Stop หยุดหัวใจนายเย็นชา
9.6
เขียนโดย NannyCandy
วันที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 17.18 น.
43 chapter
860 วิจารณ์
67.50K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558 19.34 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
27) - Do Not Forget Me - ( ห้ามลืมผม! )
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ- Do Not Forget Me -
( ห้ามลืมผม! )
“...โทโมะ...”
ฉัน เอ่ยเรียกชื่อร่างสูงที่กำลังมองมาที่ฉันนิ่งๆ ข้างกายเขาก็มีป๊อปปี้ที่มาเป็นเพื่อนกัน แต่ ณ ตอนนั้น เหมือนมีอะไรกดดันความรู้สึกของฉันอยู่ ฉันจึงได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเพราะว่าโทโมะกำลังเดินเข้ามาในห้องนี้คนเดียวส่วนป๊อปปี้ก็รอดูสถานการณ์อยู่ด้านนอก
เขาเดินเข้ามาโดยที่สายตายังคงมองฉันนิ่งๆตามเดิมจนฉันเดาทางไม่ถูก และตอนนี้เพื่อนๆในห้องต่างก็พากันเดินออกจากห้องนี้ไปเหมือนว่ารู้งานอะไรสักอย่าง
บางคนก็เอี้ยวคอมองกลับเข้ามาในห้องอย่างอยากจะดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
และตอนนี้คงเหลือฉันกับฟางสองคนเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่เงียบๆ ทั้งๆที่โทโมะก็กำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเดินมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าโต๊ะของฟางแต่สายตาก็ยังมองฉันอยู่ไม่ละไปไหน เลย
“ขอคุยด้วยหน่อย” โทโมะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“...” ฉันไม่ได้ตอบอะไรก็แค่มองหน้าโทโมะนิ่งๆ
และในตอนนั้นเองที่มือบางๆของฟางเอื้อมมาจับมือของฉันเอาไว้ พอฉันหันไปมองหน้าฟางสายตาของฟางที่มองมามันเมือนกับจะถามว่า ‘อยากจะคุยมั้ย?’นั่นแหละฉันจึงส่ายหน้าเบาๆให้ฟาง ฟางก็พยักหน้าแล้วก็ปล่อยมือฉันจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้
“โทโมะ...”
“ฉันขอแค่ห้านาที” โทโมะบอกฟางในตอนที่ฟางลุกขึ้นยืนและเรียกชื่อเขา
“แต่แก้วยังไม่อยากคุยกับนาย นายก็ควรจะกลับไปก่อน”
“แล้วเมื่อไหร่จะได้คุย” โทโมะหันไปมองหน้าฟางก่อนจะหันกลับมามองฉันอีกรอบด้วยสายตาที่ออกจะไม่พอใจฉันสักเท่าไหร่
อะไร? ก็ฉันไม่อยากคุยกับเขานี่นาเขาก็ควรจะกลับห้องของตัวเองไปซะไม่ใช่เหรอ?
“...”
“ไม่อยากคุยกับฉันอย่างงั้นเหรอ?” เขาเค้นเสียงถามแล้วมองหน้าฉันตรงๆ แต่ฉันก็เมินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก็ไม่แสดงท่าทีไม่พอใจอะไรทั้งสิ้น
เพียงแค่ทำเหมือนไม่มีอะไรก็แค่นั้น...
“...”
“แล้วต่อจากนี้จะยังไง หลบหน้า? ไม่พูด? หรือจะทำอะไรก็ได้ให้ลืมฉันอย่างงั้นเหรอ...” ถึงฉันไม่มองไปก็รู้ว่าตอนนี้โทโมะเขากำลังทำสีหน้ายังไง
นี่ขนาดฟางยืนอยู่กับเขาด้วยนะ เขายังพูดแบบนี้เลย...
“โทโมะ!” ฟางดุโทโมะอย่างไม่พอใจ แล้วคำพูดบทสนทนาต่อจากนั้นมันก็ทำให้น้ำตาฉันเอ่อล้นข้นมาอีกครั้งจนตัวเองต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากัน “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าที่นายทำแบบนี้ต้องการอะไรจากเพื่อนฉันอีก แต่นายควรจะหยุดได้แล้ว”
“ก็เพื่อนเธอเป็นแบบนี้แล้วจะให้ฉันทำยังไง ฉันพยายามจะอธิบาย พยายามจะพูด แล้วเพื่อนเธอมาทำแบบนี้ใส่ฉัน จะให้ฉันทำยังไง”
“แล้วที่เพื่อนฉันเป็นแบบนี้เพราะใครล่ะ”
“...”
โทโมะเงียบไปเมื่อฟางพูดแบบนั้น และจากนั้นน้ำตาของฉันก็ไหลลงมาอีกครั้ง...และอีกครั้ง เพราะว่าความรู้สึกตอนนี้คือ ทำไมเขาจะต้องมายุ่งอะไรกับฉันอีกในเมื่อเขาไม่ได้คิดอะไรกับฉันไม่ใช่รึไง แม้แต่คำขอโทษสักคำยังไม่มีแล้วยังต้องการอะไรจากฉันอีก
อีกอย่างเขาก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่า...
‘เข้ามาทำไม...เข้ามาในชีวิตของฉันทำไม! ทำไมต้องเข้ามาให้ฉันสับสนด้วยแก้ว!’
พอถึงคราวนี้ฉันกำลังจะออกไปจากชีวิตเขา แล้วทำไมเขาต้องทำเหมือนว่าไม่อยากให้ฉันไปด้วย ทั้งๆที่ปากของตัวเองก็พูดออกมาแบบนั้นแล้ว และฉันก็ฝังคำพูดนั้นของโทโมะลงไปจนลึก! ลงไปจนทำให้ตัวเองคิดแล้วว่าฉันจะลืมเขา! จะลืมทุกสิ่ง! เพราะมันเจ็บที่จะต้องมาร้องไห้เพราะผู้ชายคนนี้
คนไม่มีหัวใจ!
“ถ้านายจะบอกคนอื่นว่าคบกับเพื่อนฉันก็ช่วยนึกถึงความรู้สึกของแก้วบ้างสิ”
“...”
“อึก...” ตอนนั้นฉันเผลอร้องไห้ออกมาอย่างยากจะกลั้นเอาไว้ไหวเมื่อได้ยินโทโมะกับฟางพูดคุยกันแบบนี้
ให้ตายเหอะทำไมฉันถึงได้อ่อนแอแบบนี้นะ...
ทำไมฉันถึงต้องร้องไห้ให้เขาเห็นด้วย อุตส่าห์ว่าจะไม่แล้วนะ แต่ทำไมมันถึงเก็บเอาไว้ไม่อยู่ บ้าจริงๆเลย!
“...”
“ถ้านายจะบอกว่าแก้วเป็นแฟนกับนายเพื่อที่จะไม่ให้มีใครมาทำอะไรเธอ และอยากให้เธอปลอดภัย ไม่โดนทำแบบนี้อีก แต่นายรู้มั้ย? ว่ายิ่งทำแบบนี้อ่ะ แก้วยิ่งเจ็บ...”
“พอแล้วฟาง” ตอนนั้นฉันลุกขึ้นยืนแล้วจับแขนฟางเอาไว้ เมื่อฟางได้ยินแบบนั้นก็หันมามองหน้าฉันแล้วก็พยักให้เบาๆ
“งั้นถ้าเธอเจ็บ...” เมื่อโทโมะพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งงันฉันก็หันไปมองหน้าเขา และโทโมะก็มองหน้าฉันตรงๆ แต่ไม่รู้ว่าฉันนั้นคิดไปเองรึปล่าวที่เห็นว่าขอบตาของเขานั้นแดงก่ำ
ไม่หรอก! เขาจะมาร้องไห้เสียใจกับเรื่องนี้ทำไมกัน เพราะว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้วนี่? อีก อย่างคนเย็นชาไม่รู้สึกสนใจกับอะไรแบบโทโมะน่ะเหรอจะร้องไห้เป็น เพราะถ้าเขาเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆเขาคงจะพูดขอโทษฉันไปนานแล้วล่ะว่ามั้ย?
ไม่ต้องรอให้ฉันพูดคุยด้วยก็ขอโทษได้...
ถ้าสิ่งนั้นมันมาจากความรู้สึกและจิตใจของเขาจริงๆ
“...”
“...เธอก็ควรที่จะเลิกโกหกความรู้สึกของตัวเองได้แล้วนะ”
“เราไม่ได้โกหกอะไรทั้งนั้น...”
“เธอแน่ใจเหรอ?” โทโมะสวนขึ้นทันทีที่ฉันตอบ แล้วจากนั้นเขาก็เลิกคิ้วเป็นเชิง
กึก!
อึก...
“...!”
ตอน นั้นฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองชาไปทั้งตัว เพราะโทโมะมองหน้าฉันด้วยสายตาที่ยากจะอ่านความหมายเพราะนัยน์ตาของเขาฉายแวว เหมือนจะโกรธและไม่พอใจเสียด้วย แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเพราะว่า ตอบคำถามของเขาไม่ได้
ใช่ เพราะตอนนี้ฉันยังใจแข็งไม่พอที่จะตอบมันจริงๆ
“งั้นก็เอาสิ...” โทโมะพูดจากนั้นเขาก็หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักเรียนของเขา
และสิ่งนั้นมันก็ทำให้ฉันถึงกับตกใจในทันทีที่ได้เห็นมัน...มะ...มันไปอยู่ กับเขาได้ยังไงกัน งั้นแสดงว่าที่ฉันเดาไว้ตั้งนานก็ไม่ผิดน่ะสิว่าใครเป็นคนเอาจักรยานกับ กระเป๋าหนังสือฉันมาไว้ที่บ้านของตัวเอง ที่แท้ก็โทโมะจริงๆนี่เอง งั้นแสดงว่าเขาได้แอบเปิดอ่านไดอารี่ของฉันงั้นเหรอ?
เขาถึงได้มีเจ้ากระดาษนั่นเอาไว้ในมือแบบนั้น!
เขาฉีกมัน...
ฉีกหน้าสุดท้ายนั้นที่ฉันเขียนถึงเขา
ปึก!
ฉันสะดุ้งขึ้นมาเมื่อโทโมะวางกระดาษนั่นลงอย่างแรงบนโต๊ะของฉันแต่สายตาเขาก็ไม่ ได้ละไปไหนเลย แต่ฉันเนี่ยสิเริ่มรู้สึกกลัวๆแปลกๆยังไงชอบกลไม่รู้สิ ว่าตอนนี้โทโมะกำลังจะเล่นอะไรกันแน่เขาเป็นบ้าอะไร อยากจะทำให้ฉันประสาทเสียมากกว่านี้ไปถึงไหน
แค่นี้ฉันยังเจ็บไม่พออีกเหรอ...
“จบบันทึกหน้าสุดท้ายตลอดกาลงั้นเหรอ? เห๊อะ” โทโมะเค้นเสียงถามก่อนจะหัวเราะเย้ยหยันขึ้นมาจนฉันเดาทางไม่ถูกเลยว่าในใจตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่
แต่ที่รู้แน่ๆเลยคือเขาอ่านบันทึกของฉันไปแล้ว!
“...”
“ถ้าเธอคิดว่าลืมฉันได้จริงๆก็ลองดูสิ แก้ว...”
“...”
“...ฉันท้า...” โทโมะพูดเสียงต่ำแล้วหรี่ตามองมาที่ฉันที่ตอนนี้จับมือฟางแน่น “ท้าเธอต่อหน้าเพื่อนของเธอ...”
“...”
“แล้วฉันจะคอยดู”
เมื่อ พูดโทโมะก็เดินออกจากห้องนี้ไปโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามองฉันอีก ป๊อปปี้ที่ยืนรออยู่ข้างนอกเมื่อโทโมะเดินผ่านเขาไป ป๊อปปี้ก็มองเข้ามาในห้องนี้ก่อนจะส่ายหัวเบาๆให้ฉันกับฟางที่กำลังมองเขาอยู่ เหมือนกับจะบอกเป็นเชิงว่า ‘ไม่น่าเลย’ อะไรทำนองนั้น
และหลังจากนั้นป๊อปปี้ก็ละสายตาจากฉันไปมองฟางก่อนที่เขาจะชี้นิ้วใส่เหมือนจะว่าเป็นนัยน์ๆ
“อะไร! ><!”
“หน้าแบน!”
“ไอ้...!!”
“ฟาง”
ฉันเรียกฟางเอาไว้เมื่อฟางทำท่าว่าอยากจะเดินออกไปต่อยป๊อปปี้ให้หน้าแหก แต่ป๊อปปี้เขาแลบลิ้นใส่ก็ไปแล้ว ถ้าขืนฟางตามไปคงทะเลาะกันยาวล่ะคู่นี้ = =;;;
“เห้ย แกโอเคป่าววะ” ฟางที่เหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ฉันร้องไห้เลยหันมาถามแล้วมองฉันที่กำลังเอามือปาดน้ำตาของตัวเองแบบลวกๆ
“เฮ้อ...ฉันนี่มันจริงๆเลย” ฉันพูดว่าตัวเองแล้วเอามือปาดน้ำตาที่ปาดแล้วปาดอีกมันก็ยังไม่หยุดไหหลลงมาสักที
“เอาน่า ไม่เป็นไรหรอกแก้ว แกอยากร้องแกก็ร้องมาเลยเหอะ เก็บไว้อึดอัดตายห่า Y^Y” ฟางบอกแล้วเอามือลูบๆหัวไหล่ฉันเบาๆ
“คงงั้น...”
“เห้ย เดี๋ยวมันก็ผ่านไปป่าววะ ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“...”
“แกอ่ะเป็นคนอ่อนไหวฉันรู้ ฉะนั้นถ้าแกรู้สึกอะไรก็พูดออกมาเลย เก็บไว้ในใจคนเดียวมันไม่ดีนะ”
“ขอบใจนะฟาง” ฉันหันไปยิ้มให้กับฟางบางๆ
“แล้วนี่จะเอาไงต่อโดนท้าซะขนาดนั้น” ฟางถามอย่างเป็นห่วงเมื่อนึกถึงคำท้าของโทโมะล่ะมั้ง
แต่ฉันไม่สนหรอกท้าก็ท้าไป คนบ้า!
“ปล่อยเขาเถอะ ฉันไม่อยากยุ่งด้วยหรอก”
“ฮั่นแน่ๆ เริ่มใจแข็งแล้วเหรอจ๊ะ ยัยเพื่อนตัวดี”
“อย่าน่า” ฉันเอามือผลักหัวไหล่ฟางที่กำลังยิ้มหยอกๆให้ฉันอยู่
น่าแปลกที่สถานการณ์แบบนี้ฟางก็ยังให้ฉันยิ้มออกมาได้หน่อยๆ ฉันรู้...ว่าฟางไม่อยากเห็นฉันร้องไห้ อยากให้ฉันยิ้ม แต่ฉันก็รู้สึกดีที่มีฟางอยู่ข้างๆเสมอนะ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นฉันก็ยังคงไม่ไว้ใจคำพูดของโทโมะอยู่ดีว่าเขาคิดจะทำอะไร กันแน่ เขาท้าฉันเพื่ออะไร
แล้วที่บอกว่าจะคอยดูน่ะ หมายถึงถ้าฉันทำไม่ได้แล้วเขาจะทำอะไรฉันอย่างงั้นหรือไง?
เหอะ คำพูดนั้นเหมือนว่าดูถูกฉันมากนะ โทโมะคิดว่าฉันชอบเขามากจนถึงขนาดจะลืมเขาไม่ได้เลยหรือยังไงกัน หลงตัวเอง! ถึงฉันจะชอบเขาและเขาคือรักครั้งแรกก็ตาม แต่เมื่อหัวใจตัวเองมันเจ็บปวดฉันก็ทนที่จะเป็นแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน
ฉันไม่อยากเจ็บหรืออ่อนแอไปมากกว่านี้อีกแล้ว...
