันเหมือนว่าโกรธและโมโห
แต่คิดเหรอว่าฉันจะสน หึ ตอนนี้ฉันไม่ได้เหมือนเมื่อก่อนหรอกนะที่จะเงียบไม่พูดอะไร พอมาถึงคราวนี้มันก็ต้องพูดบ้างแล้วล่ะ แต่ฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าคนอย่างพิมพ์นั้นมีสมองที่จะเอาคำเหล่านี้กลับไปคิด อะไรบ้างรึปล่าว
“ร้อนตัวทำไมกันเรายังไม่ได้เอ่ยชื่อเธอเลยนิ” คราวนี้ฉันยกมือขึ้นกอดอกบ้างแล้วมองพิมพ์ด้วยสายตาที่นิ่งงันตามเดิม และนั่นแหละยิ่งทำให้พิมพ์ถึงกับกำหมัดในมือแน่นทั้งสองข้าง
“ถึงแกไม่เอ่ยชื่อฉันก็รู้ว่าแกหมายถึงฉัน!”
“ก็รู้ตัวนิ”ฉันเลิกคิ้วมองพิมพ์กวนๆจนพิมพ์ถึงกับกัดฟันตัวเองดังกรอด และเธอก็ทำในสิ่งที่ฉันคิดอยู่แล้วว่าเธอทำแน่ๆ
“นี่แก๊!”
หมับ!!
ใน จังหวะที่พิมพ์จะฟาดฝ่ามือของเธอลงมาบนใบหน้าของฉันเหมือนครั้งก่อน ฉันเลยเอามือของตัวเองขึ้นมาจับเอาไว้ได้ทันเสียก่อน และแรงของพิมพ์ที่จะตบลงมากลับต้องหยุดชะงักเพราะไม่คิดล่ะมั้งว่าฉันจะสู้ บ้างไม่เอาแล้ว! ฉันจะไม่ยอมให้พิมพ์มาทำร้ายฉันอีกเด็ดขาด!
“...”
“น่ะนี่แกสู้เหรอ?” พิมพ์ถลึงตามองฉันแล้วเม้นริมฝีปากแต่เธอก็ยังมิวายกะจะตบฉันให้ได้แต่ฉันก็กำข้อมือของเธอไว้ให้แน่นขึ้นกว่าเดิม “โอ๊ยยย นะ...นี่แก๊!”
หมับ!
คราว นี้พิมพ์ใช้ฝ่ามืออีกข้างกะจะตบฉันอีกครั้งแต่ฉันก็คว้าไว้ได้ทันเหมือนเดิม และคราวนี้ฉันก็บีบข้อมือของพิมพืพร้อมกับมองพิมพ์ด้วยสายตาแข็งกระด้างก่อนจะ ใช้แรงของตัวเองที่มีดันพิมพ์ให้ออกไปต่างๆ จนพิมพ์นั้นเซไปเซมาเลยทีเดียว
“แกกล้ามากนะที่ผลักฉัน แกรู้มั้ยว่าฉันลูกใคร!”พิมพ์เมื่อตั้งหลักได้จึงพูดขึ้นมาด้วยความโมโห
“...”
“แหม๋ ทำตัวเป็นคนใสๆนะนังแรด ที่แท้ก็อ่อยผู้ชาย จะบอกให้นะว่าโทโมะน่ะเขาก็เห็นเธอเป็นแค่ของเล่นชั่วคราวเท่านั้นแหละ คบไม่นานเดี๋ยวเธอก็จะโดนเฉดหัวทิ้ง!”
“เคยเป็นมาก่อนเหรอถึงได้รู้?”
“ปากดีนักนะอีนี่ อยากรู้จริงๆว่าไอ้หนุ่มแว่นใสที่ชื่อมิณท์นั่นหลงชอบแกไปได้ยังไงกัน ”
“มิณท์เป็นเพื่อนที่ดีของเรา”
“เพื่อนที่ดี? เพื่อนที่ดีหรือเป็นเพื่อนแอบกิ๊กกันลับหลังโทโมะกันแน่ฮึ?”พิมพ์เค้นเสียงถามจนฉันต้องสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อให้ตัวเองใจเย็นลง
“...”
