Stop หยุดหัวใจนายเย็นชา

9.6

เขียนโดย NannyCandy

วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.18 น.

  43 chapter
  860 วิจารณ์
  67.07K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 19.34 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

28) - Your Lips Remind - ( ริมฝีปากของคุณมันย้ำเตือน )

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

- Your Lips Remind - 

( ริมฝีปากของคุณมันย้ำเตือน )

 

หลายวันถัดจากนั้นมา...

 

 

ซ่า ซ่า ซ่า...

 

 

“แก้วป่ะไปกินข้าวกัน ^^” ฟาง ที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยชวนกินข้าวแล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้หลังจากที่เลิกเรียน วิชาคณิตศาสตร์คาบสุดท้ายก่อนพักกลางวันเสร็จไปเมื่อครู่นี้เอง

 

 

      แถมตั้งแต่เช้ามานี่ฝนนี่ก็เดี๋ยวตกเดี๋ยวหายตั้งแต่เช้าและ  อากาศวันนี้ก็ออกชื้นๆเย็นๆจนฉันไม่ค่อยอยากอาหารเลยบ่องตง = =;;;

 

 

“ป่ะดิ ” ฉันบอกก่อนลุกขึ้นยืนเช่นกัน

 

 

          และในจังหวะนั้นนั่นเองที่สายตาฉันดันมองไปเห็นกลุ่มนักเรียนชายที่เป็นที่กรี๊ดกร๊าดของสาวๆในโรงเรียนอย่างกลุ่มเคโอติคเดินผ่านหน้าห้องไป โดยที่คนที่เดินรั้งท้ายนั้นเป็นคนที่ตอนนี้ฉันแทบไม่ได้เห็นหน้าเขาแล้วอย่างโทโมะ...ที่ตอนนี้เอาแต่เดินก้มหน้าแล้วเดินผ่านห้องนี้ไป

 

 

          ก็ดีแล้ว...

 

 

          เพราะหลายวันมานี้กลุ่มเคโอติคไม่มีใครเข้ามายุ่งกับฉันกับฟางอีกเลย ส่วนนักเรียนคนอื่นๆก็ด้วย ไม่มีคนมาหาเรื่อง มาวุ่นวายและก็ไม่มีใครมาถามเรื่องที่เข้าใจผิดว่าฉันคบกับโทโมะ  ทั้งๆที่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ไม่ได้ไปพูดอะไร

 

 

      ส่วนฟางก็บอกว่าปล่อยให้เขาใจไปอย่างงั้นก่อนแหละ เพื่อเป็นความปลอดภัยของฉันเองด้วย...

 

 

“ไปกันเถอะ” ฟางหันมาบอกและฉันก็เพิ่งตั้งสติได้ก่อนจะเดินออกไปพร้อมฟาง

 

 

      ไม่ รู้สินะว่าทำไมชีวิตของฉันช่วงนี้มันดูเหมือนแต่ก่อนมากที่ไม่ได้มีเรื่อง อะไรเข้ามาให้หนักสมอง  แต่ทำไมฉันถึง...ดูไม่สดใสเลยล่ะทั้งๆที่เรื่องมันก็ดีขึ้นมาแล้ว  คงอาจจะเป็นเพราะมี ‘บางสิ่ง’ ที่ฉันสับสนล่ะมั้ง โดยเฉพาะกับโทโมะ ที่ตอนนี้ก็อย่างที่บอกว่าเขาไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรเกี่ยวกับฉันเลย

 

 

       เพราะวันธรรมดาฉันไม่ได้เจอเขาเลยเพราะว่ากลับจากโรงเรียนก็ไปทำงานกับฟาง ที่ร้านกาแฟ เลิกงานก็ประมาณสามสี่ทุ่มโน่นแน่ะกว่าจะได้กลับบ้าน แต่ตอนที่ไปฉันเลิกเรียนก็ไปกับฟางตลอดนะเดี๋ยวนี้น่ะ ไม่ได้ขี่จักรยานแบบเมื่อก่อนแล้ว ส่วนขากลับฉันบอกกับฟางว่าจะเดินกลับเองเพราะขากลับอาจจะแวะซื้ออะไรไปให้ พ่อกับพิชชี่ด้วย

 

 

      แถมร้านพี่ฟางก็อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านสักเท่าไหร่นัก...

 

 

      แต่ไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมทุกครั้งเวลาที่เลิกงานฉันรู้สึกเหมือนว่าคนตามแอบดูตลอดเวลาเลย  แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะว่าคงจะรู้สึกไปเอง และใครที่ไนไหนจะมาเดินตามกันเล่า ><!

 

 

“ข้าวไม่อร่อยเหรอวะ O_O?”

 

 

“...”

 

 

“แก้ว!”

 

 

“หะ หา? อะไรนะ?” ฉันถามขึ้นเมื่อฟางที่นั่งอยู่ตรงข้ามเรียกฉันให้ได้สติขึ้นมาจากอาการเหม่อเมื่อกี๊นี้

 

 

“ฉันถามว่าข้าวไม่อร่อยเหรอ เห็นแกกินสองสามคำเอง”

 

 

“ก็อร่อยนะแต่...ไม่รู้ว่ะทำไมพักนี้ฉันไม่ค่อยอยากอาหารเลย” ฉันบอกไป

 

 

         จริงๆนะไม่รู้ทำไมช่วงนี้ฉันถึงไม่ค่อยอยากกินข้าว สักเท่าไหร่เลย มันดูแบบ... ‘ไม่อยาก’ อ่ะ ถึงแม้พยายามจะกินเข้าไปมันก็กลืนไม่ค่อยลงทุกทีจนฉันต้องเอานมจืดเป็นกล่องๆมากินแทน จนตอนนี้กลายเป็นติดนมจืดไปแล้ว = =;;; ( ติดนมจืดเหมือนใครหว่าแก้ว?^^ )

 

 

“อืมมมมม จะให้ตอบตามตรงป่ะล่ะ” ฟางเลิกคิ้วถาม

 

 

“...”

 

 

“แกยังคิดถึงโทโมะอยู่...”

 

 

“เฮ้ย เกี่ยวไรอ่ะ O_o?” ตอนนั้นที่ฟางพูดฉันถึงกับตกใจออกมาหน่อยๆเพราะว่าไม่เข้าใจว่าทำไมฟางถึงพูดแบบนั้นออกมา

 

 

“ก็...” ฟางบอกแล้วในตอนนั้นนั่นเองที่สายตาของฟางทำให้ฉันเลื่อนมองตามไปก็พบว่าฟางกำลังมองไปยังกลุ่มเคโอติคที่กำลังนั่งอยู่จากตรงนี้ไม่นาน “เขาเป็นรักแรกป่าววะ...”

 

 

“...”

 

 

       ตอนนั้นที่ฟางพูดสายตาของฉันหยุดอยู่ตรงผู้ชายผมดำที่เมื่อครั้งแรกที่เจอกันมันเป็นสีส้มอย่างโทโมะกำลังนั่งอยู่กับเขื่อนแล้วกินขนมกัน

 

 

      และจากนั้นฉันก็หลุบสายตาลงต่ำก่อนจะหันมามองฟางที่ก็ละสายตาจากเคโอติคมามองฉันเช่นกัน...

 

 

“การ ที่แกไม่ค่อยอยากอาหารอ่ะ มันเป็นเพราะทุกครั้งที่แกตักข้าวเข้าปากมันจะคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ทำให้ แกรู้สึกตื้อในหัวสมองไปหมดจนไม่อยากกินข้าวเลยไง...”

 

 

“...!”

 

 

“ถ้าตอนที่แกกินแล้วนึกถึงโทโมะอ่ะ แสดงว่าแกยังไม่ลืมเขา”

 

 

“...”

 

 

“ฉันพูดถูกมั้ย?”

 

 

        เมื่อฟางถามด้วยสีหน้าที่แลดูจริงจังฉันก็หลุบสายตาลงต่ำทันที  ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมฉันถึงไม่พูดปฏิเสธฟางไปว่า ‘ไม่ใช่’ อาจจะเป็นเพราะว่ามัน ‘ถูก’ อย่างที่ฟางพูดมามั้งฉันเลยไม่ได้ตอบอะไรไป

 

 

“ถ้าถูกแล้วจะยังไงต่อล่ะ” ฉันเงยหน้ามองฟางก่อนจะหันไปมองกลุ่มเคโอติคนิ่งๆ “ฉันน่ะ...ไม่เคยเข้าใจเรื่องพวกนี้หรอกจนกระทั่งมาเจอเขา” ฉันพูดน้ำเสียงเรียบขณะที่สายตายังคงมองโทโมะ

 

 

“...”