ถ้าถามว่าฉันสามารถที่จะลืมโทโมะได้มั้ย อันนี้ฉันไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ๆคือฉันจะพยายาม แต่ตอนนี้ยอมรับเลยว่าฉันกลัวจริงๆ กลัวว่าวีจะคิดอะไรบ้าๆ
เพราะเรื่องที่เขาบอกว่ากำลังคบกับฉันจนรู้กันทั้งโรงเรียนนี่ฉันก็แทบช็อคจะตายอยู่แล้ว ><!
อีกฝั่ง
“กรื๊ดดดดดด”
“!!!”
เฟื้องฟ้ากับจินนี่ต่างพากันสะดุ้งเมื่อยื่นหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ขึ้นหน้าเฟสบุ๊คเพจ ‘กลุ่มคนรักเคโอติค’ ให้ พิมพ์ดูพิมพ์ก็ถึงกับกรื๊ดออกมาเสียงดังลั่น และนี่ดีนะที่อยู่ในที่ส่วนตัวของพวกเธอไม่งั้นคงมีคนได้ยินเสียงกรื๊ดของ พิมพ์จนรู้กันหมดแน่ว่าใครเป็นจอมวางแผน
และสิ่งที่ทำให้เบ็ทโมโหนั้นคืออะไรน่ะเหรอ?
แผนที่วางไว้ให้คนแอนตี้แก้วทั้งหมดพังยับ! เพราะเพจเคโอติคประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า ‘แก้วกับโทโมะคบกัน!’ เพราะมีคนได้ยินจากปากของโทโมะเต็มๆ นั่นแหละ ที่ทำให้สาวๆหลายๆคนอกหักกันเป็นแถวแต่ก็ต้องยอมรับความจริง
ยกเว้นอยู่คนเดียวที่คุณก็รู้ว่าใคร
“ทำไม! โทโมะคบกับยัยนั่นทำไมฉันไม่รู้เรื่อง! กรื๊ด!”
เพล้ง!
แก้วน้ำส้มถูกปาทิ้งลงพื้นเพราะความโมโหจนจินนี่ต้องรีบไปยืนหลบอยู่หลังเฟื้องฟ้าอย่างเร็วเพราะความกลัวอารมณ์โกรธของพิมพ์ที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆแบบ นั้น
“ตอนแรกก็คิดว่าจะแค่เล่นๆนะ ที่ไหนได้คบกันซะงั้น? เฮ้อ...” เฟื้องฟ้าพูดแล้วทำหน้าออกเสียใจแทน
แต่ใครจะรู้ว่าในกลุ่มพิมพ์คนที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่พิมพ์หรอก พิมพ์น่ะแค่คนที่โตแล้วแต่ทำนิสัยเป็นเด็ก อยากได้อะไรก็ต้องได้ ก็เหมือนเด็ก 3 ขวบร้องอยากได้ของเล่นไปวันๆ พอไม่ได้ดั่งใจก็โวยวายกรีดร้องน่ารำคาญจนไม่ทันคนอย่างเฮเลนเอาเสียเลย
เฟื้องฟ้ากับพิมพ์ถึงจะสนิทกันเพราะครอบครัวรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ใช่ว่าจะมีความจริงใจให้กันเสมอไป ยิ่งคนอย่างพิมพ์แล้ว ทำนิสัยแบบนี้ใครจะอยากจริงใจด้วยกันล่ะ
จริงใจต่อหน้าลับหลังและในใจคงจะสมน้ำหน้าเธอน่าดู หึ!
“ละ...แล้วแกจะเอาไงต่ออ่ะ”จินนี่ถามแบบกะตุกกะตัก
“เป็นแฟนกัน...”เมื่อพิมพ์พูดแบบนั้น เธอก็เหมือนว่าจะนึกอะไรเด็ดๆออกมาจนได้เธอจึงฉีกยิ้มกว้าง “แล้วไงอ่ะ”
“นี่อย่าบอกจะว่าแกจะแย่ง เห๊อะ! โทโมะไม่ชอบให้ผู้หญิงคนไหนเข้าหาแกก็รู้นี่นา”เฟื่องฟ้าว่า
“แล้วใครบอกว่าฉันจะเข้าหาล่ะ!” พิมพ์หันมาพูดกับเฮเลนเสียงดัง “ฉันทั้งดูดีมีฐานะ ไม่ใช่ยัยผู้หญิงหน้าจืดชืดปัญญาอ่อนแบบนั้นสักหน่อยที่โทโมะจะไม่มีทางหันมาสนใจ” พิมพ์พูดอย่างมั่นใจในตัวเอง
“แล้ว?”
“ครั้งต่อไปฉันจะทำให้ยัยนั่นมีแต่เรื่องปวดหัวให้โทโมะเยอะๆเลยคอยดูสิ! ก็ อยากจะรู้เหมือนกันว่าโทโมะจะทนแก้ปัญหาให้ยัยนั่นได้ถึงไหน แต่ถ้าสองคนนี้ห่างกันเมื่อไหร่ คราวนี้แหละที่ฉันจะเข้าไปเสียบตรงๆ ”
“...”
“เพราะที่ผ่านมาฉันปล่อยโทโมะมากเกินไปแล้ว!”
ช่วงของเคโอติค
“จะบ้าไง๊? แกไปพูดแบบนั้นแล้วแก้วลืมแกจริงๆแกจะทำไงเล่า >O<!” เขื่อนถึงกับเกาหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงเมื่อโทโมะเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ให้เพื่อนๆฟัง
“...”
ตั้งแต่ที่ก้าวเท้าออกมาจากห้องแก้วโทโมะก็ออกซึมๆเงียบๆไปเลยเพราะว่าเขากำลังรู้สึก ไม่ดีอยู่ภายในใจ เขาเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไรแค่เล่าให้ฟังพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะว่าตอนนี้โทโมะกำลังด่าทอตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นกับแก้วไปทั้งๆที่เขาก็บอกไว้แล้วว่าจะไปปรับความเข้าใจกับเธอ
แต่คงเป็นเพราะว่าโทโมะอยากจะให้แก้วพูดกับเขา ไม่ใช่มาทำท่าทางเย็นชาใส่กันแบบนี้ เขาเลยเก็บอาการไม่พอใจเอาไว้ไม่อยู่ เลยพูดประชดเพราะอยากให้แก้วยอมรับความจริงว่า
...เธอชอบเขา...
ถึงเขาจะรู้แล้วก็เถอะว่าเธอคิดยังไง แต่ตอนนี้แก้วกำลังโกหกใจตัวเองอยู่ โทโมะถึงยอมไม่ได้ที่จะให้มันเป็นแบบนั้นและยิ่งตอนที่เขาเห็นแก้วร้องไห้ วินาทีนั้นเขาแทบอยากจะโผเข้าไปกอดเธอแต่ก็ทำไม่ได้เพราะว่าแก้วกำลังโกรธเขาอยู่ และเธอคงไม่อยากจะเห็นหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ
“เฮ้ย อย่าว่ามันเลย ก็ไอ้โทโมะมันไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้นี่หว่า” จองเบพูดแล้วมองโทโมะที่เอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆเขา
อาการของโทโมะตอนนี้น่ะก็เหมือนกับคนที่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับ เรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง จนกระทั่งมันเกิดขึ้นมาเนี่ยแหละ!
ยิ่งคนที่พูดน้อยไม่ค่อยพูด พอได้มาเจอกับสถานการณ์ที่ต้องพูดเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองที่ตัวเองก่อแบบ นี้ โทโมะยิ่งไม่รู้ว่าความจะง้อแก้วยังไงเมื่อโดนเธอเมินและทำเย็นชาใส่ ในหัวของเขามันคิดอยากจะขอโทษเธอและบอกความในใจที่มี แต่พอถึงเวลาจริงๆเขากลับทำไม่ได้ที่จะพูดมันออกไป
และนี่แหละคือสิ่งที่โทโมะคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้
เวลาที่เขาโมโหเขาจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ทุกครั้งตั้งแต่เจอกับแก้ว เพราะปกติโทโมะไม่ได้เป็นคนแบบนี้ เขาออกจะเมินๆกับอะไรแบบนี้ไปเลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่า...เมือเขาได้เจอคนที่ ‘สำคัญสำหรับเขา’ จริงๆ เขาจึงยอมไม่ได้ที่จะปล่อยคนๆนั้นไป เพียงแต่ว่า...เมื่อโทโมะเห็นแก้วทำแบบนี้กับเขา ถึงเขาจะสารภาพความในใจอะไรออกไปแก้วก็คงไม่ให้อภัยเขาง่ายๆหรอก ถ้าเธอจะให้อภัยเขาจริงๆล่ะก็คงให้อภัยแค่ในใจเท่านั้นแหละ
เพราะว่าเธอก็บอกเองว่าจะลืมเขา...และถ้าเธอกลับมาดีกับโทโมะ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็คงจะคิดว่าแพ้ในสิ่งที่ตัวเองบอกว่าจะทำ และแพ้ในสิ่งที่โทโมะท้าไปแน่ๆ
ฉะนั้น...ทางเดียวคือตอนนี้โทโมะควรจะทำการกระทำให้สำคัญกว่าคำพูดใดๆ
แต่ว่าเขาจะทำมันได้มั้ยนะ?
“เอาเถอะวะเพื่อน ยังไงซะแก้วก็อยู่บ้านข้างๆแกนะเว้ย เธอไม่จากแกไปไหนหรอกเชื่อดิ” เคนตะพูดปลอบ
“โห่ไอ้เคนตะ ร่างกายเขาเรายังมองเห็นแต่ถ้าใจเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้วอ่ะ มันเจ็บนะโว้ย” ป๊อปปี้
“เฮ้ย...เอาแล้วไง” เขื่อนที่กำลังนั่งมองโน่นมองนี่และเหมือนว่าเขาจะเห็นอะไรเด็ดๆมาจึงรีบเอื้อมมือสะกิดๆวีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “โทโมะๆๆๆ”
“อะไร”
“โน่นๆๆๆ” เขื่อนชี้และนั่นทำให้โทโมะที่กำลังนั่งซึมๆหันไปมอง เท่านั้นแหละเขาก็ตื่นจากอาการซึมทันทีเพราะ...
“สงสัยไอ้แว่นนั่นเริ่มทำคะแนนแล้วล่ะม้าง”
เมื่อป๊อปปี้พูดขึ้นมาโทโมะก็ถึงกับกำหมัดแน่เพราะว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้ามันบาดตาเขาเสียเหลือเกิน!
เพราะว่าแก้วกับฟางที่เพิ่งจะเดินลงมาจากอาคารโดยที่มีใครคนหนึ่งเดินอยู่ข้างๆ แก้วนั่นก็คือหนุ่มแว่นหน้าใสที่เหมือนว่าจะจีบๆแก้วมาตั้งแต่ที่ต้นสน เข้ามาเรียนที่นี่ได้ไม่นานนัก และเขาคนนั้นก็คือ...
มิณท์นั่นเอง!
“หมอนั่นรู้รึปล่าวอ่ะว่าทั้งโรงเรียนเข้าใจว่าแก้วเป็นแฟนแก ถ้ารู้แล้วตามจีบนี่โคตรด้านเลยนะเว้ย”
“ไอ้ห่าเขื่อน แกนี่ก็คิดไปนั่น ><! มันคงจะถามแก้วแล้วแหละว่าที่คบกับไอ้โทโมะเป็นเรื่องจริงรึปล่าวแล้วแก้วก็ คงจะตอบไปว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะถ้าตอบว่าคบอยู่ไอ้แว่นนั่นมันไม่มาเดินข้างๆเธอแบบสนิทสนมขนาดนั้น หรอก =[]=!!!”
“แล้วถ้ามันยังไม่ได้ถามล่ะวะครับคุณป๊อปปี้”
“ผมว่ามันต้องถามแล้วแหละครับคุณเขื่อน เพราะว่าไอ้แว่นนั่นมันกลัวไอ้โทโมะจะตายห่า ขืนมาจีบทั้งๆที่แก้วคบกับไอ้โมะมีหวังคอขาดแหง แหง” ป๊อปปี้พูดแล้วทำท่าเชือดคอให้เขื่อนอย่างมันอกมั่นใจจนเขื่อนต้องเบ้ปากใส่เป็นเชิงหมั่นไส้
“...”
ตอน นี้เพื่อนในกลุ่มก็เริ่มเงียบกันเมื่อเห็นว่าโทโมะเอาแต่มองแก้วกับมิณท์ นิ่งๆโดนไม่ได้อะไร แต่หมัดในมือนี่กำจนแน่นแล้วเหอะ ภาพตอนนี้คือมิณท์ยื่นขวดน้ำให้แก้วในขณะที่ฟางเหมือนจะล้อๆมิณท์กับแก้ว ทั้งสองคนเลยเกาคอเหมือนแก้เขินไปพลางๆ
พวกเขากำลังเดินไปทางห้องสมุด โดยที่แก้วก็เดินคุยกับมิณท์ยิ้มๆไปด้วย
อย่างกับคนเป็นแฟนกัน...
“...Shit” เพียง แค่เสียงสบทที่แผ่วเบาก่อนที่โทโมะจะยันตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากตรงนี้ท่าม กลางสายตาของเพื่อนๆที่ต่างมองกันอย่างเป็นห่วงในอาการของโทโมะ
ตอนนี้โทโมะแค่ต้องการจะสงบสติอารมณ์ของเขาให้ใจเย็นลงแต่เชื่อเถอะว่าโทโมะทำให้ อารมณ์ของตัวเองสงบได้แค่พักเดียวเท่านั้นแหละ = =;;;
จบช่วงของเคโอติค
“ขอบคุณนะที่ซื้อน้ำมาให้เรากับฟาง ^^”
ฉันพูดขอบคุณมิณท์แล้วหันไปยิ้มให้เขาที่อุตส่าห์ซื้อน้ำมาให้ฉันกับฟางหลังจากที่เห็นว่าฉันกับฟางยังไม่กลับบ้าน และตอนนี้มิณท์ก็เดินมาส่งฉันกับฟางที่ห้องสมุด เพราะว่าวันนี้มีเวรจัดหนังสือซึ่งแน่นอนว่าฉันกับฟางทำแค่สองคนอีกตามเคยแหละ
“ไม่เป็นไร ก็เราเต็มใจนี่นา” มิณท์ยิ้มแล้วเอามือขยับแว่นของตัวเองให้เข้าที่
“โอ๊ย จีบกันอยู่ได้” ฟางบ่นแซวๆ “งั้นคุยกันไปก่อนนะ ฉันขอเข้าไปข้างในก่อนละกัน ไม่อยากอยู่ตอนคนกำลังจีบกัน ^^”
“จีบอะไรเล่า” ฉันหันไปบอกฟาง แต่ฟางก็แค่ยิ้มหยอกๆก่อนจะเดินเปิดประตูเข้าห้องสมุดไป
แล้วตอนนี้ก็เหลือแค่ฉันกับมิณท์สองคน...
“เอ่อ เรา...”มิณท์เหมือนว่ากำลังจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เกาคอตัวเองแก้เก้อ “เอ่อคือ...”
“ว่าไง” ฉันถามยิ้มๆเมื่อได้เห็นอาการแบบนี้ของมิณท์อีกแล้ว
“เรา...คือเราก็รู้อ่ะนะว่าแก้วไม่ได้ชอบเราแบบนั้น...” มิณท์พูดแล้วมองหน้าฉันตรงแต่คราวนี้แววตาของเขาไม่ได้ฉายแววเศร้าเหมือนในตอนนั้นอีกแล้วล่ะ
“...”
“แต่เราก็ดีใจนะที่ได้เห็นว่าแก้วยังยิ้มให้เราเหมือนเดิมถึงแม้ว่าแก้วจะปฏิเสธเราก็ตาม”
“มิณท์ ถึงแม้เราจะไม่ได้ตอบตกลงคบกับมิณท์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เห็นมิณท์เป็นเพื่อนเหมือนเดิมนะ” ฉันบอกแล้วยิ้มให้มิณท์บางๆ
“อื้ม เราถึงได้ดีใจไง ^^”
“...”
