Stop หยุดหัวใจนายเย็นชา
9.6
เขียนโดย NannyCandy
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.18 น.
43 chapter
860 วิจารณ์
67.51K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 19.34 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
28) - Your Lips Remind - ( ริมฝีปากของคุณมันย้ำเตือน )
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ- Your Lips Remind -
( ริมฝีปากของคุณมันย้ำเตือน )
หลายวันถัดจากนั้นมา...
ซ่า ซ่า ซ่า...
“แก้วป่ะไปกินข้าวกัน ^^” ฟาง ที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยชวนกินข้าวแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังจากที่เลิกเรียน วิชาคณิตศาสตร์คาบสุดท้ายก่อนพักกลางวันเสร็จไปเมื่อครู่นี้เอง
แถมตั้งแต่เช้ามานี่ฝนนี่ก็เดี๋ยวตกเดี๋ยวหายตั้งแต่เช้าและ อากาศวันนี้ก็ออกชื้นๆเย็นๆจนฉันไม่ค่อยอยากอาหารเลยบ่องตง = =;;;
“ป่ะดิ ” ฉันบอกก่อนลุกขึ้นยืนเช่นกัน
และในจังหวะนั้นนั่นเองที่สายตาฉันดันมองไปเห็นกลุ่มนักเรียนชายที่เป็นที่กรี๊ดกร๊าดของสาวๆในโรงเรียนอย่างกลุ่มเคโอติคเดินผ่านหน้าห้องไป โดยที่คนที่เดินรั้งท้ายนั้นเป็นคนที่ตอนนี้ฉันแทบไม่ได้เห็นหน้าเขาแล้วอย่างโทโมะ...ที่ตอนนี้เอาแต่เดินก้มหน้าแล้วเดินผ่านห้องนี้ไป
ก็ดีแล้ว...
เพราะหลายวันมานี้กลุ่มเคโอติคไม่มีใครเข้ามายุ่งกับฉันกับฟางอีกเลย ส่วนนักเรียนคนอื่นๆก็ด้วย ไม่มีคนมาหาเรื่อง มาวุ่นวายและก็ไม่มีใครมาถามเรื่องที่เข้าใจผิดว่าฉันคบกับโทโมะ ทั้งๆที่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ไม่ได้ไปพูดอะไร
ส่วนฟางก็บอกว่าปล่อยให้เขาใจไปอย่างงั้นก่อนแหละ เพื่อเป็นความปลอดภัยของฉันเองด้วย...
“ไปกันเถอะ” ฟางหันมาบอกและฉันก็เพิ่งตั้งสติได้ก่อนจะเดินออกไปพร้อมฟาง
ไม่ รู้สินะว่าทำไมชีวิตของฉันช่วงนี้มันดูเหมือนแต่ก่อนมากที่ไม่ได้มีเรื่อง อะไรเข้ามาให้หนักสมอง แต่ทำไมฉันถึง...ดูไม่สดใสเลยล่ะทั้งๆที่เรื่องมันก็ดีขึ้นมาแล้ว คงอาจจะเป็นเพราะมี ‘บางสิ่ง’ ที่ฉันสับสนล่ะมั้ง โดยเฉพาะกับโทโมะ ที่ตอนนี้ก็อย่างที่บอกว่าเขาไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรเกี่ยวกับฉันเลย
เพราะวันธรรมดาฉันไม่ได้เจอเขาเลยเพราะว่ากลับจากโรงเรียนก็ไปทำงานกับฟาง ที่ร้านกาแฟ เลิกงานก็ประมาณสามสี่ทุ่มโน่นแน่ะกว่าจะได้กลับบ้าน แต่ตอนที่ไปฉันเลิกเรียนก็ไปกับฟางตลอดนะเดี๋ยวนี้น่ะ ไม่ได้ขี่จักรยานแบบเมื่อก่อนแล้ว ส่วนขากลับฉันบอกกับฟางว่าจะเดินกลับเองเพราะขากลับอาจจะแวะซื้ออะไรไปให้ พ่อกับพิชชี่ด้วย
แถมร้านพี่ฟางก็อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านสักเท่าไหร่นัก...
แต่ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมทุกครั้งเวลาที่เลิกงานฉันรู้สึกเหมือนว่าคนตามแอบดูตลอดเวลาเลย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะว่าคงจะรู้สึกไปเอง และใครที่ไนไหนจะมาเดินตามกันเล่า ><!
“ข้าวไม่อร่อยเหรอวะ O_O?”
“...”
“แก้ว!”
“หะ หา? อะไรนะ?” ฉันถามขึ้นเมื่อฟางที่นั่งอยู่ตรงข้ามเรียกฉันให้ได้สติขึ้นมาจากอาการเหม่อเมื่อกี๊นี้
“ฉันถามว่าข้าวไม่อร่อยเหรอ เห็นแกกินสองสามคำเอง”
“ก็อร่อยนะแต่...ไม่รู้ว่ะทำไมพักนี้ฉันไม่ค่อยอยากอาหารเลย” ฉันบอกไป
จริงๆนะไม่รู้ทำไมช่วงนี้ฉันถึงไม่ค่อยอยากกินข้าว สักเท่าไหร่เลย มันดูแบบ... ‘ไม่อยาก’ อ่ะ ถึงแม้พยายามจะกินเข้าไปมันก็กลืนไม่ค่อยลงทุกทีจนฉันต้องเอานมจืดเป็นกล่องๆมากินแทน จนตอนนี้กลายเป็นติดนมจืดไปแล้ว = =;;; ( ติดนมจืดเหมือนใครหว่าแก้ว?^^ )
“อืมมมมม จะให้ตอบตามตรงป่ะล่ะ” ฟางเลิกคิ้วถาม
“...”
“แกยังคิดถึงโทโมะอยู่...”
“เฮ้ย เกี่ยวไรอ่ะ O_o?” ตอนนั้นที่ฟางพูดฉันถึงกับตกใจออกมาหน่อยๆเพราะว่าไม่เข้าใจว่าทำไมฟางถึงพูดแบบนั้นออกมา
“ก็...” ฟางบอกแล้วในตอนนั้นนั่นเองที่สายตาของฟางทำให้ฉันเลื่อนมองตามไปก็พบว่าฟางกำลังมองไปยังกลุ่มเคโอติคที่กำลังนั่งอยู่จากตรงนี้ไม่นาน “เขาเป็นรักแรกป่าววะ...”
“...”
ตอนนั้นที่ฟางพูดสายตาของฉันหยุดอยู่ตรงผู้ชายผมดำที่เมื่อครั้งแรกที่เจอกันมันเป็นสีส้มอย่างโทโมะกำลังนั่งอยู่กับเขื่อนแล้วกินขนมกัน
และจากนั้นฉันก็หลุบสายตาลงต่ำก่อนจะหันมามองฟางที่ก็ละสายตาจากเคโอติคมามองฉันเช่นกัน...
“การ ที่แกไม่ค่อยอยากอาหารอ่ะ มันเป็นเพราะทุกครั้งที่แกตักข้าวเข้าปากมันจะคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ทำให้ แกรู้สึกตื้อในหัวสมองไปหมดจนไม่อยากกินข้าวเลยไง...”
“...!”
“ถ้าตอนที่แกกินแล้วนึกถึงโทโมะอ่ะ แสดงว่าแกยังไม่ลืมเขา”
“...”
“ฉันพูดถูกมั้ย?”
เมื่อฟางถามด้วยสีหน้าที่แลดูจริงจังฉันก็หลุบสายตาลงต่ำทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงไม่พูดปฏิเสธฟางไปว่า ‘ไม่ใช่’ อาจจะเป็นเพราะว่ามัน ‘ถูก’ อย่างที่ฟางพูดมามั้งฉันเลยไม่ได้ตอบอะไรไป
“ถ้าถูกแล้วจะยังไงต่อล่ะ” ฉันเงยหน้ามองฟางก่อนจะหันไปมองกลุ่มเคโอติคนิ่งๆ “ฉันน่ะ...ไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้หรอกจนกระทั่งมาเจอเขา” ฉันพูดน้ำเสียงเรียบขณะที่สายตายังคงมองโทโมะ
“...”
“ แต่สุดท้าย...ฉันก็กลับต้องมาพยายามลืมคนที่เป็นรักแรกเนี่ยนะ ตลกเน๊อะ”
“แต่ถ้าแกรักเขาจริงๆก็ไม่จำเป็นต้องลืมเขาก็ได้นะเว้ย”เมื่อฟางพูดฉันจึงหันกลับไปมองฟางนิ่งๆ ฟางจึงพูดต่อ“ตอนแรกอ่ะฉันก็อยากจะให้แกลืมโทโมะนะเว้ย เพราะที่แกเล่ามาเป็นฉัน ฉันก็เจ็บจนอยากลืมเหมือนกัน”
“...”
“แต่ว่า...สิ่งที่ฉันเห็นอ่ะ มันคือสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่อยู่ในโรงเรียนนี้เลยนะ”
“หมายถึง?”
“โทโมะ ไง...หมอนั่นน่ะไม่เคยมีอาการแบบนี้เลยนะ เขาไม่เคยออกอาการโมโหใคร หงุดหงิดใส่ใครออกนอกหน้า ถ้าเมินได้คือเมินเลย แต่ว่าที่ฉันเห็นเนี่ยมันต่างจากตอนนั้นมาก คือโทโมะไม่ได้ออกอาการ ‘เมิน’ แกเลยนะเว้ย เหมือนเขาพยายามที่จะเข้าหาแก แต่แกดันโกรธไม่ยอมคุยด้วยจนเขาโมโหแบบนั้น ตรงนี้แหละที่ฉันไม่เคยเห็น”
“แล้ว...”
“บางที...ฉันก็คิดว่า โทโมะอาจจะชอบแกจริงๆนะเว้ย”
กึก!
“...!”
ตอน นั้นคำพูดของฟางมันเหมือนกับที่หยุดเวลาให้ทุกอย่างหยุดไปชั่วขณะเพราะว่า ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ฟางคิดเช่นนี้ แต่ว่า...ที่ฟางพูดมาฉันเองก็ไม่อยากจะมั่นใจนักหรอก อย่าหาว่าฉันอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ แต่จะให้ปักใจเช่นอะไรไปง่ายๆฉันทำไม่ได้จริงๆ
แล้วยิ่งโดนมากับตัวว่ามันเป็นยังไง ฉันยิ่งทำไมไม่ได้ที่จะเชื่อ...
“...”
“ทำไม ถึงคิดแบบนั้นอ่ะ”
“ก็ไม่รู้ดิ เซ้นต์บอกมาล่ะมั้ง?” ฟางยักไหล่
“งั้นเซ้นต์แกคงไม่จริงหรอก เพราะว่าโทโมะเขาไม่ได้ชอบฉัน เขาชอบคลอรีน และฉันก็ไม่รู้สึกแปลกใจด้วยว่าทำไมเขาถึงชอบเธอ”
“โทโมะบอกแกว่า ‘ชอบ’ เหรอ?”ฟางถามแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงแต่ฉันก็นิ่งไม่ได้ตอบอะไร “แต่ที่แกเล่าให้ฉันฟังตอนที่อยู่ร้าน แกบอกว่าโทโมะพูดว่า ‘เคยชอบ’ ไม่ใช่เหรอวะ”
“ก็...ใช่...”
“งั้นแสดงว่าตอนนี้โทโมะไม่ได้ชอบคลอรีนแล้ว แต่ตอนนั้นอาจจะแค่โมโหที่โดนหักหลังเลยแสดงอาการออกมาแบบนั้น ”
“แล้วฟางรู้ได้ไง” ฉันถามจากนั้นฟางก็ชะงักไปสักพัก “บางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ”
“ใช่ ไม่ใช่ไม่รู้หรอก ที่รู้แน่ๆคือถ้าโทโมะยังชอบคลอรีนอยู่คงไปหาคลอรีนแล้วแหละไม่มาสนใจอยากจะคุย กับแกแบบนี้หรอก เพราะฉันอยู่ที่นี่มานานก่อนแก ฉันรู้ว่าหมอนี่น่ะเป็นยังไง แต่ไอ้อาการของเขาที่ฉันเห็นเมื่อไม่นานมานี้อ่ะ ย้ำเลยว่ามันเพิ่งมาเกิดขึ้นมาแก ‘แค่คนเดียว’ เนี่ยแหละ” จบคำพูดนั้นฟางก็ก้มหน้าลงแล้วเอาตะเกียบคีบขนมทาโกยากิใส่ปากแล้วไม่พูดอะไรอีก
“...”
“เอ้า อย่านั่งเงียบดิ กินข้าวๆ” ฟางบอกเมื่อเห็นว่าฉันเอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็พยักหน้านิดๆแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อแต่ก็ยังมิวายหันไปมองกลุ่มเคโอติคอยู่ดี
ให้ตายสินี่ฉันกำลังเป็นอะไรอยู่เนี่ย? ไม่ๆๆๆๆๆๆๆ อย่าหวั่นไหวสิแก้ว! เธอบอกเองว่าจะลืมเขาไม่ให้เหรอ? ที่ ฟางบอกมามันอาจจะไม่ใช่ก็ได้นี่นา คนแบบโทโมะนี่เดาใจยากอยู่แล้วนี่ หรือว่าที่เขาทำแบบนี้เป็นเพราะฉันเป็นเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เป็นลูกสาวเพื่อ พ่อด้วยเขาเลยไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้
ใช่! คนอย่างเธอโทโมะเขาไม่มีทางชอบหรอกแก้ว ><! ดูที่เขาทำกับเธอไว้สิ!
ไม่ รู้ว่าฉันเป็นบ้าอะไรที่เหมือนกับว่ามีเสียงในหัวบอกแบบนั้น แต่ภาพของโทโมะในตอนที่เขาจูบมุมปากของฉันที่ห้องสมุดวันนั้นก็ปรากฏขึ้นมาต่อ หน้าจนฉันต้องส่ายหน้าเบาๆเพื่อให้ภาพนั้นมันหายไป
ครืด
“ฟางฉันจะไปซื้อขนมเอาอะไรมั้ย”ฉันถามฟางอย่างร้อนรนเมื่อภาพของโทโมะมันไม่หายไปสักทีเลยคิดว่าจะเขาไปที่ร้านขนม สักพักเพื่อสงบสติตัวเอง ฟางที่นั่งกินทาโกยากิอยู่เต็มปากก็เงยหน้าขึ้นมามองฉันงงๆ
“อาอาอมอั๊ยอ๊ะเอี้ย? เอนไอ? O*O? ( มาอารมณ์ไหนวะเนี่ย? เป็นไร?) ”ฟางถามขณะที่กำลังเคี้ยวทาโกยากิเต็มปาก
“ไม่ได้เป็นไร ว่าจะไปซื้อขนมแกเอาไรมั้ยล่ะ?” “เอ่าแอ้วอ้าวอ่ะ? ( เอ่าแล้วข้าวอ่ะ? )”
“กินไม่ลงอ่ะ ตอนนี้ฉันอยากกินขนมมากกว่า” ฉันบอกฟาง
ให้ตายเหอะ! ตั้งแต่พยายามจะลืมโทโมะมานี่ฉันแทบจะกินขนมขบเคี้ยวแทนข้าวอยู่แล้วนะจะบอกให้ >O<! เป็นบ้าอะไรเนี่ยปกติฉันไม่เคยเป็นแบบนี้นะบ้าจริงๆเล้ย! แล้วทำไมจะต้องมาเป็นอะไรแบบนี้ด้วยก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ = =?