 

 

“ แต่สุดท้าย...ฉันก็กลับต้องมาพยายามลืมคนที่เป็นรักแรกเนี่ยนะ ตลกเน๊อะ” 

 

 

“แต่ถ้าแกรักเขาจริงๆก็ไม่จำเป็นต้องลืมเขาก็ได้นะเว้ย”เมื่อฟางพูดฉันจึงหันกลับไปมองฟางนิ่งๆ ฟางจึงพูดต่อ“ตอนแรกอ่ะฉันก็อยากจะให้แกลืมโทโมะนะเว้ย เพราะที่แกเล่ามาเป็นฉัน ฉันก็เจ็บจนอยากลืมเหมือนกัน”

 

 

“...”

 

 

“แต่ว่า...สิ่งที่ฉันเห็นอ่ะ มันคือสิ่งที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่อยู่ในโรงเรียนนี้เลยนะ”

 

 

“หมายถึง?”

 

 

“โทโมะ ไง...หมอนั่นน่ะไม่เคยมีอาการแบบนี้เลยนะ เขาไม่เคยออกอาการโมโหใคร หงุดหงิดใส่ใครออกนอกหน้า ถ้าเมินได้คือเมินเลย แต่ว่าที่ฉันเห็นเนี่ยมันต่างจากตอนนั้นมาก คือโทโมะไม่ได้ออกอาการ ‘เมิน’ แกเลยนะเว้ย  เหมือนเขาพยายามที่จะเข้าหาแก แต่แกดันโกรธไม่ยอมคุยด้วยจนเขาโมโหแบบนั้น ตรงนี้แหละที่ฉันไม่เคยเห็น”

 

 

“แล้ว...”

 

 

“บางที...ฉันก็คิดว่า โทโมะอาจจะชอบแกจริงๆนะเว้ย”

 

 

กึก!

 

 

“...!”

 

 

       ตอน นั้นคำพูดของฟางมันเหมือนกับที่หยุดเวลาให้ทุกอย่างหยุดไปชั่วขณะเพราะว่า ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรที่ทำให้ฟางคิดเช่นนี้ แต่ว่า...ที่ฟางพูดมาฉันเองก็ไม่อยากจะมั่นใจนักหรอก  อย่าหาว่าฉันอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ แต่จะให้ปักใจเช่นอะไรไปง่ายๆฉันทำไม่ได้จริงๆ

 

 

      แล้วยิ่งโดนมากับตัวว่ามันเป็นยังไง  ฉันยิ่งทำไมไม่ได้ที่จะเชื่อ...

 

 

“...”

 

 

“ทำไม  ถึงคิดแบบนั้นอ่ะ”

 

 

“ก็ไม่รู้ดิ เซ้นต์บอกมาล่ะมั้ง?” ฟางยักไหล่ 

 

 

“งั้นเซ้นต์แกคงไม่จริงหรอก เพราะว่าโทโมะเขาไม่ได้ชอบฉัน เขาชอบคลอรีน และฉันก็ไม่รู้สึกแปลกใจด้วยว่าทำไมเขาถึงชอบเธอ”

 

 

“โทโมะบอกแกว่า ‘ชอบ’ เหรอ?”ฟางถามแล้วเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงแต่ฉันก็นิ่งไม่ได้ตอบอะไร “แต่ที่แกเล่าให้ฉันฟังตอนที่อยู่ร้าน แกบอกว่าโทโมะพูดว่า ‘เคยชอบ’ ไม่ใช่เหรอวะ”

 

 

“ก็...ใช่...”

 

 

“งั้นแสดงว่าตอนนี้โทโมะไม่ได้ชอบคลอรีนแล้ว แต่ตอนนั้นอาจจะแค่โมโหที่โดนหักหลังเลยแสดงอาการออกมาแบบนั้น ”

 

 

“แล้วฟางรู้ได้ไง” ฉันถามจากนั้นฟางก็ชะงักไปสักพัก “บางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ”

 

 

“ใช่ ไม่ใช่ไม่รู้หรอก ที่รู้แน่ๆคือถ้าโทโมะยังชอบคลอรีนอยู่คงไปหาคลอรีนแล้วแหละไม่มาสนใจอยากจะคุย กับแกแบบนี้หรอก เพราะฉันอยู่ที่นี่มานานก่อนแก ฉันรู้ว่าหมอนี่น่ะเป็นยังไง แต่ไอ้อาการของเขาที่ฉันเห็นเมื่อไม่นานมานี้อ่ะ ย้ำเลยว่ามันเพิ่งมาเกิดขึ้นมาแก ‘แค่คนเดียว’ เนี่ยแหละ” จบคำพูดนั้นฟางก็ก้มหน้าลงแล้วเอาตะเกียบคีบขนมทาโกยากิใส่ปากแล้วไม่พูดอะไรอีก

 

 

“...”

 

 

“เอ้า อย่านั่งเงียบดิ กินข้าวๆ” ฟางบอกเมื่อเห็นว่าฉันเอาแต่นั่งเงียบตั้งแต่ตอนนั้น ฉันก็พยักหน้านิดๆแล้วก้มหน้ากินข้าวต่อแต่ก็ยังมิวายหันไปมองกลุ่มเคโอติคอยู่ดี

 

 

      ให้ตายสินี่ฉันกำลังเป็นอะไรอยู่เนี่ย? ไม่ๆๆๆๆๆๆๆ อย่าหวั่นไหวสิแก้ว! เธอบอกเองว่าจะลืมเขาไม่ให้เหรอ? ที่ ฟางบอกมามันอาจจะไม่ใช่ก็ได้นี่นา คนแบบโทโมะนี่เดาใจยากอยู่แล้วนี่  หรือว่าที่เขาทำแบบนี้เป็นเพราะฉันเป็นเพื่อนบ้านคนหนึ่งที่เป็นลูกสาวเพื่อ พ่อด้วยเขาเลยไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้

 

 

      ใช่! คนอย่างเธอโทโมะเขาไม่มีทางชอบหรอกแก้ว ><! ดูที่เขาทำกับเธอไว้สิ!

 

 

      ไม่ รู้ว่าฉันเป็นบ้าอะไรที่เหมือนกับว่ามีเสียงในหัวบอกแบบนั้น  แต่ภาพของโทโมะในตอนที่เขาจูบมุมปากของฉันที่ห้องสมุดวันนั้นก็ปรากฏขึ้นมาต่อ หน้าจนฉันต้องส่ายหน้าเบาๆเพื่อให้ภาพนั้นมันหายไป

 

 

ครืด

 

 

“ฟางฉันจะไปซื้อขนมเอาอะไรมั้ย”ฉันถามฟางอย่างร้อนรนเมื่อภาพของโทโมะมันไม่หายไปสักทีเลยคิดว่าจะเขาไปที่ร้านขนม สักพักเพื่อสงบสติตัวเอง ฟางที่นั่งกินทาโกยากิอยู่เต็มปากก็เงยหน้าขึ้นมามองฉันงงๆ

 

 

“อาอาอมอั๊ยอ๊ะเอี้ย? เอนไอ? O*O?  ( มาอารมณ์ไหนวะเนี่ย? เป็นไร?) ”ฟางถามขณะที่กำลังเคี้ยวทาโกยากิเต็มปาก

 

 

“ไม่ได้เป็นไร ว่าจะไปซื้อขนมแกเอาไรมั้ยล่ะ?” “เอ่าแอ้วอ้าวอ่ะ? ( เอ่าแล้วข้าวอ่ะ? )”

 

 

“กินไม่ลงอ่ะ ตอนนี้ฉันอยากกินขนมมากกว่า” ฉันบอกฟาง

 

 

       ให้ตายเหอะ! ตั้งแต่พยายามจะลืมโทโมะมานี่ฉันแทบจะกินขนมขบเคี้ยวแทนข้าวอยู่แล้วนะจะบอกให้ >O<! เป็นบ้าอะไรเนี่ยปกติฉันไม่เคยเป็นแบบนี้นะบ้าจริงๆเล้ย!  แล้วทำไมจะต้องมาเป็นอะไรแบบนี้ด้วยก็ไม่เข้าใจเหมือนกันนะ = =?