“ตอน แรกอ่ะ เรายอมรับนะว่าเราก็เสียใจแต่ตอนนี้...ไม่แล้วล่ะ แต่เพียงแค่เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ แต่ถ้าหากมีวันไหนที่แก้วอยากจะเป็น ‘มากกว่าเพื่อน’ กับเรา เราก็...พร้อมนะ” มิณท์พูดแล้วยิ้มเขินๆออกมา
แต่ความรู้สึกฉันเนี่ยสิ...
ยัง ไงซะฉันก็ยังคงคิดกับมิณท์แค่เพื่อนที่ดีอยู่ดีนั่นแหละ บางทีการที่เป็นเพื่อนกันมันอาจจะดีกว่าตอนที่คบกันเป็นแฟนก็ได้นะ ว่ามั้ย?
เพราะถ้าเกิดว่าเป็นเพื่อนกันถึงแม้ว่าจะรู้ใจกันแค่ไหนก็ตามและจะดีต่อกัน สักเท่าไหร่ แต่พอมาคบกันบางคู่ก็ไปกันไม่รอดอยู่ดี จนความรู้สึกที่รู้ใจกันดีมันอาจจะเปลี่ยนไปในสักวันหนึ่งและความสนิทในการเป็นเพื่อนก็อาจจะลดน้อยลงมากกว่าเดิมก็เป็นได้
“อะ...อื้ม” ฉันพยักหน้าให้มิณท์ “งั้น...เราขอตัวนะ”
“โอเคงั้น...ถ้าเกิดว่ามีปัญหาอะไรก็ยืมโทรศัพท์ฟางโทรบอกเราได้นะ ถ้าคิดว่าเราช่วยได้น่ะ”
“โอเค” ฉันบอกมิณท์ก่อนจะหันหลังแล้วเปิดประตูเลื่อนห้องสมุดลำท่าว่าจะเดินเข้าไป
แต่ทว่า...
วูบ
“หือ”
เมื่อฉันรู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังมองอยู่มือที่กำลังจะผลักประตูเข้าห้องสมุด กลับต้องหยุดชะงักก่อนจะหันมองไปตามทิศทางที่รู้สึกได้ แต่ก็ไม่พบใครเลยเพราะว่าตอนนี้ก็เลิกเรียนแล้วก็ไม่ค่อยมีคนสักเท่าไหร่ หรอก ส่วนใหญ่ก็พากันกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ก็มีเหลือแต่เด็กกิจกรรมกับพวกที่เข้าเวรทำความสะอาดเท่านั้นแหละที่ยังอยู่
เอ...หรือว่าฉันคิดไปเอง = =;;;
“มีอะไรเหรอ? O_O?” มิณท์ถามแล้วมองไปตามสายตาของฉัน
“มะ...ไม่มีอะไร งั้นกลับบ้านดีๆนะมิณท์ ^^”ว่าจบฉันก็ผลักประตูให้เปิดแล้วเดินเข้าห้องสมุดไป
แต่ด้วยความที่ห้องสมุดนี่ติดฟิล์มที่เราสามารถมองเห็นข้างนอกได้แต่ คนข้างนอกจะมองเข้ามาไม่เห็นเรา แต่ภาพที่ฉันเห็นตอนนี้ก็คือมิณท์กำลังเดินออกไปจากหน้าห้องสมุดแล้ว และตอนนี้สายตาของฉันก็ดันไปเห็นว่าตอนนี้ในโรงเรียนนี้ก็แทบไม่เหลือใคร แล้วจริงๆ แม้แต่กลุ่มเคโอติคที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่วี่แวว พวกเขาคงจะพากันกลับบ้านไปแล้วล่ะมั้ง
โทโมะเองก็คงจะกลับไปแล้วเช่นกัน...
แต่ถ้าเป็นวันนี้ในเมื่อก่อน วันนี้ในวันนั้นเป็นวันที่ฉันได้คุยกับโทโมะเป็นครั้งแรก และเราก็เดินกลับบ้านด้วยกันเป็นครั้งแรก โดยไม่ได้พูดอะไรกันจนโทโมะว่าบอกว่าฉันเดินช้าเนี่ยแหละ
‘เดินเร็วๆหน่อยได้มั้ยอุตส่าห์เห็นใจที่เห็นว่าขาเธอสั้นเลยเดินช้าๆให้เธอตามทันแต่สุดท้ายก็ช้าเหมือนเดิม - -!’
“คิก...”ไม่รู้เพราะอะไรที่พอนึกถึงคำพูดนั้นของโทโมะมันทำให้ฉันเผลอหัวเราะออกมาทั้งๆที่ในใจตอนนี้มันหดหู่เสียเหลือเกิน
ก็จริงสินะ...
ตอนนี้มันไม่ใช่ตอนนั้นแล้วนี่นา เพราะมันเปลี่ยนไปแล้ว
“ยืนยิ้มอะไรอยู่วะไม่ยอมเดินไปสักทีเนี่ย ฉันรอตั้งนาน =[]=;;;” ฟางที่เดินมาหาฉันเอ่ยขึ้นจนฉันต้องหุบยิ้มลงแล้วทำเหมือนว่าไม่มีอะไร
“ปล่าวสักหน่อย อ้าว? แล้วนี่จะไปไหนเนี่ย”ฉันถามเมื่อฟางเดินผ่านตัวฉันไปแล้วทำท่าว่าจะเปิดประตูออกไปนอกห้องสมุด
“ก็เมื่อกี้เปิดล้วงกระเป๋าเสื้อดูแล้วไม่เจอโทรศัพท์อ่ะดิสงสัยลืมไว้บนห้องแหละ” ฟางบอก
“อ๋อ เออรีบขึ้นไปเอาดิเดี๋ยวยามก็ขึ้นไปล็อคห้องบนอาคารแล้วเนี่ย” ฉันบอกฟางให้รีบๆไป เพราะถ้ายามตรวจอะไรเรียบร้อยแล้วขาคงจะล็อคปิดห้องเรียนทุกห้องเลย
และถ้าฟางขึ้นไปเอาโทรศัพท์ไม่ทันก็คงซวยไปละกัน = =;;;
“เออๆ งั้นแกอยู่นี่นะ นั่งรอก่อนก็ได้แล้วเดี๋ยวค่อยจัดหนังสือพร้อมกัน”
“เฮ้ย เดี๋ยวฉันจัดไปก่อนเลยจะได้ไม่เสียเวลาไงเพราะเย็นนี้มีนัดไปทำงานที่ร้านน้องแกไม่ใช่เหรอ”
“เออว่ะ เอองั้นแกจัดไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันรีบไปรีบมา”
“อื้ม!”
เมื่อ ฉันพยักหน้าฟางจึงรีบออกไปจากห้องสมุด และตอนนั้นฉันก็เดินเอากระเป๋าไปวางไว้ที่โต๊ะ ส่วนโทรศัพท์นั้นก็ยังไม่มีใช้เลย แต่ว่าฟางพาเอาไปซ่อมไว้ที่ร้านแล้วเพราะน้ำมันเข้าไง เฮ้อ...
คิด แล้วก็เอามือยกแตะๆที่มุมปากของตัวเองที่ยังคงมีบาดแผลจากการถูกตบอยู่ แต่ว่ามันก็เริ่มจางแล้วลงล่ะแต่จางลงไปแค่นิดเดียวเองนะ งั้นแสดงว่าเย็นนี้ฉันก็ต้องหาทางหลบหน้าพ่ออีกแล้วสิเนี่ยเพราะกลัวพ่อเห็น แผลจริงๆ แถมรอยช้ำที่ข้อมืออีก
มันยังออกเขียวม่วงๆอยู่เลย...ให้ตายสิ
“เฮ้อ...”
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะว่าในหัวใจของตัวที่ตอนนี้มันอยู่ในช่วงรักษาแผลที่อยู่ข้างในหัวใจของ ตัวเอง ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ชีวิตฉันจะกลับไปสดใสเหมือนเดิม บางทีก็คิดอยากจะหนีใจตัวเองนะ แต่ว่ามันทำไม่ได้หรอกนอกจากจะเอามีดกรีดอกข้างซ้ายแล้วควักเอาหัวใจตัว เองออกมาแล้วเราก็ตายไปซะเลย
ก็จริงอย่างที่เขาว่ากันว่าบนโลกนี้มันไม่มีอะไรที่ดีไปหมด ชีวิตทุกชีวิตล้วนแต่เคยเจอเรื่องเจ็บช้ำจนไม่อยากจะเจอหน้าใคร แต่สุดท้ายเรื่องพวกนี้มันก็จะหายไปให้เราได้เริ่มใหม่
ถึงฉันจะคิดเช่นนั้น...แต่ฉันก็ไม่รู้หมือนกันว่าจะทำได้มั้ย
แล้วถ้าฉันลืมโทโมะได้จริงๆ แล้วมันจะยังไงต่องั้นเหรอ? เพราะบ้านเราอยู่ใกล้กันระเบียงห้องนอนของเราติดกันขนาดนั้น ฉันคงไม่สามารถที่จะมองหน้าโทโมะติดได้อีกถ้าหากว่าฉันลืมว่าเคยชอบเขาได้ จริงๆ แต่จะให้ฉันทำยังไงล่ะในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแบบนี้แล้วน่ะ
อีกอย่าง...ยิ่งฉันอยู่ใกล้โทโมะก็ยิ่งมีแต่เรื่องให้ต้องเจ็บตัว ยิ่งพวกกลุ่มโบว์ลิ่งน่ะ ฉันนี่แทบจะคิดไม่ออกเลยว่าพวกนั้นจะเล่นงานอะไรฉันอีกรึปล่าว แต่ก็น่าแปลกนะที่วันนั้นเด็กรุ่นน้องบ้าพวกนั้นมาตบเล่นงานฉันทั้งๆที่ตอนนั้นสมควรจะเป็นพวกกลุ่มโบว์ลิ่งมากกว่าเสียอีกที่ทำแบบนั้น
แต่พวกนั้นกลับหายไปเลย...
บางทีฉันก็คิดนะว่าพวกที่อยู่เบื้องหลังแล้วตามถ่ายรูปฉันในตอนนั้นอาจจะ เป็นฝีมือของกลุ่มโบว์ลิ่งก็ได้ เพราะพิมพ์ชอบโทโมะนี่นา แถมหวงแรงซะด้วยสิ แต่ทำแบบนี้มันก็เกินไปนะ...แล้วถ้าเกิดว่าเรื่องแบบนี้ไปเกิดขึ้นกับคนที่ จิตอ่อนยิ่งกว่าฉัน คนๆนั้นไม่หลอนจนเป็นโรคซึมเศร้าแล้วเป็นคนขี้กลัวมากกว่าเดิมเลยรึไง
คนที่ทำแบบนี้ก็น่าจะคิดบ้างนะ ว่ามั้ย?
อีกฝั่ง...
ตึกๆๆๆ
เสียง ฝีเท้าของร่างบางในชุดนักเรียนที่วิ่งเยาะๆขึ้นบันไดมายังชั้นที่สองของ อาคาร 5 ที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วเพื่อมาเอาโทรศัพท์ที่เธอลืมเอาไว้ในห้อง เรียน ฟางเดินๆไปจนถึงหน้าห้อง ม.5/2 และโชคยังดีที่มันยังไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้เธอจึงยืนเท้าสะเอวมองยิ้มๆอย่าง โล่งใจก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะของตัวเอง
แต่ทว่าพอล้วงมือดูเก๊ะใต้โต๊ะกลับไม่พบว่ามันโทรศัพท์หรือว่าอะไร วางอยู่ใต้นั้นเลยสักอย่างเดียว
“เฮ้ย! ไปไหนว๊า? YOY!” ฟางร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อไม่เจอโทรศัพท์ของตัวเองเธอจึงนั่งย่อตัวลงแล้วมองเข้าไปในเก๊ะใต้โต๊ะอีกที
ก็พบว่าไม่มีโทรศัพท์ของเธออยู่จริงๆด้วย!
“...”
“เฮ้ยยยยย หายจริงดิ? ม่ายยยยยยยยย YOY!!!!!!!”
“โอ๊ย! กะอีแค่โทรศัพท์ร้องซะอย่างกับมีใครตาย!- -!!!”
ขวับ!
O^O!!!!!
ฟางเบิกตากว้างเมื่อหันไปมองต้นเสียงที่ประตูหลังห้องก็พบว่าเป็นคนที่เธอไม่ชอบขี้หน้าที่ถึงขั้นไม่อยากจะเจออย่างนาย‘ป๊อปปี้’เพราะว่าตอนนี้เขากำลังยื่นเอามือกอดอกพิงประตูอย่างสบายอารมณ์แล้วมองมาที่ฟางอย่างเป็นเชิงล้อๆทำนองนั้น
“ใช๊” ฟางพูดลากเสียงแล้วลุกขึ้นยืนเต็มตัวแล้วมองหน้าป๊อปปี้ยิ้มๆที่แฝงไปด้วยความกวนสุดทีน “ก็ไอ้คนที่ตายอ่ะมันยืนมองฉันอยู่นี่ไง ^^”
“นะ...นี่เธอหมายถึงฉันงั้นเร๊อะ? ><!” ป๊อปปี้ถึงกับหน้าหักเมื่อเจอคำพูดนั้น
“ก็ – ไม่ – รู้ – สิ – นะ!^^” ฟางพูดย้ำทีละคำจนป๊อปปี้ถึงกับกัดฟันแน่น “ว่าแต่... ‘ศพเดินได้’มาทำอะไรแถวนี้หรา? เอ๊ะ! หรือว่าไม่มีคนตอกฝาโลงเลยลุกขึ้นมาเดินได้น่ะหืม?”
ฟาง พูดด้วยถ้อยคำที่ทำให้ป๊อปปี้ถึงกับกำหมัดแน่น แต่อย่างว่าอ่ะนะ คนที่มั่นใจในตัวเองมากถึงมากที่สุดอย่างป๊อปปี้น่ะเหรอจะยอมอ่อนอยู่ฝ่ายเดียวน่ะ? และยิ่งกับคู่กัดของเขาอย่าง‘ฟาง’คนนี้น่ะเหรอที่เขาจะแพ้หึ! ขอบอกเลยว่า
ไม่! มี! ทาง!
“งั้นถ้าฉันเป็น ‘ศพ’เดินได้ ฉันก็คงเป็นศพที่มีหน้าตาหล่อที่สุดงั้นสินะ ^____^” ป๊อปปี้พูดแล้วฉีกยิ้มอันมีเสน่ห์ของเขาที่ผู้หญิงคนไหนเห็นเป็นต้องหลง
ยกเว้นเธอผู้เดียว = =!
“เฮ้อ... ไปดีกว่าไม่อยากคุยกับศพ = =;;;” ฟางพูดแล้วส่ายหัวไปมาอย่างเซ็งๆที่โทรศัพท์ก็ไม่หาเจอแถมยังต้องมาเจอคนที่ไม่ชอบขี้หน้าพูดจากวนประสาทแบบนี้อีก
“แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าโทรศัพท์ของเธอหายไปไหน?”
กึก!
เมื่อป๊อปปี้พูดเช่นนั้น ฟางที่กำลังจะเดินออกประตูหน้าห้องแทนประตูหลังเพราะป๊อปปี้ยืนขวางอยู่ก็ถึง กับต้องหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองป๊อปปี้อีกครั้ง แล้วตอนนี้ป๊อปปี้ก็ยิ้มๆอย่างเบิกบานพลางหยิบบางอย่างในกระเป๋ากางเกงนัก เรียนก่อนจะชูโทรศัพท์ที่เป็นของฟางขึ้นมา
และนั่นแหละที่ทำให้ฟางต้องเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหาป๊อปปี้ทันที!
“เอามา...”