“แกน่ะ...หัดเจียมตัวซะบ้างนะไอ้พวกชั้น - ต่ำ ว่าอย่ามาบังอาจทำตัวมีอำนาจมากกว่าคนชั้นสูง”พิมพ์เอานิ้วชี้หน้าฉันก่อนจะพูดประโยคไม่มีหัวคิดนั้นออกมาจนทำให้ฉันถึงกับมองพิมพ์ด้วยสายตาที่ไม่พอใจมากกว่าเดิม
“จะชั้นต่ำหรือสูงมันก็ ‘คน’ เหมือนกันนั่นแหละ!” ฉันสวนกลับทันที “พ่อแม่เธอคงดีใจเน๊อะที่มีลูกสาวบ้าอำนาจ เอาแต่ใจ ชอบรังแกคนไม่มีทางสู้แบบเธอน่ะ”
“กะ...”
“และทีหลังน่ะนะ ถ้าจะตบเราก็มาด้วยตัวเองเล้ยมาด้วยด้วยเองเลยสิพิมพ์ อย่าดีแต่ใช้ให้คนอื่นทำ เพราะว่าไอ้แบบนั้นน่ะเขาเรียกว่า ขี้ - ขลาด” ฉันพูดเน้นย้ำพิมพ์เสียงแข็งและมองจ้องเธอด้วยความแข็งกร้าว
หึ ดูสีหน้าพิมพ์ตอนนี้สิ คงไม่คิดว่าฉันจะรู้ล่ะมั้งว่าเธอเป็นคนสั่งให้ไอ้เด็กรุ่นน้อง 3 คนนั้นมารุมตบฉันในห้องน้ำน่ะ แต่ขอโทษเหอะ! ในโรงเรียนนี้น่ะมีใครน่าสงสัยมากกว่านางผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหน้าตอนนี้บ้าง? จะเป็นใครถ้าไม่ใช่เธอล่ะจริงมั้ย?
“เราถามหน่อยเหอะ จะจองล้างจองผลาญเราไปถึงไหน? สั่งให้คนตามถ่ายรูปเราเอามาแปะหน้าห้องทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ทำอะไรเลย แถมยังให้เด็กพวกนั้นมาตบเรานี่เธอเป็นโรคจิตเหรอพิมพ์?”
“นี่หาว่าฉันโรคจิตอย่างงั้นเหรอ?! แกนี่มัน...!”
“จะทำอะไรน่ะพิมพ์”
ขวับ!
“คลอรีน”
ฉัน เอ่ยขึ้นเมื่อหันไปเห็นว่าคลอรีนมาได้จังหวะที่พิมพ์กำลังจะพุ่งตัวเข้ามาตบ ฉันอีกครั้ง และเพิมพ์ก็รีบเอามือลงทันทีที่เห็นว่าคลอรีนกำลังเดินมาหานิ่งๆ แล้วใช้สายตามองเธออย่างตำหนิจนพิมพ์ต้องบ่นมึมงัมเบาๆ
“เห๊อะ”พิมพ์เค้นเสียงเมื่อหันไปเห็นว่าคลอรีนกำลังมองเธออยู่
“มีอะไรกันรึปล่าว”คลอรีนถามแล้วหันมามองฉัน
“ถ้าเธอไม่มา...ได้มีแน่!” พิมพ์พูดแค่นั้นก่อนจะเดินเชิดสะบัดผมสีแดงของเธอแล้วเดินขึ้นบันไดไป
ตอนนี้ก็เหลืออยู่แค่ฉันกับคลอรีน...
“พิมพ์ไม่ได้ขู่อะไรเธอใช่มั้ย”คลอรีนถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่ได้ขู่หรอก แต่เขาพูดในสิ่งที่เราทนไม่ได้น่ะ” ฉันบอก
“เข้าใจ...” คลอรีนพยักหน้าแล้วยิ้มให้ฉันบางๆ “คน เราน่ะมีขีดจำกัดของความอดทนเหมือนกันหมดนั่นแหละ อยู่ที่ว่าจะอดทนได้มากหรือว่าน้อย แต่เธอนี่เก่งมากเลยนะที่อดทนพยายามจะไม่มีเรื่องกับพิมพ์ทั้งๆที่พิมพ์ก็เป็น คนค่อนข้างแรง”
“อืม ก็ขอบใจนะที่เข้ามาถูกเวลา ไม่งั้นเราคงโดนพิมพ์เล่นงานแหงๆ” ฉันพูดบอกคลอรีนยิ้มๆ แต่มันก็ยังมีคำถามที่ค้างอยู่ในใจนิดหน่อย “เอ่อ...คลอรีน”
“ว่า?”