 

 

 

“เอาอ็อคโอแลตอันอึง”( เอาช็อคโกแลตอันนึง )เมื่อฟางบอกฉันก็พยักหน้าให้ก่อนจะเดินตรงก้าวขาฉับๆเข้าไปในมินิมาร์ท

 

 

            พอเดินเข้ามาฉันก็เดินๆเลือกๆมองขนมอยู่นานความรู้สึกตอนนี้มันอยากกิน ทุกอย่างเลยไม่รู้ว่าเป็นอะไร  หรือว่าฉันจะคิดถึงโทโมะอย่างที่ฟางบอกจริงๆ? แต่มันเกี่ยวกันตรงไหนเนี่ยฉันยังงงเลยอ่ะ สงสัยต้องไปหาข้อมูลศึกษาเองซะแล้วล่ะให้ตายสิ=[]=;;;

 

 

“หยิบแต่ช็อคโกแลตระวังอ้วนนะ ^^”

 

 

ขวับ

 

 

O_O?

 

 

“หือ?”

 

 

       เมื่อฉันกำลังเลือกๆเอาขนมอยู่นั้นจู่ๆเสียงใครที่ไม่คุ้นก็ทักขึ้นมาข้างๆซะ อย่างงั้นจนฉันตกใจหน่อยๆ แต่พอเมื่อหันไปมองกับตกใจพร้อมๆกับงงไปด้วยว่าทำไม ‘เขา’ หนึ่งในกลุ่มเคโอติคถึงยืนพูดกับฉันตรงนี้

 

 

       และถ้าฉันจำไม่ผิดนะเขาน่าจะชื่อว่า...ว่า...เขื่อน ใช่มั้ย?

 

 

       เขา สูงประมาณ 170 ได้ แถมมีหน้าตาที่ดูเด็กด้วย แถมที่แก้มสังเกตได้เลยว่าเขานั้นมีลักยิ้มด้วยสิ  ละ...แล้วทำไมเขาถึงเดินมาทักฉัน เอ๋? เขาทักฉันใช่มั้ย?

 

 

“พูดกับเธอนั่นแหละครับ ^^” เขื่อนบอกเมื่อเห็นว่าฉันมองหน้าเขางึกงักแล้วหันมองไปด้านหลังเพื่อให้แน่ใจว่าเขาพูดกับฉันจริงๆ

 

 

“อ๋อ มะ...มีอะไรกับเราเหรอ” ฉันถามแล้วเอานิ้วชี้ตัวเอง

 

 

“เอ่อ =[]=???”

 

 

“อ่อ ขอโทษที่ทำให้งงแฮะๆ” เขื่อนเอามือเกาผมสีดำของตัวเอง “แก้วชอบกินช็อคโกแลตเหรอฮะ?”

 

 

        แหม่ รู้ชื่อฉันด้วย?

 

 

        เขื่อนถามขณะที่ฉันก็งงๆอยู่ว่าทำไมเขาต้องทำเหมือนอยากจะเข้ามาคุยกับ ฉัน  ทั้งๆที่ปกติฉันไม่เคยที่จะคุยกับเขาเลยนะ นอกจากจองเบที่ตอนนั้นคุยกันแค่นิดเดียวเอง แล้วทำไม...เขื่อนถึง

 

 

“อื้ม”ฉันบอกพลางพยักหน้าไปด้วย

 

 

“ว๊า ชอบกินช็อคแลตแบบเดียวกับโทโมะเลยอ่ะ ^^”เขาบอกแล้วคำพูดนั้นก็ทำให้ฉันหุบยิ้มลงหน่อยๆ “เนี่ยเขาก็ฝากฉันมาซื้อช็อคโกแลตแบบเดียวกันกับแก้วเลยนะ”

 

 

“อ๋อ”

 

 

       ฉันตอบไปแค่นั้นเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ‘เขื่อน’ ที่ ยิ้มสดใสมาให้  และสายตาของฉันก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าฉันกับเขื่อนเหมือนว่ากำลังจะถูกนักเรียนในมินิมาร์ทนี้มองอย่างสนอกสนใจกัน สนตอนนี้ฉันเริ่มทำตัวไม่ถูกเสียแล้วสินะเนี่ย 

 

 

“^^”

 

 

“งั้น...ขอตัวนะ” ฉันบอกแล้วทำท่าว่าจะเดินออกไปจากตรงนี้ทว่า...

 

 

“เอ่อเดี๋ยวก่อนครับ ^O^//” เสียง เขื่อนเอ่ยมาจากทางด้านหลังพร้อมกับปลายเสื้อสูทของฉันที่ถูกดึงเอาไว้ พอฉันหันไปมองเขางงๆ เขาก็ยิ้มให้แล้วชี้มาที่ขนมในมือฉัน “ฉัน...ขอช็อคโกแลตป๊อกกี้ในมือได้มั้ย”

 

 

“อ่ะ..อะไรนะ?”

 

 

       ฉันถามอีกครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าเขื่อนขอขนมในมือฉันจริงๆ อะไรของเขาเนี่ยทำฉัน ‘เงิบ’ ได้ตั้งแต่คุยกันวันแรกเนี่ยนะ? โห เป็นผู้ชายที่...มีความน่ารักในแบบแปลกๆเท่าที่ฉันเคยเจอเลย

 

จริงๆ

 

 

“ขนมป๊อกกี้ในมืออ่ะฉันขอได้มั้ย? ส่วนเธอก็เอาอันนี้ไป ^_^”

 

 

“????”

 

 

       ตอน นั้นฉันงงๆจนทำอะไรม่ถูกเลย เพราะไม่รู้ว่าทำไมเขื่อนทำอยากจะได้ขนมในมือฉันเพราะว่าเขาหันไปหยิบขนม ป๊อกกี้แบบเดียวกันกับในมือฉันแล้วจู่ๆไม่รู้เป็นเพราะอะไรหรือว่าเป็นเพราะ ความมึนงงของตัวเองฉันเลยเผลอยื่นเอาอันของฉันให้เขื่อนแล้วจากนั้นเขื่อนก็ เอาไปพร้อมกับเอาขนมป๊อกกี้อีกกล่องมาให้ฉัน ( เพื่อ? )

 

 

      อะไรของเขาเนี่ยฉันล่ะงง = =??

 

 

“คัมซาฮานีดา ขอบคุณนะคร้าบบบบ ^O^//” เขื่อนโค้งตัวให้ฉันเล็กน้อยจนฉันต้องเลิกคิ้วขึ้นแต่เขื่อนก็แค่ยิ้มให้ก่อนจะเดินผ่านฉันไป ปล่อยให้ฉันยืนงงแล้วมองขนมป๊อกกี้อันที่เขื่อนหยิบให้ในมือ

 

 

      ส่วนอันของฉันเขื่อนก็เอาไปแล้วเรียบร้อย = =;;;

 

 

 

[ ช่วงของคโอติค ]

 

 

“ไปไหนมาวะไอเขื่อน”

 

 

“ขนมเต็มมือขนาดนี้ผมคงไปห้องน้ำมามั้ง?” เขื่อนพูดประชดขำๆแล้วนั่งลงข้างๆโทโมะก่อนที่เขาจะเอาขนม ‘ป๊อกกี้’ ของโปรดโทโมะยื่นให้ตรงหน้า “อ่ะ เอา ‘ของดี’ มาฝาก”

 

 

“ดีตรงไหนก็ขนมแบบเดิมนั่นแหละว๊า” เคนตะว่าพลางกดเลื่อนโทรศัพท์เล่นไปพลางๆ

 

 

“แต่อันนี้พิเศษกว่า ^^”

 

 

       เมื่อเขื่อนพูดแบบนั้นเพื่อนๆในกลุ่มจึงต้องละสายตาจากสิ่งอื่นมาสนใจเขาในทันที ทันใดโดยเฉพาะอย่างยิ่งโทโมะที่นั่งอยู่ข้างๆก็ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างงงๆว่าที่ เขื่อนพูดมานั้นเขาต้องการจะบอกอะไรกันแน่นะ? แล้วไอ้ที่ว่า ‘อันนี้พิเศษกว่า’ นี่คือยังไงกัน

 

 

“พิเศษยังไงวะ =[]=?” เคนตะถาม

 

 

“ก็ขนมเนี๊ยะ ฉันได้มาจากมือของแก้วเลยน้า”  

 

 

กึก!

 

 

O_O!!!