“เฮ้! เรื่องอะไรล่าวววว” ป๊อปปี้ตอบกวนๆแล้วชูมือข้างที่ถือโทรศัพท์ขึ้นสูงจนฟางเอื้อมไม่ถึงและฟางก็เสียเปรียบมากด้วยตรงที่ว่าตัวเล็กกว่าป๊อปปี้หรือในคำพูดตรงๆก็คือ ‘เตี้ย!’นั่นเอง = =;;;
“เอามาสิเว้ย! >O<!” ฟางบอกอย่างไม่พอใจ
“พูดดีๆก่อนดิ เดี๋ยวให้คืน”
“ไอ้หัวหลิม! เอามา!”
“ดีบ้านอาแปะเธอเป็นเงี๊ยเร๊อะ><?”
“แล้วใครบอกว่าฉันพูดดีล่ะ! เอาโทรศัพท์ฉันคืนมาเร็วๆฉันรีบ!” ฟางบอกป๊อปปี้ย่างใจร้อน
“งั้นเธอก็ต้องรับปากก่อนดิว่าจะช่วยบางอย่าง”
“ช่วยอะไร?” ฟางถามแล้วขมวดคิ้ว แต่ป๊อปปี้น่ะยังไม่เอามือลงหรอกเพราะว่าต้องได้คำตอบที่เขาถามไปก่อน
“เรื่องไอ้โทโมะ...”
“ไม่” ฟางตอบอย่างไม่ต้องคิด “จะให้ฉันบอกให้แก้วยกโทษให้งั้นเหรอ? เห๊อะ! เรื่อง แบบนี้มันอยู่ที่ใจของแก้วเอง ฉันไม่ขอเกี่ยว แค่คอยอยู่ข้างๆก็พอ เพราะความรู้สึกของแก้วไม่ใช่ของฉัน ฉันจะไปบอกให้แก้วให้อภัยโทโมะได้ไงถ้าต้นสนไม่อยากให้อภัย”
“แต่ไอ้โทโมะมันชอบแก้ว”
“...!”
ฟางถึงกับชะงักไปเมื่อป๊อปปี้พูดแบบนั้นด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังแบบไม่ได้ล้อ เล่น ฟางคงจะคิดไม่ถึงล่ะมั้งว่าโทโมะจะมาชอบแก้วจริงๆ เพราะท่าทีของเขาไม่เคยแสดงออกมาว่าชอบเพื่อนของตัวเองเลยถึงแม้ว่าจะรู้ เรื่องที่ว่าโทโมะจูบแก้วจนเป็นเรื่องก็เถอะ
แต่ตอนนั้นแก้วบอกว่าโทโมะทำไปเพราะความเมา
“มันชอบแก้วจริงๆนะ”
“แล้วจะให้ฉันเชื่อได้ไง ในเมื่อเพื่อนนายทำเพื่อนฉันเจ็บทั้งกายแล้วก็จิตใจแบบนั้นน่ะ จะให้ฉันไปบอกแก้วว่า เฮ้ยแก! ให้อภัยโทโมะเถอะนะเว้ยเพราะเขาชอบแก แบบนี้เนี่ยนะ?”ฟางถึงกับหัวเราะออกมาอย่างประชดเมื่อพูดจบ
“แต่เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าโทโมะพยายามจะง้อแก้วอ่ะ =[]=!”
“ง้อ? นั่นเขาเรียกง้อเหรอ? แบบ นั้นยิ่งทำให้แก้วปิดความรู้สึกของตัวเองไปกันใหญ่เพราะเพื่อนนายนั่นแหละ เป็นคนที่ก่อมันขึ้นมา แล้วถ้าแก้วเลิกชอบโทโมะจริงๆมันก็ผิดที่โทโมะนั่นแหละ”
“ก็นี่ไงถึงอยากให้เธอช่วยพูดกับแก้วให้หน่อย ฉันไม่อยากเห็นไอ้โทโมะมันเป็นแบบนี้นะเว้ย”
“แล้วนายคิดว่าฉันอยากเห็นแก้วเป็นแบบนี้รึไง แล้วโทโมะอ่ะ...ที่บอกว่าชอบแก้วอ่ะ รู้สึกช้าไปม๊ะ?”
“...”
“มาบอกชอบเอาตอนที่แก้วกำลังจะตัดใจ มาบอกชอบในตอนที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แล้วแบบนี้จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงว่าที่เพื่อนนายบอกว่า ‘ชอบ’ เป็นเพราะว่าชอบเพื่อนของฉันจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่า ‘สงสาร’แล้วถึงมาพูดน่ะ...”
ครืด...
เมื่อฟางพูดแบบนั้นจนทำป๊อปปี้นิ่งไป ฟางก็ลากเก้าอี้ตัวใกล้ๆมาแล้วขึ้นไปยืนบนนั้นให้สูงกว่าป๊อปปี้ก่อนจะแย่ง โทรศัพท์ของตัวเองมาอย่างง่ายดาย แต่ป๊อปปี้ก็แค่มองหน้าฟางนิ่งๆไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นฟางก็เดินออกจากห้องนี้ไปอย่างไม่มีท่าว่าจะหันกลับมามองเขาอีก
แต่เพื่อนก็ต่างรักเพื่อนของตัวเองกันทั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่ด้วยความที่ห่วงเพื่อนมากกว่าไงจึงอยากขอให้อีกฝ่ายช่วย แต่เมื่อฟางไม่อยากให้แก้วเสียใจอีกเพราะกลัวโทโมะไม่แน่นอนกับเพื่อนของตัวเอง
แบบนี้ก็ขอให้มันเป็นเรื่องของโชคชะตาเถอะ...
“ฮืม..ฮื๊ม...ฮืม”
ฉัน ฮัมเพลงไปพลางๆเมื่อกำลังจัดๆเอาหนังสือวางๆตามบนชั้นตามหมายเลขของมัน และห้องสมุดนี่ก็เงียบมากเลย แถมฉันก็เอาหนังสือนี่มาเก็บที่ด้านในสุดด้วยเนี่ยสิมันหลอนๆยังไงไม่รู้นะ แถมแถวนี้ก็ไม่มีใครด้วย ฮืออออ ฟางก็ยังไม่มา จัดหนังสือคนเดียวอีก เฮ้อ!
เอาล่ะ! รีบจัดตรงนี้ให้เสร็จแล้วไปจัดตรงอื่นต่อดีกว่า ><!
หมับ!
ตุ้บ!
“อุ้บ!” ระหว่าง ทีฉันกำลังจัดๆหนังสืออยู่นั้นอยู่ดีๆก็มีมือของใครมาปิดปากฉันเอาไว้จาก ทางด้านหลังก็ไม่รู้จนฉันตกใจจนทำเผลอทำหนังสือตกลงพื้น
เฮือก...
“...!”
“...”
เมื่อมือเรียวนั้นปล่อยฉันออกเมื่อฉันหันหน้าไปเจอเขานคนนั้นฉันก็เบิกตากว้าง ทันทีเพราะว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย และเขาก็คือคนๆเดียวกันกับที่ขึ้นมาฉันบนห้องเมื่อตอนกลางวัน ใช่! โทโมะยังไงล่ะ!
แล้วเขามาที่นี่ทำไมอีก จะมาท้าอะไรฉันหรือว่าจะหาเรื่องอะไรอีก?
“...”
“...”
ตอนนี้ฉันกับโทโมะต่างไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรใดๆเลยสักคำ และมีแต่ความเงียบงันเข้าครอบคลุมเราทั้งสองเอาไว้จนฉันต้องหลุบสายตาลงต่ำ เพราะไม่อยากจะพุดอะไรกับเขาถ้าเขาจะมาหาเรื่องกัน แต่ทว่าความคิดนั้นกับผิดคาดไปเมื่อมือเรียวบางของโทโมะนั้นจับมือของฉันเอาไว้ ทั้งสองข้างอย่างแผ่วเบาก่อนจะยกมันขึ้นมาดูรอยช้ำ
ฉันชำเลืองตาขึ้นมองโทโมะนิดหน่อยก็เห็นว่าโทโมะกำลังมองที่รอยช้ำบนมือของ ฉันนิ่งๆโดยไม่พูดอะไรสักคำ และสายตาตอนนี้ของโทโมะก็ไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนไม่พอใจอะไรเหมือนเมื่อ ตอนกลางวันแล้วด้วย
เขาเป็นอะไร...
“ไอ้หมอนั่นมันคุยอะไรกับเธอ”โทโมะพูดแล้วละสายตาจากข้อมือของฉันขึ้นมามองหน้าฉันตรงๆ
และฉันก็เพิ่งสังเกตนะว่าใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันมากๆ เลยทีเดียวจึงทำให้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถ้อยคำใดๆออกไป เพราะว่าฉันไม่อยากจะคุยกับเขานี่นา และนี่อย่าบอกนะว่าเขานี่เองที่เป็นคนที่ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีคนมองน่ะ แล้วจะแอบมองทำไมมิทราบ
ทำไมถึงไม่กลับบ้านตัวเองไปซะล่ะ? อ้อ! ลืมไปว่าโทโมะบอกว่า ‘จะคอยดู’ ว่าฉันจะลืมเขาได้รึปล่าวนี่นา แล้วพอเขาคิดว่าฉันจะลืมเขาเข้าจริงๆเขาเลยตามมาเพื่ออยากจะให้ฉันทำไม่ได้อย่างงั้นสินะ
“...”
“จะตอบมั้ย...” โทโมะ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแล้วยื่นหน้าเขามาหากันใกล้ๆจนฉันต้องถอยหนี แต่ไม่ได้เพราะด้านหลังเป็นชั้นหนังสือ และตอนนี้ฉันเหมือนว่าจะจนมุมเข้าแล้วด้วยสิเมื่อโทโมะขยับกายเข้าใกล้ๆมาก ขึ้น...มากขึ้น...
และมากขึ้น...
“...”
“สรุปจะไม่ตอบ...ใช่มั้ย...”
กรึก!
ตอนนี้โทโมะเอามือของเขาจับแขนของฉันเอาไว้ทั้งสองข้างจนฉันขยับไปไหนไม่ได้และได้แต่ยืนก้มหน้าอยู่อย่างงั้น บ้าเอ๊ย! นี่เขาคิดจะทำอะไรบ้าๆกับฉันอีกเนี่ย? ถ้าใครมาเห็นเข้าอีกมีหวังโดนพักการเรียนแน่ๆ นี่โทโมะเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีเถอะ!
“อึก...”ตอนนี้ฉันพยายามกลืนน้ำลายลงคออย่างสุดความสามารถเพื่อตั้งสติเมื่อปลายจมูกของโทโมะนั้นแตะกระทบเข้าที่ปลายจมูกของฉันแล้ว!
“ถ้าเธอไม่ตอบ...”
คำพูดที่แผ่วเบาของโทโมะบวกกับแอร์เย็นๆของห้องสมุดนั้นมันทำให้ฉันยืนแข็งทื่อไป เลยแต่ว่าสัมผัสไปด้วยเหงื่อที่มือนั้นเริ่มออกเพราะอาการหัวใจเต้นแรงบวกกับอาการสับสนว่าทำไมโทโมะถึงทำเช่นนี้กับตัวเอง
“...น่ะ...นาย...” ฉันถึงกับพูดไม่ออกเมื่อโทโมะลากปลายจมูกของเขาไปตรงแก้มของตัวเองและริมฝีปากของเขาก็เฉียดแก้มของฉันไปด้วย
ตึกตักๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่นะ! แต่ทำไมฉันถึงทำอะไรไม่ได้เลยล่ะ ทำไมถึงยืนนิ่งแบบนี้ ฉันควรจะผลักเขาออกไปไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมมันถึงไม่มีแรงแบบนี้ล่ะ
และไม่นานริมฝีปากของโทโมะก็ค่อยลากจากแก้มของฉันมายังบริเวณมุมปากตรง ข้างที่เป็นแผลจากการถูกตบตอนนั้นแหละที่ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้หลับตาลง และ...ริมฝีปากของโทโมะก็จูบลงตรงมุมปากที่มีแผลนั่นอย่างแผ่วเบาและเขาก็จูบ ค้างเอาไว้อย่างนั้นสักพักก่อนที่จะถอนริมฝีปากออกไป
จากนั้นฉันก็ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าโทโมะกำลังมองมานิ่งๆ แล้วกลืนน้ำลายลงคอแล้วละสายตาไปจากใบหน้าของฉัน ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าโทโมะทำแบบนี้ทำไมกันแต่...ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า โทโมะกำลังรู้สึกหม่นหมองล่ะ?
ทำไม...
“แก้วแกอยู่ล็อคไหนขอเสียงให้ข้าพเจ้าโหน่ยยยยย”
“ฟาง...” ฉันเอ่ยเบาๆเมื่อได้เสียงฟางดังขึ้นเหมือนว่ากำลังหาฉัน
และในตอนนั้นเองที่โทโมะได้ยินเสียงฟาง เขาก็มองหน้าฉันแค่แว๊บเดียวก่อนจะรีบเดินออกไปจากตรงนี้ ฉันมองตามแผ่นหลังของโทโมะที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆก่อนจะยกมือแตะที่มุม ปากตัวเองที่โทโมะจูบทับบนแผลนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม โทโมะถึงทำแบบนี้กับฉัน
ก็เขา...ชอบคลอรีนไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไมถึง...
“อ้าว? ทำไมมายืนนิ่งตรงนี้อ่ะ =[]=?”
“หา?” ฉันที่เพิ่งตั้งตัวได้เมื่อฟางเดินมาพอดีหลังจากที่โทโมะเดินผ่านออกไปโดยที่ฟางไม่ได้เห็น
“แล้วนั่นหนังสือตกก็ไม่เก็บเล่าแกก็มึนอะไรว๊า” ฟางเดินเข้ามาหาก่อนที่ก้มเก็บหนังสือที่มันตกอยู่ที่พื้น
“โทษทีเมื่อกี้ขาชาว่ะ”
ฉันบอกฟางไปอย่างงั้น แล้วช่วยฟางก้มเก็บหนังสือ ทั้งๆที่ตอนนี้ในใจมันเต้นแปลกๆแล้วก็รู้สึกแปลกมากด้วยเพราะครั้งนี้โทโมะไม่ ได้เมา และเขาตั้งใจทำแบบนั้นจริงๆ...
‘หญิงสาวคนหนึ่งกับหัวใจที่กำลังสับสนกับชายคนหนึ่ง
ครั้งนี้...พระเจ้าท่านได้สร้างเกมทดสอบความรู้สึกขึ้นให้กับทั้งคู่
แต่หากทว่า...เกมนี้มันยากเหลือเกินที่จะเข้าใจ เพราะผู้เล่นที่ถูกเลือกนั้น...
ยังไม่รู้จักหาวิธีเอาชนะเกมนี้ยังไงล่ะ...และทางเดียวที่จะเอาชนะได้ก็คือ...หัวใจของทั้งสองเท่านั้น
__________________________________________________
อัพแล้วเม้นโหวตกันหน่อยนะ^^
( ห้ามลืมผม! )
“...โทโมะ...”
ฉัน เอ่ยเรียกชื่อร่างสูงที่กำลังมองมาที่ฉันนิ่งๆ ข้างกายเขาก็มีป๊อปปี้ที่มาเป็นเพื่อนกัน แต่ ณ ตอนนั้น เหมือนมีอะไรกดดันความรู้สึกของฉันอยู่ ฉันจึงได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเพราะว่าโทโมะกำลังเดินเข้ามาในห้องนี้คนเดียวส่วนป๊อปปี้ก็รอดูสถานการณ์อยู่ด้านนอก
เขาเดินเข้ามาโดยที่สายตายังคงมองฉันนิ่งๆตามเดิมจนฉันเดาทางไม่ถูก และตอนนี้เพื่อนๆในห้องต่างก็พากันเดินออกจากห้องนี้ไปเหมือนว่ารู้งานอะไรสักอย่าง
บางคนก็เอี้ยวคอมองกลับเข้ามาในห้องอย่างอยากจะดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น
และตอนนี้คงเหลือฉันกับฟางสองคนเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่เงียบๆ ทั้งๆที่โทโมะก็กำลังเดินเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ จนเขาเดินมาหยุดอยู่ที่ตรงหน้าโต๊ะของฟางแต่สายตาก็ยังมองฉันอยู่ไม่ละไปไหน เลย
“ขอคุยด้วยหน่อย” โทโมะพูดด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ
“...” ฉันไม่ได้ตอบอะไรก็แค่มองหน้าโทโมะนิ่งๆ
และในตอนนั้นเองที่มือบางๆของฟางเอื้อมมาจับมือของฉันเอาไว้ พอฉันหันไปมองหน้าฟางสายตาของฟางที่มองมามันเมือนกับจะถามว่า ‘อยากจะคุยมั้ย?’นั่นแหละฉันจึงส่ายหน้าเบาๆให้ฟาง ฟางก็พยักหน้าแล้วก็ปล่อยมือฉันจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้
“โทโมะ...”