“เอาอ็อคโอแลตอันอึง”( เอาช็อคโกแลตอันนึง )เมื่อฟางบอกฉันก็พยักหน้าให้ก่อนจะเดินตรงก้าวขาฉับๆเข้าไปในมินิมาร์ท
พอเดินเข้ามาฉันก็เดินๆเลือกๆมองขนมอยู่นานความรู้สึกตอนนี้มันอยากกิน ทุกอย่างเลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร หรือว่าฉันจะคิดถึงโทโมะอย่างที่ฟางบอกจริงๆ? แต่มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ยฉันยังงงเลยอ่ะ สงสัยต้องไปหาข้อมูลศึกษาเองซะแล้วล่ะให้ตายสิ=[]=;;;
“หยิบแต่ช็อคโกแลตระวังอ้วนนะ ^^”
ขวับ
O_O?
“หือ?”
เมื่อฉันกำลังเลือกๆเอาขนมอยู่นั้นจู่ๆเสียงใครที่ไม่คุ้นก็ทักขึ้นมาข้างๆซะ อย่างงั้นจนฉันตกใจหน่อยๆ แต่พอเมื่อหันไปมองกับตกใจพร้อมๆกับงงไปด้วยว่าทำไม ‘เขา’ หนึ่งในกลุ่มเคโอติคถึงยืนพูดกับฉันตรงนี้
และถ้าฉันจำไม่ผิดนะเขาน่าจะชื่อว่า...ว่า...เขื่อน ใช่มั้ย?
เขา สูงประมาณ 170 ได้ แถมมีหน้าตาที่ดูเด็กด้วย แถมที่แก้มสังเกตได้เลยว่าเขานั้นมีลักยิ้มด้วยสิ ละ...แล้วทำไมเขาถึงเดินมาทักฉัน เอ๋? เขาทักฉันใช่มั้ย?
“พูดกับเธอนั่นแหละครับ ^^” เขื่อนบอกเมื่อเห็นว่าฉันมองหน้าเขางึกงักแล้วหันมองไปด้านหลังเพื่อให้แน่ใจว่าเขาพูดกับฉันจริงๆ
“อ๋อ มะ...มีอะไรกับเราเหรอ” ฉันถามแล้วเอานิ้วชี้ตัวเอง
“เอ่อ =[]=???”
“อ่อ ขอโทษที่ทำให้งงแฮะๆ” เขื่อนเอามือเกาผมสีดำของตัวเอง “แก้วชอบกินช็อคโกแลตเหรอฮะ?”
แหม่ รู้ชื่อฉันด้วย?
เขื่อนถามขณะที่ฉันก็งงๆอยู่ว่าทำไมเขาต้องทำเหมือนอยากจะเข้ามาคุยกับ ฉัน ทั้งๆที่ปกติฉันไม่เคยที่จะคุยกับเขาเลยนะ นอกจากจองเบที่ตอนนั้นคุยกันแค่นิดเดียวเอง แล้วทำไม...เขื่อนถึง
“อื้ม”ฉันบอกพลางพยักหน้าไปด้วย
“ว๊า ชอบกินช็อคแลตแบบเดียวกับโทโมะเลยอ่ะ ^^”เขาบอกแล้วคำพูดนั้นก็ทำให้ฉันหุบยิ้มลงหน่อยๆ “เนี่ยเขาก็ฝากฉันมาซื้อช็อคโกแลตแบบเดียวกันกับแก้วเลยนะ”
“อ๋อ”
ฉันตอบไปแค่นั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ‘เขื่อน’ ที่ ยิ้มสดใสมาให้ และสายตาของฉันก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าฉันกับเขื่อนเหมือนว่ากำลังจะถูกนักเรียนในมินิมาร์ทนี้มองอย่างสนอกสนใจกัน สนตอนนี้ฉันเริ่มทำตัวไม่ถูกเสียแล้วสินะเนี่ย
“^^”
“งั้น...ขอตัวนะ” ฉันบอกแล้วทำท่าว่าจะเดินออกไปจากตรงนี้ทว่า...
“เอ่อเดี๋ยวก่อนครับ ^O^//” เสียง เขื่อนเอ่ยมาจากทางด้านหลังพร้อมกับปลายเสื้อสูทของฉันที่ถูกดึงเอาไว้ พอฉันหันไปมองเขางงๆ เขาก็ยิ้มให้แล้วชี้มาที่ขนมในมือฉัน “ฉัน...ขอช็อคโกแลตป๊อกกี้ในมือได้มั้ย”
“อ่ะ..อะไรนะ?”
ฉันถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขื่อนขอขนมในมือฉันจริงๆ อะไรของเขาเนี่ยทำฉัน ‘เงิบ’ ได้ตั้งแต่คุยกันวันแรกเนี่ยนะ? โห เป็นผู้ชายที่...มีความน่ารักในแบบแปลกๆเท่าที่ฉันเคยเจอเลย
จริงๆ
“ขนมป๊อกกี้ในมืออ่ะฉันขอได้มั้ย? ส่วนเธอก็เอาอันนี้ไป ^_^”
“????”
ตอน นั้นฉันงงๆจนทำอะไรม่ถูกเลย เพราะไม่รู้ว่าทำไมเขื่อนทำอยากจะได้ขนมในมือฉันเพราะว่าเขาหันไปหยิบขนม ป๊อกกี้แบบเดียวกันกับในมือฉันแล้วจู่ๆไม่รู้เป็นเพราะอะไรหรือว่าเป็นเพราะ ความมึนงงของตัวเองฉันเลยเผลอยื่นเอาอันของฉันให้เขื่อนแล้วจากนั้นเขื่อนก็ เอาไปพร้อมกับเอาขนมป๊อกกี้อีกกล่องมาให้ฉัน ( เพื่อ? )
อะไรของเขาเนี่ยฉันล่ะงง = =??
“คัมซาฮานีดา ขอบคุณนะคร้าบบบบ ^O^//” เขื่อนโค้งตัวให้ฉันเล็กน้อยจนฉันต้องเลิกคิ้วขึ้นแต่เขื่อนก็แค่ยิ้มให้ก่อนจะเดินผ่านฉันไป ปล่อยให้ฉันยืนงงแล้วมองขนมป๊อกกี้อันที่เขื่อนหยิบให้ในมือ
ส่วนอันของฉันเขื่อนก็เอาไปแล้วเรียบร้อย = =;;;
[ ช่วงของคโอติค ]
“ไปไหนมาวะไอเขื่อน”
“ขนมเต็มมือขนาดนี้ผมคงไปห้องน้ำมามั้ง?” เขื่อนพูดประชดขำๆแล้วนั่งลงข้างๆโทโมะก่อนที่เขาจะเอาขนม ‘ป๊อกกี้’ ของโปรดโทโมะยื่นให้ตรงหน้า “อ่ะ เอา ‘ของดี’ มาฝาก”
“ดีตรงไหนก็ขนมแบบเดิมนั่นแหละว๊า” เคนตะว่าพลางกดเลื่อนโทรศัพท์เล่นไปพลางๆ
“แต่อันนี้พิเศษกว่า ^^”
เมื่อเขื่อนพูดแบบนั้นเพื่อนๆในกลุ่มจึงต้องละสายตาจากสิ่งอื่นมาสนใจเขาในทันที ทันใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งโทโมะที่นั่งอยู่ข้างๆก็ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงงๆว่าที่ เขื่อนพูดมานั้นเขาต้องการจะบอกอะไรกันแน่นะ? แล้วไอ้ที่ว่า ‘อันนี้พิเศษกว่า’ นี่คือยังไงกัน
“พิเศษยังไงวะ =[]=?” เคนตะถาม
“ก็ขนมเนี๊ยะ ฉันได้มาจากมือของแก้วเลยน้า”
กึก!
O_O!!!
“แกเอามาได้ไงวะ?!” ป๊อปปี้พูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าเขื่อนได้ของดีมาให้โทโมะได้จริงๆ
“ก็อ่านะ คริ คริ ^^”เขื่อนหัวเราะพลางทำมือเก็กหล่อเอาไว้ที่คางตัวเองก่อนจะหันไปมองโทโมะที่กำลังมองเขาอยู่ “เนี่ย ฉันอุตส่าห์เอามาให้เลยนะ จากมือแก้วเต็มๆ แกจะกินหรือจะเก็บเอาไว้ก็เรื่องของแกแล้วแหละนะ”
“อั๊ยยะ!” คราวนี้เพื่อนๆในกลุ่มต่างแซวแต่โทโมะเขาแค่ยิ้มบางๆออกมาก็เท่านั้น
เพราะว่าหลายวันมานี้เขาไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรกับแก้วเลย เขาแค่เฝ้ามองเธออยู่ห่างๆเพียงเท่านั้นเอง เพราะโทโมะเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าเขาไม่เข้าไปยุ่งอะไรกับแก้ว แก้วจะมีใจคิดถึงเขาบ้างมั้ย? หรือว่าเธอจะลืมเขาได้จริงๆ แต่สรุปว่าหลายวันที่ผ่านมาเขายังคงเห็นแก้วใช้ชีวิตได้ตามปกติ
แต่ว่าโทโมะเนี่ยสิที่แทบอยากจะบ้าตายเข้าทุกวัน ที่เขาใจไม่แข็งแรงพอที่จะเข้าหาแก้วอีก เพราะว่าเขากลัวว่าตัวเองจะเผลอพูดอะไรบ้าๆแล้วก็ทำการกระทำอะไรที่ทำให้แก้วโกรธเขาอีกน่ะสิ แล้วยิ่งถ้าเห็นแก้วร้องไห้นี่ เขาแทบจะไปไม่เป็นเลยล่ะ
“ไอ้เขื่อนรุกให้ขนาดนี้แล้วอ่ะ แล้วแกอ่ะจะเอาไงต่อ ฉันเห็นแกเงียบๆไม่ทำอะไรเลยมาหลายวันแล้วนะเว้ย” ป๊อปปี้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยถาม
“...”
“ถ้าไม่เคลียร์แล้วปล่อยไปอย่างเงี๊ยะเรื่องก็ไม่จบหรอก”
“เออแล้วไอ้ป๊อปทางแกเขาว่าไงบ้างอ่ะ” จองเบหันไปถามป๊อปปี้
“ก็...ไม่รู้ดิว่ายัยนั่นจะช่วยพูดให้มั้ย แต่มันหลายวันแล้วอ่ะ ฉันว่าคงไม่หรอกมั้ง?” ป๊อปปี้บอกอย่างหมดหวัง
แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่า ‘คำขอ’ ของเขามันเป็น ‘จริง’ เข้า แล้วไง เพราะว่าตอนนี้ฟางกำลังช่วยโทโมะอยู่เพราะหลายวันมานี้มันมีอะไรหลายๆอย่างที่ ทำให้เธอแปลกใจเกี่ยวกับโทโมะมิใช่น้อยเมื่อเธอลองทบทวนดู แต่ว่าตอนนี้พวกเคโอติคนั้นยังไม่รู้หรอก แต่คงอีกไม่ช้านั่นแหละ
“แกกก็ลองไปถามดูอีกทีดิ”
“โห่ไอ้เคน แกรู้ป่ะว่ายัยนั่นตอกกลับฉันจนฉันแทบไม่อยากถามอีกอ่ะ”
“อ๋อที่แท้ก็กลัวโดนด่า? เด่ออออ ป๊อด!”
“ไม่ได้ป๊อดเว้ยแต่ฉันแค่รำคาญเสียงบ่นยัยนั่น ><!”
“เออ! นั้นแกจำไว้เลยนะถ้าวันไหนที่แกไม่เห็นยัยฟางมาพูดว่าแกอะไรต่างๆนาๆแบบนี้แล้ว แกก็อย่ามานั่งเหงาแล้วกัน”
“เห๊อะ! ไม่มีทางหร๊อก! ฉันจะมานั่งเหงาเพราะยัยนั่นทำไม ><?”
“เออ ฉันว่าจะถามแกตั้งนานละ สรุปหลายวันมานี้แก้วเป็นไงบ้างอ่ะตอนอยู่ที่บ้านอ่ะ”จองเบหันไปถามโทโมะที่เอาแต่นั่งเงียบ
“เธอไม่ค่อยอยู่บ้านว่ะ เสาร์อาทิตย์ก็ไปทำงานกับฟาง วันธรรมดาเลิกเรียนก็ไปกลับบ้านตั้งสามสี่ทุ่ม” โทโมะตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูตัดพ้อแล้วเหมือนจะออกอาการนอยด์หน่อยๆ
“อ๋อ Get และ! ที่แท้ที่ไม่ได้ไปเล่นกีฬากับพวกฉันบ่อยเหมือนเก่าเพราะว่าไปแอบตามแก้วมาอ่ะดิ” ป๊อปปี้ว่าเพราะว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้ไปแข่งกีฬากับทางโรงเรียนมาแล้วชนะด้วยสิ
แต่โทโมะไม่ได้อยู่ฉลองด้วยจนดึกเพราะเขามีภารกิจที่ต้องไปตามดูแก้วในตอนเย็น ทุกเย็นที่ร้านกาแฟของพี่ฟาง อ่าห้ะ! เขาตามเธอตลอดแหละ จนรู้ว่าตอนไหนที่เธอกลับเวลาใด เขาก็จะแอบตามเธอเดินกลับบ้านบ่อยๆโดยที่แก้วเธอนั้นไม่ได้รู้เลยด้วยซ้ำ
“แอบตามแบบนี้คงได้คุยหรอกมั้งเนี่ย เจอก็รุกเลยดิวะ ปล่อยแบบนี้ได้ไง”ป๊อปปี้ว่า
“ก็ฉันไม่รู้จะพูดยังนี่หว่า ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งทำให้แก้วโกรธ ยิ่งฉันพูดฉันเหมือนยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้”
“ไม่ได้จะจุดปมนะ แต่ถ้าเมื่อก่อนแกกล้าบอกรักคลอรีน ตอนนี้แกก็ควรกล้าที่จะบอกรักแก้วได้แล้ว”
“...”
“งั้นขอถามครั้งสุดท้ายนะ...” เมื่อป๊อปปี้พูดโทโมะเงยเงยหน้าขึ้นไปมองเขาตรงๆ แล้วก็เห็นว่าป๊อปปี้แลดูมีสีหน้าที่จริงจังกับคำถามต่อไปนี้มากเลยทีเดียว “แก้วเนี่ย...จริงจังใช่มั้ย?”
“O_O???” >>> เพื่อนในกลุ่มที่เหลือ
ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...
“...มากอ่ะ”
[ จบช่วงของเคโอติค ]
ดึกของวันนั้น...