 

 

“แกเอามาได้ไงวะ?!” ป๊อปปี้พูดเหมือนไม่อยากจะเชื่อว่าเขื่อนได้ของดีมาให้โทโมะได้จริงๆ

 

 

“ก็อ่านะ คริ คริ ^^”เขื่อนหัวเราะพลางทำมือเก็กหล่อเอาไว้ที่คางตัวเองก่อนจะหันไปมองโทโมะที่กำลังมองเขาอยู่ “เนี่ย ฉันอุตส่าห์เอามาให้เลยนะ จากมือแก้วเต็มๆ แกจะกินหรือจะเก็บเอาไว้ก็เรื่องของแกแล้วแหละนะ”

 

 

“อั๊ยยะ!” คราวนี้เพื่อนๆในกลุ่มต่างแซวแต่โทโมะเขาแค่ยิ้มบางๆออกมาก็เท่านั้น

 

 

      เพราะว่าหลายวันมานี้เขาไม่ได้เข้าไปยุ่งอะไรกับแก้วเลย  เขาแค่เฝ้ามองเธออยู่ห่างๆเพียงเท่านั้นเอง  เพราะโทโมะเขาก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าถ้าเขาไม่เข้าไปยุ่งอะไรกับแก้ว แก้วจะมีใจคิดถึงเขาบ้างมั้ย? หรือว่าเธอจะลืมเขาได้จริงๆ  แต่สรุปว่าหลายวันที่ผ่านมาเขายังคงเห็นแก้วใช้ชีวิตได้ตามปกติ

 

 

      แต่ว่าโทโมะเนี่ยสิที่แทบอยากจะบ้าตายเข้าทุกวัน  ที่เขาใจไม่แข็งแรงพอที่จะเข้าหาแก้วอีก  เพราะว่าเขากลัวว่าตัวเองจะเผลอพูดอะไรบ้าๆแล้วก็ทำการกระทำอะไรที่ทำให้แก้วโกรธเขาอีกน่ะสิ แล้วยิ่งถ้าเห็นแก้วร้องไห้นี่ เขาแทบจะไปไม่เป็นเลยล่ะ

 

 

“ไอ้เขื่อนรุกให้ขนาดนี้แล้วอ่ะ แล้วแกอ่ะจะเอาไงต่อ  ฉันเห็นแกเงียบๆไม่ทำอะไรเลยมาหลายวันแล้วนะเว้ย” ป๊อปปี้ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะเอ่ยถาม

 

 

“...”

 

 

“ถ้าไม่เคลียร์แล้วปล่อยไปอย่างเงี๊ยะเรื่องก็ไม่จบหรอก”

 

 

“เออแล้วไอ้ป๊อปทางแกเขาว่าไงบ้างอ่ะ” จองเบหันไปถามป๊อปปี้

 

 

“ก็...ไม่รู้ดิว่ายัยนั่นจะช่วยพูดให้มั้ย แต่มันหลายวันแล้วอ่ะ ฉันว่าคงไม่หรอกมั้ง?” ป๊อปปี้บอกอย่างหมดหวัง

 

 

           แต่เขาคงไม่รู้หรอกว่า ‘คำขอ’ ของเขามันเป็น ‘จริง’ เข้า แล้วไง  เพราะว่าตอนนี้ฟางกำลังช่วยโทโมะอยู่เพราะหลายวันมานี้มันมีอะไรหลายๆอย่างที่ ทำให้เธอแปลกใจเกี่ยวกับโทโมะมิใช่น้อยเมื่อเธอลองทบทวนดู แต่ว่าตอนนี้พวกเคโอติคนั้นยังไม่รู้หรอก แต่คงอีกไม่ช้านั่นแหละ

 

 

“แกกก็ลองไปถามดูอีกทีดิ”

 

 

“โห่ไอ้เคน แกรู้ป่ะว่ายัยนั่นตอกกลับฉันจนฉันแทบไม่อยากถามอีกอ่ะ”

 

 

“อ๋อที่แท้ก็กลัวโดนด่า? เด่ออออ ป๊อด!”

 

 

“ไม่ได้ป๊อดเว้ยแต่ฉันแค่รำคาญเสียงบ่นยัยนั่น  ><!”

 

 

“เออ! นั้นแกจำไว้เลยนะถ้าวันไหนที่แกไม่เห็นยัยฟางมาพูดว่าแกอะไรต่างๆนาๆแบบนี้แล้ว แกก็อย่ามานั่งเหงาแล้วกัน”  

 

 

 

“เห๊อะ! ไม่มีทางหร๊อก! ฉันจะมานั่งเหงาเพราะยัยนั่นทำไม ><?”

 

 

“เออ ฉันว่าจะถามแกตั้งนานละ สรุปหลายวันมานี้แก้วเป็นไงบ้างอ่ะตอนอยู่ที่บ้านอ่ะ”จองเบหันไปถามโทโมะที่เอาแต่นั่งเงียบ

 

 

“เธอไม่ค่อยอยู่บ้านว่ะ เสาร์อาทิตย์ก็ไปทำงานกับฟาง วันธรรมดาเลิกเรียนก็ไปกลับบ้านตั้งสามสี่ทุ่ม” โทโมะตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูตัดพ้อแล้วเหมือนจะออกอาการนอยด์หน่อยๆ

 

 

“อ๋อ Get และ! ที่แท้ที่ไม่ได้ไปเล่นกีฬากับพวกฉันบ่อยเหมือนเก่าเพราะว่าไปแอบตามแก้วมาอ่ะดิ” ป๊อปปี้ว่าเพราะว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนเขาได้ไปแข่งกีฬากับทางโรงเรียนมาแล้วชนะด้วยสิ

 

 

      แต่โทโมะไม่ได้อยู่ฉลองด้วยจนดึกเพราะเขามีภารกิจที่ต้องไปตามดูแก้วในตอนเย็น ทุกเย็นที่ร้านกาแฟของพี่ฟาง อ่าห้ะ! เขาตามเธอตลอดแหละ จนรู้ว่าตอนไหนที่เธอกลับเวลาใด เขาก็จะแอบตามเธอเดินกลับบ้านบ่อยๆโดยที่แก้วเธอนั้นไม่ได้รู้เลยด้วยซ้ำ

 

 

“แอบตามแบบนี้คงได้คุยหรอกมั้งเนี่ย เจอก็รุกเลยดิวะ ปล่อยแบบนี้ได้ไง”ป๊อปปี้ว่า

 

 

“ก็ฉันไม่รู้จะพูดยังนี่หว่า ยิ่งพูดก็เหมือนยิ่งทำให้แก้วโกรธ ยิ่งฉันพูดฉันเหมือนยิ่งควบคุมตัวเองไม่ได้”

 

 

“ไม่ได้จะจุดปมนะ แต่ถ้าเมื่อก่อนแกกล้าบอกรักคลอรีน ตอนนี้แกก็ควรกล้าที่จะบอกรักแก้วได้แล้ว” 

 

 

“...”

 

 

“งั้นขอถามครั้งสุดท้ายนะ...” เมื่อป๊อปปี้พูดโทโมะเงยเงยหน้าขึ้นไปมองเขาตรงๆ แล้วก็เห็นว่าป๊อปปี้แลดูมีสีหน้าที่จริงจังกับคำถามต่อไปนี้มากเลยทีเดียว “แก้วเนี่ย...จริงจังใช่มั้ย?”

 

 

“O_O???” >>> เพื่อนในกลุ่มที่เหลือ

 

 

ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก...

 

 

“...มากอ่ะ”

 

 

[ จบช่วงของเคโอติค ]

   

 

ดึกของวันนั้น...