“ฉันขอแค่ห้านาที” โทโมะบอกฟางในตอนที่ฟางลุกขึ้นยืนและเรียกชื่อเขา
“แต่แก้วยังไม่อยากคุยกับนาย นายก็ควรจะกลับไปก่อน”
“แล้วเมื่อไหร่จะได้คุย” โทโมะหันไปมองหน้าฟางก่อนจะหันกลับมามองฉันอีกรอบด้วยสายตาที่ออกจะไม่พอใจฉันสักเท่าไหร่
อะไร? ก็ฉันไม่อยากคุยกับเขานี่นาเขาก็ควรจะกลับห้องของตัวเองไปซะไม่ใช่เหรอ?
“...”
“ไม่อยากคุยกับฉันอย่างงั้นเหรอ?” เขาเค้นเสียงถามแล้วมองหน้าฉันตรงๆ แต่ฉันก็เมินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง แต่ก็ไม่แสดงท่าทีไม่พอใจอะไรทั้งสิ้น
เพียงแค่ทำเหมือนไม่มีอะไรก็แค่นั้น...
“...”
“แล้วต่อจากนี้จะยังไง หลบหน้า? ไม่พูด? หรือจะทำอะไรก็ได้ให้ลืมฉันอย่างงั้นเหรอ...” ถึงฉันไม่มองไปก็รู้ว่าตอนนี้โทโมะเขากำลังทำสีหน้ายังไง
นี่ขนาดฟางยืนอยู่กับเขาด้วยนะ เขายังพูดแบบนี้เลย...
“โทโมะ!” ฟางดุโทโมะอย่างไม่พอใจ แล้วคำพูดบทสนทนาต่อจากนั้นมันก็ทำให้น้ำตาฉันเอ่อล้นข้นมาอีกครั้งจนตัวเองต้องเม้มริมฝีปากเข้าหากัน “ฉันไม่รู้หรอกนะว่าที่นายทำแบบนี้ต้องการอะไรจากเพื่อนฉันอีก แต่นายควรจะหยุดได้แล้ว”
“ก็เพื่อนเธอเป็นแบบนี้แล้วจะให้ฉันทำยังไง ฉันพยายามจะอธิบาย พยายามจะพูด แล้วเพื่อนเธอมาทำแบบนี้ใส่ฉัน จะให้ฉันทำยังไง”
“แล้วที่เพื่อนฉันเป็นแบบนี้เพราะใครล่ะ”
“...”
โทโมะเงียบไปเมื่อฟางพูดแบบนั้น และจากนั้นน้ำตาของฉันก็ไหลลงมาอีกครั้ง...และอีกครั้ง เพราะว่าความรู้สึกตอนนี้คือ ทำไมเขาจะต้องมายุ่งอะไรกับฉันอีกในเมื่อเขาไม่ได้คิดอะไรกับฉันไม่ใช่รึไง แม้แต่คำขอโทษสักคำยังไม่มีแล้วยังต้องการอะไรจากฉันอีก
อีกอย่างเขาก็บอกเองไม่ใช่เหรอว่า...
‘เข้ามาทำไม...เข้ามาในชีวิตของฉันทำไม! ทำไมต้องเข้ามาให้ฉันสับสนด้วยแก้ว!’
พอถึงคราวนี้ฉันกำลังจะออกไปจากชีวิตเขา แล้วทำไมเขาต้องทำเหมือนว่าไม่อยากให้ฉันไปด้วย ทั้งๆที่ปากของตัวเองก็พูดออกมาแบบนั้นแล้ว และฉันก็ฝังคำพูดนั้นของโทโมะลงไปจนลึก! ลงไปจนทำให้ตัวเองคิดแล้วว่าฉันจะลืมเขา! จะลืมทุกสิ่ง! เพราะมันเจ็บที่จะต้องมาร้องไห้เพราะผู้ชายคนนี้
คนไม่มีหัวใจ!
“ถ้านายจะบอกคนอื่นว่าคบกับเพื่อนฉันก็ช่วยนึกถึงความรู้สึกของแก้วบ้างสิ”
“...”
“อึก...” ตอนนั้นฉันเผลอร้องไห้ออกมาอย่างยากจะกลั้นเอาไว้ไหวเมื่อได้ยินโทโมะกับฟางพูดคุยกันแบบนี้
ให้ตายเหอะทำไมฉันถึงได้อ่อนแอแบบนี้นะ...
ทำไมฉันถึงต้องร้องไห้ให้เขาเห็นด้วย อุตส่าห์ว่าจะไม่แล้วนะ แต่ทำไมมันถึงเก็บเอาไว้ไม่อยู่ บ้าจริงๆเลย!
“...”
“ถ้านายจะบอกว่าแก้วเป็นแฟนกับนายเพื่อที่จะไม่ให้มีใครมาทำอะไรเธอ และอยากให้เธอปลอดภัย ไม่โดนทำแบบนี้อีก แต่นายรู้มั้ย? ว่ายิ่งทำแบบนี้อ่ะ แก้วยิ่งเจ็บ...”
“พอแล้วฟาง” ตอนนั้นฉันลุกขึ้นยืนแล้วจับแขนฟางเอาไว้ เมื่อฟางได้ยินแบบนั้นก็หันมามองหน้าฉันแล้วก็พยักให้เบาๆ
“งั้นถ้าเธอเจ็บ...” เมื่อโทโมะพูดด้วยน้ำเสียงที่นิ่งงันฉันก็หันไปมองหน้าเขา และโทโมะก็มองหน้าฉันตรงๆ แต่ไม่รู้ว่าฉันนั้นคิดไปเองรึปล่าวที่เห็นว่าขอบตาของเขานั้นแดงก่ำ
ไม่หรอก! เขาจะมาร้องไห้เสียใจกับเรื่องนี้ทำไมกัน เพราะว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไรอยู่แล้วนี่? อีก อย่างคนเย็นชาไม่รู้สึกสนใจกับอะไรแบบโทโมะน่ะเหรอจะร้องไห้เป็น เพราะถ้าเขาเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆเขาคงจะพูดขอโทษฉันไปนานแล้วล่ะว่ามั้ย?
ไม่ต้องรอให้ฉันพูดคุยด้วยก็ขอโทษได้...
ถ้าสิ่งนั้นมันมาจากความรู้สึกและจิตใจของเขาจริงๆ
“...”
“...เธอก็ควรที่จะเลิกโกหกความรู้สึกของตัวเองได้แล้วนะ”
“เราไม่ได้โกหกอะไรทั้งนั้น...”
“เธอแน่ใจเหรอ?” โทโมะสวนขึ้นทันทีที่ฉันตอบ แล้วจากนั้นเขาก็เลิกคิ้วเป็นเชิง
กึก!
อึก...
“...!”
ตอน นั้นฉันรู้สึกเหมือนว่าตัวเองชาไปทั้งตัว เพราะโทโมะมองหน้าฉันด้วยสายตาที่ยากจะอ่านความหมายเพราะนัยน์ตาของเขาฉายแวว เหมือนจะโกรธและไม่พอใจเสียด้วย แต่นั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้ฉันได้แต่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากเพราะว่า ตอบคำถามของเขาไม่ได้
ใช่ เพราะตอนนี้ฉันยังใจแข็งไม่พอที่จะตอบมันจริงๆ
“งั้นก็เอาสิ...” โทโมะพูดจากนั้นเขาก็หยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงนักเรียนของเขา
และสิ่งนั้นมันก็ทำให้ฉันถึงกับตกใจในทันทีที่ได้เห็นมัน...มะ...มันไปอยู่ กับเขาได้ยังไงกัน งั้นแสดงว่าที่ฉันเดาไว้ตั้งนานก็ไม่ผิดน่ะสิว่าใครเป็นคนเอาจักรยานกับ กระเป๋าหนังสือฉันมาไว้ที่บ้านของตัวเอง ที่แท้ก็โทโมะจริงๆนี่เอง งั้นแสดงว่าเขาได้แอบเปิดอ่านไดอารี่ของฉันงั้นเหรอ?
เขาถึงได้มีเจ้ากระดาษนั่นเอาไว้ในมือแบบนั้น!
เขาฉีกมัน...
ฉีกหน้าสุดท้ายนั้นที่ฉันเขียนถึงเขา
ปึก!
ฉันสะดุ้งขึ้นมาเมื่อโทโมะวางกระดาษนั่นลงอย่างแรงบนโต๊ะของฉันแต่สายตาเขาก็ไม่ ได้ละไปไหนเลย แต่ฉันเนี่ยสิเริ่มรู้สึกกลัวๆแปลกๆยังไงชอบกลไม่รู้สิ ว่าตอนนี้โทโมะกำลังจะเล่นอะไรกันแน่เขาเป็นบ้าอะไร อยากจะทำให้ฉันประสาทเสียมากกว่านี้ไปถึงไหน
แค่นี้ฉันยังเจ็บไม่พออีกเหรอ...
“จบบันทึกหน้าสุดท้ายตลอดกาลงั้นเหรอ? เห๊อะ” โทโมะเค้นเสียงถามก่อนจะหัวเราะเย้ยหยันขึ้นมาจนฉันเดาทางไม่ถูกเลยว่าในใจตอนนี้เขาคิดอะไรอยู่
แต่ที่รู้แน่ๆเลยคือเขาอ่านบันทึกของฉันไปแล้ว!
“...”
“ถ้าเธอคิดว่าลืมฉันได้จริงๆก็ลองดูสิ แก้ว...”
“...”
“...ฉันท้า...” โทโมะพูดเสียงต่ำแล้วหรี่ตามองมาที่ฉันที่ตอนนี้จับมือฟางแน่น “ท้าเธอต่อหน้าเพื่อนของเธอ...”
“...”
“แล้วฉันจะคอยดู”
เมื่อ พูดโทโมะก็เดินออกจากห้องนี้ไปโดยไม่คิดที่จะหันกลับมามองฉันอีก ป๊อปปี้ที่ยืนรออยู่ข้างนอกเมื่อโทโมะเดินผ่านเขาไป ป๊อปปี้ก็มองเข้ามาในห้องนี้ก่อนจะส่ายหัวเบาๆให้ฉันกับฟางที่กำลังมองเขาอยู่ เหมือนกับจะบอกเป็นเชิงว่า ‘ไม่น่าเลย’ อะไรทำนองนั้น
และหลังจากนั้นป๊อปปี้ก็ละสายตาจากฉันไปมองฟางก่อนที่เขาจะชี้นิ้วใส่เหมือนจะว่าเป็นนัยน์ๆ
“อะไร! ><!”
“หน้าแบน!”
“ไอ้...!!”
“ฟาง”
ฉันเรียกฟางเอาไว้เมื่อฟางทำท่าว่าอยากจะเดินออกไปต่อยป๊อปปี้ให้หน้าแหก แต่ป๊อปปี้เขาแลบลิ้นใส่ก็ไปแล้ว ถ้าขืนฟางตามไปคงทะเลาะกันยาวล่ะคู่นี้ = =;;;
“เห้ย แกโอเคป่าววะ” ฟางที่เหมือนเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าก่อนหน้านี้ฉันร้องไห้เลยหันมาถามแล้วมองฉันที่กำลังเอามือปาดน้ำตาของตัวเองแบบลวกๆ
“เฮ้อ...ฉันนี่มันจริงๆเลย” ฉันพูดว่าตัวเองแล้วเอามือปาดน้ำตาที่ปาดแล้วปาดอีกมันก็ยังไม่หยุดไหหลลงมาสักที
“เอาน่า ไม่เป็นไรหรอกแก้ว แกอยากร้องแกก็ร้องมาเลยเหอะ เก็บไว้อึดอัดตายห่า Y^Y” ฟางบอกแล้วเอามือลูบๆหัวไหล่ฉันเบาๆ
“คงงั้น...”
“เห้ย เดี๋ยวมันก็ผ่านไปป่าววะ ไม่ต้องคิดมากหรอก”
“...”
“แกอ่ะเป็นคนอ่อนไหวฉันรู้ ฉะนั้นถ้าแกรู้สึกอะไรก็พูดออกมาเลย เก็บไว้ในใจคนเดียวมันไม่ดีนะ”
“ขอบใจนะฟาง” ฉันหันไปยิ้มให้กับฟางบางๆ
“แล้วนี่จะเอาไงต่อโดนท้าซะขนาดนั้น” ฟางถามอย่างเป็นห่วงเมื่อนึกถึงคำท้าของโทโมะล่ะมั้ง
แต่ฉันไม่สนหรอกท้าก็ท้าไป คนบ้า!
“ปล่อยเขาเถอะ ฉันไม่อยากยุ่งด้วยหรอก”
“ฮั่นแน่ๆ เริ่มใจแข็งแล้วเหรอจ๊ะ ยัยเพื่อนตัวดี”
“อย่าน่า” ฉันเอามือผลักหัวไหล่ฟางที่กำลังยิ้มหยอกๆให้ฉันอยู่
น่าแปลกที่สถานการณ์แบบนี้ฟางก็ยังให้ฉันยิ้มออกมาได้หน่อยๆ ฉันรู้...ว่าฟางไม่อยากเห็นฉันร้องไห้ อยากให้ฉันยิ้ม แต่ฉันก็รู้สึกดีที่มีฟางอยู่ข้างๆเสมอนะ แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นฉันก็ยังคงไม่ไว้ใจคำพูดของโทโมะอยู่ดีว่าเขาคิดจะทำอะไร กันแน่ เขาท้าฉันเพื่ออะไร
แล้วที่บอกว่าจะคอยดูน่ะ หมายถึงถ้าฉันทำไม่ได้แล้วเขาจะทำอะไรฉันอย่างงั้นหรือไง?
เหอะ คำพูดนั้นเหมือนว่าดูถูกฉันมากนะ โทโมะคิดว่าฉันชอบเขามากจนถึงขนาดจะลืมเขาไม่ได้เลยหรือยังไงกัน หลงตัวเอง! ถึงฉันจะชอบเขาและเขาคือรักครั้งแรกก็ตาม แต่เมื่อหัวใจตัวเองมันเจ็บปวดฉันก็ทนที่จะเป็นแบบนี้ไม่ได้เหมือนกัน
ฉันไม่อยากเจ็บหรืออ่อนแอไปมากกว่านี้อีกแล้ว...
ถ้าถามว่าฉันสามารถที่จะลืมโทโมะได้มั้ย อันนี้ฉันไม่รู้หรอก แต่ที่รู้ๆคือฉันจะพยายาม แต่ตอนนี้ยอมรับเลยว่าฉันกลัวจริงๆ กลัวว่าวีจะคิดอะไรบ้าๆ
เพราะเรื่องที่เขาบอกว่ากำลังคบกับฉันจนรู้กันทั้งโรงเรียนนี่ฉันก็แทบช็อคจะตายอยู่แล้ว ><!
อีกฝั่ง
“กรื๊ดดดดดด”
“!!!”
