Bad Race เดิมพันหัวใจกับนายแบดบอย!
10.0
เขียนโดย lucky_mewmew
วันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 06.57 น.
9 chapter
182 วิจารณ์
15.61K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 09.13 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
8) การเปลี่ยนแปลง...
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ 4โมงตรงเป๊ะ
หน้าโรงพยาบาล
ฉันออกมาหน้าโรงพยาบาลก่อนเวลาประมาณสองสามนาที ฉันคิดว่าอาจจะต้องรอสัก 5-10 นาที กว่าเขาจะมา แต่เอาเข้าจริงแล้วพอสี่โมงเป๊ะซุปเปอร์คาร์คันหรูคันนึงก็เลี้ยวเข้ามาจอดตรงหน้าฉัน ดูก็น่าจะรู้แล้วน่ะว่าเป็นของใคร ในโลกนี้จะมีใครเว่อร์วังอลังการด้วยการขับซุปเปอร์คาร์ร่อนไปร่อนมากลางกรุงอย่างตานี้อีกล่ะ คราวที่แล้วเล่นขับ Ferrari 458 Italia มา มาคราวนี้ตานั้นก็ขับ 2008 Audi R8 สีดำมา ช่างชอบเป็นจุดเด่นซะจริงๆเลยน่ะ นายนะ
“มาตรงเวลาซะจริงๆเลยน่ะ” ฉันแขวะเมื่อตานั้นเปิดประตูลงจากรถมา คงเพิ่งจะทำงานเสร็จสิน่ะ ยังอยู่ในชุดสูทอยู่เลยนินา
“ก็ดีแล้วนิ ฉันจะได้มาดูคนปากดีแถวนี้นะสิ ว่าเธอจะเก่งแต่แกอย่างที่พูดรึเปล่า” เขาพูดพร้อมกับเท้าแขนลงบนหลังคารถแล้วก็ยิ้มเยาะเย้ยฉัน
“นี่นาย!!!” ปรี๊ดค่ะ ปรี๊ดดดดดดด
“รีบไปกันได้แล้วนา รีบๆขึ้นมาเหอะ” เขาพูดแล้วก็ทำหน้าเหนื่อยๆใสฉัน อะไรกัน คนที่ควรจะเหนื่อยใจกับความเอาแต่ใจแล้วก็คำพูดของฝ่ายตรงข้ามก็คือฉันไม่ใช่รึไงห๊าาาาาาา อีตานี้-*- เดี๋ยวเจอเดี๋ยวๆ -_-**
“รีบๆขึ้นมาเร็วๆเหอะนา หรือต้องให้ฉันช่วย” เขาพูดด้วยสายตาเจ้าเลห์ใส่ฉัน แล้วก็เปิดประตูขึ้นรถไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ชิ คนบ้าอะไรเอาแต่ใจชะมัดเลย ไปก็ไปว่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนิ
ฉันก็เลยจำใจเดินขึ้นรถทางฝั่งข้างคนขับอย่างโคตรจะจำใจ ซึ่งก็อีกเช่นเคยนั้นแหละว่ารถคนนี้เป็นรถนำเข้าเลยมีพวงมาลัยซ้าย ฉันก็เลยต้องอ้อมมมมมมมโลกไปอีกฟากหนึ่ง
ระหว่างทางตั้งแต่ที่โรงพยาบาลไปจนใกล้จะถึงบ้านของเขาเราสองคนก็เอาแต่เงียบใส่กันเท่านั้น เขาตั้งใจมองทางขับรถเพียงอย่างเดียว ไม่ได้สนใจที่จะคุยกับฉันเลยแม้แต่น้อย ส่วนฉันก็เอาแต่มองออกไปนอกกระจก ในหัวก็เอาแต่คิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องที่ฟางเล่าให้ฉันฟัง รูปนั้น รูปใบนั้นยังคงติดตาฉันไม่ลืม มันยังคงแจ่มชัดอยู่ทุกรายละเอียด ทุกอย่างยังคงชัดเจน เสียงของฟางยังคงก้องอยู่ในหัวฉัน ทุกครั้งที่นึกถึง ทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา ทุกครั้งที่หันใบมองใบหน้านั้น ทำไมน่ะ ทำไม ทำไม หัวใจด้วยนี้มันช่างอ่อนแอเหลือเกิน ทำไมหัวใจดวงนี้ถึงต้องอ่อนไหวไปกับคนๆนั้น คนที่เพื่อนที่ฉันรักที่สุดรักหมดหัวใจ ทำไมต้องเป็นนายน่ะ ทำไมฉันถึงไม่ห้ามใจตัวเองตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้สึกถึงความอ่อนแอ ทำไมฉันถึงกล้าเดิมพันหัวใจดวงนี้กับนายน่ะ ทำไมมันเจ็บที่หน้าอกอย่างนี้ ปวดหนึบไปหมด เหมือนมีหนามดอกกุหลาบเป็นร้อยเป็นพันกำลังรัดหัวใจฉันแน่นเหลือเกิน