“ให้ตายเหอะตั้งแต่เราสองคนมาช่วยร้านกาแฟพี่เนี่ย ขอบอกเลยว่าลูกค้าเข้าร้านเยอะมาก"
‘พี่ฟ้า’ พี่สาวแท้ๆสุดน่ารักของฟางเอ่ยในตอนที่ฉันกับฟางเก็บร้านกันอยู่เพราะว่าลูกค้า ที่มานั่งทานก็หมดแล้ว คงมีเหลือแต่ลูกค้าที่สั่งขนมเอาไว้ที่มารอเอาขนมกับกาแฟอยู่ประมาณสามสี่คน ได้
“เวอร์ไปๆๆ พูดแบบนี้ต้องการอัลไลบอกมาเลยดีกว่าฟ้า” ฟางเงยหน้าจากการเช็ดโต๊ะไปบอกพี่ฟ้ากำลังคิดเงินให้ลูกค้าอยู่ที่เคาน์เตอร์
ฟางกับฟ้าน่ะถึงจะเป็นพี่น้องกันก็จริงแต่เวลาที่ฟางเรียกฟ้าจะเรียกแค่ ‘ฟ้า’ อย่างเดียว เพราะไม่อยากให้มีอายุและคำพูดว่า ‘พี่’ มา ปิดกั้นความสนิท และถึงทั้งสองจะต่างกันคนละขั้วเพราะจากนิสัยที่ฟางออกห้าวแมนๆ ฟ้าก็จะออกไปทางอ่อนหวานน่ารักๆใจดีๆเสียมากกว่า
แต่ฉันคิดนะว่าถึงเราจะต่างกันคนละขั้วแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนิทกันไม่ได้นี่นา ^^
“ปล่าว แต่มีเด็กเสิร์ฟน่ารักตั้งสองคนก็ไม่แปลกที่มีคนเข้าร้านเยอะ ^^” ฟ้าหันมาบอกฉันกับฟางก่อนจะหันไปบอกคุณลูกค้าเมื่อคิดเงินเสร็จ
“แหม่ เข้าร้านเยอะไม่เห็นมีใครมาจีบสักคน ปัดโถ๊ะ”เมื่อฟางพูดแบบนั้นฉันกับฟ้าก็หัวเราะออกมา
ก็ร้านนี้น่ะ มีแค่ฉันฟางฟ้าแค่นั้นแหละที่ช่วยกันทำงาน แต่ก็ดีนะมันเงียบสงบดี ไม่ค่อยวุ่นวายสักเท่าไหร่เพราะร้านนี้ก็เป็นร้านกาแฟเล็กๆ แต่ก็น่ารักไม่เบาเลยแหละ รอบร้านนั้นก็ติดไปด้วยกระจกใสทำให้ลูกค้าที่มานั่งกินนั้นเห็นวิวทิวทัศน์ ข้างนอกในยามกลางคืนได้อย่างดีเลยทีเดียวเชียว
และฉันก็มีความสุขนะที่ได้มาทำงานเสริมที่นี่เพื่อหารายได้เสริมไปใน ตัว แถมไม่ต้องมีเรื่องอะไรมาคิดให้มันหนักหัวอีกด้วยสิ ส่วนพ่อกับพิชชี่ก็อยู่บ้านเพราะครั้งนี้ฉันขอพ่อว่าไม่ให้ทำงานกลางคืน ให้ทำเฉพาะตอนเช้าเพราะว่าฉันไม่อยากให้ท่านออกไปไหนตอนกลางคืนน่ะ
อีกอย่าง ฉันคิดว่าตัวเองน่ะสามารถหาเงินในช่วงกลางคืนให้พ่อได้โดยการมาทำงานที่นี่ แถมพ่อจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยด้วยไง แถมจะได้มีเวลาอยู่กับพิชชี่มากขึ้นด้วย
ส่วนฉันน่ะถึงมาทำงานที่นี่ก็ไม่ได้ห่างจากท่านหรือพิชชี่หรอกถึงเสาร์อาทิตย์ฉันจะมาทำงานก็เถอะนะ
“ก็ทำตัวให้น่ารักแบบแก้วสิจะได้มีหนุ่มๆเข้ามาหาบ้าง นี่ฟางเล่นห้าวใส่แบบนี้ผู้ชายคนไหนจะกล้าเข้ามาจีบเล่า”
“โห่ฟ้าอ่ะ >^<”ฟางถึงกับทำปากมุ่ยใส่ฟ้า จนฉันเองก็อดอมยิ้มไม่ได้เลย
วูบ...
ขวับ
“?”
ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองรึปล่าวที่ว่าเหมือนกับว่าใครกำลังมองอยู่ ฉันเลยละสายตาจากการเช็ดโต๊ะอยู่ไปมองข้างนอก แต่ก็ปรากฏว่าไม่พบใครเลยเพราะว่าตอนนี้ร้านทางฝั่งตรงข้ามก็ต่างพากันปิด ร้านกันเพราะว่านี่มันก็สี่ทุ่มกว่าแล้วจึงไม่ค่อยมีคนแล้วไง
แถมฝนที่หายไปก็เหมือนว่าอยากจะตกลงมาอีกแล้วสิ
“มองไรวะแก้ว?”
“ปล่าวๆ” ฉันบอกกับฟางก่อนจะเดินเอาผ้าเช็ดโต๊ะกับผ้าที่ใส่กันเปื้อนไปเก็บไว้หลังร้านเมื่อทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“แล้วนี่แกจะเดินกลับเองหรือให้ฉันไปส่งอ่ะ”เมื่อฉันเดินออกมาฟางที่กำลังจะเดินเข้ามาหลังร้านพอดีเลยถามขึ้น
“เดี๋ยวฉันเดินกลับเองอ่ะ ทันฝนยังไม่ตก”
“อืมๆ งั้นกลับดีๆนะเว้ยมีอะไรโทรหาฉันนะ เออแล้วโทรศัพท์แกอ่ะดูแลดีๆนะ อย่าให้มันเสียอีกล่ะ”
“โอเค คราวนี้ฉันจะดูแลให้ดีกว่าเดิมเลยแหละเออแล้วพรุ่งนี้มารับฉันเวลาเดิมใช่ป่ะ”
“ตามนั้นแหละสิบเอ็ดโมงเดี๋ยวไปรับที่บ้าน >_O”
“อืมโอเค งั้นฉันไปก่อนนะ บาย” ฉันบอกฟางแล้วยกมือบ๊ายบายก่อนจะเดินไปบอกฟ้าแล้วก็เดินออกจากร้านไปท่ามกลางอากาศที่มันเริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
สองมือโอบกอดตัวเองพลางกวาดสายตามองไปรอบๆก็พบเห็นแค่ถนนที่ว่างปล่าวในย่านนี้กับแสงไฟสีส้มริมทางเดินที่ส่องกระทบกับต้นไม้ในยามกลางคืน ฉันเดินไปก็พลางถอนใจไปพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวต่างๆในวันที่ผ่านมา แต่น่าแปลกที่การนึกถึงเรื่องที่มันเกี่ยวกับโทโมะนั้นยิ่งทำให้ฉันรู้สึก เหมือนคิดถึงในวันเก่าๆ
ทั้งๆที่เรื่องพวกนั้นมันไม่ควรที่จะคิดถึงมันเลย...
สักพักต่อมา...
แปะ...แปะ...แปะ...
“เอ๋า? ตกไรตอนนี้เนี่ย?” ฉันรีบยกมือถึงมาบังหัวตัวเองเพราะรู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำหลายหยดตกใส่หัว
ให้ตายสิ! ฉันไม่มีร่มด้วนะเนี่ยมาตกอะไรตอนเน้ >O<!!!!!!
ตึกๆๆๆๆๆ
ฉันใช้ฝีเท้าของตัวเองวิ่งไปเรื่อยๆจนกระทั่งฝนมันเรื่มลงเม็ดหนักมากขึ้น ฉันถึงมองหาที่หลบฝนแถวๆทางเดินบนฟุตบาทก็พบว่ามีจุดรอรถเมล์ที่ตอนนี้ไม่มี ใครเลยเพราะว่าดึกมากแล้ว ตามทางเดินนี่คงมีแค่ฉันคนเดียวงั้นสินะ แถมฝนมาตกแบบนี้อีก
เออโชคดีมาก! ( ประชด = =;;; )
ซ่า! ซ่า! ซ่า!
เชื่อมั้ยว่าตอนนี้ฉันยืนตัวสั่นอยู่ในจุดรอรถที่ไม่มีรถวิ่งผ่านเพื่อรอให้ฝนหาย ตกก่อนแล้วค่อยเดินกลับบ้าน แต่ดูท่าทีแล้วฝนเหมือนว่าจะไม่มีทางซาลงง่ายๆแน่อ่ะ ลงเม็ดหนาซะขนาดนั้นแถมละอองฝนยังสาดเข้ามาใส่ร่างกายของฉันจนฉันต้องก้าว ถอยหลังเข้าไปด้านในอีก
กึก!
“...!”
และ ในตอนที่ฉันกำลังกวาดสายตามองไปรอบๆนั้นอยู่ๆดีสายตาของตัวเองก็ไปสะดุดอยู่ ที่ร่างสูงของใครคนหนึ่ง ที่เขากำลังยืนกลางร่มอยู่ทางฟุตบาทฝั่งตรงข้ามแล้วกำลังมองมาทางนี้ ฉันจำได้ต้องเบิกตากว้างเมื่อร่างสูงนั้นคือคนที่ฉันไม่คิดเลยว่าจะเจอเขาที่นี่
โทโมะ...ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?
ในระหว่างที่ฉันกำลังสับสนอยู่ ร่างสูงของโทโมะก็เดินกางร่มเดินข้ามถนนฝ่าสายฝนมาหาฉันที่กำลังมองเขาอยู่ โทโมะเดินเข้ามาในจุดรอรถก็ที่เขาจะเอาร่มลงแล้วมองฉันที่กำลังมองเขาอยู่นิ่งๆแต่ว่า...ฉันไม่อยากเจอเขา! ทำไมถึงต้องเจอด้วย! ฟ้ากลั่นแกล้งกันเหรอ? ฉันไม่อยากทะเลาะอะไรกับเขาหรอกนะ
เมื่อ คิดได้ดั่งนั้นฉันจึงเลี่ยงจากการสบสายตากับโทโมะแล้วเดินเลี่ยงออกไปอีก ทาง ก็คิดซะว่าเดินฝ่าฝนกลับบ้านก็ยังดีกว่าที่อาจจะต้องเสี่ยงมาทะเลาะกับเขาละกัน
หมับ!
“จะไปไหน? ไม่เห็นเหรอว่าฝนมันตกอยู่” โทโมะคว้าข้อมือของฉันเอาไว้แล้วพูดเหมือนจะดุกัน
“...” แต่ คิดเหรอว่าฉันจะตอบ ฉันไม่ได้หันไปมองโทโมะหรอกแต่แค่กัดปากตัวเองแล้วสะบัดมือของโทโมะออกจากมือของตัวเองจนหลุดได้สำเร็จ และวินาทีนั้นฉันไม่คิดอะไรเลยนอกจากวิ่งฝ่าฝนออกไป คุณคงคิดว่าฉันบ้า แต่คิดไปเถอะ เพราะว่าถ้าคุณมาอยู่ตรงจุดที่น่าอึดอัดแบบนี้คุณก็คงจะทำแบบเดียวกันกับฉัน
แหม่ ไม่ได้เจอตั้งหลายวันคิดว่าจะไม่ได้เจออยู่แล้วเชียว สุดท้ายก็เจอจังๆจนได้!
ตึกๆๆๆๆ
หมับ!
“แก้ว!”
“ปล่อยเรา!”และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ฉันตะคอกใส่โทโมะ
เพราะโทโมะวิ่งมาตามจับกระชากแขนของฉันเอาไว้จนได้ ฉันก็หันไปผลักเขาออกท่ามกลางสายฝนที่ตอนนี้มันกระทบลงร่างกายของเราสองคน และถึงฝนจะตกหนักฉันก็รู้เลยว่าตอนนี้โทโมะแสดงสีหน้าที่ดูไม่พอใจแค่ไหน เห๊อะ! ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องมาตามฉันสิ ปล่อยให้ฉันวิ่งกลับบ้านไปสิ แค่นั้นก็จบ!
“เธอเป็นอะไรอ่ะ ทำไมต้องอยากออกห่างฉันด้วย?!” โทโมะพูดอย่างไม่เข้าใจ
“เพราะเราไม่อยากเห็นหน้านาย ไม่อยากเจอนายชัดมั้ย!?” ฉันพูดกับโทโมะอย่างสุดจะทนแล้ว
หลายวันมานี้ไม่ฉันไม่เห็นเลยว่าเขาจะมาหาเรื่องชวนทะเลาะหรือว่าอะไร มันก็ดีแล้วนี่?
แล้วทำไมวันนี้เขาถึง...!
“...”
“...”
“มานี่”ในตอนนั้นที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัวโทโมะก็จัดกากระชากแขนฉันให้เดินตามเขาไปแต่ฉันก็พยายามยื้อเอาไว้
“ไม่!”
“...”
แต่ตอนนั้นยอมรับเลยว่าฉันกลัวมากเพราะโทโมะไม่ได้ตอบอะไรเลยหลังจากนั้น ไม่ว่าฉันจะพยายามยื้อร่างกายของตัวเองเอาไว้สักแค่ไหน แรงกระชากของโทโมะทำให้ฉันต้องฝืนเดินตามเขาไป ทั้งๆที่ตัวเองกำลังขัดขืนโดยการสลัดมือของเขาออกแต่ทว่าครั้งนี้มันไม่ได้ ผลใดๆเลย
เพราะมือของโทโมะยิ่งบีบข้อมือของฉันเอาไว้แรงขึ้น และไม่นานที่เขากระชากฉันให้เดินตามเขามาที่ข้างทางที่มีตู้โทรศัพท์สาธารณะ อยู่เพียงแค่ตู้เดียวท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ
“โทโมะราเจ็บปล่อยเรานะ!”
“เข้าไป” โทโมะบอกเสียงนิ่งแล้วมองหน้าฉันอย่างขาดโทษ
“ไม่! เราจะกลับบ้าน!” ฉันพูดเสียงดังแต่นั่นมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะโทโมะเปิดประตูตู้โทรศัพท์ออกก่อนจะดันร่างฉันให้เข้าไป
ปึง!
เมื่อดันฉันเข้ามาได้สำเร็จโทโมะก็ตามเข้ามาพร้อมทั้งเสียงปิดประตู้โทรศัพท์ที่ เสียงดัง แต่ตอนนี้ฉันยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นมากเพราะไม่รู้ว่าโทโมะจะทำบ้าอะไร แถมในตู้โทรศัพท์นี้ก็แคบเสียจนจะหนีออกไปได้ง่ายๆ แถมข้างนอกฝนก็ตกหนักอีก บ้าจริง!
“เธอจะเอายังไง”โทโมะถามในตอนที่เขาใช้สองมือของตัวเองจับไหล่ของฉันเอาไว้สองข้างแล้วดันให้แผ่นหลังของฉันติดกับกระจกตู้โทรศัพท์จนฉันทำอะไรไม่ถูก “อยากให้มันเป็นแบบโดยที่มันไม่เคลียร์?”
“...”
“แบบนี้เหรอที่เธอต้องการ?” โทโมะก้มหน้าลงมาพร้อมกับจ้องมองเข้าในดวงตาของฉันจนฉันเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาแล้ว “เธอบอกฉันมาสิว่าเธอต้องการอะไร ฉันจะได้รู้ไง”
“...”