เฟื้องฟ้ากับจินนี่ต่างพากันสะดุ้งเมื่อยื่นหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่ขึ้นหน้าเฟสบุ๊คเพจ ‘กลุ่มคนรักเคโอติค’ ให้ พิมพ์ดูพิมพ์ก็ถึงกับกรื๊ดออกมาเสียงดังลั่น และนี่ดีนะที่อยู่ในที่ส่วนตัวของพวกเธอไม่งั้นคงมีคนได้ยินเสียงกรื๊ดของ พิมพ์จนรู้กันหมดแน่ว่าใครเป็นจอมวางแผน
และสิ่งที่ทำให้เบ็ทโมโหนั้นคืออะไรน่ะเหรอ?
แผนที่วางไว้ให้คนแอนตี้แก้วทั้งหมดพังยับ! เพราะเพจเคโอติคประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า ‘แก้วกับโทโมะคบกัน!’ เพราะมีคนได้ยินจากปากของโทโมะเต็มๆ นั่นแหละ ที่ทำให้สาวๆหลายๆคนอกหักกันเป็นแถวแต่ก็ต้องยอมรับความจริง
ยกเว้นอยู่คนเดียวที่คุณก็รู้ว่าใคร
“ทำไม! โทโมะคบกับยัยนั่นทำไมฉันไม่รู้เรื่อง! กรื๊ด!”
เพล้ง!
แก้วน้ำส้มถูกปาทิ้งลงพื้นเพราะความโมโหจนจินนี่ต้องรีบไปยืนหลบอยู่หลังเฟื้องฟ้าอย่างเร็วเพราะความกลัวอารมณ์โกรธของพิมพ์ที่เริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อยๆแบบ นั้น
“ตอนแรกก็คิดว่าจะแค่เล่นๆนะ ที่ไหนได้คบกันซะงั้น? เฮ้อ...” เฟื้องฟ้าพูดแล้วทำหน้าออกเสียใจแทน
แต่ใครจะรู้ว่าในกลุ่มพิมพ์คนที่น่ากลัวที่สุดไม่ใช่พิมพ์หรอก พิมพ์น่ะแค่คนที่โตแล้วแต่ทำนิสัยเป็นเด็ก อยากได้อะไรก็ต้องได้ ก็เหมือนเด็ก 3 ขวบร้องอยากได้ของเล่นไปวันๆ พอไม่ได้ดั่งใจก็โวยวายกรีดร้องน่ารำคาญจนไม่ทันคนอย่างเฮเลนเอาเสียเลย
เฟื้องฟ้ากับพิมพ์ถึงจะสนิทกันเพราะครอบครัวรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ใช่ว่าจะมีความจริงใจให้กันเสมอไป ยิ่งคนอย่างพิมพ์แล้ว ทำนิสัยแบบนี้ใครจะอยากจริงใจด้วยกันล่ะ
จริงใจต่อหน้าลับหลังและในใจคงจะสมน้ำหน้าเธอน่าดู หึ!
“ละ...แล้วแกจะเอาไงต่ออ่ะ”จินนี่ถามแบบกะตุกกะตัก
“เป็นแฟนกัน...”เมื่อพิมพ์พูดแบบนั้น เธอก็เหมือนว่าจะนึกอะไรเด็ดๆออกมาจนได้เธอจึงฉีกยิ้มกว้าง “แล้วไงอ่ะ”
“นี่อย่าบอกจะว่าแกจะแย่ง เห๊อะ! โทโมะไม่ชอบให้ผู้หญิงคนไหนเข้าหาแกก็รู้นี่นา”เฟื่องฟ้าว่า
“แล้วใครบอกว่าฉันจะเข้าหาล่ะ!” พิมพ์หันมาพูดกับเฮเลนเสียงดัง “ฉันทั้งดูดีมีฐานะ ไม่ใช่ยัยผู้หญิงหน้าจืดชืดปัญญาอ่อนแบบนั้นสักหน่อยที่โทโมะจะไม่มีทางหันมาสนใจ” พิมพ์พูดอย่างมั่นใจในตัวเอง
“แล้ว?”
“ครั้งต่อไปฉันจะทำให้ยัยนั่นมีแต่เรื่องปวดหัวให้โทโมะเยอะๆเลยคอยดูสิ! ก็ อยากจะรู้เหมือนกันว่าโทโมะจะทนแก้ปัญหาให้ยัยนั่นได้ถึงไหน แต่ถ้าสองคนนี้ห่างกันเมื่อไหร่ คราวนี้แหละที่ฉันจะเข้าไปเสียบตรงๆ ”
“...”
“เพราะที่ผ่านมาฉันปล่อยโทโมะมากเกินไปแล้ว!”
ช่วงของเคโอติค
“จะบ้าไง๊? แกไปพูดแบบนั้นแล้วแก้วลืมแกจริงๆแกจะทำไงเล่า >O<!” เขื่อนถึงกับเกาหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงเมื่อโทโมะเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเมื่อสักครู่ให้เพื่อนๆฟัง
“...”
ตั้งแต่ที่ก้าวเท้าออกมาจากห้องแก้วโทโมะก็ออกซึมๆเงียบๆไปเลยเพราะว่าเขากำลังรู้สึก ไม่ดีอยู่ภายในใจ เขาเอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไรแค่เล่าให้ฟังพอเป็นพิธีเท่านั้น เพราะว่าตอนนี้โทโมะกำลังด่าทอตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้นกับแก้วไปทั้งๆที่เขาก็บอกไว้แล้วว่าจะไปปรับความเข้าใจกับเธอ
แต่คงเป็นเพราะว่าโทโมะอยากจะให้แก้วพูดกับเขา ไม่ใช่มาทำท่าทางเย็นชาใส่กันแบบนี้ เขาเลยเก็บอาการไม่พอใจเอาไว้ไม่อยู่ เลยพูดประชดเพราะอยากให้แก้วยอมรับความจริงว่า
...เธอชอบเขา...
ถึงเขาจะรู้แล้วก็เถอะว่าเธอคิดยังไง แต่ตอนนี้แก้วกำลังโกหกใจตัวเองอยู่ โทโมะถึงยอมไม่ได้ที่จะให้มันเป็นแบบนั้นและยิ่งตอนที่เขาเห็นแก้วร้องไห้ วินาทีนั้นเขาแทบอยากจะโผเข้าไปกอดเธอแต่ก็ทำไม่ได้เพราะว่าแก้วกำลังโกรธเขาอยู่ และเธอคงไม่อยากจะเห็นหน้าเขาเลยด้วยซ้ำ
“เฮ้ย อย่าว่ามันเลย ก็ไอ้โทโมะมันไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้นี่หว่า” จองเบพูดแล้วมองโทโมะที่เอาแต่นั่งก้มหน้าอยู่ข้างๆเขา
อาการของโทโมะตอนนี้น่ะก็เหมือนกับคนที่ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงกับ เรื่องราวที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับตัวเอง จนกระทั่งมันเกิดขึ้นมาเนี่ยแหละ!
ยิ่งคนที่พูดน้อยไม่ค่อยพูด พอได้มาเจอกับสถานการณ์ที่ต้องพูดเพื่อแก้ปัญหาของตัวเองที่ตัวเองก่อแบบ นี้ โทโมะยิ่งไม่รู้ว่าความจะง้อแก้วยังไงเมื่อโดนเธอเมินและทำเย็นชาใส่ ในหัวของเขามันคิดอยากจะขอโทษเธอและบอกความในใจที่มี แต่พอถึงเวลาจริงๆเขากลับทำไม่ได้ที่จะพูดมันออกไป
และนี่แหละคือสิ่งที่โทโมะคุมอารมณ์ของตัวเองไม่ได้
เวลาที่เขาโมโหเขาจะเก็บอาการไม่ค่อยอยู่ทุกครั้งตั้งแต่เจอกับแก้ว เพราะปกติโทโมะไม่ได้เป็นคนแบบนี้ เขาออกจะเมินๆกับอะไรแบบนี้ไปเลยด้วยซ้ำ
แต่ทว่า...เมือเขาได้เจอคนที่ ‘สำคัญสำหรับเขา’ จริงๆ เขาจึงยอมไม่ได้ที่จะปล่อยคนๆนั้นไป เพียงแต่ว่า...เมื่อโทโมะเห็นแก้วทำแบบนี้กับเขา ถึงเขาจะสารภาพความในใจอะไรออกไปแก้วก็คงไม่ให้อภัยเขาง่ายๆหรอก ถ้าเธอจะให้อภัยเขาจริงๆล่ะก็คงให้อภัยแค่ในใจเท่านั้นแหละ
เพราะว่าเธอก็บอกเองว่าจะลืมเขา...และถ้าเธอกลับมาดีกับโทโมะ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เธอก็คงจะคิดว่าแพ้ในสิ่งที่ตัวเองบอกว่าจะทำ และแพ้ในสิ่งที่โทโมะท้าไปแน่ๆ
ฉะนั้น...ทางเดียวคือตอนนี้โทโมะควรจะทำการกระทำให้สำคัญกว่าคำพูดใดๆ
แต่ว่าเขาจะทำมันได้มั้ยนะ?
“เอาเถอะวะเพื่อน ยังไงซะแก้วก็อยู่บ้านข้างๆแกนะเว้ย เธอไม่จากแกไปไหนหรอกเชื่อดิ” เคนตะพูดปลอบ
“โห่ไอ้เคนตะ ร่างกายเขาเรายังมองเห็นแต่ถ้าใจเขาไม่ได้อยู่กับเราแล้วอ่ะ มันเจ็บนะโว้ย” ป๊อปปี้
“เฮ้ย...เอาแล้วไง” เขื่อนที่กำลังนั่งมองโน่นมองนี่และเหมือนว่าเขาจะเห็นอะไรเด็ดๆมาจึงรีบเอื้อมมือสะกิดๆวีที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม “โทโมะๆๆๆ”
“อะไร”
“โน่นๆๆๆ” เขื่อนชี้และนั่นทำให้โทโมะที่กำลังนั่งซึมๆหันไปมอง เท่านั้นแหละเขาก็ตื่นจากอาการซึมทันทีเพราะ...
“สงสัยไอ้แว่นนั่นเริ่มทำคะแนนแล้วล่ะม้าง”
เมื่อป๊อปปี้พูดขึ้นมาโทโมะก็ถึงกับกำหมัดแน่เพราะว่าสิ่งที่กำลังเห็นอยู่ตรงหน้ามันบาดตาเขาเสียเหลือเกิน!
เพราะว่าแก้วกับฟางที่เพิ่งจะเดินลงมาจากอาคารโดยที่มีใครคนหนึ่งเดินอยู่ข้างๆ แก้วนั่นก็คือหนุ่มแว่นหน้าใสที่เหมือนว่าจะจีบๆแก้วมาตั้งแต่ที่ต้นสน เข้ามาเรียนที่นี่ได้ไม่นานนัก และเขาคนนั้นก็คือ...
มิณท์นั่นเอง!
“หมอนั่นรู้รึปล่าวอ่ะว่าทั้งโรงเรียนเข้าใจว่าแก้วเป็นแฟนแก ถ้ารู้แล้วตามจีบนี่โคตรด้านเลยนะเว้ย”
“ไอ้ห่าเขื่อน แกนี่ก็คิดไปนั่น ><! มันคงจะถามแก้วแล้วแหละว่าที่คบกับไอ้โทโมะเป็นเรื่องจริงรึปล่าวแล้วแก้วก็ คงจะตอบไปว่ามันเป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะถ้าตอบว่าคบอยู่ไอ้แว่นนั่นมันไม่มาเดินข้างๆเธอแบบสนิทสนมขนาดนั้น หรอก =[]=!!!”
“แล้วถ้ามันยังไม่ได้ถามล่ะวะครับคุณป๊อปปี้”
“ผมว่ามันต้องถามแล้วแหละครับคุณเขื่อน เพราะว่าไอ้แว่นนั่นมันกลัวไอ้โทโมะจะตายห่า ขืนมาจีบทั้งๆที่แก้วคบกับไอ้โมะมีหวังคอขาดแหง แหง” ป๊อปปี้พูดแล้วทำท่าเชือดคอให้เขื่อนอย่างมันอกมั่นใจจนเขื่อนต้องเบ้ปากใส่เป็นเชิงหมั่นไส้
“...”
ตอน นี้เพื่อนในกลุ่มก็เริ่มเงียบกันเมื่อเห็นว่าโทโมะเอาแต่มองแก้วกับมิณท์ นิ่งๆโดนไม่ได้อะไร แต่หมัดในมือนี่กำจนแน่นแล้วเหอะ ภาพตอนนี้คือมิณท์ยื่นขวดน้ำให้แก้วในขณะที่ฟางเหมือนจะล้อๆมิณท์กับแก้ว ทั้งสองคนเลยเกาคอเหมือนแก้เขินไปพลางๆ
พวกเขากำลังเดินไปทางห้องสมุด โดยที่แก้วก็เดินคุยกับมิณท์ยิ้มๆไปด้วย
อย่างกับคนเป็นแฟนกัน...
“...Shit” เพียง แค่เสียงสบทที่แผ่วเบาก่อนที่โทโมะจะยันตัวลุกขึ้นแล้วเดินออกไปจากตรงนี้ท่าม กลางสายตาของเพื่อนๆที่ต่างมองกันอย่างเป็นห่วงในอาการของโทโมะ
ตอนนี้โทโมะแค่ต้องการจะสงบสติอารมณ์ของเขาให้ใจเย็นลงแต่เชื่อเถอะว่าโทโมะทำให้ อารมณ์ของตัวเองสงบได้แค่พักเดียวเท่านั้นแหละ = =;;;
จบช่วงของเคโอติค
“ขอบคุณนะที่ซื้อน้ำมาให้เรากับฟาง ^^”
ฉันพูดขอบคุณมิณท์แล้วหันไปยิ้มให้เขาที่อุตส่าห์ซื้อน้ำมาให้ฉันกับฟางหลังจากที่เห็นว่าฉันกับฟางยังไม่กลับบ้าน และตอนนี้มิณท์ก็เดินมาส่งฉันกับฟางที่ห้องสมุด เพราะว่าวันนี้มีเวรจัดหนังสือซึ่งแน่นอนว่าฉันกับฟางทำแค่สองคนอีกตามเคยแหละ
“ไม่เป็นไร ก็เราเต็มใจนี่นา” มิณท์ยิ้มแล้วเอามือขยับแว่นของตัวเองให้เข้าที่
“โอ๊ย จีบกันอยู่ได้” ฟางบ่นแซวๆ “งั้นคุยกันไปก่อนนะ ฉันขอเข้าไปข้างในก่อนละกัน ไม่อยากอยู่ตอนคนกำลังจีบกัน ^^”
“จีบอะไรเล่า” ฉันหันไปบอกฟาง แต่ฟางก็แค่ยิ้มหยอกๆก่อนจะเดินเปิดประตูเข้าห้องสมุดไป
แล้วตอนนี้ก็เหลือแค่ฉันกับมิณท์สองคน...
“เอ่อ เรา...”มิณท์เหมือนว่ากำลังจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เกาคอตัวเองแก้เก้อ “เอ่อคือ...”
“ว่าไง” ฉันถามยิ้มๆเมื่อได้เห็นอาการแบบนี้ของมิณท์อีกแล้ว
“เรา...คือเราก็รู้อ่ะนะว่าแก้วไม่ได้ชอบเราแบบนั้น...” มิณท์พูดแล้วมองหน้าฉันตรงแต่คราวนี้แววตาของเขาไม่ได้ฉายแววเศร้าเหมือนในตอนนั้นอีกแล้วล่ะ
“...”
“แต่เราก็ดีใจนะที่ได้เห็นว่าแก้วยังยิ้มให้เราเหมือนเดิมถึงแม้ว่าแก้วจะปฏิเสธเราก็ตาม”
“มิณท์ ถึงแม้เราจะไม่ได้ตอบตกลงคบกับมิณท์แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่เห็นมิณท์เป็นเพื่อนเหมือนเดิมนะ” ฉันบอกแล้วยิ้มให้มิณท์บางๆ
“อื้ม เราถึงได้ดีใจไง ^^”
“...”