 

 

 

“ให้ตายเหอะตั้งแต่เราสองคนมาช่วยร้านกาแฟพี่เนี่ย ขอบอกเลยว่าลูกค้าเข้าร้านเยอะมาก"

 

 

 

      ‘พี่ฟ้า’ พี่สาวแท้ๆสุดน่ารักของฟางเอ่ยในตอนที่ฉันกับฟางเก็บร้านกันอยู่เพราะว่าลูกค้า ที่มานั่งทานก็หมดแล้ว คงมีเหลือแต่ลูกค้าที่สั่งขนมเอาไว้ที่มารอเอาขนมกับกาแฟอยู่ประมาณสามสี่คน ได้ 

 

 

 

“เวอร์ไปๆๆ พูดแบบนี้ต้องการอัลไลบอกมาเลยดีกว่าฟ้า”  ฟางเงยหน้าจากการเช็ดโต๊ะไปบอกพี่ฟ้ากำลังคิดเงินให้ลูกค้าอยู่ที่เคาน์เตอร์

 

 

 

      ฟางกับฟ้าน่ะถึงจะเป็นพี่น้องกันก็จริงแต่เวลาที่ฟางเรียกฟ้าจะเรียกแค่ ‘ฟ้า’ อย่างเดียว เพราะไม่อยากให้มีอายุและคำพูดว่า ‘พี่’ มา ปิดกั้นความสนิท  และถึงทั้งสองจะต่างกันคนละขั้วเพราะจากนิสัยที่ฟางออกห้าวแมนๆ ฟ้าก็จะออกไปทางอ่อนหวานน่ารักๆใจดีๆเสียมากกว่า

 

 

 

      แต่ฉันคิดนะว่าถึงเราจะต่างกันคนละขั้วแต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะสนิทกันไม่ได้นี่นา ^^

 

 

 

“ปล่าว แต่มีเด็กเสิร์ฟน่ารักตั้งสองคนก็ไม่แปลกที่มีคนเข้าร้านเยอะ ^^” ฟ้าหันมาบอกฉันกับฟางก่อนจะหันไปบอกคุณลูกค้าเมื่อคิดเงินเสร็จ

 

 

 

“แหม่ เข้าร้านเยอะไม่เห็นมีใครมาจีบสักคน ปัดโถ๊ะ”เมื่อฟางพูดแบบนั้นฉันกับฟ้าก็หัวเราะออกมา

 

 

 

      ก็ร้านนี้น่ะ มีแค่ฉันฟางฟ้าแค่นั้นแหละที่ช่วยกันทำงาน  แต่ก็ดีนะมันเงียบสงบดี ไม่ค่อยวุ่นวายสักเท่าไหร่เพราะร้านนี้ก็เป็นร้านกาแฟเล็กๆ แต่ก็น่ารักไม่เบาเลยแหละ รอบร้านนั้นก็ติดไปด้วยกระจกใสทำให้ลูกค้าที่มานั่งกินนั้นเห็นวิวทิวทัศน์ ข้างนอกในยามกลางคืนได้อย่างดีเลยทีเดียวเชียว

 

 

 

      และฉันก็มีความสุขนะที่ได้มาทำงานเสริมที่นี่เพื่อหารายได้เสริมไปใน ตัว  แถมไม่ต้องมีเรื่องอะไรมาคิดให้มันหนักหัวอีกด้วยสิ  ส่วนพ่อกับพิชชี่ก็อยู่บ้านเพราะครั้งนี้ฉันขอพ่อว่าไม่ให้ทำงานกลางคืน ให้ทำเฉพาะตอนเช้าเพราะว่าฉันไม่อยากให้ท่านออกไปไหนตอนกลางคืนน่ะ

 

 

 

      อีกอย่าง ฉันคิดว่าตัวเองน่ะสามารถหาเงินในช่วงกลางคืนให้พ่อได้โดยการมาทำงานที่นี่ แถมพ่อจะได้ไม่ต้องมาเหนื่อยด้วยไง แถมจะได้มีเวลาอยู่กับพิชชี่มากขึ้นด้วย

 

 

 

      ส่วนฉันน่ะถึงมาทำงานที่นี่ก็ไม่ได้ห่างจากท่านหรือพิชชี่หรอกถึงเสาร์อาทิตย์ฉันจะมาทำงานก็เถอะนะ

 

 

 

“ก็ทำตัวให้น่ารักแบบแก้วสิจะได้มีหนุ่มๆเข้ามาหาบ้าง นี่ฟางเล่นห้าวใส่แบบนี้ผู้ชายคนไหนจะกล้าเข้ามาจีบเล่า”

 

 

 

“โห่ฟ้าอ่ะ >^<”ฟางถึงกับทำปากมุ่ยใส่ฟ้า จนฉันเองก็อดอมยิ้มไม่ได้เลย

 

 

 

วูบ...

 

 

 

ขวับ

 

 

 

“?”

 

 

 

      ไม่รู้ว่าฉันรู้สึกไปเองรึปล่าวที่ว่าเหมือนกับว่าใครกำลังมองอยู่ ฉันเลยละสายตาจากการเช็ดโต๊ะอยู่ไปมองข้างนอก แต่ก็ปรากฏว่าไม่พบใครเลยเพราะว่าตอนนี้ร้านทางฝั่งตรงข้ามก็ต่างพากันปิด ร้านกันเพราะว่านี่มันก็สี่ทุ่มกว่าแล้วจึงไม่ค่อยมีคนแล้วไง

 

 

 

        แถมฝนที่หายไปก็เหมือนว่าอยากจะตกลงมาอีกแล้วสิ

 

 

 

“มองไรวะแก้ว?”

 

 

 

“ปล่าวๆ” ฉันบอกกับฟางก่อนจะเดินเอาผ้าเช็ดโต๊ะกับผ้าที่ใส่กันเปื้อนไปเก็บไว้หลังร้านเมื่อทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

 

 

“แล้วนี่แกจะเดินกลับเองหรือให้ฉันไปส่งอ่ะ”เมื่อฉันเดินออกมาฟางที่กำลังจะเดินเข้ามาหลังร้านพอดีเลยถามขึ้น

 

 

 

“เดี๋ยวฉันเดินกลับเองอ่ะ ทันฝนยังไม่ตก”

 

 

 

“อืมๆ งั้นกลับดีๆนะเว้ยมีอะไรโทรหาฉันนะ เออแล้วโทรศัพท์แกอ่ะดูแลดีๆนะ อย่าให้มันเสียอีกล่ะ”

 

 

 

“โอเค คราวนี้ฉันจะดูแลให้ดีกว่าเดิมเลยแหละเออแล้วพรุ่งนี้มารับฉันเวลาเดิมใช่ป่ะ”

 

 

 

“ตามนั้นแหละสิบเอ็ดโมงเดี๋ยวไปรับที่บ้าน >_O”

 

 

 

“อืมโอเค งั้นฉันไปก่อนนะ บาย” ฉันบอกฟางแล้วยกมือบ๊ายบายก่อนจะเดินไปบอกฟ้าแล้วก็เดินออกจากร้านไปท่ามกลางอากาศที่มันเริ่มหนาวเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ

 

 

 

      สองมือโอบกอดตัวเองพลางกวาดสายตามองไปรอบๆก็พบเห็นแค่ถนนที่ว่างปล่าวในย่านนี้กับแสงไฟสีส้มริมทางเดินที่ส่องกระทบกับต้นไม้ในยามกลางคืน  ฉันเดินไปก็พลางถอนใจไปพร้อมกับนึกถึงเรื่องราวต่างๆในวันที่ผ่านมา แต่น่าแปลกที่การนึกถึงเรื่องที่มันเกี่ยวกับโทโมะนั้นยิ่งทำให้ฉันรู้สึก เหมือนคิดถึงในวันเก่าๆ

 

 

 

      ทั้งๆที่เรื่องพวกนั้นมันไม่ควรที่จะคิดถึงมันเลย...

 

 

 

 

สักพักต่อมา...

 

 

 

แปะ...แปะ...แปะ...

 

 

 

“เอ๋า? ตกไรตอนนี้เนี่ย?” ฉันรีบยกมือถึงมาบังหัวตัวเองเพราะรู้สึกได้ว่ามีหยดน้ำหลายหยดตกใส่หัว

 

 

 

      ให้ตายสิ! ฉันไม่มีร่มด้วนะเนี่ยมาตกอะไรตอนเน้ >O<!!!!!!

 

 

 

ตึกๆๆๆๆๆ

 

 

 

          ฉันใช้ฝีเท้าของตัวเองวิ่งไปเรื่อยๆจนกระทั่งฝนมันเรื่มลงเม็ดหนักมากขึ้น ฉันถึงมองหาที่หลบฝนแถวๆทางเดินบนฟุตบาทก็พบว่ามีจุดรอรถเมล์ที่ตอนนี้ไม่มี ใครเลยเพราะว่าดึกมากแล้ว ตามทางเดินนี่คงมีแค่ฉันคนเดียวงั้นสินะ แถมฝนมาตกแบบนี้อีก

 

 

 

      เออโชคดีมาก! ( ประชด = =;;; )

 

 

 

ซ่า! ซ่า! ซ่า!