“เธอกับพิมพ์รู้จักกันเหรอ? คือ...เราเห็นเหมือนว่าพิมพ์ไม่ค่อยแรงใส่เธอเลย” ฉันถามและนั่นก็ทำให้คลอรีนพยักหน้าหน่อยๆ
“ใช่ พ่อแม่เราเป็นญาติกันน่ะ เราสองคนรู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ฉันกับพิมพืก็ไม่จะค่อยถูกชะตากันเท่าไหร่ แต่พ่อแม่เรานี่ถูกชะตากันมากๆเลยล่ะ”
“อ๋อ ”ฉันตอบรับแล้วก็พยักหน้าเป็นเชิง
“แล้วนี่จะไปไหน่ละเนี่ย”
“อ้อเราไปซื้อน้ำที่โรงอาหารน่ะ แล้วคลอรีนจะไปไหน”
“จะเอาแฟ้มบันทึกการสอนไปส่งที่ตึกวิชาการน่ะ งั้น...ไว้เจอกันนะ ^^”
“อื้ม!”
หลัง จากนั้นฉันกับคลอรีนเลยแยกกันไปคนล่ะทางเพราะคลอรีนจะไปตึกวิชาการส่วนฉันก็ จะไปโรงอาหาร เฮ้อ...ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าคลอรีนไม่เข้ามาพิมพ์จะทำอะไรฉันอีก ให้ตายสิ...
อีกฝั่ง...
“ไว้เจอกันงั้นเหรอ? เห๊อะ ”
น้ำเสียงอันร้ายกาจของพิมพ์ที่เมื่อกีที่เธอเดินขึ้นมานั้นเธอยังคงไม่ไปไหนแต่ ก็แอบดูแก้วกับคลอรีนอยู่ตรงบันได และเมื่อเห็นว่าสองคนนั้นแยกกันแล้วเธอจึงหยิบโทรศัพท์มือถือราคาแพงระยับ ขึ้นมากดๆโทรหาใครสักคนทันทีเพราะว่าเธอคงจะมี ‘แผนการ’ อะไรอีกสักอย่างแน่ๆ
ตื๊ด...กรึก
[ ฮะ...ฮัลโหล ว่าไงพิมพ์ ]
“ยัยจินนี่แกอยู่ไหน”พิมพ์พูดเสียงเย็นแล้วถอนหายใจออกมา
[ อยู่ห้องน้ำน่ะ ]
“งั้นแกรีบไปจัดการยัยแก้วอะไรนั่นให้ฉันหน่อย จัดการมันให้สะใจฉันทีเพราะมันทำฉันแสบมาก”
[ แล้ว...เธอจะให้ฉันทำอะไรล่ะ? ]
“ทำยังไงก็ได้แหละ! ขอแค่ให้วันนี้มันไม่ได้โผล่หัวกลับขึ้นมาบนห้องเรียนมันก็พอแล้ว! ”
ติ๊ด!
พิมพ์ กดตัดสายทิ้งและนึกถึงหน้าของแก้วเมื่อไม่นานมานี้ที่มันทำให้เธอถึงกับ โมโหจนควันออกหูเหมือนอยากจะกรื๊ดใส่ใครสักคน แต่เมื่อสั่งจินนี่ไปแบบนั้นมีหรือเพื่อนที่กลัวแก้วอย่างจินนี่จะไม่ทำตามที่พิมพ์สั่ง และรับรองว่าจินนี่จัดการสิ่งที่พิมพ์สั่งไม่ได้ดั่งใจ เธอได้โดนดีแน่!
“บังอาจมาว่าฉันอย่างงั้นเหรอยัยแก้ว หึ แกได้เจอดีแน่!”
________________________________________________________อัพแล้วจ้า เม้นกันหน่อยนะค่ะ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