“ตอน แรกอ่ะ เรายอมรับนะว่าเราก็เสียใจแต่ตอนนี้...ไม่แล้วล่ะ แต่เพียงแค่เรายังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันได้ แต่ถ้าหากมีวันไหนที่แก้วอยากจะเป็น ‘มากกว่าเพื่อน’ กับเรา เราก็...พร้อมนะ” มิณท์พูดแล้วยิ้มเขินๆออกมา
แต่ความรู้สึกฉันเนี่ยสิ...
ยัง ไงซะฉันก็ยังคงคิดกับมิณท์แค่เพื่อนที่ดีอยู่ดีนั่นแหละ บางทีการที่เป็นเพื่อนกันมันอาจจะดีกว่าตอนที่คบกันเป็นแฟนก็ได้นะ ว่ามั้ย?
เพราะถ้าเกิดว่าเป็นเพื่อนกันถึงแม้ว่าจะรู้ใจกันแค่ไหนก็ตามและจะดีต่อกัน สักเท่าไหร่ แต่พอมาคบกันบางคู่ก็ไปกันไม่รอดอยู่ดี จนความรู้สึกที่รู้ใจกันดีมันอาจจะเปลี่ยนไปในสักวันหนึ่งและความสนิทในการเป็นเพื่อนก็อาจจะลดน้อยลงมากกว่าเดิมก็เป็นได้
“อะ...อื้ม” ฉันพยักหน้าให้มิณท์ “งั้น...เราขอตัวนะ”
“โอเคงั้น...ถ้าเกิดว่ามีปัญหาอะไรก็ยืมโทรศัพท์ฟางโทรบอกเราได้นะ ถ้าคิดว่าเราช่วยได้น่ะ”
“โอเค” ฉันบอกมิณท์ก่อนจะหันหลังแล้วเปิดประตูเลื่อนห้องสมุดลำท่าว่าจะเดินเข้าไป
แต่ทว่า...
วูบ
“หือ”
เมื่อฉันรู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังมองอยู่มือที่กำลังจะผลักประตูเข้าห้องสมุด กลับต้องหยุดชะงักก่อนจะหันมองไปตามทิศทางที่รู้สึกได้ แต่ก็ไม่พบใครเลยเพราะว่าตอนนี้ก็เลิกเรียนแล้วก็ไม่ค่อยมีคนสักเท่าไหร่ หรอก ส่วนใหญ่ก็พากันกลับบ้านกันไปหมดแล้ว ก็มีเหลือแต่เด็กกิจกรรมกับพวกที่เข้าเวรทำความสะอาดเท่านั้นแหละที่ยังอยู่
เอ...หรือว่าฉันคิดไปเอง = =;;;
“มีอะไรเหรอ? O_O?” มิณท์ถามแล้วมองไปตามสายตาของฉัน
“มะ...ไม่มีอะไร งั้นกลับบ้านดีๆนะมิณท์ ^^”ว่าจบฉันก็ผลักประตูให้เปิดแล้วเดินเข้าห้องสมุดไป
แต่ด้วยความที่ห้องสมุดนี่ติดฟิล์มที่เราสามารถมองเห็นข้างนอกได้แต่ คนข้างนอกจะมองเข้ามาไม่เห็นเรา แต่ภาพที่ฉันเห็นตอนนี้ก็คือมิณท์กำลังเดินออกไปจากหน้าห้องสมุดแล้ว และตอนนี้สายตาของฉันก็ดันไปเห็นว่าตอนนี้ในโรงเรียนนี้ก็แทบไม่เหลือใคร แล้วจริงๆ แม้แต่กลุ่มเคโอติคที่ตอนนี้ไม่มีแม้แต่วี่แวว พวกเขาคงจะพากันกลับบ้านไปแล้วล่ะมั้ง
โทโมะเองก็คงจะกลับไปแล้วเช่นกัน...
แต่ถ้าเป็นวันนี้ในเมื่อก่อน วันนี้ในวันนั้นเป็นวันที่ฉันได้คุยกับโทโมะเป็นครั้งแรก และเราก็เดินกลับบ้านด้วยกันเป็นครั้งแรก โดยไม่ได้พูดอะไรกันจนโทโมะว่าบอกว่าฉันเดินช้าเนี่ยแหละ
‘เดินเร็วๆหน่อยได้มั้ยอุตส่าห์เห็นใจที่เห็นว่าขาเธอสั้นเลยเดินช้าๆให้เธอตามทันแต่สุดท้ายก็ช้าเหมือนเดิม - -!’
“คิก...”ไม่รู้เพราะอะไรที่พอนึกถึงคำพูดนั้นของโทโมะมันทำให้ฉันเผลอหัวเราะออกมาทั้งๆที่ในใจตอนนี้มันหดหู่เสียเหลือเกิน
ก็จริงสินะ...
ตอนนี้มันไม่ใช่ตอนนั้นแล้วนี่นา เพราะมันเปลี่ยนไปแล้ว
“ยืนยิ้มอะไรอยู่วะไม่ยอมเดินไปสักทีเนี่ย ฉันรอตั้งนาน =[]=;;;” ฟางที่เดินมาหาฉันเอ่ยขึ้นจนฉันต้องหุบยิ้มลงแล้วทำเหมือนว่าไม่มีอะไร
“ปล่าวสักหน่อย อ้าว? แล้วนี่จะไปไหนเนี่ย”ฉันถามเมื่อฟางเดินผ่านตัวฉันไปแล้วทำท่าว่าจะเปิดประตูออกไปนอกห้องสมุด
“ก็เมื่อกี้เปิดล้วงกระเป๋าเสื้อดูแล้วไม่เจอโทรศัพท์อ่ะดิสงสัยลืมไว้บนห้องแหละ” ฟางบอก
“อ๋อ เออรีบขึ้นไปเอาดิเดี๋ยวยามก็ขึ้นไปล็อคห้องบนอาคารแล้วเนี่ย” ฉันบอกฟางให้รีบๆไป เพราะถ้ายามตรวจอะไรเรียบร้อยแล้วขาคงจะล็อคปิดห้องเรียนทุกห้องเลย
และถ้าฟางขึ้นไปเอาโทรศัพท์ไม่ทันก็คงซวยไปละกัน = =;;;
“เออๆ งั้นแกอยู่นี่นะ นั่งรอก่อนก็ได้แล้วเดี๋ยวค่อยจัดหนังสือพร้อมกัน”
“เฮ้ย เดี๋ยวฉันจัดไปก่อนเลยจะได้ไม่เสียเวลาไงเพราะเย็นนี้มีนัดไปทำงานที่ร้านน้องแกไม่ใช่เหรอ”
“เออว่ะ เอองั้นแกจัดไปก่อนเลย เดี๋ยวฉันรีบไปรีบมา”
“อื้ม!”
เมื่อ ฉันพยักหน้าฟางจึงรีบออกไปจากห้องสมุด และตอนนั้นฉันก็เดินเอากระเป๋าไปวางไว้ที่โต๊ะ ส่วนโทรศัพท์นั้นก็ยังไม่มีใช้เลย แต่ว่าฟางพาเอาไปซ่อมไว้ที่ร้านแล้วเพราะน้ำมันเข้าไง เฮ้อ...
คิด แล้วก็เอามือยกแตะๆที่มุมปากของตัวเองที่ยังคงมีบาดแผลจากการถูกตบอยู่ แต่ว่ามันก็เริ่มจางแล้วลงล่ะแต่จางลงไปแค่นิดเดียวเองนะ งั้นแสดงว่าเย็นนี้ฉันก็ต้องหาทางหลบหน้าพ่ออีกแล้วสิเนี่ยเพราะกลัวพ่อเห็น แผลจริงๆ แถมรอยช้ำที่ข้อมืออีก
มันยังออกเขียวม่วงๆอยู่เลย...ให้ตายสิ
“เฮ้อ...”
คิดแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ เพราะว่าในหัวใจของตัวที่ตอนนี้มันอยู่ในช่วงรักษาแผลที่อยู่ข้างในหัวใจของ ตัวเอง ซึ่งฉันก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันที่ชีวิตฉันจะกลับไปสดใสเหมือนเดิม บางทีก็คิดอยากจะหนีใจตัวเองนะ แต่ว่ามันทำไม่ได้หรอกนอกจากจะเอามีดกรีดอกข้างซ้ายแล้วควักเอาหัวใจตัว เองออกมาแล้วเราก็ตายไปซะเลย
ก็จริงอย่างที่เขาว่ากันว่าบนโลกนี้มันไม่มีอะไรที่ดีไปหมด ชีวิตทุกชีวิตล้วนแต่เคยเจอเรื่องเจ็บช้ำจนไม่อยากจะเจอหน้าใคร แต่สุดท้ายเรื่องพวกนี้มันก็จะหายไปให้เราได้เริ่มใหม่
ถึงฉันจะคิดเช่นนั้น...แต่ฉันก็ไม่รู้หมือนกันว่าจะทำได้มั้ย
แล้วถ้าฉันลืมโทโมะได้จริงๆ แล้วมันจะยังไงต่องั้นเหรอ? เพราะบ้านเราอยู่ใกล้กันระเบียงห้องนอนของเราติดกันขนาดนั้น ฉันคงไม่สามารถที่จะมองหน้าโทโมะติดได้อีกถ้าหากว่าฉันลืมว่าเคยชอบเขาได้ จริงๆ แต่จะให้ฉันทำยังไงล่ะในเมื่อเรื่องมันเกิดขึ้นมาแบบนี้แล้วน่ะ
อีกอย่าง...ยิ่งฉันอยู่ใกล้โทโมะก็ยิ่งมีแต่เรื่องให้ต้องเจ็บตัว ยิ่งพวกกลุ่มโบว์ลิ่งน่ะ ฉันนี่แทบจะคิดไม่ออกเลยว่าพวกนั้นจะเล่นงานอะไรฉันอีกรึปล่าว แต่ก็น่าแปลกนะที่วันนั้นเด็กรุ่นน้องบ้าพวกนั้นมาตบเล่นงานฉันทั้งๆที่ตอนนั้นสมควรจะเป็นพวกกลุ่มโบว์ลิ่งมากกว่าเสียอีกที่ทำแบบนั้น
แต่พวกนั้นกลับหายไปเลย...
บางทีฉันก็คิดนะว่าพวกที่อยู่เบื้องหลังแล้วตามถ่ายรูปฉันในตอนนั้นอาจจะ เป็นฝีมือของกลุ่มโบว์ลิ่งก็ได้ เพราะพิมพ์ชอบโทโมะนี่นา แถมหวงแรงซะด้วยสิ แต่ทำแบบนี้มันก็เกินไปนะ...แล้วถ้าเกิดว่าเรื่องแบบนี้ไปเกิดขึ้นกับคนที่ จิตอ่อนยิ่งกว่าฉัน คนๆนั้นไม่หลอนจนเป็นโรคซึมเศร้าแล้วเป็นคนขี้กลัวมากกว่าเดิมเลยรึไง
คนที่ทำแบบนี้ก็น่าจะคิดบ้างนะ ว่ามั้ย?
อีกฝั่ง...
ตึกๆๆๆ
เสียง ฝีเท้าของร่างบางในชุดนักเรียนที่วิ่งเยาะๆขึ้นบันไดมายังชั้นที่สองของ อาคาร 5 ที่ตอนนี้ไม่มีใครอยู่แล้วเพื่อมาเอาโทรศัพท์ที่เธอลืมเอาไว้ในห้อง เรียน ฟางเดินๆไปจนถึงหน้าห้อง ม.5/2 และโชคยังดีที่มันยังไม่ได้ถูกล็อคเอาไว้เธอจึงยืนเท้าสะเอวมองยิ้มๆอย่าง โล่งใจก่อนจะเดินตรงไปที่โต๊ะของตัวเอง
แต่ทว่าพอล้วงมือดูเก๊ะใต้โต๊ะกลับไม่พบว่ามันโทรศัพท์หรือว่าอะไร วางอยู่ใต้นั้นเลยสักอย่างเดียว
“เฮ้ย! ไปไหนว๊า? YOY!” ฟางร้องออกมาอย่างตกใจเมื่อไม่เจอโทรศัพท์ของตัวเองเธอจึงนั่งย่อตัวลงแล้วมองเข้าไปในเก๊ะใต้โต๊ะอีกที
ก็พบว่าไม่มีโทรศัพท์ของเธออยู่จริงๆด้วย!
“...”
“เฮ้ยยยยย หายจริงดิ? ม่ายยยยยยยยย YOY!!!!!!!”
“โอ๊ย! กะอีแค่โทรศัพท์ร้องซะอย่างกับมีใครตาย!- -!!!”
ขวับ!
O^O!!!!!
ฟางเบิกตากว้างเมื่อหันไปมองต้นเสียงที่ประตูหลังห้องก็พบว่าเป็นคนที่เธอไม่ชอบขี้หน้าที่ถึงขั้นไม่อยากจะเจออย่างนาย‘ป๊อปปี้’เพราะว่าตอนนี้เขากำลังยื่นเอามือกอดอกพิงประตูอย่างสบายอารมณ์แล้วมองมาที่ฟางอย่างเป็นเชิงล้อๆทำนองนั้น
“ใช๊” ฟางพูดลากเสียงแล้วลุกขึ้นยืนเต็มตัวแล้วมองหน้าป๊อปปี้ยิ้มๆที่แฝงไปด้วยความกวนสุดทีน “ก็ไอ้คนที่ตายอ่ะมันยืนมองฉันอยู่นี่ไง ^^”
“นะ...นี่เธอหมายถึงฉันงั้นเร๊อะ? ><!” ป๊อปปี้ถึงกับหน้าหักเมื่อเจอคำพูดนั้น
“ก็ – ไม่ – รู้ – สิ – นะ!^^” ฟางพูดย้ำทีละคำจนป๊อปปี้ถึงกับกัดฟันแน่น “ว่าแต่... ‘ศพเดินได้’มาทำอะไรแถวนี้หรา? เอ๊ะ! หรือว่าไม่มีคนตอกฝาโลงเลยลุกขึ้นมาเดินได้น่ะหืม?”
ฟาง พูดด้วยถ้อยคำที่ทำให้ป๊อปปี้ถึงกับกำหมัดแน่น แต่อย่างว่าอ่ะนะ คนที่มั่นใจในตัวเองมากถึงมากที่สุดอย่างป๊อปปี้น่ะเหรอจะยอมอ่อนอยู่ฝ่ายเดียวน่ะ? และยิ่งกับคู่กัดของเขาอย่าง‘ฟาง’คนนี้น่ะเหรอที่เขาจะแพ้หึ! ขอบอกเลยว่า
ไม่! มี! ทาง!
“งั้นถ้าฉันเป็น ‘ศพ’เดินได้ ฉันก็คงเป็นศพที่มีหน้าตาหล่อที่สุดงั้นสินะ ^____^” ป๊อปปี้พูดแล้วฉีกยิ้มอันมีเสน่ห์ของเขาที่ผู้หญิงคนไหนเห็นเป็นต้องหลง
ยกเว้นเธอผู้เดียว = =!
“เฮ้อ... ไปดีกว่าไม่อยากคุยกับศพ = =;;;” ฟางพูดแล้วส่ายหัวไปมาอย่างเซ็งๆที่โทรศัพท์ก็ไม่หาเจอแถมยังต้องมาเจอคนที่ไม่ชอบขี้หน้าพูดจากวนประสาทแบบนี้อีก
“แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าโทรศัพท์ของเธอหายไปไหน?”
กึก!
เมื่อป๊อปปี้พูดเช่นนั้น ฟางที่กำลังจะเดินออกประตูหน้าห้องแทนประตูหลังเพราะป๊อปปี้ยืนขวางอยู่ก็ถึง กับต้องหยุดชะงักแล้วหันกลับมามองป๊อปปี้อีกครั้ง แล้วตอนนี้ป๊อปปี้ก็ยิ้มๆอย่างเบิกบานพลางหยิบบางอย่างในกระเป๋ากางเกงนัก เรียนก่อนจะชูโทรศัพท์ที่เป็นของฟางขึ้นมา
และนั่นแหละที่ทำให้ฟางต้องเดินจ้ำอ้าวเข้าไปหาป๊อปปี้ทันที!