“บอกสิแก้ว ”โทโมะพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นลงกว่าเดิมจนฉันเองก็แปลกใจว่าทำไมเขาไม่ตะคอกทั้งๆที่ดูจากอารมณ์แล้วเขาเหมือนว่าจะหมดความอดทน “รู้มั้ยยิ่งเธอไม่พูดฉันยิ่งเหมือนคนบ้าเขาไปทุกวันน่ะ...”
โทโมะ บอกด้วยน้ำเสียงที่ตัดพ้อและยิ่งไปกว่านั้นมือทั้งสองข้างเขาจากที่บีบไหล่ ฉันตอนนี้ก็เลื่อนมาจับเอาไว้ที่แก้มของฉันเบาๆ พอฉันก้มหน้าลงเขาก็จับให้ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาที่ดูเศร้าหมอง และฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมว่าทำไมโทโมะถึงเป็นเช่นนี้
“...”
“พูดมาสิ...”
“...”
“...”
“งั้นถ้าเราบอกว่าไม่อยากเจอนาย นายจะเชื่อเรามั้ย...”ฉันถามโทโมะออกไปตามตรงหลังจากที่เงียบมาสักพัก เพราะว่าฉันเองก็อยากจะรู้คำตอบเหมือนกันว่าวีจะตอบว่าอะไร
เพราะคำตอบของเขามันจะมาพร้อมกับคำถามอีกหลายคำที่ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือน กันว่าดขากำลังคิดอะไรอยู่ และที่เขามาเจอฉันที่นี่มันบังเอิญหรือว่าเขาตามฉันมา
“...”
“นายจะเชื่อเรามั้ยถ้าเราบอกว่าเราอยากจะลบนายออกไปจากชีวิตเรา...”
“ฉันไม่เชื่อหรอก” โทโมะตอบคำถามนั้นเหมือนกับว่าเขามั่นใจว่าฉันทำไม่ได้หรอกที่จะลืมเขาจริงๆ “เพราะว่าเธอน่ะ...ชอบฉัน...ชอบฉันแค่คนเดียว...”
ตึกตักๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
วินาทีนั้นหัวใจฉันเต้นแรงราวกับกับจะระเบิดออกมาเพราะว่าโทโมะโน้มหน้าของตัว เองลงมาจนปลายจมูกของเราสองคนชนกัน และฉันก็ไม่สามารถที่จะเลี่ยงหรือหลบหน้าไปทางไหนได้เลย และยิ่งตอนนี้ลมหายใจอุ่นๆของโทโมะที่มันรินรดอยู่ปลายจมูกของฉันจากอากาศที่ เย็นอยู่แล้วมันก็ยิ่งทำให้ฉันเริ่มรู้สึกเย็นไปกว่าเดิมเสียอีก
“...”
“...ฉันพูดถูกมั้ย...”โทโมะถามแต่คำถามนั้นของเขามันกลับกลบเสียงของสายฝนไปเลย
“แล้วนายรู้ได้ไงว่าเราจะเลิกชอบนายไม่ได้...”ฉันพูดออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆแล้วกำมือทั้งสองข้างของตัวเองไว้แน่น “ทำไมนายถึงมั่นใจนักว่าเราจะชอบนายได้แค่คนเดียว...!!!”
เฮือก!
ฉันตกใจจนเบิกตากว้างเมื่อโทโมะใช้ริมฝีปากร้อนระอุของโทโมะนั้นมาสัมผัสเข้าที่ ริมฝีปากของฉันอย่างนุ่มนวลและเชื่องช้าราวกับจะทรมานฉันให้ตายไปตรงนั้น ละอองฝนที่สาดเข้ามาในตู้โทรศัพท์ตู้นี้เป็นเหมือนน้ำเชื้ออะไรบางอย่างที่ ทำให้ฉันไม่สามารถยกมือผลักโทโมะออกไปด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบสาเหตุ แต่ที่รู้ๆคือมือของฉันไม่มีแรงแม้แต่จะขยับ มันแข็งทื่อราวกับหุ่นในตอนนั้น
“อึก...”
เมื่อโทโมะจับแก้มทั้งสองข้างของฉันให้ตอบรับสัมผัสของเขาที่มอบให้จนฉันเองก็แทบจะ ยืนไม่ไหวแล้วในตอนนี้ เพราะยิ่งริมฝีปากของโทโมะกดลงมาที่ริมฝีปากฉันมากขึ้นฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเอง เหมือนใจเต้นแรงเกินขีดจำกัดของหัวใจแล้วเหมือนว่าเลือดในร่างกายมันสูบฉีด ไม่ทัน
ตอนนั้นฉันก็เพิ่งรู้ว่าท้ายทอยของตัวเองโดนล็อคเอาไว้ในตอนที่โทโมะละ ริมฝีปากของเขาออกไปเพียงแค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้จริงๆ และเพียงไม่ถึง 3 วิ เขาก็จูบลงมาที่ริมฝีปากของฉันอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง...
เหมือนว่าอยากจะให้ฉันตอบรับสัมผัสของเขาและยอมรับหัวใจของตัวเองว่าฉัน ‘ไม่มีทาง’ ลืมเขาได้หรอก และจะ ‘ไม่มีวัน’ ที่ ฉันจะเลิกชอบเขาเด็ดขาด คำเหล่านี้มันแล่นอยู่ในหัวใจตอนที่โทโมะกัดเข้าที่ริมฝีปากของฉันและเขายิ่ง ใช้ริมฝีปากของตัวเองจาบจ้วงเข้ามาเรื่อยๆจนฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป
ซ่า ซ่า ซ่า!!!
ครึม ครึม
“อื้อ!”
หูของฉันอื้อทื่อไปหมดทั้งเสียงฝนเสียงฟ้าร้องมันยิ่งเบาลงเพราะว่าหายใจไม่ ออกเมื่อโทโมะไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากของเราห่างกันเลย และพอสักพักเขาก็ถอนริมฝีปากของตัวเองออกไปแต่หน้าผากกับปลายจมูกของเรายัง คงเตะกันอยู่ที่เดิมพร้อมกับแรงสูดหายใจเข้าปอดไม่นานนักเขาก็จูบเข้ามาที่ริมฝีปากของฉันเบาๆอีกครั้ง...
“ยอมรับซะเถอะ....”โทโมะละริมฝีปากออกแล้วพูดกระซิบที่หูของฉันเบาๆ และมันทำให้ฉันหนาวสั่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก กับคำพูดต่อมาที่เขาพูด “ว่าเธอหลงรักฉันจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว...”
“...” ฉันไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่มองสบสายตากับโทโมะที่เขากำลังมองฉันอยู่
และอยู่ดีๆคำพูดของฟางมันก็ผุดขึ้นมาในหัว
‘บางที...ฉันก็คิดว่า โทโมะอาจจะชอบแกจริงๆนะเว้ย’
‘แล้วฟางรู้ได้ไง...บางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ’
‘ใช่ ไม่ใช่ไม่รู้หรอก ที่รู้แน่ๆคือถ้าโทโมะยังชอบคลอรีนอยู่คงไปหาคลอรีนแล้วแหละไม่มาสนใจอยากจะคุย กับแกแบบนี้หรอก เพราะฉันอยู่ที่นี่มานานก่อนแก ฉันรู้ว่าหมอนี่น่ะเป็นยังไง แต่ไอ้อาการของเขาที่ฉันเห็นเมื่อไม่นานมานี้อ่ะ ย้ำเลยว่ามันเพิ่งมาเกิดขึ้นมาแก ‘แค่คนเดียว’ เนี่ยแหละ’
แต่ คำพูดของฟางน่ะ มันไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่ ถ้าโทโมะเขาคิดอะไรกับฉันจริงๆ ทำไมเขาไม่พูดมันออกมาเหมือนที่เขาเคยบอกกับคลอรีนล่ะ แล้วทำไมกับฉันเขาไม่พูดออกมาตรงๆเลยล่ะ ทำไมไม่พูด ถ้าเป็นเพียงแค่ ‘จูบ’ จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงว่าที่เขาทำเนี่ย
เขาต้องการที่แค่จะให้ฉันหายโกรธ...หรือว่าต้องการที่บอกบางอย่างกับฉันจริงๆ
แล้วถ้าเกิดว่าฉันกลับไปเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันกับเขาแบบเดิม แล้วมันกลับเหมือนสิ่งที่แค่ผ่านเลยไปเพียงแค่ว่า ก็หายโกรธแล้วนี่? แล้วสิ่งที่เขาทำที่ผ่านมามันแค่ทำให้เราสองคนรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรต่อกัน ถ้าเป็นแบบนั้น...ฉันจะไม่เจ็บไปกว่านี้เหรอ?
“...”
“ใช่...เรายอมรับ...” เมื่อฉันคิดฉันเลยตัดสินใจพูดออกมาแต่อยู่ดีๆน้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาซะอย่างงั้น “ยอมรับว่าเราชอบนายเกินที่จะลืมไปง่ายๆ”
“...”
“แต่ ว่า...เราก็สงสัยนะ ว่าทำไมนายถึงมาทำแบบนี้กับเรา ก็นายพูดเองไม่ใช่เหรอโทโมะ ว่าทำไมเราต้องเข้ามาในชีวิตนาย ทำให้นายปวดสมองแล้วก็สับสนด้วย นายพูดเอง...” เมื่อฉันพูดไปแบบนั้นน้ำตาก็ยิ่งไหลรินลงมาและมันทำให้โทโมะถึงกับชะงักไป
“...”
“เราก็พยายามแล้วนะ พยายามที่จะออกห่างพยายามที่จะลืมนายไม่ไปทำให้นายปวดสมองเรา พยายามที่จะเดินห่างออกมาแล้วโทโมะ แต่ทุกครั้งที่เราทำแบบนั้น...นายมายื้อเราไว้ทำไมอ่ะ...ทำไมนายจะต้องมาทำ แบบนี้กับเราด้วย นายตอบเราได้มั้ย?” ฉันพูดบอกโทโมะออกไปทั้งน้ำตาและหวังว่าตัวเองคงจะได้รับคำตอบที่มันกระจ่าง
แต่ผลสรุปว่า...โทโมะเงียบ
เขาไม่ตอบอะไรเลยสักอย่าง...
เพียงแค่ใช้สายตาของเขามองฉันอย่างไม่เข้าใจ
“...”
“นายก็บอกเรามาสิ ว่าทำไมทำไมโทโมะ!” ฉันตะคอกใส่โทโมะที่อยู่ตรงหน้าและน้ำเสียงของฉันตอนนี้มันเหมือนกับว่าจะไม่มีเสียงที่จะพูดอยู่แล้ว “นายจูบเรา ทำเหมือนไม่อยากให้เราลืมนายทั้งๆที่นายพูดแบบนั้นเองนี่มันคืออะไร!”
“ฉัน...”
“นายต้องการอะไรจากเราอีกอ่ะแค่นี้เรายังเจ็บไม่พออีกเหรอ?”
“...”
“นายอยากเห็นเราเจ็บมากกว่านี้ใช่มั้ย? อยากเห็นเราร้องไห้เพราะนายมากกว่านี้ใช่มั้ย? ใช่มั้ยโทโมะ!” ฉันพูดพร้อมกับเอาฝ่ามือของตัวเองทุบลงไปที่หน้าอกของโทโมะอย่างแรงเพื่อระบายความรู้สึกที่มีอยู่ข้างใน
ตุ้บ!
“...”
“ใช่มั้ย!”
“แก้ว...”โทโมะเรียกชื่อฉันอย่างอ่อนล้า และด้วยสายตาที่เขามองมันก็ตัดพ้อจนฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมโทโมะถึงไม่พูดอะไรเลย
คงเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยยังไงล่ะ...
“ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้...” ฉัน เงยหน้าบอกกับโทโมะที่ตอนนี้เหมือนคนพูดอะไรไม่ออก แต่เชื่อสิว่าคำพูดต่อไปนี้มันจะให้เขารู้ความรู้สึกของฉัน ว่ามันเจ็บแค่ไหนที่ต้องมาหลงชอบคนแบบเขา! “อึก...เราจะไม่มีทางมาหลงทางชอบนายหรอก!”
“...”
“และถ้านายชอบคลอรีนอยู่ ก็อย่ามาทำกับเราแบบนี้เลย เราขอเหอะ...”
จบ คำพูดนั้นฉันดันวีออกห่างจากตัวเองแล้วผลักประตูตู้โทรศัพท์ก่อนจะเดินออกมา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินลงมา และสายฝนตกกระทบร่างกายของตัวเอง ไม่รู้สิว่าทำไมมันถึงได้เจ็บจนจุกแล้วก็ไม่อยากเดิน แต่ทว่าพอเดินไปไม่กี่ก้าวฉันกับต้องหยุดชะงักเพราะว่าเสียงของโทโมะที่ดังขึ้น มาจากในตู้โทรศัพท์ที่ทำให้ฉันต้องหันกลับไปมอง
ปึก!
“โธ่เว้ย!!!!!”
“อึก”
ภาพ ที่ฉันหันกลับไปเห็นคือโทโมะเอามือของเขาต่อยเข้าที่ตัวเครื่องโทรศัพท์เหมือน อยากจะระบายอารมณ์ทั้งหมดที่มันกลั้นอยู่ข้างใน ซึ่งฉันเห็นภาพนั้นฉันก็ยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองอย่างอัตโนมัติเพราะว่า สังเกตเห็นว่าที่มือของโทโมะนั้นมีเลือดออกมาจากแรงต่อย
แต่โทโมะคงคิดว่าฉันไปแล้วล่ะ...
เขาถึงไม่คิดจะหันมองมาเลยว่าฉันกำลังมองเขาอยู่ไม่ไกล และเหมือนเข่าของโทโมะอ่อนลงจนเขาซุดตัวลงเหมือนคนที่อ่อนล้าเต็มทนกับความ รู้สึกต่างๆที่ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมโทโมะถึงเป็นเช่นนี้ เพราะถ้าเขาพูดอะไรออกมาบ้างฉันก็คงจะเข้าใจ
แต่นี่เขากลับไม่พูด ฉันจะรู้ได้ไงว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่...
“อึก...”
วินาที นั้นฉันเหมือนคนที่กำลังร้องไห้มากๆจนตาของตัวเองพล่ามัว เลยตัดสินใจรีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่มีทางจะหันหลังกลับไปมองโทโมะที่อยู่ในตู้โทรศัพท์นั้นอีก เพราะฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะทนเห็นโทโมะแบบนั้นได้นานแค่ไหนเลยตัดสินใจวิ่ง ห่างออกมา
เหมือนเป็นการบอกกับตัวเองว่า...ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งกับโทโมะอีกแล้ว...
‘ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในวันที่สายฝนโปรยปรายมันแลดูยากเกินจะถอน
เพราะว่าไม่มีใครเอ่ยบอกความในใจอย่างลึกซึ้ง...
แต่คุณเคยได้ยินที่เขาพูดกันมั้ยว่า ‘ฟ้าหลังฝนย่อมมีเสมอ...’ ฉะนั้น ให้จงคิดเสียว่า...