 

 

 

      เชื่อมั้ยว่าตอนนี้ฉันยืนตัวสั่นอยู่ในจุดรอรถที่ไม่มีรถวิ่งผ่านเพื่อรอให้ฝนหาย ตกก่อนแล้วค่อยเดินกลับบ้าน  แต่ดูท่าทีแล้วฝนเหมือนว่าจะไม่มีทางซาลงง่ายๆแน่อ่ะ ลงเม็ดหนาซะขนาดนั้นแถมละอองฝนยังสาดเข้ามาใส่ร่างกายของฉันจนฉันต้องก้าว ถอยหลังเข้าไปด้านในอีก

 

 

 

กึก!

 

 

 

“...!”

 

 

 

       และ ในตอนที่ฉันกำลังกวาดสายตามองไปรอบๆนั้นอยู่ๆดีสายตาของตัวเองก็ไปสะดุดอยู่ ที่ร่างสูงของใครคนหนึ่ง ที่เขากำลังยืนกลางร่มอยู่ทางฟุตบาทฝั่งตรงข้ามแล้วกำลังมองมาทางนี้  ฉันจำได้ต้องเบิกตากว้างเมื่อร่างสูงนั้นคือคนที่ฉันไม่คิดเลยว่าจะเจอเขาที่นี่

 

 

 

      โทโมะ...ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?

 

 

 

 

       ในระหว่างที่ฉันกำลังสับสนอยู่ ร่างสูงของโทโมะก็เดินกางร่มเดินข้ามถนนฝ่าสายฝนมาหาฉันที่กำลังมองเขาอยู่ โทโมะเดินเข้ามาในจุดรอรถก็ที่เขาจะเอาร่มลงแล้วมองฉันที่กำลังมองเขาอยู่นิ่งๆแต่ว่า...ฉันไม่อยากเจอเขา! ทำไมถึงต้องเจอด้วย! ฟ้ากลั่นแกล้งกันเหรอ? ฉันไม่อยากทะเลาะอะไรกับเขาหรอกนะ

 

 

 

       เมื่อ คิดได้ดั่งนั้นฉันจึงเลี่ยงจากการสบสายตากับโทโมะแล้วเดินเลี่ยงออกไปอีก ทาง  ก็คิดซะว่าเดินฝ่าฝนกลับบ้านก็ยังดีกว่าที่อาจจะต้องเสี่ยงมาทะเลาะกับเขาละกัน

 

 

 

หมับ!

 

 

 

“จะไปไหน? ไม่เห็นเหรอว่าฝนมันตกอยู่” โทโมะคว้าข้อมือของฉันเอาไว้แล้วพูดเหมือนจะดุกัน

 

 

 

“...” แต่ คิดเหรอว่าฉันจะตอบ  ฉันไม่ได้หันไปมองโทโมะหรอกแต่แค่กัดปากตัวเองแล้วสะบัดมือของโทโมะออกจากมือของตัวเองจนหลุดได้สำเร็จ และวินาทีนั้นฉันไม่คิดอะไรเลยนอกจากวิ่งฝ่าฝนออกไป คุณคงคิดว่าฉันบ้า  แต่คิดไปเถอะ เพราะว่าถ้าคุณมาอยู่ตรงจุดที่น่าอึดอัดแบบนี้คุณก็คงจะทำแบบเดียวกันกับฉัน

 

 

 

       แหม่ ไม่ได้เจอตั้งหลายวันคิดว่าจะไม่ได้เจออยู่แล้วเชียว สุดท้ายก็เจอจังๆจนได้!

 

 

 

ตึกๆๆๆๆ

 

 

 

หมับ!

 

 

 

“แก้ว!”

 

 

 

“ปล่อยเรา!”และนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ฉันตะคอกใส่โทโมะ

 

 

 

       เพราะโทโมะวิ่งมาตามจับกระชากแขนของฉันเอาไว้จนได้  ฉันก็หันไปผลักเขาออกท่ามกลางสายฝนที่ตอนนี้มันกระทบลงร่างกายของเราสองคน  และถึงฝนจะตกหนักฉันก็รู้เลยว่าตอนนี้โทโมะแสดงสีหน้าที่ดูไม่พอใจแค่ไหน เห๊อะ! ถ้าไม่พอใจก็ไม่ต้องมาตามฉันสิ ปล่อยให้ฉันวิ่งกลับบ้านไปสิ แค่นั้นก็จบ!

 

 

 

“เธอเป็นอะไรอ่ะ ทำไมต้องอยากออกห่างฉันด้วย?!” โทโมะพูดอย่างไม่เข้าใจ

 

 

 

“เพราะเราไม่อยากเห็นหน้านาย ไม่อยากเจอนายชัดมั้ย!?” ฉันพูดกับโทโมะอย่างสุดจะทนแล้ว

 

 

 

      หลายวันมานี้ไม่ฉันไม่เห็นเลยว่าเขาจะมาหาเรื่องชวนทะเลาะหรือว่าอะไร มันก็ดีแล้วนี่?

 

 

 

      แล้วทำไมวันนี้เขาถึง...!

 

 

 

“...”

 

 

 

“...”

 

 

 

“มานี่”ในตอนนั้นที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัวโทโมะก็จัดกากระชากแขนฉันให้เดินตามเขาไปแต่ฉันก็พยายามยื้อเอาไว้

 

 

 

“ไม่!”

 

 

 

“...”

 

 

 

      แต่ตอนนั้นยอมรับเลยว่าฉันกลัวมากเพราะโทโมะไม่ได้ตอบอะไรเลยหลังจากนั้น ไม่ว่าฉันจะพยายามยื้อร่างกายของตัวเองเอาไว้สักแค่ไหน แรงกระชากของโทโมะทำให้ฉันต้องฝืนเดินตามเขาไป ทั้งๆที่ตัวเองกำลังขัดขืนโดยการสลัดมือของเขาออกแต่ทว่าครั้งนี้มันไม่ได้ ผลใดๆเลย

 

 

 

      เพราะมือของโทโมะยิ่งบีบข้อมือของฉันเอาไว้แรงขึ้น และไม่นานที่เขากระชากฉันให้เดินตามเขามาที่ข้างทางที่มีตู้โทรศัพท์สาธารณะ อยู่เพียงแค่ตู้เดียวท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำลงมาหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ

 

 

 

“โทโมะราเจ็บปล่อยเรานะ!”

 

 

 

“เข้าไป” โทโมะบอกเสียงนิ่งแล้วมองหน้าฉันอย่างขาดโทษ

 

 

 

“ไม่! เราจะกลับบ้าน!” ฉันพูดเสียงดังแต่นั่นมันไม่ได้ช่วยอะไรเลยเพราะโทโมะเปิดประตูตู้โทรศัพท์ออกก่อนจะดันร่างฉันให้เข้าไป

 

 

 

ปึง!

 

 

 

       เมื่อดันฉันเข้ามาได้สำเร็จโทโมะก็ตามเข้ามาพร้อมทั้งเสียงปิดประตู้โทรศัพท์ที่ เสียงดัง แต่ตอนนี้ฉันยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นมากเพราะไม่รู้ว่าโทโมะจะทำบ้าอะไร แถมในตู้โทรศัพท์นี้ก็แคบเสียจนจะหนีออกไปได้ง่ายๆ แถมข้างนอกฝนก็ตกหนักอีก บ้าจริง!

 

 

 

“เธอจะเอายังไง”โทโมะถามในตอนที่เขาใช้สองมือของตัวเองจับไหล่ของฉันเอาไว้สองข้างแล้วดันให้แผ่นหลังของฉันติดกับกระจกตู้โทรศัพท์จนฉันทำอะไรไม่ถูก “อยากให้มันเป็นแบบโดยที่มันไม่เคลียร์?”

 

 

 

“...”

 

 

 

“แบบนี้เหรอที่เธอต้องการ?” โทโมะก้มหน้าลงมาพร้อมกับจ้องมองเข้าในดวงตาของฉันจนฉันเห็นตัวเองสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขาแล้ว “เธอบอกฉันมาสิว่าเธอต้องการอะไร ฉันจะได้รู้ไง”

 

 

 

“...”

 

 

 

“บอกสิแก้ว ”โทโมะพูดด้วยน้ำเสียงใจเย็นลงกว่าเดิมจนฉันเองก็แปลกใจว่าทำไมเขาไม่ตะคอกทั้งๆที่ดูจากอารมณ์แล้วเขาเหมือนว่าจะหมดความอดทน “รู้มั้ยยิ่งเธอไม่พูดฉันยิ่งเหมือนคนบ้าเขาไปทุกวันน่ะ...”