“เอามา...”
“เฮ้! เรื่องอะไรล่าวววว” ป๊อปปี้ตอบกวนๆแล้วชูมือข้างที่ถือโทรศัพท์ขึ้นสูงจนฟางเอื้อมไม่ถึงและฟางก็เสียเปรียบมากด้วยตรงที่ว่าตัวเล็กกว่าป๊อปปี้หรือในคำพูดตรงๆก็คือ ‘เตี้ย!’นั่นเอง = =;;;
“เอามาสิเว้ย! >O<!” ฟางบอกอย่างไม่พอใจ
“พูดดีๆก่อนดิ เดี๋ยวให้คืน”
“ไอ้หัวหลิม! เอามา!”
“ดีบ้านอาแปะเธอเป็นเงี๊ยเร๊อะ><?”
“แล้วใครบอกว่าฉันพูดดีล่ะ! เอาโทรศัพท์ฉันคืนมาเร็วๆฉันรีบ!” ฟางบอกป๊อปปี้ย่างใจร้อน
“งั้นเธอก็ต้องรับปากก่อนดิว่าจะช่วยบางอย่าง”
“ช่วยอะไร?” ฟางถามแล้วขมวดคิ้ว แต่ป๊อปปี้น่ะยังไม่เอามือลงหรอกเพราะว่าต้องได้คำตอบที่เขาถามไปก่อน
“เรื่องไอ้โทโมะ...”
“ไม่” ฟางตอบอย่างไม่ต้องคิด “จะให้ฉันบอกให้แก้วยกโทษให้งั้นเหรอ? เห๊อะ! เรื่อง แบบนี้มันอยู่ที่ใจของแก้วเอง ฉันไม่ขอเกี่ยว แค่คอยอยู่ข้างๆก็พอ เพราะความรู้สึกของแก้วไม่ใช่ของฉัน ฉันจะไปบอกให้แก้วให้อภัยโทโมะได้ไงถ้าต้นสนไม่อยากให้อภัย”
“แต่ไอ้โทโมะมันชอบแก้ว”
“...!”
ฟางถึงกับชะงักไปเมื่อป๊อปปี้พูดแบบนั้นด้วยสีหน้าที่ดูจริงจังแบบไม่ได้ล้อ เล่น ฟางคงจะคิดไม่ถึงล่ะมั้งว่าโทโมะจะมาชอบแก้วจริงๆ เพราะท่าทีของเขาไม่เคยแสดงออกมาว่าชอบเพื่อนของตัวเองเลยถึงแม้ว่าจะรู้ เรื่องที่ว่าโทโมะจูบแก้วจนเป็นเรื่องก็เถอะ
แต่ตอนนั้นแก้วบอกว่าโทโมะทำไปเพราะความเมา
“มันชอบแก้วจริงๆนะ”
“แล้วจะให้ฉันเชื่อได้ไง ในเมื่อเพื่อนนายทำเพื่อนฉันเจ็บทั้งกายแล้วก็จิตใจแบบนั้นน่ะ จะให้ฉันไปบอกแก้วว่า เฮ้ยแก! ให้อภัยโทโมะเถอะนะเว้ยเพราะเขาชอบแก แบบนี้เนี่ยนะ?”ฟางถึงกับหัวเราะออกมาอย่างประชดเมื่อพูดจบ
“แต่เธอก็เห็นแล้วนี่ว่าโทโมะพยายามจะง้อแก้วอ่ะ =[]=!”
“ง้อ? นั่นเขาเรียกง้อเหรอ? แบบ นั้นยิ่งทำให้แก้วปิดความรู้สึกของตัวเองไปกันใหญ่เพราะเพื่อนนายนั่นแหละ เป็นคนที่ก่อมันขึ้นมา แล้วถ้าแก้วเลิกชอบโทโมะจริงๆมันก็ผิดที่โทโมะนั่นแหละ”
“ก็นี่ไงถึงอยากให้เธอช่วยพูดกับแก้วให้หน่อย ฉันไม่อยากเห็นไอ้โทโมะมันเป็นแบบนี้นะเว้ย”
“แล้วนายคิดว่าฉันอยากเห็นแก้วเป็นแบบนี้รึไง แล้วโทโมะอ่ะ...ที่บอกว่าชอบแก้วอ่ะ รู้สึกช้าไปม๊ะ?”
“...”
“มาบอกชอบเอาตอนที่แก้วกำลังจะตัดใจ มาบอกชอบในตอนที่เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น แล้วแบบนี้จะให้ฉันเชื่อได้ยังไงว่าที่เพื่อนนายบอกว่า ‘ชอบ’ เป็นเพราะว่าชอบเพื่อนของฉันจริงๆ ไม่ใช่แค่ว่า ‘สงสาร’แล้วถึงมาพูดน่ะ...”
ครืด...
เมื่อฟางพูดแบบนั้นจนทำป๊อปปี้นิ่งไป ฟางก็ลากเก้าอี้ตัวใกล้ๆมาแล้วขึ้นไปยืนบนนั้นให้สูงกว่าป๊อปปี้ก่อนจะแย่ง โทรศัพท์ของตัวเองมาอย่างง่ายดาย แต่ป๊อปปี้ก็แค่มองหน้าฟางนิ่งๆไม่ได้พูดอะไรอีก จากนั้นฟางก็เดินออกจากห้องนี้ไปอย่างไม่มีท่าว่าจะหันกลับมามองเขาอีก
แต่เพื่อนก็ต่างรักเพื่อนของตัวเองกันทั้งนั้น ทั้งสองฝ่ายก็ไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้ แต่ด้วยความที่ห่วงเพื่อนมากกว่าไงจึงอยากขอให้อีกฝ่ายช่วย แต่เมื่อฟางไม่อยากให้แก้วเสียใจอีกเพราะกลัวโทโมะไม่แน่นอนกับเพื่อนของตัวเอง
แบบนี้ก็ขอให้มันเป็นเรื่องของโชคชะตาเถอะ...
“ฮืม..ฮื๊ม...ฮืม”
ฉัน ฮัมเพลงไปพลางๆเมื่อกำลังจัดๆเอาหนังสือวางๆตามบนชั้นตามหมายเลขของมัน และห้องสมุดนี่ก็เงียบมากเลย แถมฉันก็เอาหนังสือนี่มาเก็บที่ด้านในสุดด้วยเนี่ยสิมันหลอนๆยังไงไม่รู้นะ แถมแถวนี้ก็ไม่มีใครด้วย ฮืออออ ฟางก็ยังไม่มา จัดหนังสือคนเดียวอีก เฮ้อ!
เอาล่ะ! รีบจัดตรงนี้ให้เสร็จแล้วไปจัดตรงอื่นต่อดีกว่า ><!
หมับ!
ตุ้บ!
“อุ้บ!” ระหว่าง ทีฉันกำลังจัดๆหนังสืออยู่นั้นอยู่ดีๆก็มีมือของใครมาปิดปากฉันเอาไว้จาก ทางด้านหลังก็ไม่รู้จนฉันตกใจจนทำเผลอทำหนังสือตกลงพื้น
เฮือก...
“...!”
“...”
เมื่อมือเรียวนั้นปล่อยฉันออกเมื่อฉันหันหน้าไปเจอเขานคนนั้นฉันก็เบิกตากว้าง ทันทีเพราะว่าคนที่อยู่ตรงหน้าก็ไม่ใช่ใครที่ไหนเลย และเขาก็คือคนๆเดียวกันกับที่ขึ้นมาฉันบนห้องเมื่อตอนกลางวัน ใช่! โทโมะยังไงล่ะ!
แล้วเขามาที่นี่ทำไมอีก จะมาท้าอะไรฉันหรือว่าจะหาเรื่องอะไรอีก?
“...”
“...”
ตอนนี้ฉันกับโทโมะต่างไม่มีใครเอ่ยปากพูดอะไรใดๆเลยสักคำ และมีแต่ความเงียบงันเข้าครอบคลุมเราทั้งสองเอาไว้จนฉันต้องหลุบสายตาลงต่ำ เพราะไม่อยากจะพุดอะไรกับเขาถ้าเขาจะมาหาเรื่องกัน แต่ทว่าความคิดนั้นกับผิดคาดไปเมื่อมือเรียวบางของโทโมะนั้นจับมือของฉันเอาไว้ ทั้งสองข้างอย่างแผ่วเบาก่อนจะยกมันขึ้นมาดูรอยช้ำ
ฉันชำเลืองตาขึ้นมองโทโมะนิดหน่อยก็เห็นว่าโทโมะกำลังมองที่รอยช้ำบนมือของ ฉันนิ่งๆโดยไม่พูดอะไรสักคำ และสายตาตอนนี้ของโทโมะก็ไม่ได้มีความรู้สึกเหมือนไม่พอใจอะไรเหมือนเมื่อ ตอนกลางวันแล้วด้วย
เขาเป็นอะไร...
“ไอ้หมอนั่นมันคุยอะไรกับเธอ”โทโมะพูดแล้วละสายตาจากข้อมือของฉันขึ้นมามองหน้าฉันตรงๆ
และฉันก็เพิ่งสังเกตนะว่าใบหน้าของเราอยู่ใกล้กันมากๆ เลยทีเดียวจึงทำให้ฉันไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถ้อยคำใดๆออกไป เพราะว่าฉันไม่อยากจะคุยกับเขานี่นา และนี่อย่าบอกนะว่าเขานี่เองที่เป็นคนที่ทำให้ฉันรู้สึกว่ามีคนมองน่ะ แล้วจะแอบมองทำไมมิทราบ
ทำไมถึงไม่กลับบ้านตัวเองไปซะล่ะ? อ้อ! ลืมไปว่าโทโมะบอกว่า ‘จะคอยดู’ ว่าฉันจะลืมเขาได้รึปล่าวนี่นา แล้วพอเขาคิดว่าฉันจะลืมเขาเข้าจริงๆเขาเลยตามมาเพื่ออยากจะให้ฉันทำไม่ได้อย่างงั้นสินะ
“...”
“จะตอบมั้ย...” โทโมะ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาแล้วยื่นหน้าเขามาหากันใกล้ๆจนฉันต้องถอยหนี แต่ไม่ได้เพราะด้านหลังเป็นชั้นหนังสือ และตอนนี้ฉันเหมือนว่าจะจนมุมเข้าแล้วด้วยสิเมื่อโทโมะขยับกายเข้าใกล้ๆมาก ขึ้น...มากขึ้น...
และมากขึ้น...
“...”
“สรุปจะไม่ตอบ...ใช่มั้ย...”
กรึก!
ตอนนี้โทโมะเอามือของเขาจับแขนของฉันเอาไว้ทั้งสองข้างจนฉันขยับไปไหนไม่ได้และได้แต่ยืนก้มหน้าอยู่อย่างงั้น บ้าเอ๊ย! นี่เขาคิดจะทำอะไรบ้าๆกับฉันอีกเนี่ย? ถ้าใครมาเห็นเข้าอีกมีหวังโดนพักการเรียนแน่ๆ นี่โทโมะเขาคิดจะทำอะไรกันแน่ใครก็ได้ช่วยบอกฉันทีเถอะ!
“อึก...”ตอนนี้ฉันพยายามกลืนน้ำลายลงคออย่างสุดความสามารถเพื่อตั้งสติเมื่อปลายจมูกของโทโมะนั้นแตะกระทบเข้าที่ปลายจมูกของฉันแล้ว!
“ถ้าเธอไม่ตอบ...”
คำพูดที่แผ่วเบาของโทโมะบวกกับแอร์เย็นๆของห้องสมุดนั้นมันทำให้ฉันยืนแข็งทื่อไป เลยแต่ว่าสัมผัสไปด้วยเหงื่อที่มือนั้นเริ่มออกเพราะอาการหัวใจเต้นแรงบวกกับอาการสับสนว่าทำไมโทโมะถึงทำเช่นนี้กับตัวเอง
“...น่ะ...นาย...” ฉันถึงกับพูดไม่ออกเมื่อโทโมะลากปลายจมูกของเขาไปตรงแก้มของตัวเองและริมฝีปากของเขาก็เฉียดแก้มของฉันไปด้วย
ตึกตักๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ไม่นะ! แต่ทำไมฉันถึงทำอะไรไม่ได้เลยล่ะ ทำไมถึงยืนนิ่งแบบนี้ ฉันควรจะผลักเขาออกไปไม่ใช่เหรอ? แต่ทำไมมันถึงไม่มีแรงแบบนี้ล่ะ
และไม่นานริมฝีปากของโทโมะก็ค่อยลากจากแก้มของฉันมายังบริเวณมุมปากตรง ข้างที่เป็นแผลจากการถูกตบตอนนั้นแหละที่ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงได้หลับตาลง และ...ริมฝีปากของโทโมะก็จูบลงตรงมุมปากที่มีแผลนั่นอย่างแผ่วเบาและเขาก็จูบ ค้างเอาไว้อย่างนั้นสักพักก่อนที่จะถอนริมฝีปากออกไป
จากนั้นฉันก็ลืมตาขึ้นมาก็พบว่าโทโมะกำลังมองมานิ่งๆ แล้วกลืนน้ำลายลงคอแล้วละสายตาไปจากใบหน้าของฉัน ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าโทโมะทำแบบนี้ทำไมกันแต่...ทำไมฉันถึงรู้สึกว่า โทโมะกำลังรู้สึกหม่นหมองล่ะ?
ทำไม...
“แก้วแกอยู่ล็อคไหนขอเสียงให้ข้าพเจ้าโหน่ยยยยย”
“ฟาง...” ฉันเอ่ยเบาๆเมื่อได้เสียงฟางดังขึ้นเหมือนว่ากำลังหาฉัน
และในตอนนั้นเองที่โทโมะได้ยินเสียงฟาง เขาก็มองหน้าฉันแค่แว๊บเดียวก่อนจะรีบเดินออกไปจากตรงนี้ ฉันมองตามแผ่นหลังของโทโมะที่กำลังเดินห่างออกไปเรื่อยๆก่อนจะยกมือแตะที่มุม ปากตัวเองที่โทโมะจูบทับบนแผลนั้นด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม โทโมะถึงทำแบบนี้กับฉัน
ก็เขา...ชอบคลอรีนไม่ใช่เหรอ
แล้วทำไมถึง...
“อ้าว? ทำไมมายืนนิ่งตรงนี้อ่ะ =[]=?”
“หา?” ฉันที่เพิ่งตั้งตัวได้เมื่อฟางเดินมาพอดีหลังจากที่โทโมะเดินผ่านออกไปโดยที่ฟางไม่ได้เห็น
“แล้วนั่นหนังสือตกก็ไม่เก็บเล่าแกก็มึนอะไรว๊า” ฟางเดินเข้ามาหาก่อนที่ก้มเก็บหนังสือที่มันตกอยู่ที่พื้น
“โทษทีเมื่อกี้ขาชาว่ะ”
ฉันบอกฟางไปอย่างงั้น แล้วช่วยฟางก้มเก็บหนังสือ ทั้งๆที่ตอนนี้ในใจมันเต้นแปลกๆแล้วก็รู้สึกแปลกมากด้วยเพราะครั้งนี้โทโมะไม่ ได้เมา และเขาตั้งใจทำแบบนั้นจริงๆ...
‘หญิงสาวคนหนึ่งกับหัวใจที่กำลังสับสนกับชายคนหนึ่ง
ครั้งนี้...พระเจ้าท่านได้สร้างเกมทดสอบความรู้สึกขึ้นให้กับทั้งคู่
แต่หากทว่า...เกมนี้มันยากเหลือเกินที่จะเข้าใจ เพราะผู้เล่นที่ถูกเลือกนั้น...
ยังไม่รู้จักหาวิธีเอาชนะเกมนี้ยังไงล่ะ...และทางเดียวที่จะเอาชนะได้ก็คือ...หัวใจของทั้งสองเท่านั้น
__________________________________________________
อัพแล้วเม้นโหวตกันหน่อยนะ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.7 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