...ถ้าฝนไม่ตก...มันจะมีฟ้าหลังฝนได้อย่างไร...’
__________________________________________________
อัพแล้วนะเม้นโหจตเยอะๆ
( ริมฝีปากของคุณมันย้ำเตือน )
หลายวันถัดจากนั้นมา...
ซ่า ซ่า ซ่า...
“แก้วป่ะไปกินข้าวกัน ^^” ฟาง ที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยชวนกินข้าวแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังจากที่เลิกเรียน วิชาคณิตศาสตร์คาบสุดท้ายก่อนพักกลางวันเสร็จไปเมื่อครู่นี้เอง
แถมตั้งแต่เช้ามานี่ฝนนี่ก็เดี๋ยวตกเดี๋ยวหายตั้งแต่เช้าและ อากาศวันนี้ก็ออกชื้นๆเย็นๆจนฉันไม่ค่อยอยากอาหารเลยบ่องตง = =;;;
“ป่ะดิ ” ฉันบอกก่อนลุกขึ้นยืนเช่นกัน
และในจังหวะนั้นนั่นเองที่สายตาฉันดันมองไปเห็นกลุ่มนักเรียนชายที่เป็นที่กรี๊ดกร๊าดของสาวๆในโรงเรียนอย่างกลุ่มเคโอติคเดินผ่านหน้าห้องไป โดยที่คนที่เดินรั้งท้ายนั้นเป็นคนที่ตอนนี้ฉันแทบไม่ได้เห็นหน้าเขาแล้วอย่างโทโมะ...ที่ตอนนี้เอาแต่เดินก้มหน้าแล้วเดินผ่านห้องนี้ไป
ก็ดีแล้ว...
เพราะหลายวันมานี้กลุ่มเคโอติคไม่มีใครเข้ามายุ่งกับฉันกับฟางอีกเลย ส่วนนักเรียนคนอื่นๆก็ด้วย ไม่มีคนมาหาเรื่อง มาวุ่นวายและก็ไม่มีใครมาถามเรื่องที่เข้าใจผิดว่าฉันคบกับโทโมะ ทั้งๆที่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ไม่ได้ไปพูดอะไร
ส่วนฟางก็บอกว่าปล่อยให้เขาใจไปอย่างงั้นก่อนแหละ เพื่อเป็นความปลอดภัยของฉันเองด้วย...
“ไปกันเถอะ” ฟางหันมาบอกและฉันก็เพิ่งตั้งสติได้ก่อนจะเดินออกไปพร้อมฟาง
ไม่ รู้สินะว่าทำไมชีวิตของฉันช่วงนี้มันดูเหมือนแต่ก่อนมากที่ไม่ได้มีเรื่อง อะไรเข้ามาให้หนักสมอง แต่ทำไมฉันถึง...ดูไม่สดใสเลยล่ะทั้งๆที่เรื่องมันก็ดีขึ้นมาแล้ว คงอาจจะเป็นเพราะมี ‘บางสิ่ง’ ที่ฉันสับสนล่ะมั้ง โดยเฉพาะกับโทโมะ ที่ตอนนี้ก็อย่างที่บอกว่าเขาไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรเกี่ยวกับฉันเลย
เพราะวันธรรมดาฉันไม่ได้เจอเขาเลยเพราะว่ากลับจากโรงเรียนก็ไปทำงานกับฟาง ที่ร้านกาแฟ เลิกงานก็ประมาณสามสี่ทุ่มโน่นแน่ะกว่าจะได้กลับบ้าน แต่ตอนที่ไปฉันเลิกเรียนก็ไปกับฟางตลอดนะเดี๋ยวนี้น่ะ ไม่ได้ขี่จักรยานแบบเมื่อก่อนแล้ว ส่วนขากลับฉันบอกกับฟางว่าจะเดินกลับเองเพราะขากลับอาจจะแวะซื้ออะไรไปให้ พ่อกับพิชชี่ด้วย
แถมร้านพี่ฟางก็อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านสักเท่าไหร่นัก...
แต่ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมทุกครั้งเวลาที่เลิกงานฉันรู้สึกเหมือนว่าคนตามแอบดูตลอดเวลาเลย แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะว่าคงจะรู้สึกไปเอง และใครที่ไนไหนจะมาเดินตามกันเล่า ><!
“ข้าวไม่อร่อยเหรอวะ O_O?”
“...”
“แก้ว!”
“หะ หา? อะไรนะ?” ฉันถามขึ้นเมื่อฟางที่นั่งอยู่ตรงข้ามเรียกฉันให้ได้สติขึ้นมาจากอาการเหม่อเมื่อกี๊นี้
“ฉันถามว่าข้าวไม่อร่อยเหรอ เห็นแกกินสองสามคำเอง”
“ก็อร่อยนะแต่...ไม่รู้ว่ะทำไมพักนี้ฉันไม่ค่อยอยากอาหารเลย” ฉันบอกไป
จริงๆนะไม่รู้ทำไมช่วงนี้ฉันถึงไม่ค่อยอยากกินข้าว สักเท่าไหร่เลย มันดูแบบ... ‘ไม่อยาก’ อ่ะ ถึงแม้พยายามจะกินเข้าไปมันก็กลืนไม่ค่อยลงทุกทีจนฉันต้องเอานมจืดเป็นกล่องๆมากินแทน จนตอนนี้กลายเป็นติดนมจืดไปแล้ว = =;;; ( ติดนมจืดเหมือนใครหว่าแก้ว?^^ )
“อืมมมมม จะให้ตอบตามตรงป่ะล่ะ” ฟางเลิกคิ้วถาม
“...”
“แกยังคิดถึงโทโมะอยู่...”
“เฮ้ย เกี่ยวไรอ่ะ O_o?” ตอนนั้นที่ฟางพูดฉันถึงกับตกใจออกมาหน่อยๆเพราะว่าไม่เข้าใจว่าทำไมฟางถึงพูดแบบนั้นออกมา
“ก็...” ฟางบอกแล้วในตอนนั้นนั่นเองที่สายตาของฟางทำให้ฉันเลื่อนมองตามไปก็พบว่าฟางกำลังมองไปยังกลุ่มเคโอติคที่กำลังนั่งอยู่จากตรงนี้ไม่นาน “เขาเป็นรักแรกป่าววะ...”
“...”
ตอนนั้นที่ฟางพูดสายตาของฉันหยุดอยู่ตรงผู้ชายผมดำที่เมื่อครั้งแรกที่เจอกันมันเป็นสีส้มอย่างโทโมะกำลังนั่งอยู่กับเขื่อนแล้วกินขนมกัน
และจากนั้นฉันก็หลุบสายตาลงต่ำก่อนจะหันมามองฟางที่ก็ละสายตาจากเคโอติคมามองฉันเช่นกัน...
“การ ที่แกไม่ค่อยอยากอาหารอ่ะ มันเป็นเพราะทุกครั้งที่แกตักข้าวเข้าปากมันจะคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ทำให้ แกรู้สึกตื้อในหัวสมองไปหมดจนไม่อยากกินข้าวเลยไง...”
“...!”
“ถ้าตอนที่แกกินแล้วนึกถึงโทโมะอ่ะ แสดงว่าแกยังไม่ลืมเขา”
“...”
“ฉันพูดถูกมั้ย?”
เมื่อฟางถามด้วยสีหน้าที่แลดูจริงจังฉันก็หลุบสายตาลงต่ำทันที ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงไม่พูดปฏิเสธฟางไปว่า ‘ไม่ใช่’ อาจจะเป็นเพราะว่ามัน ‘ถูก’ อย่างที่ฟางพูดมามั้งฉันเลยไม่ได้ตอบอะไรไป
“ถ้าถูกแล้วจะยังไงต่อล่ะ” ฉันเงยหน้ามองฟางก่อนจะหันไปมองกลุ่มเคโอติคนิ่งๆ “ฉันน่ะ...ไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้หรอกจนกระทั่งมาเจอเขา” ฉันพูดน้ำเสียงเรียบขณะที่สายตายังคงมองโทโมะ
“...”
“ แต่สุดท้าย...ฉันก็กลับต้องมาพยายามลืมคนที่เป็นรักแรกเนี่ยนะ ตลกเน๊อะ”
“แต่ถ้าแกรักเขาจริงๆก็ไม่จำเป็นต้องลืมเขาก็ได้นะเว้ย”เมื่อฟางพูดฉันจึงหันกลับไปมองฟางนิ่งๆ ฟางจึงพูดต่อ“ตอนแรกอ่ะฉันก็อยากจะให้แกลืมโทโมะนะเว้ย เพราะที่แกเล่ามาเป็นฉัน ฉันก็เจ็บจนอยากลืมเหมือนกัน”
“...”
“แต่ว่า...สิ่งที่ฉันเห็นอ่ะ มันคือสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่อยู่ในโรงเรียนนี้เลยนะ”
“หมายถึง?”
“โทโมะ ไง...หมอนั่นน่ะไม่เคยมีอาการแบบนี้เลยนะ เขาไม่เคยออกอาการโมโหใคร หงุดหงิดใส่ใครออกนอกหน้า ถ้าเมินได้คือเมินเลย แต่ว่าที่ฉันเห็นเนี่ยมันต่างจากตอนนั้นมาก คือโทโมะไม่ได้ออกอาการ ‘เมิน’ แกเลยนะเว้ย เหมือนเขาพยายามที่จะเข้าหาแก แต่แกดันโกรธไม่ยอมคุยด้วยจนเขาโมโหแบบนั้น ตรงนี้แหละที่ฉันไม่เคยเห็น”
“แล้ว...”
“บางที...ฉันก็คิดว่า โทโมะอาจจะชอบแกจริงๆนะเว้ย”
กึก!
“...!”
ตอน นั้นคำพูดของฟางมันเหมือนกับที่หยุดเวลาให้ทุกอย่างหยุดไปชั่วขณะเพราะว่า ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ฟางคิดเช่นนี้ แต่ว่า...ที่ฟางพูดมาฉันเองก็ไม่อยากจะมั่นใจนักหรอก อย่าหาว่าฉันอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ แต่จะให้ปักใจเช่นอะไรไปง่ายๆฉันทำไม่ได้จริงๆ
แล้วยิ่งโดนมากับตัวว่ามันเป็นยังไง ฉันยิ่งทำไมไม่ได้ที่จะเชื่อ...
“...”
“ทำไม ถึงคิดแบบนั้นอ่ะ”
“ก็ไม่รู้ดิ เซ้นต์บอกมาล่ะมั้ง?” ฟางยักไหล่
“งั้นเซ้นต์แกคงไม่จริงหรอก เพราะว่าโทโมะเขาไม่ได้ชอบฉัน เขาชอบคลอรีน และฉันก็ไม่รู้สึกแปลกใจด้วยว่าทำไมเขาถึงชอบเธอ”
“โทโมะบอกแกว่า ‘ชอบ’ เหรอ?”ฟางถามแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงแต่ฉันก็นิ่งไม่ได้ตอบอะไร “แต่ที่แกเล่าให้ฉันฟังตอนที่อยู่ร้าน แกบอกว่าโทโมะพูดว่า ‘เคยชอบ’ ไม่ใช่เหรอวะ”
“ก็...ใช่...”
“งั้นแสดงว่าตอนนี้โทโมะไม่ได้ชอบคลอรีนแล้ว แต่ตอนนั้นอาจจะแค่โมโหที่โดนหักหลังเลยแสดงอาการออกมาแบบนั้น ”
“แล้วฟางรู้ได้ไง” ฉันถามจากนั้นฟางก็ชะงักไปสักพัก “บางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ”
“ใช่ ไม่ใช่ไม่รู้หรอก ที่รู้แน่ๆคือถ้าโทโมะยังชอบคลอรีนอยู่คงไปหาคลอรีนแล้วแหละไม่มาสนใจอยากจะคุย กับแกแบบนี้หรอก เพราะฉันอยู่ที่นี่มานานก่อนแก ฉันรู้ว่าหมอนี่น่ะเป็นยังไง แต่ไอ้อาการของเขาที่ฉันเห็นเมื่อไม่นานมานี้อ่ะ ย้ำเลยว่ามันเพิ่งมาเกิดขึ้นมาแก ‘แค่คนเดียว’ เนี่ยแหละ” จบคำพูดนั้นฟางก็ก้มหน้าลงแล้วเอาตะเกียบคีบขนมทาโกยากิใส่ปากแล้วไม่พูดอะไรอีก
“...”
“เอ้า อย่านั่งเงียบดิ กินข้าวๆ” ฟางบอกเมื่อเห็นว่าฉันเอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็พยักหน้านิดๆแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อแต่ก็ยังมิวายหันไปมองกลุ่มเคโอติคอยู่ดี
ให้ตายสินี่ฉันกำลังเป็นอะไรอยู่เนี่ย? ไม่ๆๆๆๆๆๆๆ อย่าหวั่นไหวสิแก้ว! เธอบอกเองว่าจะลืมเขาไม่ให้เหรอ? ที่ ฟางบอกมามันอาจจะไม่ใช่ก็ได้นี่นา คนแบบโทโมะนี่เดาใจยากอยู่แล้วนี่ หรือว่าที่เขาทำแบบนี้เป็นเพราะฉันเป็นเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เป็นลูกสาวเพื่อ พ่อด้วยเขาเลยไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้
ใช่! คนอย่างเธอโทโมะเขาไม่มีทางชอบหรอกแก้ว ><! ดูที่เขาทำกับเธอไว้สิ!
ไม่ รู้ว่าฉันเป็นบ้าอะไรที่เหมือนกับว่ามีเสียงในหัวบอกแบบนั้น แต่ภาพของโทโมะในตอนที่เขาจูบมุมปากของฉันที่ห้องสมุดวันนั้นก็ปรากฏขึ้นมาต่อ หน้าจนฉันต้องส่ายหน้าเบาๆเพื่อให้ภาพนั้นมันหายไป
ครืด
“ฟางฉันจะไปซื้อขนมเอาอะไรมั้ย”ฉันถามฟางอย่างร้อนรนเมื่อภาพของโทโมะมันไม่หายไปสักทีเลยคิดว่าจะเขาไปที่ร้านขนม สักพักเพื่อสงบสติตัวเอง ฟางที่นั่งกินทาโกยากิอยู่เต็มปากก็เงยหน้าขึ้นมามองฉันงงๆ
“อาอาอมอั๊ยอ๊ะเอี้ย? เอนไอ? O*O? ( มาอารมณ์ไหนวะเนี่ย? เป็นไร?) ”ฟางถามขณะที่กำลังเคี้ยวทาโกยากิเต็มปาก
“ไม่ได้เป็นไร ว่าจะไปซื้อขนมแกเอาไรมั้ยล่ะ?” “เอ่าแอ้วอ้าวอ่ะ? ( เอ่าแล้วข้าวอ่ะ? )”
“กินไม่ลงอ่ะ ตอนนี้ฉันอยากกินขนมมากกว่า” ฉันบอกฟาง
ให้ตายเหอะ! ตั้งแต่พยายามจะลืมโทโมะมานี่ฉันแทบจะกินขนมขบเคี้ยวแทนข้าวอยู่แล้วนะจะบอกให้ >O<! เป็นบ้าอะไรเนี่ยปกติฉันไม่เคยเป็นแบบนี้นะบ้าจริงๆเล้ย! แล้วทำไมจะต้องมาเป็นอะไรแบบนี้ด้วยก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ = =?
“เอาอ็อคโอแลตอันอึง”( เอาช็อคโกแลตอันนึง )เมื่อฟางบอกฉันก็พยักหน้าให้ก่อนจะเดินตรงก้าวขาฉับๆเข้าไปในมินิมาร์ท
พอเดินเข้ามาฉันก็เดินๆเลือกๆมองขนมอยู่นานความรู้สึกตอนนี้มันอยากกิน ทุกอย่างเลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร หรือว่าฉันจะคิดถึงโทโมะอย่างที่ฟางบอกจริงๆ? แต่มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ยฉันยังงงเลยอ่ะ สงสัยต้องไปหาข้อมูลศึกษาเองซะแล้วล่ะให้ตายสิ=[]=;;;
“หยิบแต่ช็อคโกแลตระวังอ้วนนะ ^^”
ขวับ
O_O?
“หือ?”
เมื่อฉันกำลังเลือกๆเอาขนมอยู่นั้นจู่ๆเสียงใครที่ไม่คุ้นก็ทักขึ้นมาข้างๆซะ อย่างงั้นจนฉันตกใจหน่อยๆ แต่พอเมื่อหันไปมองกับตกใจพร้อมๆกับงงไปด้วยว่าทำไม ‘เขา’ หนึ่งในกลุ่มเคโอติคถึงยืนพูดกับฉันตรงนี้
และถ้าฉันจำไม่ผิดนะเขาน่าจะชื่อว่า...ว่า...เขื่อน ใช่มั้ย?
เขา สูงประมาณ 170 ได้ แถมมีหน้าตาที่ดูเด็กด้วย แถมที่แก้มสังเกตได้เลยว่าเขานั้นมีลักยิ้มด้วยสิ ละ...แล้วทำไมเขาถึงเดินมาทักฉัน เอ๋? เขาทักฉันใช่มั้ย?
“พูดกับเธอนั่นแหละครับ ^^” เขื่อนบอกเมื่อเห็นว่าฉันมองหน้าเขางึกงักแล้วหันมองไปด้านหลังเพื่อให้แน่ใจว่าเขาพูดกับฉันจริงๆ
“อ๋อ มะ...มีอะไรกับเราเหรอ” ฉันถามแล้วเอานิ้วชี้ตัวเอง
“เอ่อ =[]=???”
“อ่อ ขอโทษที่ทำให้งงแฮะๆ” เขื่อนเอามือเกาผมสีดำของตัวเอง “แก้วชอบกินช็อคโกแลตเหรอฮะ?”
แหม่ รู้ชื่อฉันด้วย?
เขื่อนถามขณะที่ฉันก็งงๆอยู่ว่าทำไมเขาต้องทำเหมือนอยากจะเข้ามาคุยกับ ฉัน ทั้งๆที่ปกติฉันไม่เคยที่จะคุยกับเขาเลยนะ นอกจากจองเบที่ตอนนั้นคุยกันแค่นิดเดียวเอง แล้วทำไม...เขื่อนถึง
“อื้ม”ฉันบอกพลางพยักหน้าไปด้วย
“ว๊า ชอบกินช็อคแลตแบบเดียวกับโทโมะเลยอ่ะ ^^”เขาบอกแล้วคำพูดนั้นก็ทำให้ฉันหุบยิ้มลงหน่อยๆ “เนี่ยเขาก็ฝากฉันมาซื้อช็อคโกแลตแบบเดียวกันกับแก้วเลยนะ”
“อ๋อ”
ฉันตอบไปแค่นั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ‘เขื่อน’ ที่ ยิ้มสดใสมาให้ และสายตาของฉันก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าฉันกับเขื่อนเหมือนว่ากำลังจะถูกนักเรียนในมินิมาร์ทนี้มองอย่างสนอกสนใจกัน สนตอนนี้ฉันเริ่มทำตัวไม่ถูกเสียแล้วสินะเนี่ย
“^^”
“งั้น...ขอตัวนะ” ฉันบอกแล้วทำท่าว่าจะเดินออกไปจากตรงนี้ทว่า...
“เอ่อเดี๋ยวก่อนครับ ^O^//” เสียง เขื่อนเอ่ยมาจากทางด้านหลังพร้อมกับปลายเสื้อสูทของฉันที่ถูกดึงเอาไว้ พอฉันหันไปมองเขางงๆ เขาก็ยิ้มให้แล้วชี้มาที่ขนมในมือฉัน “ฉัน...ขอช็อคโกแลตป๊อกกี้ในมือได้มั้ย”
“อ่ะ..อะไรนะ?”
ฉันถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขื่อนขอขนมในมือฉันจริงๆ อะไรของเขาเนี่ยทำฉัน ‘เงิบ’ ได้ตั้งแต่คุยกันวันแรกเนี่ยนะ? โห เป็นผู้ชายที่...มีความน่ารักในแบบแปลกๆเท่าที่ฉันเคยเจอเลย
จริงๆ
“ขนมป๊อกกี้ในมืออ่ะฉันขอได้มั้ย? ส่วนเธอก็เอาอันนี้ไป ^_^”
“????”
ตอน นั้นฉันงงๆจนทำอะไรม่ถูกเลย เพราะไม่รู้ว่าทำไมเขื่อนทำอยากจะได้ขนมในมือฉันเพราะว่าเขาหันไปหยิบขนม ป๊อกกี้แบบเดียวกันกับในมือฉันแล้วจู่ๆไม่รู้เป็นเพราะอะไรหรือว่าเป็นเพราะ ความมึนงงของตัวเองฉันเลยเผลอยื่นเอาอันของฉันให้เขื่อนแล้วจากนั้นเขื่อนก็ เอาไปพร้อมกับเอาขนมป๊อกกี้อีกกล่องมาให้ฉัน ( เพื่อ? )
อะไรของเขาเนี่ยฉันล่ะงง = =??
“คัมซาฮานีดา ขอบคุณนะคร้าบบบบ ^O^//” เขื่อนโค้งตัวให้ฉันเล็กน้อยจนฉันต้องเลิกคิ้วขึ้นแต่เขื่อนก็แค่ยิ้มให้ก่อนจะเดินผ่านฉันไป ปล่อยให้ฉันยืนงงแล้วมองขนมป๊อกกี้อันที่เขื่อนหยิบให้ในมือ
ส่วนอันของฉันเขื่อนก็เอาไปแล้วเรียบร้อย = =;;;
[ ช่วงของคโอติค ]
“ไปไหนมาวะไอเขื่อน”
“ขนมเต็มมือขนาดนี้ผมคงไปห้องน้ำมามั้ง?” เขื่อนพูดประชดขำๆแล้วนั่งลงข้างๆโทโมะก่อนที่เขาจะเอาขนม ‘ป๊อกกี้’ ของโปรดโทโมะยื่นให้ตรงหน้า “อ่ะ เอา ‘ของดี’ มาฝาก”
“ดีตรงไหนก็ขนมแบบเดิมนั่นแหละว๊า” เคนตะว่าพลางกดเลื่อนโทรศัพท์เล่นไปพลางๆ
“แต่อันนี้พิเศษกว่า ^^”
เมื่อเขื่อนพูดแบบนั้นเพื่อนๆในกลุ่มจึงต้องละสายตาจากสิ่งอื่นมาสนใจเขาในทันที ทันใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งโทโมะที่นั่งอยู่ข้างๆก็ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงงๆว่าที่ เขื่อนพูดมานั้นเขาต้องการจะบอกอะไรกันแน่นะ? แล้วไอ้ที่ว่า ‘อันนี้พิเศษกว่า’ นี่คือยังไงกัน
“พิเศษยังไงวะ =[]=?” เคนตะถาม
“ก็ขนมเนี๊ยะ ฉันได้มาจากมือของแก้วเลยน้า”
กึก!
O_O!!!
“แกเอามาได้ไงวะ?!” ป๊อปปี้พูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าเขื่อนได้ของดีมาให้โทโมะได้จริงๆ
“ก็อ่านะ คริ คริ ^^”เขื่อนหัวเราะพลางทำมือเก็กหล่อเอาไว้ที่คางตัวเองก่อนจะหันไปมองโทโมะที่กำลังมองเขาอยู่ “เนี่ย ฉันอุตส่าห์เอามาให้เลยนะ จากมือแก้วเต็มๆ แกจะกินหรือจะเก็บเอาไว้ก็เรื่องของแกแล้วแหละนะ”
“อั๊ยยะ!” คราวนี้เพื่อนๆในกลุ่มต่างแซวแต่โทโมะเขาแค่ยิ้มบางๆออกมาก็เท่านั้น
เพราะว่าหลายวันมานี้เขาไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรกับแก้วเลย เขาแค่เฝ้ามองเธออยู่ห่างๆเพียงเท่านั้นเอง เพราะโทโมะเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าเขาไม่เข้าไปยุ่งอะไรกับแก้ว แก้วจะมีใจคิดถึงเขาบ้างมั้ย? หรือว่าเธอจะลืมเขาได้จริงๆ แต่สรุปว่าหลายวันที่ผ่านมาเขายังคงเห็นแก้วใช้ชีวิตได้ตามปกติ
แต่ว่าโทโมะเนี่ยสิที่แทบอยากจะบ้าตายเข้าทุกวัน ที่เขาใจไม่แข็งแรงพอที่จะเข้าหาแก้วอีก เพราะว่าเขากลัวว่าตัวเองจะเผลอพูดอะไรบ้าๆแล้วก็ทำการกระทำอะไรที่ทำให้แก้วโกรธเขาอีกน่ะสิ แล้วยิ่งถ้าเห็นแก้วร้องไห้นี่ เขาแทบจะไปไม่เป็นเลยล่ะ
“ไอ้เขื่อนรุกให้ขนาดนี้แล้วอ่ะ แล้วแกอ่ะจะเอาไงต่อ ฉันเห็นแกเงียบๆไม่ทำอะไรเลยมาหลายวันแล้วนะเว้ย” ป๊อปปี้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยถาม
“...”
“ถ้าไม่เคลียร์แล้วปล่อยไปอย่างเงี๊ยะเรื่องก็ไม่จบหรอก”
“เออแล้วไอ้ป๊อปทางแกเขาว่าไงบ้างอ่ะ” จองเบหันไปถามป๊อปปี้
“ก็...ไม่รู้ดิว่ายัยนั่นจะช่วยพูดให้มั้ย แต่มันหลายวันแล้วอ่ะ ฉันว่าคงไม่หรอกมั้ง?” ป๊อปปี้บอกอย่างหมดหวัง
แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่า ‘คำขอ’ ของเขามันเป็น ‘จริง’ เข้า แล้วไง เพราะว่าตอนนี้ฟางกำลังช่วยโทโมะอยู่เพราะหลายวันมานี้มันมีอะไรหลายๆอย่างที่ ทำให้เธอแปลกใจเกี่ยวกับโทโมะมิใช่น้อยเมื่อเธอลองทบทวนดู แต่ว่าตอนนี้พวกเคโอติคนั้นยังไม่รู้หรอก แต่คงอีกไม่ช้านั่นแหละ
“แกกก็ลองไปถามดูอีกทีดิ”
“โห่ไอ้เคน แกรู้ป่ะว่ายัยนั่นตอกกลับฉันจนฉันแทบไม่อยากถามอีกอ่ะ”
“อ๋อที่แท้ก็กลัวโดนด่า? เด่ออออ ป๊อด!”
“ไม่ได้ป๊อดเว้ยแต่ฉันแค่รำคาญเสียงบ่นยัยนั่น ><!”
“เออ! นั้นแกจำไว้เลยนะถ้าวันไหนที่แกไม่เห็นยัยฟางมาพูดว่าแกอะไรต่างๆนาๆแบบนี้แล้ว แกก็อย่ามานั่งเหงาแล้วกัน”
“เห๊อะ! ไม่มีทางหร๊อก! ฉันจะมานั่งเหงาเพราะยัยนั่นทำไม ><?”
“เออ ฉันว่าจะถามแกตั้งนานละ สรุปหลายวันมานี้แก้วเป็นไงบ้างอ่ะตอนอยู่ที่บ้านอ่ะ”จองเบหันไปถามโทโมะที่เอาแต่นั่งเงียบ
“เธอไม่ค่อยอยู่บ้านว่ะ เสาร์อาทิตย์ก็ไปทำงานกับฟาง วันธรรมดาเลิกเรียนก็ไปกลับบ้านตั้งสามสี่ทุ่ม” โทโมะตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูตัดพ้อแล้วเหมือนจะออกอาการนอยด์หน่อยๆ
“อ๋อ Get และ! ที่แท้ที่ไม่ได้ไปเล่นกีฬากับพวกฉันบ่อยเหมือนเก่าเพราะว่าไปแอบตามแก้วมาอ่ะดิ” ป๊อปปี้ว่าเพราะว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้ไปแข่งกีฬากับทางโรงเรียนมาแล้วชนะด้วยสิ
แต่โทโมะไม่ได้อยู่ฉลองด้วยจนดึกเพราะเขามีภารกิจที่ต้องไปตามดูแก้วในตอนเย็น ทุกเย็นที่ร้านกาแฟของพี่ฟาง อ่าห้ะ! เขาตามเธอตลอดแหละ จนรู้ว่าตอนไหนที่เธอกลับเวลาใด เขาก็จะแอบตามเธอเดินกลับบ้านบ่อยๆโดยที่แก้วเธอนั้นไม่ได้รู้เลยด้วยซ้ำ
“แอบตามแบบนี้คงได้คุยหรอกมั้งเนี่ย เจอก็รุกเลยดิวะ ปล่อยแบบนี้ได้ไง”ป๊อปปี้ว่า
“ก็ฉันไม่รู้จะพูดยังนี่หว่า ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งทำให้แก้วโกรธ ยิ่งฉันพูดฉันเหมือนยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้”
“ไม่ได้จะจุดปมนะ แต่ถ้าเมื่อก่อนแกกล้าบอกรักคลอรีน ตอนนี้แกก็ควรกล้าที่จะบอกรักแก้วได้แล้ว”
“...”
“งั้นขอถามครั้งสุดท้ายนะ...” เมื่อป๊อปปี้พูดโทโมะเงยเงยหน้าขึ้นไปมองเขาตรงๆ แล้วก็เห็นว่าป๊อปปี้แลดูมีสีหน้าที่จริงจังกับคำถามต่อไปนี้มากเลยทีเดียว “แก้วเนี่ย...จริงจังใช่มั้ย?”
“O_O???” >>> เพื่อนในกลุ่มที่เหลือ
ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...
“...มากอ่ะ”
[ จบช่วงของเคโอติค ]
ดึกของวันนั้น...
“ให้ตายเหอะตั้งแต่เราสองคนมาช่วยร้านกาแฟพี่เนี่ย ขอบอกเลยว่าลูกค้าเข้าร้านเยอะมาก"
‘พี่ฟ้า’ พี่สาวแท้ๆสุดน่ารักของฟางเอ่ยในตอนที่ฉันกับฟางเก็บร้านกันอยู่เพราะว่าลูกค้า ที่มานั่งทานก็หมดแล้ว คงมีเหลือแต่ลูกค้าที่สั่งขนมเอาไว้ที่มารอเอาขนมกับกาแฟอยู่ประมาณสามสี่คน ได้
“เวอร์ไปๆๆ พูดแบบนี้ต้องการอัลไลบอกมาเลยดีกว่าฟ้า” ฟางเงยหน้าจากการเช็ดโต๊ะไปบอกพี่ฟ้ากำลังคิดเงินให้ลูกค้าอยู่ที่เคาน์เตอร์
ฟางกับฟ้าน่ะถึงจะเป็นพี่น้องกันก็จริงแต่เวลาที่ฟางเรียกฟ้าจะเรียกแค่ ‘ฟ้า’ อย่างเดียว เพราะไม่อยากให้มีอายุและคำพูดว่า ‘พี่’ มา ปิดกั้นความสนิท และถึงทั้งสองจะต่างกันคนละขั้วเพราะจากนิสัยที่ฟางออกห้าวแมนๆ ฟ้าก็จะออกไปทางอ่อนหวานน่ารักๆใจดีๆเสียมากกว่า
แต่ฉันคิดนะว่าถึงเราจะต่างกันคนละขั้วแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนิทกันไม่ได้นี่นา ^^
“ปล่าว แต่มีเด็กเสิร์ฟน่ารักตั้งสองคนก็ไม่แปลกที่มีคนเข้าร้านเยอะ ^^” ฟ้าหันมาบอกฉันกับฟางก่อนจะหันไปบอกคุณลูกค้าเมื่อคิดเงินเสร็จ
“แหม่ เข้าร้านเยอะไม่เห็นมีใครมาจีบสักคน ปัดโถ๊ะ”เมื่อฟางพูดแบบนั้นฉันกับฟ้าก็หัวเราะออกมา
ก็ร้านนี้น่ะ มีแค่ฉันฟางฟ้าแค่นั้นแหละที่ช่วยกันทำงาน แต่ก็ดีนะมันเงียบสงบดี ไม่ค่อยวุ่นวายสักเท่าไหร่เพราะร้านนี้ก็เป็นร้านกาแฟเล็กๆ แต่ก็น่ารักไม่เบาเลยแหละ รอบร้านนั้นก็ติดไปด้วยกระจกใสทำให้ลูกค้าที่มานั่งกินนั้นเห็นวิวทิวทัศน์ ข้างนอกในยามกลางคืนได้อย่างดีเลยทีเดียวเชียว
และฉันก็มีความสุขนะที่ได้มาทำงานเสริมที่นี่เพื่อหารายได้เสริมไปใน ตัว แถมไม่ต้องมีเรื่องอะไรมาคิดให้มันหนักหัวอีกด้วยสิ ส่วนพ่อกับพิชชี่ก็อยู่บ้านเพราะครั้งนี้ฉันขอพ่อว่าไม่ให้ทำงานกลางคืน ให้ทำเฉพาะตอนเช้าเพราะว่าฉันไม่อยากให้ท่านออกไปไหนตอนกลางคืนน่ะ
อีกอย่าง ฉันคิดว่าตัวเองน่ะสามารถหาเงินในช่วงกลางคืนให้พ่อได้โดยการมาทำงานที่นี่ แถมพ่อจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยด้วยไง แถมจะได้มีเวลาอยู่กับพิชชี่มากขึ้นด้วย
ส่วนฉันน่ะถึงมาทำงานที่นี่ก็ไม่ได้ห่างจากท่านหรือพิชชี่หรอกถึงเสาร์อาทิตย์ฉันจะมาทำงานก็เถอะนะ
“ก็ทำตัวให้น่ารักแบบแก้วสิจะได้มีหนุ่มๆเข้ามาหาบ้าง นี่ฟางเล่นห้าวใส่แบบนี้ผู้ชายคนไหนจะกล้าเข้ามาจีบเล่า”
“โห่ฟ้าอ่ะ >^<”ฟางถึงกับทำปากมุ่ยใส่ฟ้า จนฉันเองก็อดอมยิ้มไม่ได้เลย
วูบ...
ขวับ
“?”
ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองรึปล่าวที่ว่าเหมือนกับว่าใครกำลังมองอยู่ ฉันเลยละสายตาจากการเช็ดโต๊ะอยู่ไปมองข้างนอก แต่ก็ปรากฏว่าไม่พบใครเลยเพราะว่าตอนนี้ร้านทางฝั่งตรงข้ามก็ต่างพากันปิด ร้านกันเพราะว่านี่มันก็สี่ทุ่มกว่าแล้วจึงไม่ค่อยมีคนแล้วไง
แถมฝนที่หายไปก็เหมือนว่าอยากจะตกลงมาอีกแล้วสิ
“มองไรวะแก้ว?”
“ปล่าวๆ” ฉันบอกกับฟางก่อนจะเดินเอาผ้าเช็ดโต๊ะกับผ้าที่ใส่กันเปื้อนไปเก็บไว้หลังร้านเมื่อทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“แล้วนี่แกจะเดินกลับเองหรือให้ฉันไปส่งอ่ะ”เมื่อฉันเดินออกมาฟางที่กำลังจะเดินเข้ามาหลังร้านพอดีเลยถามขึ้น
“เดี๋ยวฉันเดินกลับเองอ่ะ ทันฝนยังไม่ตก”
“อืมๆ งั้นกลับดีๆนะเว้ยมีอะไรโทรหาฉันนะ เออแล้วโทรศัพท์แกอ่ะดูแลดีๆนะ อย่าให้มันเสียอีกล่ะ”
“โอเค คราวนี้ฉันจะดูแลให้ดีกว่าเดิมเลยแหละเออแล้วพรุ่งนี้มารับฉันเวลาเดิมใช่ป่ะ”
“ตามนั้นแหละสิบเอ็ดโมงเดี๋ยวไปรับที่บ้าน >_O”
“อืมโอเค งั้นฉันไปก่อนนะ บาย” ฉันบอกฟางแล้วยกมือบ๊ายบายก่อนจะเดินไปบอกฟ้าแล้วก็เดินออกจากร้านไปท่ามกลางอากาศที่มันเริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ
สองมือโอบกอดตัวเองพลางกวาดสายตามองไปรอบๆก็พบเห็นแค่ถนนที่ว่างปล่าวในย่านนี้กับแสงไฟสีส้มริมทางเดินที่ส่องกระทบกับต้นไม้ในยามกลางคืน ฉันเดินไปก็พลางถอนใจไปพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวต่างๆในวันที่ผ่านมา แต่น่าแปลกที่การนึกถึงเรื่องที่มันเกี่ยวกับโทโมะนั้นยิ่งทำให้ฉันรู้สึก เหมือนคิดถึงในวันเก่าๆ
ทั้งๆที่เรื่องพวกนั้นมันไม่ควรที่จะคิดถึงมันเลย...
สักพักต่อมา...
แปะ...แปะ...แปะ...
“เอ๋า? ตกไรตอนนี้เนี่ย?” ฉันรีบยกมือถึงมาบังหัวตัวเองเพราะรู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำหลายหยดตกใส่หัว
ให้ตายสิ! ฉันไม่มีร่มด้วนะเนี่ยมาตกอะไรตอนเน้ >O<!!!!!!
ตึกๆๆๆๆๆ
ฉันใช้ฝีเท้าของตัวเองวิ่งไปเรื่อยๆจนกระทั่งฝนมันเรื่มลงเม็ดหนักมากขึ้น ฉันถึงมองหาที่หลบฝนแถวๆทางเดินบนฟุตบาทก็พบว่ามีจุดรอรถเมล์ที่ตอนนี้ไม่มี ใครเลยเพราะว่าดึกมากแล้ว ตามทางเดินนี่คงมีแค่ฉันคนเดียวงั้นสินะ แถมฝนมาตกแบบนี้อีก
เออโชคดีมาก! ( ประชด = =;;; )
ซ่า! ซ่า! ซ่า!
เชื่อมั้ยว่าตอนนี้ฉันยืนตัวสั่นอยู่ในจุดรอรถที่ไม่มีรถวิ่งผ่านเพื่อรอให้ฝนหาย ตกก่อนแล้วค่อยเดินกลับบ้าน แต่ดูท่าทีแล้วฝนเหมือนว่าจะไม่มีทางซาลงง่ายๆแน่อ่ะ ลงเม็ดหนาซะขนาดนั้นแถมละอองฝนยังสาดเข้ามาใส่ร่างกายของฉันจนฉันต้องก้าว ถอยหลังเข้าไปด้านในอีก
กึก!
“...!”
และ ในตอนที่ฉันกำลังกวาดสายตามองไปรอบๆนั้นอยู่ๆดีสายตาของตัวเองก็ไปสะดุดอยู่ ที่ร่างสูงของใครคนหนึ่ง ที่เขากำลังยืนกลางร่มอยู่ทางฟุตบาทฝั่งตรงข้ามแล้วกำลังมองมาทางนี้ ฉันจำได้ต้องเบิกตากว้างเมื่อร่างสูงนั้นคือคนที่ฉันไม่คิดเลยว่าจะเจอเขาที่นี่
โทโมะ...ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?
ในระหว่างที่ฉันกำลังสับสนอยู่ ร่างสูงของโทโมะก็เดินกางร่มเดินข้ามถนนฝ่าสายฝนมาหาฉันที่กำลังมองเขาอยู่ โทโมะเดินเข้ามาในจุดรอรถก็ที่เขาจะเอาร่มลงแล้วมองฉันที่กำลังมองเขาอยู่นิ่งๆแต่ว่า...ฉันไม่อยากเจอเขา! ทำไมถึงต้องเจอด้วย! ฟ้ากลั่นแกล้งกันเหรอ? ฉันไม่อยากทะเลาะอะไรกับเขาหรอกนะ
เมื่อ คิดได้ดั่งนั้นฉันจึงเลี่ยงจากการสบสายตากับโทโมะแล้วเดินเลี่ยงออกไปอีก ทาง ก็คิดซะว่าเดินฝ่าฝนกลับบ้านก็ยังดีกว่าที่อาจจะต้องเสี่ยงมาทะเลาะกับเขาละกัน
หมับ!
“จะไปไหน? ไม่เห็นเหรอว่าฝนมันตกอยู่” โทโมะคว้าข้อมือของฉันเอาไว้แล้วพูดเหมือนจะดุกัน
“...” แต่ คิดเหรอว่าฉันจะตอบ ฉันไม่ได้หันไปมองโทโมะหรอกแต่แค่กัดปากตัวเองแล้วสะบัดมือของโทโมะออกจากมือของตัวเองจนหลุดได้สำเร็จ และวินาทีนั้นฉันไม่คิดอะไรเลยนอกจากวิ่งฝ่าฝนออกไป คุณคงคิดว่าฉันบ้า แต่คิดไปเถอะ เพราะว่าถ้าคุณมาอยู่ตรงจุดที่น่าอึดอัดแบบนี้คุณก็คงจะทำแบบเดียวกันกับฉัน
แหม่ ไม่ได้เจอตั้งหลายวันคิดว่าจะไม่ได้เจออยู่แล้วเชียว สุดท้ายก็เจอจังๆจนได้!
ตึกๆๆๆๆ
หมับ!
“แก้ว!”
“ปล่อยเรา!”และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ฉันตะคอกใส่โทโมะ
เพราะโทโมะวิ่งมาตามจับกระชากแขนของฉันเอาไว้จนได้ ฉันก็หันไปผลักเขาออกท่ามกลางสายฝนที่ตอนนี้มันกระทบลงร่างกายของเราสองคน และถึงฝนจะตกหนักฉันก็รู้เลยว่าตอนนี้โทโมะแสดงสีหน้าที่ดูไม่พอใจแค่ไหน เห๊อะ! ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องมาตามฉันสิ ปล่อยให้ฉันวิ่งกลับบ้านไปสิ แค่นั้นก็จบ!
“เธอเป็นอะไรอ่ะ ทำไมต้องอยากออกห่างฉันด้วย?!” โทโมะพูดอย่างไม่เข้าใจ
“เพราะเราไม่อยากเห็นหน้านาย ไม่อยากเจอนายชัดมั้ย!?” ฉันพูดกับโทโมะอย่างสุดจะทนแล้ว
หลายวันมานี้ไม่ฉันไม่เห็นเลยว่าเขาจะมาหาเรื่องชวนทะเลาะหรือว่าอะไร มันก็ดีแล้วนี่?
แล้วทำไมวันนี้เขาถึง...!
“...”
“...”
“มานี่”ในตอนนั้นที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัวโทโมะก็จัดกากระชากแขนฉันให้เดินตามเขาไปแต่ฉันก็พยายามยื้อเอาไว้
“ไม่!”
“...”
แต่ตอนนั้นยอมรับเลยว่าฉันกลัวมากเพราะโทโมะไม่ได้ตอบอะไรเลยหลังจากนั้น ไม่ว่าฉันจะพยายามยื้อร่างกายของตัวเองเอาไว้สักแค่ไหน แรงกระชากของโทโมะทำให้ฉันต้องฝืนเดินตามเขาไป ทั้งๆที่ตัวเองกำลังขัดขืนโดยการสลัดมือของเขาออกแต่ทว่าครั้งนี้มันไม่ได้ ผลใดๆเลย
เพราะมือของโทโมะยิ่งบีบข้อมือของฉันเอาไว้แรงขึ้น และไม่นานที่เขากระชากฉันให้เดินตามเขามาที่ข้างทางที่มีตู้โทรศัพท์สาธารณะ อยู่เพียงแค่ตู้เดียวท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ
“โทโมะราเจ็บปล่อยเรานะ!”
“เข้าไป” โทโมะบอกเสียงนิ่งแล้วมองหน้าฉันอย่างขาดโทษ
“ไม่! เราจะกลับบ้าน!” ฉันพูดเสียงดังแต่นั่นมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะโทโมะเปิดประตูตู้โทรศัพท์ออกก่อนจะดันร่างฉันให้เข้าไป
ปึง!
เมื่อดันฉันเข้ามาได้สำเร็จโทโมะก็ตามเข้ามาพร้อมทั้งเสียงปิดประตู้โทรศัพท์ที่ เสียงดัง แต่ตอนนี้ฉันยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นมากเพราะไม่รู้ว่าโทโมะจะทำบ้าอะไร แถมในตู้โทรศัพท์นี้ก็แคบเสียจนจะหนีออกไปได้ง่ายๆ แถมข้างนอกฝนก็ตกหนักอีก บ้าจริง!
“เธอจะเอายังไง”โทโมะถามในตอนที่เขาใช้สองมือของตัวเองจับไหล่ของฉันเอาไว้สองข้างแล้วดันให้แผ่นหลังของฉันติดกับกระจกตู้โทรศัพท์จนฉันทำอะไรไม่ถูก “อยากให้มันเป็นแบบโดยที่มันไม่เคลียร์?”
“...”
“แบบนี้เหรอที่เธอต้องการ?” โทโมะก้มหน้าลงมาพร้อมกับจ้องมองเข้าในดวงตาของฉันจนฉันเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาแล้ว “เธอบอกฉันมาสิว่าเธอต้องการอะไร ฉันจะได้รู้ไง”
“...”
“บอกสิแก้ว ”โทโมะพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นลงกว่าเดิมจนฉันเองก็แปลกใจว่าทำไมเขาไม่ตะคอกทั้งๆที่ดูจากอารมณ์แล้วเขาเหมือนว่าจะหมดความอดทน “รู้มั้ยยิ่งเธอไม่พูดฉันยิ่งเหมือนคนบ้าเขาไปทุกวันน่ะ...”
โทโมะ บอกด้วยน้ำเสียงที่ตัดพ้อและยิ่งไปกว่านั้นมือทั้งสองข้างเขาจากที่บีบไหล่ ฉันตอนนี้ก็เลื่อนมาจับเอาไว้ที่แก้มของฉันเบาๆ พอฉันก้มหน้าลงเขาก็จับให้ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาที่ดูเศร้าหมอง และฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมว่าทำไมโทโมะถึงเป็นเช่นนี้
“...”
“พูดมาสิ...”
“...”
“...”
“งั้นถ้าเราบอกว่าไม่อยากเจอนาย นายจะเชื่อเรามั้ย...”ฉันถามโทโมะออกไปตามตรงหลังจากที่เงียบมาสักพัก เพราะว่าฉันเองก็อยากจะรู้คำตอบเหมือนกันว่าวีจะตอบว่าอะไร
เพราะคำตอบของเขามันจะมาพร้อมกับคำถามอีกหลายคำที่ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือน กันว่าดขากำลังคิดอะไรอยู่ และที่เขามาเจอฉันที่นี่มันบังเอิญหรือว่าเขาตามฉันมา
“...”
“นายจะเชื่อเรามั้ยถ้าเราบอกว่าเราอยากจะลบนายออกไปจากชีวิตเรา...”
“ฉันไม่เชื่อหรอก” โทโมะตอบคำถามนั้นเหมือนกับว่าเขามั่นใจว่าฉันทำไม่ได้หรอกที่จะลืมเขาจริงๆ “เพราะว่าเธอน่ะ...ชอบฉัน...ชอบฉันแค่คนเดียว...”
ตึกตักๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
วินาทีนั้นหัวใจฉันเต้นแรงราวกับกับจะระเบิดออกมาเพราะว่าโทโมะโน้มหน้าของตัว เองลงมาจนปลายจมูกของเราสองคนชนกัน และฉันก็ไม่สามารถที่จะเลี่ยงหรือหลบหน้าไปทางไหนได้เลย และยิ่งตอนนี้ลมหายใจอุ่นๆของโทโมะที่มันรินรดอยู่ปลายจมูกของฉันจากอากาศที่ เย็นอยู่แล้วมันก็ยิ่งทำให้ฉันเริ่มรู้สึกเย็นไปกว่าเดิมเสียอีก
“...”
“...ฉันพูดถูกมั้ย...”โทโมะถามแต่คำถามนั้นของเขามันกลับกลบเสียงของสายฝนไปเลย
“แล้วนายรู้ได้ไงว่าเราจะเลิกชอบนายไม่ได้...”ฉันพูดออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆแล้วกำมือทั้งสองข้างของตัวเองไว้แน่น “ทำไมนายถึงมั่นใจนักว่าเราจะชอบนายได้แค่คนเดียว...!!!”
เฮือก!
ฉันตกใจจนเบิกตากว้างเมื่อโทโมะใช้ริมฝีปากร้อนระอุของโทโมะนั้นมาสัมผัสเข้าที่ ริมฝีปากของฉันอย่างนุ่มนวลและเชื่องช้าราวกับจะทรมานฉันให้ตายไปตรงนั้น ละอองฝนที่สาดเข้ามาในตู้โทรศัพท์ตู้นี้เป็นเหมือนน้ำเชื้ออะไรบางอย่างที่ ทำให้ฉันไม่สามารถยกมือผลักโทโมะออกไปด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบสาเหตุ แต่ที่รู้ๆคือมือของฉันไม่มีแรงแม้แต่จะขยับ มันแข็งทื่อราวกับหุ่นในตอนนั้น
“อึก...”
เมื่อโทโมะจับแก้มทั้งสองข้างของฉันให้ตอบรับสัมผัสของเขาที่มอบให้จนฉันเองก็แทบจะ ยืนไม่ไหวแล้วในตอนนี้ เพราะยิ่งริมฝีปากของโทโมะกดลงมาที่ริมฝีปากฉันมากขึ้นฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเอง เหมือนใจเต้นแรงเกินขีดจำกัดของหัวใจแล้วเหมือนว่าเลือดในร่างกายมันสูบฉีด ไม่ทัน
ตอนนั้นฉันก็เพิ่งรู้ว่าท้ายทอยของตัวเองโดนล็อคเอาไว้ในตอนที่โทโมะละ ริมฝีปากของเขาออกไปเพียงแค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้จริงๆ และเพียงไม่ถึง 3 วิ เขาก็จูบลงมาที่ริมฝีปากของฉันอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง...
เหมือนว่าอยากจะให้ฉันตอบรับสัมผัสของเขาและยอมรับหัวใจของตัวเองว่าฉัน ‘ไม่มีทาง’ ลืมเขาได้หรอก และจะ ‘ไม่มีวัน’ ที่ ฉันจะเลิกชอบเขาเด็ดขาด คำเหล่านี้มันแล่นอยู่ในหัวใจตอนที่โทโมะกัดเข้าที่ริมฝีปากของฉันและเขายิ่ง ใช้ริมฝีปากของตัวเองจาบจ้วงเข้ามาเรื่อยๆจนฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป
ซ่า ซ่า ซ่า!!!
ครึม ครึม
“อื้อ!”
หูของฉันอื้อทื่อไปหมดทั้งเสียงฝนเสียงฟ้าร้องมันยิ่งเบาลงเพราะว่าหายใจไม่ ออกเมื่อโทโมะไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากของเราห่างกันเลย และพอสักพักเขาก็ถอนริมฝีปากของตัวเองออกไปแต่หน้าผากกับปลายจมูกของเรายัง คงเตะกันอยู่ที่เดิมพร้อมกับแรงสูดหายใจเข้าปอดไม่นานนักเขาก็จูบเข้ามาที่ริมฝีปากของฉันเบาๆอีกครั้ง...
“ยอมรับซะเถอะ....”โทโมะละริมฝีปากออกแล้วพูดกระซิบที่หูของฉันเบาๆ และมันทำให้ฉันหนาวสั่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก กับคำพูดต่อมาที่เขาพูด “ว่าเธอหลงรักฉันจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว...”
“...” ฉันไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่มองสบสายตากับโทโมะที่เขากำลังมองฉันอยู่
และอยู่ดีๆคำพูดของฟางมันก็ผุดขึ้นมาในหัว
‘บางที...ฉันก็คิดว่า โทโมะอาจจะชอบแกจริงๆนะเว้ย’
‘แล้วฟางรู้ได้ไง...บางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ’
‘ใช่ ไม่ใช่ไม่รู้หรอก ที่รู้แน่ๆคือถ้าโทโมะยังชอบคลอรีนอยู่คงไปหาคลอรีนแล้วแหละไม่มาสนใจอยากจะคุย กับแกแบบนี้หรอก เพราะฉันอยู่ที่นี่มานานก่อนแก ฉันรู้ว่าหมอนี่น่ะเป็นยังไง แต่ไอ้อาการของเขาที่ฉันเห็นเมื่อไม่นานมานี้อ่ะ ย้ำเลยว่ามันเพิ่งมาเกิดขึ้นมาแก ‘แค่คนเดียว’ เนี่ยแหละ’
แต่ คำพูดของฟางน่ะ มันไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่ ถ้าโทโมะเขาคิดอะไรกับฉันจริงๆ ทำไมเขาไม่พูดมันออกมาเหมือนที่เขาเคยบอกกับคลอรีนล่ะ แล้วทำไมกับฉันเขาไม่พูดออกมาตรงๆเลยล่ะ ทำไมไม่พูด ถ้าเป็นเพียงแค่ ‘จูบ’ จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงว่าที่เขาทำเนี่ย
เขาต้องการที่แค่จะให้ฉันหายโกรธ...หรือว่าต้องการที่บอกบางอย่างกับฉันจริงๆ
แล้วถ้าเกิดว่าฉันกลับไปเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันกับเขาแบบเดิม แล้วมันกลับเหมือนสิ่งที่แค่ผ่านเลยไปเพียงแค่ว่า ก็หายโกรธแล้วนี่? แล้วสิ่งที่เขาทำที่ผ่านมามันแค่ทำให้เราสองคนรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรต่อกัน ถ้าเป็นแบบนั้น...ฉันจะไม่เจ็บไปกว่านี้เหรอ?
“...”
“ใช่...เรายอมรับ...” เมื่อฉันคิดฉันเลยตัดสินใจพูดออกมาแต่อยู่ดีๆน้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาซะอย่างงั้น “ยอมรับว่าเราชอบนายเกินที่จะลืมไปง่ายๆ”
“...”
“แต่ ว่า...เราก็สงสัยนะ ว่าทำไมนายถึงมาทำแบบนี้กับเรา ก็นายพูดเองไม่ใช่เหรอโทโมะ ว่าทำไมเราต้องเข้ามาในชีวิตนาย ทำให้นายปวดสมองแล้วก็สับสนด้วย นายพูดเอง...” เมื่อฉันพูดไปแบบนั้นน้ำตาก็ยิ่งไหลรินลงมาและมันทำให้โทโมะถึงกับชะงักไป
“...”
“เราก็พยายามแล้วนะ พยายามที่จะออกห่างพยายามที่จะลืมนายไม่ไปทำให้นายปวดสมองเรา พยายามที่จะเดินห่างออกมาแล้วโทโมะ แต่ทุกครั้งที่เราทำแบบนั้น...นายมายื้อเราไว้ทำไมอ่ะ...ทำไมนายจะต้องมาทำ แบบนี้กับเราด้วย นายตอบเราได้มั้ย?” ฉันพูดบอกโทโมะออกไปทั้งน้ำตาและหวังว่าตัวเองคงจะได้รับคำตอบที่มันกระจ่าง
แต่ผลสรุปว่า...โทโมะเงียบ
เขาไม่ตอบอะไรเลยสักอย่าง...
เพียงแค่ใช้สายตาของเขามองฉันอย่างไม่เข้าใจ
“...”
“นายก็บอกเรามาสิ ว่าทำไมทำไมโทโมะ!” ฉันตะคอกใส่โทโมะที่อยู่ตรงหน้าและน้ำเสียงของฉันตอนนี้มันเหมือนกับว่าจะไม่มีเสียงที่จะพูดอยู่แล้ว “นายจูบเรา ทำเหมือนไม่อยากให้เราลืมนายทั้งๆที่นายพูดแบบนั้นเองนี่มันคืออะไร!”
“ฉัน...”
“นายต้องการอะไรจากเราอีกอ่ะแค่นี้เรายังเจ็บไม่พออีกเหรอ?”
“...”
“นายอยากเห็นเราเจ็บมากกว่านี้ใช่มั้ย? อยากเห็นเราร้องไห้เพราะนายมากกว่านี้ใช่มั้ย? ใช่มั้ยโทโมะ!” ฉันพูดพร้อมกับเอาฝ่ามือของตัวเองทุบลงไปที่หน้าอกของโทโมะอย่างแรงเพื่อระบายความรู้สึกที่มีอยู่ข้างใน
ตุ้บ!
“...”
“ใช่มั้ย!”
“แก้ว...”โทโมะเรียกชื่อฉันอย่างอ่อนล้า และด้วยสายตาที่เขามองมันก็ตัดพ้อจนฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมโทโมะถึงไม่พูดอะไรเลย
คงเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยยังไงล่ะ...
“ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้...” ฉัน เงยหน้าบอกกับโทโมะที่ตอนนี้เหมือนคนพูดอะไรไม่ออก แต่เชื่อสิว่าคำพูดต่อไปนี้มันจะให้เขารู้ความรู้สึกของฉัน ว่ามันเจ็บแค่ไหนที่ต้องมาหลงชอบคนแบบเขา! “อึก...เราจะไม่มีทางมาหลงทางชอบนายหรอก!”
“...”
“และถ้านายชอบคลอรีนอยู่ ก็อย่ามาทำกับเราแบบนี้เลย เราขอเหอะ...”
จบ คำพูดนั้นฉันดันวีออกห่างจากตัวเองแล้วผลักประตูตู้โทรศัพท์ก่อนจะเดินออกมา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินลงมา และสายฝนตกกระทบร่างกายของตัวเอง ไม่รู้สิว่าทำไมมันถึงได้เจ็บจนจุกแล้วก็ไม่อยากเดิน แต่ทว่าพอเดินไปไม่กี่ก้าวฉันกับต้องหยุดชะงักเพราะว่าเสียงของโทโมะที่ดังขึ้น มาจากในตู้โทรศัพท์ที่ทำให้ฉันต้องหันกลับไปมอง
ปึก!
“โธ่เว้ย!!!!!”
“อึก”
ภาพ ที่ฉันหันกลับไปเห็นคือโทโมะเอามือของเขาต่อยเข้าที่ตัวเครื่องโทรศัพท์เหมือน อยากจะระบายอารมณ์ทั้งหมดที่มันกลั้นอยู่ข้างใน ซึ่งฉันเห็นภาพนั้นฉันก็ยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองอย่างอัตโนมัติเพราะว่า สังเกตเห็นว่าที่มือของโทโมะนั้นมีเลือดออกมาจากแรงต่อย
แต่โทโมะคงคิดว่าฉันไปแล้วล่ะ...
เขาถึงไม่คิดจะหันมองมาเลยว่าฉันกำลังมองเขาอยู่ไม่ไกล และเหมือนเข่าของโทโมะอ่อนลงจนเขาซุดตัวลงเหมือนคนที่อ่อนล้าเต็มทนกับความ รู้สึกต่างๆที่ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมโทโมะถึงเป็นเช่นนี้ เพราะถ้าเขาพูดอะไรออกมาบ้างฉันก็คงจะเข้าใจ
แต่นี่เขากลับไม่พูด ฉันจะรู้ได้ไงว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่...
“อึก...”
วินาที นั้นฉันเหมือนคนที่กำลังร้องไห้มากๆจนตาของตัวเองพล่ามัว เลยตัดสินใจรีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่มีทางจะหันหลังกลับไปมองโทโมะที่อยู่ในตู้โทรศัพท์นั้นอีก เพราะฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะทนเห็นโทโมะแบบนั้นได้นานแค่ไหนเลยตัดสินใจวิ่ง ห่างออกมา
เหมือนเป็นการบอกกับตัวเองว่า...ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งกับโทโมะอีกแล้ว...
‘ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในวันที่สายฝนโปรยปรายมันแลดูยากเกินจะถอน
เพราะว่าไม่มีใครเอ่ยบอกความในใจอย่างลึกซึ้ง...
แต่คุณเคยได้ยินที่เขาพูดกันมั้ยว่า ‘ฟ้าหลังฝนย่อมมีเสมอ...’ ฉะนั้น ให้จงคิดเสียว่า...
...ถ้าฝนไม่ตก...มันจะมีฟ้าหลังฝนได้อย่างไร...’
__________________________________________________
อัพแล้วนะเม้นโหจตเยอะๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