“นี่ เลิกเหม่อได้แล้วน่ะ ถึงแล้ว” อ๊ะ…ถึงแล้วหรอเนี่ย พอเขาพูดจบก็เดินลงจากรถไป
ข้างนอกก็มีผู้หญิงในชุดแม่บ้านสีน้ำเงินเข้ม-ขาวกว่าสิบคนยืนรอต้อนรับอยู่เหมือนกับครั้งแรกที่ฉันมาบ้านหลังนี้ ฉันตัดสินใจเดินตามเขาลงไป
“ยินดีต้อนรับครับคุณหนู” คุณพ่อบ้านโอจีฟ เดินออกมาโค้งคำนับก่อนจะเอ่ยทักทายโทโมะ
“คุณพ่อล่ะ”
“นายท่านกำลังรอคุณหนูอยู่ที่ห้องรับแขกครับ”
“อืม” เขารับเบาๆก่อนจะยื่นกุญ แจรถในมือไปให้คุณพ่อบ้าน และเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ฉันไม่รู้จะทำยังไงหรือไปไหนดีเลยเดินตามหลังเขาต้อยๆเข้าไปในคฤหาสน์ เขาเดินลัดเลาะทางโน้นทางนี้แล้วเราก็มาโผล่ที่ห้องๆหนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควร ตกแต่งสไตล์ยุโรปยุคประมาณวิคตอเรีย โซฟาและเครื่องหลุยส์ สีทองอร่ามไปหมด ที่ตรงโซฟาตัวใหญ่ก็มีท่านประธานนั่งเกยขากับเข่าอีกข้างมือทั้งสองข้างก็กางหนังสือพิมพ์ธุรกิจออก
“พ่อครับ” เขาพูดเสียงนิ่งๆ
เสียงของเขาทำให้ท่านประธานค่อยๆลดหนังสือพิมพ์ในมือลงและพับเก็บช้าๆ
“มากันแล้วหรอ” ท่านหันไปมองที่โทโมะเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้ามามองฉันและกระตุกยิ้มบางๆที่มุมปากอย่างพอใจ
“ครับ ผมพาคนที่พ่ออยากพบมาให้ล่ะ” เขาพูดนิ่งๆอย่างเคยพร้อมกับเดินล้วงกระเป๋าไปนั่งที่เก้าอี้โซฟาข้างๆโซฟาตัวใหญ่ที่ท่านประธานนั่งอยู่
“เอาหนูแก้วมานั่งนี้สิ จะยืนอยู่อย่างนั้นหรอ” ท่านประธานผายมือไปที่เก้าอี้โซฟาอีกตัวข้างๆโซฟาตัวใหญ่ที่ท่านนั่งอยู่
“ท่านเชิญหนูมาในวันนี้มีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่าค่ะ”
“ฉันก็เรียกหนูมาคุยเรื่องงานแต่งงานของหนูกับเจ้าลูกชายตัวดีของฉันนะสิ”
“เอ่อ…เรื่องนั้น” ฉันพยายามก้มหน้าก้มตาหลบสายตาที่คาดคั้นและกดดันฉัน
“มันมีคนร้อนใจนะ ฉันเลยกะว่าจะคุยกับหนูให้” ท่านประธานเหลือบไปมองโทโมะเล็กน้อยก่อนจะย้อนกลับมามองฉันตรงๆ เอาไงดีล่ะเนี่ย อึดอัดชะมัดเลยอ่ะ ._.
“เรื่องนี้หนูคงตัดสินใจเองไม่ได้หรอกค่ะ”
“ฉันเข้าใจๆ เพราะฉะนั้นฉันเลยคุยกับพ่อกับแม่ของหนูเรียบร้อยแล้วล่ะ พวกเขาก็ขอให้หนูเป็นคนตัดสินใจเรื่องทั้งหมดเอง” พ่อ…!!! แม่…!!! -_-* กลับบ้านเมื่อไหร่น่ะ จะจัดการให้หนักทั้งบ้านเล๊ย -*-
“เอาตามที่ท่านประธานเห็นสมควรเถอะค่ะ”
“ถ้าหนูเอาตามที่ฉันเห็นสมควรล่ะก็น่ะ ฉันไปหาฤกษ์มาแล้วล่ะ งานหมั้นจะมีในสามอาทิตย์หน้า ส่วนงานแต่งก็จะมีขึ้นในอีกเดือนครึ่งนี้”
“ห๊ะ!! ทำไมมันเร็วนักล่ะครับ/ค่ะ!!!” ฉันกับเขาเผลอพูดออกมาพร้อมกัน ก็น่ะ คนมันตกใจจริงๆนี้น่า แทบจะตั้งตัวไม่ทันเลยด้วย จู่ๆก็ต้องมาหมั้นแล้วก็แต่งในเวลารวดเร็วขนาดนี้นะ (แล้วไหนเคยบอกว่าอยากให้มันเริ่มเร็วๆแล้วก็จบเร็วๆไงล่ะ ไหงมาเปลี่ยนคำพูดเข้าล่ะค่ะคู่นี้ ตกลงเอาไงค่ะ)
“ใช่ จะตกใจอะไรขนาดนั้นล่ะ ก็เต็มใจกันทั้งคู่ไม่ใช่รึไง” ท่านมองฉันกับโทโมะสลับกัน
“มันก็ใช่น่ะพ่อ แต่ว่า…”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เอาเป็นว่าทำตามที่ฉันบอกล่ะกันน่ะ” ท่านหันไปยกมือห้ามเป็นสัญลักษณ์ไม่ให้โทโมะพูดต่อ “อีกสองสามวันจะมีช่างมาที่บ้านเพื่อวัดตัวแกกับหนูแก้วแล้วตัดชุดวันหมั้นให้”