 

 

 

        โทโมะ บอกด้วยน้ำเสียงที่ตัดพ้อและยิ่งไปกว่านั้นมือทั้งสองข้างเขาจากที่บีบไหล่ ฉันตอนนี้ก็เลื่อนมาจับเอาไว้ที่แก้มของฉันเบาๆ  พอฉันก้มหน้าลงเขาก็จับให้ฉันเงยหน้าขึ้นสบตากับเขาที่ดูเศร้าหมอง  และฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมว่าทำไมโทโมะถึงเป็นเช่นนี้

 

 

 

“...”

 

 

 

“พูดมาสิ...”

 

 

 

“...”

 

 

 

“...”

 

 

 

“งั้นถ้าเราบอกว่าไม่อยากเจอนาย นายจะเชื่อเรามั้ย...”ฉันถามโทโมะออกไปตามตรงหลังจากที่เงียบมาสักพัก เพราะว่าฉันเองก็อยากจะรู้คำตอบเหมือนกันว่าวีจะตอบว่าอะไร 

 

 

 

       เพราะคำตอบของเขามันจะมาพร้อมกับคำถามอีกหลายคำที่ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือน กันว่าดขากำลังคิดอะไรอยู่  และที่เขามาเจอฉันที่นี่มันบังเอิญหรือว่าเขาตามฉันมา

 

 

 

“...”

 

 

 

“นายจะเชื่อเรามั้ยถ้าเราบอกว่าเราอยากจะลบนายออกไปจากชีวิตเรา...”

 

 

 

“ฉันไม่เชื่อหรอก” โทโมะตอบคำถามนั้นเหมือนกับว่าเขามั่นใจว่าฉันทำไม่ได้หรอกที่จะลืมเขาจริงๆ “เพราะว่าเธอน่ะ...ชอบฉัน...ชอบฉันแค่คนเดียว...”

 

 

 

ตึกตักๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

 

 

 

       วินาทีนั้นหัวใจฉันเต้นแรงราวกับกับจะระเบิดออกมาเพราะว่าโทโมะโน้มหน้าของตัว เองลงมาจนปลายจมูกของเราสองคนชนกัน และฉันก็ไม่สามารถที่จะเลี่ยงหรือหลบหน้าไปทางไหนได้เลย  และยิ่งตอนนี้ลมหายใจอุ่นๆของโทโมะที่มันรินรดอยู่ปลายจมูกของฉันจากอากาศที่ เย็นอยู่แล้วมันก็ยิ่งทำให้ฉันเริ่มรู้สึกเย็นไปกว่าเดิมเสียอีก

 

 

 

“...”

 

 

 

“...ฉันพูดถูกมั้ย...”โทโมะถามแต่คำถามนั้นของเขามันกลับกลบเสียงของสายฝนไปเลย

 

 

 

“แล้วนายรู้ได้ไงว่าเราจะเลิกชอบนายไม่ได้...”ฉันพูดออกไปอย่างกล้าๆกลัวๆแล้วกำมือทั้งสองข้างของตัวเองไว้แน่น “ทำไมนายถึงมั่นใจนักว่าเราจะชอบนายได้แค่คนเดียว...!!!”

 

 

 

เฮือก!

 

 

 

         ฉันตกใจจนเบิกตากว้างเมื่อโทโมะใช้ริมฝีปากร้อนระอุของโทโมะนั้นมาสัมผัสเข้าที่ ริมฝีปากของฉันอย่างนุ่มนวลและเชื่องช้าราวกับจะทรมานฉันให้ตายไปตรงนั้น ละอองฝนที่สาดเข้ามาในตู้โทรศัพท์ตู้นี้เป็นเหมือนน้ำเชื้ออะไรบางอย่างที่ ทำให้ฉันไม่สามารถยกมือผลักโทโมะออกไปด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่ทราบสาเหตุ แต่ที่รู้ๆคือมือของฉันไม่มีแรงแม้แต่จะขยับ มันแข็งทื่อราวกับหุ่นในตอนนั้น

 

 

 

“อึก...”

 

 

 

       เมื่อโทโมะจับแก้มทั้งสองข้างของฉันให้ตอบรับสัมผัสของเขาที่มอบให้จนฉันเองก็แทบจะ ยืนไม่ไหวแล้วในตอนนี้ เพราะยิ่งริมฝีปากของโทโมะกดลงมาที่ริมฝีปากฉันมากขึ้นฉันยิ่งรู้สึกว่าตัวเอง เหมือนใจเต้นแรงเกินขีดจำกัดของหัวใจแล้วเหมือนว่าเลือดในร่างกายมันสูบฉีด ไม่ทัน

 

 

 

      ตอนนั้นฉันก็เพิ่งรู้ว่าท้ายทอยของตัวเองโดนล็อคเอาไว้ในตอนที่โทโมะละ ริมฝีปากของเขาออกไปเพียงแค่นิดเดียว นิดเดียวเท่านั้จริงๆ และเพียงไม่ถึง 3 วิ เขาก็จูบลงมาที่ริมฝีปากของฉันอีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง...

 

 

 

      เหมือนว่าอยากจะให้ฉันตอบรับสัมผัสของเขาและยอมรับหัวใจของตัวเองว่าฉัน ‘ไม่มีทาง’ ลืมเขาได้หรอก และจะ ‘ไม่มีวัน’ ที่ ฉันจะเลิกชอบเขาเด็ดขาด คำเหล่านี้มันแล่นอยู่ในหัวใจตอนที่โทโมะกัดเข้าที่ริมฝีปากของฉันและเขายิ่ง ใช้ริมฝีปากของตัวเองจาบจ้วงเข้ามาเรื่อยๆจนฉันไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป

 

 

 

ซ่า ซ่า ซ่า!!!

 

 

 

ครึม ครึม

 

 

 

“อื้อ!”

 

 

       หูของฉันอื้อทื่อไปหมดทั้งเสียงฝนเสียงฟ้าร้องมันยิ่งเบาลงเพราะว่าหายใจไม่ ออกเมื่อโทโมะไม่ยอมปล่อยให้ริมฝีปากของเราห่างกันเลย  และพอสักพักเขาก็ถอนริมฝีปากของตัวเองออกไปแต่หน้าผากกับปลายจมูกของเรายัง คงเตะกันอยู่ที่เดิมพร้อมกับแรงสูดหายใจเข้าปอดไม่นานนักเขาก็จูบเข้ามาที่ริมฝีปากของฉันเบาๆอีกครั้ง...

 

 

“ยอมรับซะเถอะ....”โทโมะละริมฝีปากออกแล้วพูดกระซิบที่หูของฉันเบาๆ และมันทำให้ฉันหนาวสั่นยิ่งกว่าเดิมเสียอีก กับคำพูดต่อมาที่เขาพูด “ว่าเธอหลงรักฉันจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว...”

 

 

 

“...” ฉันไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่มองสบสายตากับโทโมะที่เขากำลังมองฉันอยู่

 

 

 

       และอยู่ดีๆคำพูดของฟางมันก็ผุดขึ้นมาในหัว

 

 

   

 

      บางที...ฉันก็คิดว่า โทโมะอาจจะชอบแกจริงๆนะเว้ย

 

   

 

        ‘แล้วฟางรู้ได้ไง...บางทีอาจจะไม่ใช่ก็ได้นะ

 

   

 

        ‘ใช่ ไม่ใช่ไม่รู้หรอก ที่รู้แน่ๆคือถ้าโทโมะยังชอบคลอรีนอยู่คงไปหาคลอรีนแล้วแหละไม่มาสนใจอยากจะคุย กับแกแบบนี้หรอก เพราะฉันอยู่ที่นี่มานานก่อนแก ฉันรู้ว่าหมอนี่น่ะเป็นยังไง แต่ไอ้อาการของเขาที่ฉันเห็นเมื่อไม่นานมานี้อ่ะ ย้ำเลยว่ามันเพิ่งมาเกิดขึ้นมาแก แค่คนเดียวเนี่ยแหละ

 

 

 

        

 

       แต่ คำพูดของฟางน่ะ มันไม่ใช่ว่าฉันไม่รู้สึกอะไร เพียงแต่ ถ้าโทโมะเขาคิดอะไรกับฉันจริงๆ ทำไมเขาไม่พูดมันออกมาเหมือนที่เขาเคยบอกกับคลอรีนล่ะ  แล้วทำไมกับฉันเขาไม่พูดออกมาตรงๆเลยล่ะ ทำไมไม่พูด  ถ้าเป็นเพียงแค่ ‘จูบ’ จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงว่าที่เขาทำเนี่ย

 

 

 

      เขาต้องการที่แค่จะให้ฉันหายโกรธ...หรือว่าต้องการที่บอกบางอย่างกับฉันจริงๆ

 

 

 

         แล้วถ้าเกิดว่าฉันกลับไปเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกันกับเขาแบบเดิม แล้วมันกลับเหมือนสิ่งที่แค่ผ่านเลยไปเพียงแค่ว่า ก็หายโกรธแล้วนี่? แล้วสิ่งที่เขาทำที่ผ่านมามันแค่ทำให้เราสองคนรู้สึกว่ามันไม่มีอะไรต่อกัน  ถ้าเป็นแบบนั้น...ฉันจะไม่เจ็บไปกว่านี้เหรอ?