“แต่…” ฉันกับโทโมะพูดขึ้นมาพร้อมกันอีกครั้ง (เนื้อคู่กันก็งี้ล่ะ ใจตรงกันตลอดๆ)
ท่านประธานทำเป็นไม่ได้ยินก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องรับแขก แต่เพียงแค่เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ท่านก็หยุดเดินแล้วหันมาพูดกับโทโมะ
“ออ อีกอาทิตย์นึงจะมีงานการกุศลของหนึ่งในกรรมการบริหารของบริษัท ในฐานะที่แกเป็นตัวแทนบริษัทและตัวแทนของฉันแกก็ต้องไปแทนฉัน เข้าใจน่ะ?” ท่านทำท่าจะเดินไป แต่ก็หยุดเดินแล้วหันกลับมามองฉันก่อนจะหันไปพูดกับโทโมะอีกครั้ง “อีกอย่างน่ะ พาหนูแก้วไปเปิดตัวในฐานะ ‘ว่าที่คู่หมั้น’ ของแกด้วยล่ะ”
“แต่ท่านประธานค่ะ คือหนู…” ฉันพยายามจะแย้งท่าน แต่ก็โดนท่านพูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่าปฏิเสธเลยน่ะ ส่วนเรื่องชุดน่ะไม่ต้องห่วง ฉันให้ช่างที่จะมาวัดตัวตัดให้ทั้งชุดไปงานวันนั้นแล้วก็ทั้งชุดหมั้นเลยล่ะ” พอฉันจะทำท่าพูดขึ้นอีกครั้งท่านก็เดินหนีออกไปจากห้องรับแขกทันที ณ ตอนนี้ในห้องนี้ก็เหลือเพียงแต่ฉันกับโทโมะเท่านั้น
“พ่อน่ะพ่อ -*-” เขาลุกขึ้นพร้อมกับทำท่าหัวเสียไม่น้อย
“นาย เราจะเอาไงดีล่ะ” ฉันเดินไปยืนข้างๆเขา และพยายามถามความคิดเห็นจากโทโมะ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้คงจะต้องตามน้ำไปก่อนล่ะน่ะ ไปห้ามอะไรตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ”
“นั้นสิน่ะ”
“เฮอะ” เอ๊ะ ทำไมมันไม่ได้มีแค่เสียงฉันคนเดียวที่ถอนหายใจน่ะ พอหันไปมองคนข้างๆ ฉันก็เห็นว่าเขาก็กำลังมองฉันอยู่เหมือนกัน
“เอ่อ งั้นฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่าน่ะ -//-” ฉันพยายามหลบสายตาคมกริบที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของเขา และพยายามเดินหลบออกมา
“เดี๋ยวสิ” ฉันเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีมือใหญ่มาขว้ามือฉันไว้ และดึงฉันเข้าไปหาโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัวทำให้ฉันเซจนเกือบล้มไปจึงต้องหาที่จับและที่จับของฉันก็คือท่อนแขนของคนที่ดึงฉันเข้าไปหา พอได้สติรู้ตัวอีกทีฉันก็เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งของเขาแล้ว
“นี้นายทำอะไรอ่ะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยน่ะ” ฉันพยายามถลึงตาบอกถึงความไม่พอใจอย่างแรง และดิ้นขลุกขลิกๆอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“ก็แล้วเธอจะหนีฉันไปไหนล่ะ รู้สึกว่าเธอจะชอบหลบหน้าฉันจังเลยน่ะ” เขากระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ทำให้เราใกล้ชิดกันมากกว่าเดิมอีก นี่นายยยยยย =///=
“ฉ…ฉันไม่ได้หลบหน้าซะหน่อย” ฉันพยายามจ้องหน้าเขา แต่ข้างในใจฉันก็ยังคงเต้นจนแทบจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว TT^TT ใครก็ได้ช่วยฉันทีเถอะ
“หรอออ ไม่ได้หลบหน้าจริงๆน่ะหรอ” เขาลากเสียงยานๆ หยักยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วก็ค่อยๆโน้นหน้าเข้ามาใกล้ฉันขึ้นเรื่อยๆ ได้โปรดอย่าเข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้ทีเถอะ >///<
“หยุดแกล้งฉันซะทีเถอะนา” ฉันร้องบอกแล้วก็พยายามผลักเขาออกไปให้ห่าง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่อ่ะน่ะ
“หันมามองฉันก่อนสิ” ฉันใช้เวลาคิดไม่นานก่อนจะหันหน้าไปหาเขาตามที่เขาบอก แต่พอหันไปฉันกลับเจอกับสายตาที่แสนจะเต็มไปด้วยเสนอเหลือล้นของเขา เขาจะรู้ไหมน่ะว่าเขากำลังจำทำให้ฉันยืนจะไม่อยู่แล้ว
“ทำไมเวลาฉันแกล้งเธอแล้วฉันมีความสุขจังน่ะ ยิ่งตอนที่เธอเขินจนจนมุมแบบนี้ยิ่งน่ารักน่าแกล้งเข้าไปใหญ่ รู้ไหมว่ามันทำให้ฉันหยุดตัวเองไม่ไหวแล้ว“ เขาโน้นหน้าลงมาจนหน้าผากของเราสองคนแตะกัน จมูกของเราก็ชนกันพอดี ที่เหลือก็แค่ริมฝีปากที่ห่างกันเพียงกระดาษบางๆกั้นเท่านั้น
“อะ…อะไรกันล่ะ” ฉันพยายามเค้นเสียงออกมาได้อย่างยากลำบากเหลือเกิน ลมหายใจของฉันก็ติดขัดขึ้นทุกที ตอนนี้ร่างกายฉันไร้เรี่ยวแรงไปหมดแล้ว หัวใจเต้นแรงเกินไปแล้วน่ะ หยุดซะทีเถอะ
วงแขนของเขากระชับให้ฉันเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม นั้นก็หมายความว่าใบหน้าเราก็ใกล้กันมากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน จมูกเขาเริ่มไล่ไปที่แก้มของฉันอย่างช้าๆก่อนจะวนกลับมาที่จมูกอีกครั้ง เขาใช้จมูกของเขาถูกกับจมูกฉันเบาๆ ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะเคลื่อนเข้าใกล้ริมฝีปากของฉันช้าๆ จนในที่สุดริมฝีปากของเราทั้งสองคนก็ประกบกันจนได้ เขาละเลียดริมฝีปากบนริมฝีปากฉันอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเร่งจังหวะให้รวดเร็วมากขึ้น จังหวะที่เร่งเร้าของเขาทำให้ฉันแทบไม่มีแรงยืนจนต้องใช้ทั้งสองมือกำชายเสื้อเขาไว้จนแน่น จังหวะการจูบของเขาทำให้ฉันเริ่มหายใจติดขัดขึ้นเรื่อยๆ
แก้วใจอย่าหลงไปกับจูบของเขาสิ ดึงสติๆ ดึงสติของตัวเองกลับมาสิแก้วใจ พอฉันเริ่มหายใจไม่ออกเขาก็ละริมฝีปากออกไปเล็กน้อยให้ฉันพอมีช่องหายใจ นั้นเป็นจังหวะเดียวที่ฉันจะผละออกจากเขาได้ พอเขาละริมฝีปากฉันก็ใช้แรงทั้งหมดผลักเขาออกจากตัวเองทันที แต่ฉันไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาแล้ว ฉันเลยได้แต่ก้มหน้างุนอยู่อย่างเดียว -////-
“ฉันไปก่อนดีกว่า” พอพูดจบฉันก็รีบเดินหนีออกไปจากตรงนั้นทันที ฉันไม่รู้หรอกว่าทางไหนเป็นทางไหน แล้วทางไหนจะพาไปไหน ฉันรู้เพียงแต่ว่าจะต้องออกจากตรงนี้ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘โทโมะ…ตอนนี้นายต้องการอะไรกันแน่น่ะ ทั้งฉันแล้วก็หัวใจของฉันกำลังจะถูกทำให้ชุ่มฉ่ำ หรือกำลังจะถูกนายย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดีกันแน่น่ะ…โทโมะ’
จ๊ะเอ๋~~ กลับมาอัพแล้วน้าาาาาาาาาาา สงสัยกันละซิว่าหายไปไหนมา พูดไปก็เหมือนแก้ตัวอะเนอะ คือประมาณ1-2เดือนก่อนพ่อเราต้องไปทำธุระเรียนเรียนต่อทั้งสมัคร คัดตัว เข้าค่าย ประชุมหารือผู้ปกครองอะไรต่างๆนานาแถมที่นี้ยังเป็นโรงเรียนประจำด้วยเลยต้องทำไรเยอะแยะมากมายหน่อย พ่อเลยต้องขนสัมโนครัวต่างๆไปอยู่กับน้องเดือนนึงเต็มๆ รวมทั้งโย้ตบุ๊คที่มีเรื่องตอนนี้ที่เราแต่งค้างเอาไว้ด้วย เศร้าจ๊ะ เศร้าเลย เศร้าสุดๆ เศร้ามากๆ แถมพอมีพล็อตไรก็ไม่มีที่เก็บอีกมีแต่อีหมองนี้แหละที่ต้องทำหน้าที่ พอเดือนต่อมาย่าก็เข้าผ่าตัดใหญ่อีก ทุกอย่างทุกคนเลยฉุกละหุกกันใหญ่ ต่อไปก็เหลือการผาตัดอีก2-3ครั้งในอีกสองสามแห่ง ก็น่ะ ถ้ารักกันก็ต้องรอกันหน่อยเนอะ เดี๋ยวจันทร์นี้ก็มีสอบกลางภาคอีกงานก็เหลือค้างส่งอีกเพียบ ก่อนไปสะสางงานเลยขอมาอัพให้หายคิดถึงและหายอยากก่อนแล้วค่อยกลับไปปั่นงานต่อ แวะมาแค่นี้ล่ะ ขอตัวไปปั่นงานก่อนน่ะ ฟิ้วววววววววว~~~
ว่างๆจะมาอัพใหม่อีกน่ะค่าาาา
ด้วยรักและคิดถึง(มากๆๆๆๆๆๆๆ)ค่ะ จุ๊บๆ
หน้าโรงพยาบาล
ฉันออกมาหน้าโรงพยาบาลก่อนเวลาประมาณสองสามนาที ฉันคิดว่าอาจจะต้องรอสัก 5-10 นาที กว่าเขาจะมา แต่เอาเข้าจริงแล้วพอสี่โมงเป๊ะซุปเปอร์คาร์คันหรูคันนึงก็เลี้ยวเข้ามาจอดตรงหน้าฉัน ดูก็น่าจะรู้แล้วน่ะว่าเป็นของใคร ในโลกนี้จะมีใครเว่อร์วังอลังการด้วยการขับซุปเปอร์คาร์ร่อนไปร่อนมากลางกรุงอย่างตานี้อีกล่ะ คราวที่แล้วเล่นขับ Ferrari 458 Italia มา มาคราวนี้ตานั้นก็ขับ 2008 Audi R8 สีดำมา ช่างชอบเป็นจุดเด่นซะจริงๆเลยน่ะ นายนะ
“มาตรงเวลาซะจริงๆเลยน่ะ” ฉันแขวะเมื่อตานั้นเปิดประตูลงจากรถมา คงเพิ่งจะทำงานเสร็จสิน่ะ ยังอยู่ในชุดสูทอยู่เลยนินา
“ก็ดีแล้วนิ ฉันจะได้มาดูคนปากดีแถวนี้นะสิ ว่าเธอจะเก่งแต่แกอย่างที่พูดรึเปล่า” เขาพูดพร้อมกับเท้าแขนลงบนหลังคารถแล้วก็ยิ้มเยาะเย้ยฉัน
“นี่นาย!!!” ปรี๊ดค่ะ ปรี๊ดดดดดดด
“รีบไปกันได้แล้วนา รีบๆขึ้นมาเหอะ” เขาพูดแล้วก็ทำหน้าเหนื่อยๆใสฉัน อะไรกัน คนที่ควรจะเหนื่อยใจกับความเอาแต่ใจแล้วก็คำพูดของฝ่ายตรงข้ามก็คือฉันไม่ใช่รึไงห๊าาาาาาา อีตานี้-*- เดี๋ยวเจอเดี๋ยวๆ -_-**
“รีบๆขึ้นมาเร็วๆเหอะนา หรือต้องให้ฉันช่วย” เขาพูดด้วยสายตาเจ้าเลห์ใส่ฉัน แล้วก็เปิดประตูขึ้นรถไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ชิ คนบ้าอะไรเอาแต่ใจชะมัดเลย ไปก็ไปว่ะ ไหนๆก็ไหนๆแล้วนิ
ฉันก็เลยจำใจเดินขึ้นรถทางฝั่งข้างคนขับอย่างโคตรจะจำใจ ซึ่งก็อีกเช่นเคยนั้นแหละว่ารถคนนี้เป็นรถนำเข้าเลยมีพวงมาลัยซ้าย ฉันก็เลยต้องอ้อมมมมมมมโลกไปอีกฟากหนึ่ง
ระหว่างทางตั้งแต่ที่โรงพยาบาลไปจนใกล้จะถึงบ้านของเขาเราสองคนก็เอาแต่เงียบใส่กันเท่านั้น เขาตั้งใจมองทางขับรถเพียงอย่างเดียว ไม่ได้สนใจที่จะคุยกับฉันเลยแม้แต่น้อย ส่วนฉันก็เอาแต่มองออกไปนอกกระจก ในหัวก็เอาแต่คิดวนเวียนอยู่แต่เรื่องที่ฟางเล่าให้ฉันฟัง รูปนั้น รูปใบนั้นยังคงติดตาฉันไม่ลืม มันยังคงแจ่มชัดอยู่ทุกรายละเอียด ทุกอย่างยังคงชัดเจน เสียงของฟางยังคงก้องอยู่ในหัวฉัน ทุกครั้งที่นึกถึง ทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา ทุกครั้งที่หันใบมองใบหน้านั้น ทำไมน่ะ ทำไม ทำไม หัวใจด้วยนี้มันช่างอ่อนแอเหลือเกิน ทำไมหัวใจดวงนี้ถึงต้องอ่อนไหวไปกับคนๆนั้น คนที่เพื่อนที่ฉันรักที่สุดรักหมดหัวใจ ทำไมต้องเป็นนายน่ะ ทำไมฉันถึงไม่ห้ามใจตัวเองตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้สึกถึงความอ่อนแอ ทำไมฉันถึงกล้าเดิมพันหัวใจดวงนี้กับนายน่ะ ทำไมมันเจ็บที่หน้าอกอย่างนี้ ปวดหนึบไปหมด เหมือนมีหนามดอกกุหลาบเป็นร้อยเป็นพันกำลังรัดหัวใจฉันแน่นเหลือเกิน
“นี่ เลิกเหม่อได้แล้วน่ะ ถึงแล้ว” อ๊ะ…ถึงแล้วหรอเนี่ย พอเขาพูดจบก็เดินลงจากรถไป
ข้างนอกก็มีผู้หญิงในชุดแม่บ้านสีน้ำเงินเข้ม-ขาวกว่าสิบคนยืนรอต้อนรับอยู่เหมือนกับครั้งแรกที่ฉันมาบ้านหลังนี้ ฉันตัดสินใจเดินตามเขาลงไป
“ยินดีต้อนรับครับคุณหนู” คุณพ่อบ้านโอจีฟ เดินออกมาโค้งคำนับก่อนจะเอ่ยทักทายโทโมะ
“คุณพ่อล่ะ”
“นายท่านกำลังรอคุณหนูอยู่ที่ห้องรับแขกครับ”
“อืม” เขารับเบาๆก่อนจะยื่นกุญ แจรถในมือไปให้คุณพ่อบ้าน และเดินเข้าไปในคฤหาสน์ ฉันไม่รู้จะทำยังไงหรือไปไหนดีเลยเดินตามหลังเขาต้อยๆเข้าไปในคฤหาสน์ เขาเดินลัดเลาะทางโน้นทางนี้แล้วเราก็มาโผล่ที่ห้องๆหนึ่งที่ค่อนข้างใหญ่พอสมควร ตกแต่งสไตล์ยุโรปยุคประมาณวิคตอเรีย โซฟาและเครื่องหลุยส์ สีทองอร่ามไปหมด ที่ตรงโซฟาตัวใหญ่ก็มีท่านประธานนั่งเกยขากับเข่าอีกข้างมือทั้งสองข้างก็กางหนังสือพิมพ์ธุรกิจออก
“พ่อครับ” เขาพูดเสียงนิ่งๆ
เสียงของเขาทำให้ท่านประธานค่อยๆลดหนังสือพิมพ์ในมือลงและพับเก็บช้าๆ
“มากันแล้วหรอ” ท่านหันไปมองที่โทโมะเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้ามามองฉันและกระตุกยิ้มบางๆที่มุมปากอย่างพอใจ
“ครับ ผมพาคนที่พ่ออยากพบมาให้ล่ะ” เขาพูดนิ่งๆอย่างเคยพร้อมกับเดินล้วงกระเป๋าไปนั่งที่เก้าอี้โซฟาข้างๆโซฟาตัวใหญ่ที่ท่านประธานนั่งอยู่
“เอาหนูแก้วมานั่งนี้สิ จะยืนอยู่อย่างนั้นหรอ” ท่านประธานผายมือไปที่เก้าอี้โซฟาอีกตัวข้างๆโซฟาตัวใหญ่ที่ท่านนั่งอยู่
“ท่านเชิญหนูมาในวันนี้มีเรื่องด่วนอะไรรึเปล่าค่ะ”
“ฉันก็เรียกหนูมาคุยเรื่องงานแต่งงานของหนูกับเจ้าลูกชายตัวดีของฉันนะสิ”
“เอ่อ…เรื่องนั้น” ฉันพยายามก้มหน้าก้มตาหลบสายตาที่คาดคั้นและกดดันฉัน
“มันมีคนร้อนใจนะ ฉันเลยกะว่าจะคุยกับหนูให้” ท่านประธานเหลือบไปมองโทโมะเล็กน้อยก่อนจะย้อนกลับมามองฉันตรงๆ เอาไงดีล่ะเนี่ย อึดอัดชะมัดเลยอ่ะ ._.
“เรื่องนี้หนูคงตัดสินใจเองไม่ได้หรอกค่ะ”
“ฉันเข้าใจๆ เพราะฉะนั้นฉันเลยคุยกับพ่อกับแม่ของหนูเรียบร้อยแล้วล่ะ พวกเขาก็ขอให้หนูเป็นคนตัดสินใจเรื่องทั้งหมดเอง” พ่อ…!!! แม่…!!! -_-* กลับบ้านเมื่อไหร่น่ะ จะจัดการให้หนักทั้งบ้านเล๊ย -*-
“เอาตามที่ท่านประธานเห็นสมควรเถอะค่ะ”
“ถ้าหนูเอาตามที่ฉันเห็นสมควรล่ะก็น่ะ ฉันไปหาฤกษ์มาแล้วล่ะ งานหมั้นจะมีในสามอาทิตย์หน้า ส่วนงานแต่งก็จะมีขึ้นในอีกเดือนครึ่งนี้”
“ห๊ะ!! ทำไมมันเร็วนักล่ะครับ/ค่ะ!!!” ฉันกับเขาเผลอพูดออกมาพร้อมกัน ก็น่ะ คนมันตกใจจริงๆนี้น่า แทบจะตั้งตัวไม่ทันเลยด้วย จู่ๆก็ต้องมาหมั้นแล้วก็แต่งในเวลารวดเร็วขนาดนี้นะ (แล้วไหนเคยบอกว่าอยากให้มันเริ่มเร็วๆแล้วก็จบเร็วๆไงล่ะ ไหงมาเปลี่ยนคำพูดเข้าล่ะค่ะคู่นี้ ตกลงเอาไงค่ะ)
“ใช่ จะตกใจอะไรขนาดนั้นล่ะ ก็เต็มใจกันทั้งคู่ไม่ใช่รึไง” ท่านมองฉันกับโทโมะสลับกัน
“มันก็ใช่น่ะพ่อ แต่ว่า…”
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น เอาเป็นว่าทำตามที่ฉันบอกล่ะกันน่ะ” ท่านหันไปยกมือห้ามเป็นสัญลักษณ์ไม่ให้โทโมะพูดต่อ “อีกสองสามวันจะมีช่างมาที่บ้านเพื่อวัดตัวแกกับหนูแก้วแล้วตัดชุดวันหมั้นให้”
“แต่…” ฉันกับโทโมะพูดขึ้นมาพร้อมกันอีกครั้ง (เนื้อคู่กันก็งี้ล่ะ ใจตรงกันตลอดๆ)
ท่านประธานทำเป็นไม่ได้ยินก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไปจากห้องรับแขก แต่เพียงแค่เดินไปได้แค่ไม่กี่ก้าว ท่านก็หยุดเดินแล้วหันมาพูดกับโทโมะ
“ออ อีกอาทิตย์นึงจะมีงานการกุศลของหนึ่งในกรรมการบริหารของบริษัท ในฐานะที่แกเป็นตัวแทนบริษัทและตัวแทนของฉันแกก็ต้องไปแทนฉัน เข้าใจน่ะ?” ท่านทำท่าจะเดินไป แต่ก็หยุดเดินแล้วหันกลับมามองฉันก่อนจะหันไปพูดกับโทโมะอีกครั้ง “อีกอย่างน่ะ พาหนูแก้วไปเปิดตัวในฐานะ ‘ว่าที่คู่หมั้น’ ของแกด้วยล่ะ”
“แต่ท่านประธานค่ะ คือหนู…” ฉันพยายามจะแย้งท่าน แต่ก็โดนท่านพูดแทรกขึ้นมาอีกครั้ง
“อย่าปฏิเสธเลยน่ะ ส่วนเรื่องชุดน่ะไม่ต้องห่วง ฉันให้ช่างที่จะมาวัดตัวตัดให้ทั้งชุดไปงานวันนั้นแล้วก็ทั้งชุดหมั้นเลยล่ะ” พอฉันจะทำท่าพูดขึ้นอีกครั้งท่านก็เดินหนีออกไปจากห้องรับแขกทันที ณ ตอนนี้ในห้องนี้ก็เหลือเพียงแต่ฉันกับโทโมะเท่านั้น
“พ่อน่ะพ่อ -*-” เขาลุกขึ้นพร้อมกับทำท่าหัวเสียไม่น้อย
“นาย เราจะเอาไงดีล่ะ” ฉันเดินไปยืนข้างๆเขา และพยายามถามความคิดเห็นจากโทโมะ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ตอนนี้คงจะต้องตามน้ำไปก่อนล่ะน่ะ ไปห้ามอะไรตอนนี้ก็คงไม่ทันแล้วล่ะ”
“นั้นสิน่ะ”
“เฮอะ” เอ๊ะ ทำไมมันไม่ได้มีแค่เสียงฉันคนเดียวที่ถอนหายใจน่ะ พอหันไปมองคนข้างๆ ฉันก็เห็นว่าเขาก็กำลังมองฉันอยู่เหมือนกัน
“เอ่อ งั้นฉันว่าฉันกลับก่อนดีกว่าน่ะ -//-” ฉันพยายามหลบสายตาคมกริบที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ของเขา และพยายามเดินหลบออกมา
“เดี๋ยวสิ” ฉันเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็มีมือใหญ่มาขว้ามือฉันไว้ และดึงฉันเข้าไปหาโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัวทำให้ฉันเซจนเกือบล้มไปจึงต้องหาที่จับและที่จับของฉันก็คือท่อนแขนของคนที่ดึงฉันเข้าไปหา พอได้สติรู้ตัวอีกทีฉันก็เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนแข็งแกร่งของเขาแล้ว
“นี้นายทำอะไรอ่ะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้เลยน่ะ” ฉันพยายามถลึงตาบอกถึงความไม่พอใจอย่างแรง และดิ้นขลุกขลิกๆอยู่ในอ้อมแขนของเขา
“ก็แล้วเธอจะหนีฉันไปไหนล่ะ รู้สึกว่าเธอจะชอบหลบหน้าฉันจังเลยน่ะ” เขากระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ทำให้เราใกล้ชิดกันมากกว่าเดิมอีก นี่นายยยยยย =///=
“ฉ…ฉันไม่ได้หลบหน้าซะหน่อย” ฉันพยายามจ้องหน้าเขา แต่ข้างในใจฉันก็ยังคงเต้นจนแทบจะหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว TT^TT ใครก็ได้ช่วยฉันทีเถอะ
“หรอออ ไม่ได้หลบหน้าจริงๆน่ะหรอ” เขาลากเสียงยานๆ หยักยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วก็ค่อยๆโน้นหน้าเข้ามาใกล้ฉันขึ้นเรื่อยๆ ได้โปรดอย่าเข้ามาใกล้ไปมากกว่านี้ทีเถอะ >///<
“หยุดแกล้งฉันซะทีเถอะนา” ฉันร้องบอกแล้วก็พยายามผลักเขาออกไปให้ห่าง แต่ดูเหมือนว่ามันจะไม่ค่อยเป็นผลเท่าไหร่อ่ะน่ะ
“หันมามองฉันก่อนสิ” ฉันใช้เวลาคิดไม่นานก่อนจะหันหน้าไปหาเขาตามที่เขาบอก แต่พอหันไปฉันกลับเจอกับสายตาที่แสนจะเต็มไปด้วยเสนอเหลือล้นของเขา เขาจะรู้ไหมน่ะว่าเขากำลังจำทำให้ฉันยืนจะไม่อยู่แล้ว
“ทำไมเวลาฉันแกล้งเธอแล้วฉันมีความสุขจังน่ะ ยิ่งตอนที่เธอเขินจนจนมุมแบบนี้ยิ่งน่ารักน่าแกล้งเข้าไปใหญ่ รู้ไหมว่ามันทำให้ฉันหยุดตัวเองไม่ไหวแล้ว“ เขาโน้นหน้าลงมาจนหน้าผากของเราสองคนแตะกัน จมูกของเราก็ชนกันพอดี ที่เหลือก็แค่ริมฝีปากที่ห่างกันเพียงกระดาษบางๆกั้นเท่านั้น
“อะ…อะไรกันล่ะ” ฉันพยายามเค้นเสียงออกมาได้อย่างยากลำบากเหลือเกิน ลมหายใจของฉันก็ติดขัดขึ้นทุกที ตอนนี้ร่างกายฉันไร้เรี่ยวแรงไปหมดแล้ว หัวใจเต้นแรงเกินไปแล้วน่ะ หยุดซะทีเถอะ
วงแขนของเขากระชับให้ฉันเข้าไปใกล้มากกว่าเดิม นั้นก็หมายความว่าใบหน้าเราก็ใกล้กันมากกว่าเดิมด้วยเช่นกัน จมูกเขาเริ่มไล่ไปที่แก้มของฉันอย่างช้าๆก่อนจะวนกลับมาที่จมูกอีกครั้ง เขาใช้จมูกของเขาถูกกับจมูกฉันเบาๆ ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะเคลื่อนเข้าใกล้ริมฝีปากของฉันช้าๆ จนในที่สุดริมฝีปากของเราทั้งสองคนก็ประกบกันจนได้ เขาละเลียดริมฝีปากบนริมฝีปากฉันอย่างช้าๆ ก่อนที่จะเร่งจังหวะให้รวดเร็วมากขึ้น จังหวะที่เร่งเร้าของเขาทำให้ฉันแทบไม่มีแรงยืนจนต้องใช้ทั้งสองมือกำชายเสื้อเขาไว้จนแน่น จังหวะการจูบของเขาทำให้ฉันเริ่มหายใจติดขัดขึ้นเรื่อยๆ
แก้วใจอย่าหลงไปกับจูบของเขาสิ ดึงสติๆ ดึงสติของตัวเองกลับมาสิแก้วใจ พอฉันเริ่มหายใจไม่ออกเขาก็ละริมฝีปากออกไปเล็กน้อยให้ฉันพอมีช่องหายใจ นั้นเป็นจังหวะเดียวที่ฉันจะผละออกจากเขาได้ พอเขาละริมฝีปากฉันก็ใช้แรงทั้งหมดผลักเขาออกจากตัวเองทันที แต่ฉันไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าเขาแล้ว ฉันเลยได้แต่ก้มหน้างุนอยู่อย่างเดียว -////-
“ฉันไปก่อนดีกว่า” พอพูดจบฉันก็รีบเดินหนีออกไปจากตรงนั้นทันที ฉันไม่รู้หรอกว่าทางไหนเป็นทางไหน แล้วทางไหนจะพาไปไหน ฉันรู้เพียงแต่ว่าจะต้องออกจากตรงนี้ไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘โทโมะ…ตอนนี้นายต้องการอะไรกันแน่น่ะ ทั้งฉันแล้วก็หัวใจของฉันกำลังจะถูกทำให้ชุ่มฉ่ำ หรือกำลังจะถูกนายย่ำยีจนไม่เหลือชิ้นดีกันแน่น่ะ…โทโมะ’
จ๊ะเอ๋~~ กลับมาอัพแล้วน้าาาาาาาาาาา สงสัยกันละซิว่าหายไปไหนมา พูดไปก็เหมือนแก้ตัวอะเนอะ คือประมาณ1-2เดือนก่อนพ่อเราต้องไปทำธุระเรียนเรียนต่อทั้งสมัคร คัดตัว เข้าค่าย ประชุมหารือผู้ปกครองอะไรต่างๆนานาแถมที่นี้ยังเป็นโรงเรียนประจำด้วยเลยต้องทำไรเยอะแยะมากมายหน่อย พ่อเลยต้องขนสัมโนครัวต่างๆไปอยู่กับน้องเดือนนึงเต็มๆ รวมทั้งโย้ตบุ๊คที่มีเรื่องตอนนี้ที่เราแต่งค้างเอาไว้ด้วย เศร้าจ๊ะ เศร้าเลย เศร้าสุดๆ เศร้ามากๆ แถมพอมีพล็อตไรก็ไม่มีที่เก็บอีกมีแต่อีหมองนี้แหละที่ต้องทำหน้าที่ พอเดือนต่อมาย่าก็เข้าผ่าตัดใหญ่อีก ทุกอย่างทุกคนเลยฉุกละหุกกันใหญ่ ต่อไปก็เหลือการผาตัดอีก2-3ครั้งในอีกสองสามแห่ง ก็น่ะ ถ้ารักกันก็ต้องรอกันหน่อยเนอะ เดี๋ยวจันทร์นี้ก็มีสอบกลางภาคอีกงานก็เหลือค้างส่งอีกเพียบ ก่อนไปสะสางงานเลยขอมาอัพให้หายคิดถึงและหายอยากก่อนแล้วค่อยกลับไปปั่นงานต่อ แวะมาแค่นี้ล่ะ ขอตัวไปปั่นงานก่อนน่ะ ฟิ้วววววววววว~~~
ว่างๆจะมาอัพใหม่อีกน่ะค่าาาา
ด้วยรักและคิดถึง(มากๆๆๆๆๆๆๆ)ค่ะ จุ๊บๆ
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