 

 

 

“...”

 

 

 

“ใช่...เรายอมรับ...” เมื่อฉันคิดฉันเลยตัดสินใจพูดออกมาแต่อยู่ดีๆน้ำตาก็เอ่อล้นขึ้นมาซะอย่างงั้น “ยอมรับว่าเราชอบนายเกินที่จะลืมไปง่ายๆ”

 

 

 

“...”

 

 

 

“แต่ ว่า...เราก็สงสัยนะ ว่าทำไมนายถึงมาทำแบบนี้กับเรา ก็นายพูดเองไม่ใช่เหรอโทโมะ ว่าทำไมเราต้องเข้ามาในชีวิตนาย ทำให้นายปวดสมองแล้วก็สับสนด้วย นายพูดเอง...” เมื่อฉันพูดไปแบบนั้นน้ำตาก็ยิ่งไหลรินลงมาและมันทำให้โทโมะถึงกับชะงักไป 

 

 

 

“...”

 

 

 

“เราก็พยายามแล้วนะ  พยายามที่จะออกห่างพยายามที่จะลืมนายไม่ไปทำให้นายปวดสมองเรา พยายามที่จะเดินห่างออกมาแล้วโทโมะ  แต่ทุกครั้งที่เราทำแบบนั้น...นายมายื้อเราไว้ทำไมอ่ะ...ทำไมนายจะต้องมาทำ แบบนี้กับเราด้วย  นายตอบเราได้มั้ย?” ฉันพูดบอกโทโมะออกไปทั้งน้ำตาและหวังว่าตัวเองคงจะได้รับคำตอบที่มันกระจ่าง

 

 

 

           แต่ผลสรุปว่า...โทโมะเงียบ

 

 

 

           เขาไม่ตอบอะไรเลยสักอย่าง...

 

 

 

           เพียงแค่ใช้สายตาของเขามองฉันอย่างไม่เข้าใจ

 

 

 

“...”

 

 

 

“นายก็บอกเรามาสิ ว่าทำไมทำไมโทโมะ!” ฉันตะคอกใส่โทโมะที่อยู่ตรงหน้าและน้ำเสียงของฉันตอนนี้มันเหมือนกับว่าจะไม่มีเสียงที่จะพูดอยู่แล้ว “นายจูบเรา ทำเหมือนไม่อยากให้เราลืมนายทั้งๆที่นายพูดแบบนั้นเองนี่มันคืออะไร!”

 

 

 

“ฉัน...”

 

 

 

“นายต้องการอะไรจากเราอีกอ่ะแค่นี้เรายังเจ็บไม่พออีกเหรอ?”

 

 

 

“...”

 

 

 

“นายอยากเห็นเราเจ็บมากกว่านี้ใช่มั้ย? อยากเห็นเราร้องไห้เพราะนายมากกว่านี้ใช่มั้ย? ใช่มั้ยโทโมะ!” ฉันพูดพร้อมกับเอาฝ่ามือของตัวเองทุบลงไปที่หน้าอกของโทโมะอย่างแรงเพื่อระบายความรู้สึกที่มีอยู่ข้างใน

 

 

 

ตุ้บ!

 

 

 

“...”

 

 

 

“ใช่มั้ย!”

 

 

 

“แก้ว...”โทโมะเรียกชื่อฉันอย่างอ่อนล้า และด้วยสายตาที่เขามองมันก็ตัดพ้อจนฉันเองก็ไม่รู้ว่าทำไมโทโมะถึงไม่พูดอะไรเลย

 

 

 

        คงเป็นเพราะว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลยยังไงล่ะ...

 

 

 

“ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้...” ฉัน เงยหน้าบอกกับโทโมะที่ตอนนี้เหมือนคนพูดอะไรไม่ออก แต่เชื่อสิว่าคำพูดต่อไปนี้มันจะให้เขารู้ความรู้สึกของฉัน ว่ามันเจ็บแค่ไหนที่ต้องมาหลงชอบคนแบบเขา! “อึก...เราจะไม่มีทางมาหลงทางชอบนายหรอก!”

 

 

 

“...”

 

 

 

“และถ้านายชอบคลอรีนอยู่ ก็อย่ามาทำกับเราแบบนี้เลย เราขอเหอะ...”

 

 

 

       จบ คำพูดนั้นฉันดันวีออกห่างจากตัวเองแล้วผลักประตูตู้โทรศัพท์ก่อนจะเดินออกมา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลรินลงมา และสายฝนตกกระทบร่างกายของตัวเอง  ไม่รู้สิว่าทำไมมันถึงได้เจ็บจนจุกแล้วก็ไม่อยากเดิน แต่ทว่าพอเดินไปไม่กี่ก้าวฉันกับต้องหยุดชะงักเพราะว่าเสียงของโทโมะที่ดังขึ้น มาจากในตู้โทรศัพท์ที่ทำให้ฉันต้องหันกลับไปมอง

 

 

 

ปึก!

 

 

 

“โธ่เว้ย!!!!!”

 

 

 

“อึก”

 

 

 

       ภาพ ที่ฉันหันกลับไปเห็นคือโทโมะเอามือของเขาต่อยเข้าที่ตัวเครื่องโทรศัพท์เหมือน อยากจะระบายอารมณ์ทั้งหมดที่มันกลั้นอยู่ข้างใน ซึ่งฉันเห็นภาพนั้นฉันก็ยกมือขึ้นมาปิดปากของตัวเองอย่างอัตโนมัติเพราะว่า สังเกตเห็นว่าที่มือของโทโมะนั้นมีเลือดออกมาจากแรงต่อย

 

 

 

       แต่โทโมะคงคิดว่าฉันไปแล้วล่ะ...

 

 

 

      เขาถึงไม่คิดจะหันมองมาเลยว่าฉันกำลังมองเขาอยู่ไม่ไกล  และเหมือนเข่าของโทโมะอ่อนลงจนเขาซุดตัวลงเหมือนคนที่อ่อนล้าเต็มทนกับความ รู้สึกต่างๆที่ฉันไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมโทโมะถึงเป็นเช่นนี้  เพราะถ้าเขาพูดอะไรออกมาบ้างฉันก็คงจะเข้าใจ

 

 

 

       แต่นี่เขากลับไม่พูด ฉันจะรู้ได้ไงว่าเขากำลังรู้สึกอะไรอยู่...

 

 

 

“อึก...”

 

 

 

       วินาที นั้นฉันเหมือนคนที่กำลังร้องไห้มากๆจนตาของตัวเองพล่ามัว เลยตัดสินใจรีบวิ่งออกมาจากตรงนั้นอย่างไม่มีทางจะหันหลังกลับไปมองโทโมะที่อยู่ในตู้โทรศัพท์นั้นอีก เพราะฉันไม่รู้ว่าตัวเองจะทนเห็นโทโมะแบบนั้นได้นานแค่ไหนเลยตัดสินใจวิ่ง ห่างออกมา

 

 

 

           เหมือนเป็นการบอกกับตัวเองว่า...ฉันจะไม่เข้าไปยุ่งกับโทโมะอีกแล้ว...

 

 

 

ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในวันที่สายฝนโปรยปรายมันแลดูยากเกินจะถอน

 

เพราะว่าไม่มีใครเอ่ยบอกความในใจอย่างลึกซึ้ง...

 

แต่คุณเคยได้ยินที่เขาพูดกันมั้ยว่า ฟ้าหลังฝนย่อมมีเสมอ...ฉะนั้น ให้จงคิดเสียว่า...

 

...ถ้าฝนไม่ตก...มันจะมีฟ้าหลังฝนได้อย่างไร...

__________________________________________________

อัพแล้วนะเม้นโหจตเยอะๆ 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา