Love You My Bad Guy ll❤

9.8

เขียนโดย ยัยหมูปิ้ง

วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 เวลา 22.27 น.

  19 Bad Guy
  262 วิจารณ์
  47.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 6 เมษายน พ.ศ. 2564 17.14 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

7) คุณมีสิทธิ์อะไร

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ป็อบปี้…” ฉันพูดชื่อเขาไม่ถนัด เพราะผู้ชายคนนี้ปิดปากฉันเอาไว้

            ฉันอยากถามเขาว่าเขาเข้ามาที่นี้ได้ยังไง เข้ามาในห้องฉันได้อย่างไร แต่เมื่อนึก

ขึ้นมาได้ว่าครั้งหนึ่งเราเคยคบกัน ฉันขอให้เขาช่วยเก็บกุญแจห้องของฉันไว้ดอกหนึ่ง เพราะว่า

ฉันขี้ลืมและมักจะทำกุญแจหายประจำและเห็นว่าเขาเป็นแฟนของฉัน ฉันเลยเต็มใจมากที่จะ

ให้เขาเก็บเอาไว้

“จำฉันได้ด้วยเหรอ ฟาง…” เขาทักในขณะที่ฉันเจ็บไปทั้งใจ

            ฉันเกลียดที่เขาเรียกชื่อฉันแบบนี้ เกลียดที่เขาทำราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นระหว่าง

เราสองคนนั่น

            เขากดฉันลงกับพื้นส่วนตัวของเขาก็คร่อมทับฉันไว้ แสงไฟที่ลอดผ่านเข้ามาทางหน้า

ต่างทำให้ฉันจะเห็นแววตาของเขา สายตานั่น สายตาที่บอกว่าเขาอยู่เหนือคนอื่นทุกคน สายตา

ที่บอกว่าเขายังมีอิทธิพลกับฉัน เกลียดที่เขายังมาทำกับฉันแบบนี้

“ปล่อยฉัน!!” ฉันบอกเสียงแข็งเมื่อเขากดข้อมือของฉันแรงๆ

          ยังดีที่เขาใช้มือของเขารองมือของฉันไว้ เมื่อตอนที่เขาจับกระแทกฉันเลยไม่ได้เจ็บ

อะไรมากไม่อย่างนั้นแขนของฉันอาจจะช้ำ หรือไม่ก็หักไปซะ เฉยๆ

“ชอบจริงๆ เวลาที่เธอมองหน้าฉันด้วยสายตาแบบนี้นะ เวลาที่เธอกัดริมฝีปากจนห้อเลือดแล้ว

มองฉันน่ะ เธอรู้มั้ยว่าเธอทำสีหน้าและแววตายังไงอยู่”

          ป็อบปี้ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ ฉัน หน้าของเขาก้มต่ำลงมาจนปลายจมูของเราแทบจะ

ชิดติดกันจนฉันสามารถสัมผัสได้ถึงลืมหายใจอุ่นไจนร้อนของเขานั่น

“เธอนี่ไม่รู้จักเข็ดจริงๆ นะ จำไม่ได้รึไงฉันบอกเธอว่าอย่ามายุ่งเกี่ยวกับฉันอีกน่ะ” เขาพูดแล้วก็

ก้มหน้าลงมาอีก

             อีกไม่กี่มิลลิเมตรที่ริมฝีปากของเขาจะแตะริมฝีปากของฉัน หัวใจไม่รักดีกำลัง

ทรยศฉันด้วยกานเต้นแรงจนเจ็บไปทั้งใจ ฉันอยากจะตบหน้าเขา กรีดหน้าเขา ให้หายแค้นพอๆ

กับอยากจะโผล่เข้าไปหาเขา ฉันไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไงด้วยการนอกใจฉันแล้วไปคบกับเพื่อน

สนิทฉันนะ

            เขาแค่บอกว่าเราเลิกกัน เบื่อฉันแล้ว มันไม่ง่ายไปหน่อยเหรอกับสิ่งที่ฉันทุ่มเทให้

เขาไปทั้งหมดความไว้ใจเชื่อใจและความรักที่ฉันให้เขาไป ถึงแม้ความรักของฉันจะเหมือนลูก

บอลที่ทุ่มเข้าใส่กับกำแพงก็ตาม ทุ่มแรงเท่าไหร่ใจฉันก็ยิ่งเจ็บและไม่มีท่าทีว่ามันจะส่งไปถึง

เขาเลยแม้แต่น้อย

             น่าสมเพชที่สุดเลยฟาง…

“อย่ามายุ่งกับฉันอีก!!” เขาพูดเสียงเข้มแล้วก็เน้นจูบลงที่ต้นคอของฉันเบาๆ

“ฉันเกลียดนาย… จากใจเลย ฉันกลียดนายจริงๆ” ฉันพึมพำเสียงกระท่อนกระแท่น เพราะว่า

ร่างกายของฉันสั่นตามเสียงสะอื้น

              เสี้ยวหน้าของเขาที่ฉันเห็นคือกระตุกยิ้ม เขาตึงร่างกายของฉันไว้ก่อนจะประทับ

จูบไว้เป็นจุดๆโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว เมื่อตั้งสติได้ฉันก็ดิ้นทันทีแต่เขาก็ยึดตัวของฉันไว้แน่น

              รสจูบของเขาไม่เหมือนกับที่ฉันเคยได้รับมา เมื่อก่อนเราจูบกันแบบเด็กๆที่เอา

ปากมาแปะกันไว้เฉยๆ แต่ตอนนี้เขาจูบมากกว่านั้น และสุดท้ายฉันก็เดาไม่ออกจริงๆว่าจูบของ

เขากำลังบอกอะไรกันแน่เมื่อพอใจเขาก็ผละออกแถมยังใจดีช่วยดึงฉันขึ้นจากพื้นห้องด้วย

“จำไว้นะฟาง ถ้าฉันยังเห็นเธอวนเวียนอยู่กับฉัน ถ้าฉันยังมองเห็นเธออยู่ในสายตาของฉัน…

เรื่องมันไม่จบแบบวันนี้แน่” ฉันเงยหน้ามองเขาด้วยความเกลียดชัง

              น้ำตาที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะไม่ให้เขาเห็นไหลลงมาอย่างไม่อาย ให้มันรู้ไปสิว่าตอน

นี้ฉันกำลังเสียใจเพราะเขา กำลังเกลียดชังและเจ็บปวดเพราะเขาอยู่

“ถ้างั้นต้องไปสถานที่ลับๆ แบบว่าโรงแรมกับกวินไม่ก็โยสินะ นายจะได้มองไม่เห็น่ะ!” ฉันตะคอก

ใส่เขาอย่างสุดทน

              ผู้ทุกคนชายบนโลกนี้นิสัยแย่อย่างนี้กันทุกคนใช่ไหม เห็นแก่ตัว เอาแต่ใจ และ

น่ารังเกียจ…

“ถ้าเธออยากตายก็เอาเลย ให้มันรู้กันไปสักตั้ง” ป็อบปี้กระชิบเสียงเครียด แล้วเดินกระแทกเท้า

ปึงปังและเตะชั้นวางรองเท้าของฉันจนมันล้มลง และรองเท้าก็กระจัดกระจายเต็มพื้นห้องด้วยฝี

มือของเขา

“เพราะนายนั้นแหละ ป็อบ!!” ฉันตะโกนก่อนที่เขาจะเปิดประตูห้องออกไป

“เพราะนายนั้นแหละ ที่ทำให้ฉันกลายเป็นปีศาจแบบนี้!!!” ฉันตะโกนตามหลังเขาพร้อมกับเสียง

ปิดประตูที่ดังสนั่น

 

                 ฉันเข้าเรียนด้วยความรู้สึกไม่ดีเท่าไหร่นัก มองไปทางไหนก็เจอแต่คู่รัก และ

มันก็อดที่จะรู้สึกอิจฉาไม่ได้ พวกเขาดูรักกันดีจริงๆแล้วฉันละ เฮ้อ ยิ่งคิดก็ยิ่งจะเพ้อเจ้อไปกัน

ใหญ่ซะแล้วละตอนนี้ฉันอาจจะกำลังบ้าไปทีละนิดๆแล้วก็ได้

                พอคิดได้สักพักก็นึกขึ้นมาได้ว่าจินนี่ได้บอกฉันไปหาที่สนามบอลของมหาลัยเก่า

ความจริงคนที่ออกจากมหาลัยนั้นแล้วจะไม่สามารถเข้าไปเหยียบในนั้นได้อีก และบังเอิญว่าฉัน

รู้จักกับลุงยามดีลุงเขาเลยยอมให้เข้าไปได้ ฉันนั่งรอจินนี่ที่โตะหินก่อนจะดูที่มือถือเมื่อมีแมส

เชจส่งเข้ามา อ้อ กวินนะ

   หวัดดีฟาง เมื่อคืนไม่ได้ทักกันเลย

                เขาบอกมาแบบนั้นและฉันก็อดที่จะชักสีหน้าใส่มือถือไม่ได้ เพราะเขายกฉัน

ให้โยไม่ใช่รึไงกันอิตาบ้านิ

“ไง ฟาง” ฉันปลายหางตาไปมองคนที่เข้ามาทักฉันนิดหน่อย

                เมื่อเห็นว่าเป็นจินนี่ฉันก็อยากจะเบือนหน้าหนีแทบแย่ ถ้าไม่ติดที่ว่าตัวเองกำ

ลังเสแสร้งเป็นเพื่อนนางฟ้าที่แสนดีแล้วก็นะ ฉันจะเดินหนีไปจากตรงนี้เลย

“นี้… เมื่อวานฉันเห็นเธออยู่กับโย…Violet น่ะ เธอไปรู้จักได้ไงเหรอ?” และเมื่อจินนี่มาสกิตให้

ฉันหวนนึกไปถึงเรื่องเมื่อวานอีก คราวนี้ฉันเลยหันไปมองเธออย่างเต็มตา

“เธอไปที่นั่นด้วยเหรอ?”

“ใช่… เห็นท่าทางเธอสนิทกับโยมากเลยนะ ไม่ยักจะรู้ว่าเธอเป้นเด้กของโย ไหนเธอบอก

ว่าเป็น แฟนกวินไงล่ะ” แววตาของจินนี่มีคำถามมากมายจนฉันรู้ทัน

               เธออยากจะรู้เรื่องนี้เต็มแก่แล้วสินะ ถ้าฉันไม่บอกแล้วปล่อยให้ยัยนี่ลงแดงตาย

ไปก็คงจะดีไม่ใช่น้อย แต่คงจะไม่ทำแบบนั้นหรอกเพราะเดี๋ยวยัยนั้น จะหาว่าฉันราคาถูกคบใคร

หลายคน ดีไม่ดี ยัยนี่อาจจะคิดว่าฉันเสียให้กับพวกเขาทั้งสองแล้วก็ได้

“ฉันไม่ใช่เด็กของโย” ฉันบอกจินนี่แล้วมองหน้าเธอตรงๆ เพื่อบอกให้เธอรู้ว่าฉันไม่ได้พูดเล่น

“อ้อ… งั้นเหรอ” เพื่อนสนิทที่ทรยศอย่างจินนี่ทำหน้ายิ้มเจือนให้ฉัน ทางท่าจะรู้แล้วนะว่าฉันไม่

ใช่ผู้หญิงหัวอ่อนที่จะถูกปั่นหัวได้ง่ายเหมือนเมื่อก่อน

“แล้วเคื่องสำอางที่สั่งชื้อไปวันก่อนละ ยังไม่ได้อีกเหรอ” จะว่าไปต้องเป็นคนบอกว่าฉันสั่งไปเมื่อ

วันก่อนมากกว่านะ ที่เธอบอกแบบนั้นเพื่อต้องการให้คนอื่นรู้รึเปล่าว่าตัวเองได้ชื้อเคื่องสำอาง

ที่แพงมากนั่น

“อ้อ ได้สิ ” ฉันทำท่าคิด แล้วก็หยิบเอาเคื่องสำอางออกมาให้เธอ จริงๆอันนี้ของฉันแต่ว่าเห็นว่า

มันยังไม่ทันได้ใช้ ฉันเลยสงเคาะให้ยัยนี่ก่อน

“ขอบใจ” จินนี่ยิ้มร่าอย่างสดใสก่อนจะยัดเคื่องสำอางนั้นลงในกระเป๋า

“เออจริงสิ เธอดูอารมณ์ไม่ดีเลยนะ งั้นไปดูแฟชั่นโชว์ของเด็กมอเรา อ้อ.. ไม่สิ เธอไม่ได้อยู่

ที่นี่แล้วนิเนอะ แต่ยังไงก็ไปได้ใช่มั้ย?” จินนี่ชวน

              บอกตามตรงนะ ตั้งแต่ที่รู้ว่าจินนี่คบกับป็อบปี้อยู่ฉันก็แทบไม่อยากจะมองหน้าเธอ

ด้วยช้ำ ถ้าไม่ใช่เพราะแรงยุจากแก้ว ฉันคงไม่มานั่งปั้นหน้าเป็นเพื่อนที่แสนดี ถึงแม้ว่าเพื่อนสนิท

มันจะหักหลังโดยการคบกับแฟนเก่าหรอก เพราะทั้งคู่นั้นไม่สนความรู้สึกของฉันเลย ทำเหมือน

อย่างกับว่าฉันเป็นนังหน้าโง่ที่ตามไม่ทันอะไรสักอย่าง คิดแล้วก็เจ็บใจไม่หายสักที

“แฟชั่นโชว์” ฉันถามกลัวแล้วขมวดคิ้วไปด้วย

“อือ ป็อบปี้ก็ออกแบบด้วยนะ” จินนี่บอกยิ้มๆ และฉันเรี่มไม่เข้าใจว่าเธอคิดอะไรอยู่

“อ้อ โทษนะ ฉันมีธุระนะ” ซะที่ไหน จริงๆฉันไม่อยากจะไปเจอเขาต่างหากละ เมื่อวานเขา

ทำอะไรกับฉันไว้ก็รู้ๆดีอยู่แล้วนิ

“อ้อ จริงๆนะเหรอ ไม่ใช่เพราะว่าเธอ…”

“ฉันทำไม” ฉันต่อคำของจินนี่ที่เหมือว่าพูดไม่จบ และยังมองหน้าฉันด้วยสายตาแปลกๆ

“เธอยังรักป็อบอยู่… และยังทำใจไม่ได้ที่เขาคบกับฉัน”

“เฮอะ… บอกตรงๆ นะจินนี่ ว่าผู้ชายอย่างป็อบปี้ฉันก็เสียดายอยู่เหมือนกัน แต่ว่าในเมื่อ

ตอนนี้เขาเป็นแฟนเธอที่เป็นเพื่อนของฉันไปแล้ว อีกอย่างกวินก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าป็อบปี้เลย

หรือเธอจะเถียงละ อ้อ… โยก็เหมือนกัน ผู้ชายที่อยู่รอบตัวฉันแต่ละคนลเวลสูงๆ ทั้งนั้น

ฉันไม่มีอารมณ์ไปคิดถึงป็อบปี้อีกแล้วละ”

             เมื่อพูดตอกหน้าจินนี่จนเธอนิ่งพูดอะไรต่อไม่ออกแล้ว ฉันก็ยิ้มเยาะออกมาด้วย

แต่ไม่รู้จริงๆ ว่าฉันกำลังยิ้มเยาะใครกันแน่ระหว่าง จินนี่ ป็อบปี้ หรือว่าตัวฉันเอง

“แล้วตกลงจะไปดูมั้ย แฟชั่นโชว์นะ” แต่เธอยังไม่ละความพยายามจะให้ฉันไปดูอีกครั้ง

“ก็ได้ แต่ถ้ามันเบื่อฉันจะกลับ”

            เมื่อได้คำตอบที่พอใจ จินนี่ก็ยิ้มออก ท่าทางแบบนี้มันคงจะมีอะไรมากกว่าแฟชั่น

โชว์ธรรมดา แน่ๆ

            และก็จริงด้วย เพราะแฟชั่นโชว์อะไรที่ว่านั้นเป็นการดีไซน์ชุดแต่งงานของคณะ

ดีไซนที่มาหลัยเก่าของฉันเอง และนางแบบนายแบบก็จะไม่ใช่ใครที่ไหนหรอก นอกจากคนที่

ตัดชุดแต่งงานส่วนคู่ที่จะเดินด้วยก็แล้วแต่ ว่าเขาจะเลือกใคร และมันทำให้ฉันอยากจะกระ

ชากผมของจินนี่มามองตรงๆว่าเธอทำแบบนี้ไปทำไมกัน

            แน่นอนว่าป็อบปี้ก็เดินแบบครั้งนี้ด้วย เขาใส่ชุดเจ้าบ่าว ส่วนคนที่จะมาเดินแบบอีก

คนที่ใส่ชุดเจ้าส่าวนะ คงไม่ต้องบอกหรอกใช่ไหมว่าใครจะใส่

           จินนี่ยังไงล่ะ…

           และจินนี่ก็ยังขอร้องให้ฉันแต่งหน้าให้เธอด้วย หน้ายัยนี่ก็สวยอยู่แล้วแต่ก็ยังอยาก

ให้มันตาโตขึ้นไปอีกและสวยขึ้นไปอีก ถ้าฉันจะทำให้ยัยนี่หน้าโบ๊ะหนาเหมือนจะแสดงงิ้วนี่มันจะ

น่าตลกดีมั้ยนะ แต่อย่าเลยดีกว่า

           พอแต่งหน้าเสร็จฉันก็หยิบกระเป๋าสะพายตัวเองออกไปจากห้อง ก็ได้ยินว่าข้างนอก

มีอุบัติเหตุอะไรสักอย่าง และสุดท้ายฉันก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาห้องแต่งตัวผู้หญิง พร้อมกับ

ชุดอะไรสักอย่างที่ถือติดมือมาด้วย ฉันลุกยืนและมองหน้าคนที่เข้ามา อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงเดิน

ตรงมาหาฉันแบบนี้

“มีอะไร… ป็อบปี้” ฉันถามและมองหน้าเขาแน่วนิ่ง

“จินนี่เจ็บเท้าเดินแบบไม่ได้ ถ้ายังไงเธอช่วยใส่ชุดนี้แล้วเดินแบบคู่กับฉันที” ว่าแล้วก็โยนชุดเจ้า

สาวสีขาวบริสุทธิ์ใส่อกของฉัน จากนั้นก็เดินไปโดยที่ฉันไม่ทันได้ค้ายอะไรแม้แต่คำเดียว

“นายต้องการอะไรกันแน่นะ ป็อบปี้…”

 

          ฉันไม่รู้ด้วยช้ำว่าตัวเองกลั้นหายใจตอนที่เดินออกจากมุมเวทีอีกฝั่งกับป็อบปี้ เพื่อไป

เจอกันตรงกลางเวที จากนั้นก็จับมือกันเดินไปตามทางเวทีที่ทอดตัวยาวไปข้างหน้า ที่เป็นรูปตัว

ที่นั่น

          เมื่อมือของเราสัมผัสกัน แม้จะมีถุงมือสีขาวกั้น และผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีขาวนี้จะบด

บังสายตาของฉันไว้บางส่วน แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังมองงเห้นโคงหน้าและริมฝีปากของป็อบปี้ได้

อยู่

          ชุดแต่งงานที่เขาออกแบบเองนี่เป็นชุดเกาะอกสีขาวสะอาดตา และผ้าหน้าสูงขึ้นถึงเข่า

ทิ้งชายให้ยาวแต่ข้อเท้านั้น ด้านหลังตรงช่วงเอวเป็นโบว์ผ้าสีขาวเนื้อหนาทอดชายเสื้อให้ยาวเรี่ย

พื้นฉันเห็นครั้งแรกก็อดคิดไม่ได้ว่ามันเป็นชุดที่สวยมากจริงๆ

                  เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้ตัดมาเพื่อฉัน

                  เขาตัดให้จินนี่ แฟนที่รักของเขาต่างหากล่ะ

“ขอบใจ” และเมื่อเราเดินแบบเสร็จเขาก็บอกขอบคุณฉันก่อนจะบอกให้ถอดออกมา และเก็บ

ใส่ถุงให้เขา เดี๋ยวเขาจะกลับมาเอามันไป

                  ผู้ชายใจร้ายอย่างเขา ผู้ชายที่ไม่ใยดีผู้หญิงเท่าไหร่อย่างป็อบปี้… สามารถตัด

ชุดเจ้าสาวที่สวยและงดงามขนาดนี้ได้เหรอ ฉันคิดในใจและมองตามแผ่นหลังของเขาไปอย่าง

ไม่เข้าใจ

                   แต่ไม่นานเขาก็ส่งแมสเซจบอกให้เอาชุดไปให้เขาที่ดาดฟ้าของคณะดีไซน์

ฉันเองก็ไม่ได้คิดอะไรมากนอกจากเดินเอาไปให้เขาที่รออยู่บนดาดฟ้า

                   เขาทิ้งชุดเจ้าบ่าวให้กองลงอยู่ที่พื้น ฉันมองแล้วไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร

ทำไมถึงทำแบบนี้กันนะ

“มาแล้วเหรอ” ป็อบปี้หันหน้ากลับมามองฉัน สงสัยเสียงปิดประตูตามหลังแน่ๆ

                  ฉันขยับเท้าเข้าไปใกล้ๆเขาเรื่อยๆ และเพราะอะไรก็ไม่รู้ฉันเลยก้มลงเก็บชุดของ

เขาที่ทิ้งไว้ที่พื้นขึ้นมาหอบเอาไว้พร้อมกับชุดเจ้าสาวที่ฉันใส่ในถุงมานี่ด้วย

“ทำไม นายทำแบบนี้” ฉันถามอย่างไม่เข้าใจเขา

                  ในเมื่อชุดนี้เขาเป็นคนออกแบบเอง แล้วทำไมเขาถึงไม่สนใจไยดีมันแบบนี้

ฉันมองสายตาของเขาก็เห็นเขาเลิกคิ้วขึ้นสูง ทำท่าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

                   ฉันเกลียดท่าทางแบบนั้น เกลียดความหยิ่งยโสงี่เง่าพวกนั้น และสุดท้ายฉันอยาก

กระชากหน้ากากของเขาออกมา อยากรู้ว่าตอนนีเขากำลังทำหน้าอย่างไรอยู่กันแน่

“ก็แค่ขยะ จะใส่ใจอะไร” ป็อบปี้ยักไหร่ และฉันก็โกรธที่เขาเป็นแบบนี้

“ถ้านายเห็นว่ามันเป็นขยะเพราะฉันสวมมันละก็ ป็อบปี้… ฉันขอโทษ” ฉันบอกเขาแล้ว

ก็โยนชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวของเขาลงพื้น

“ขอโทษไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ไหนดูสิ ทำไมมันสกปรกอย่างนั้นนะ” ป็อบปี้พึมพำอะไรบาง

อย่าง แล้วก็ขยับเท้าเข้ามาใกล้กองเสื้อผ้าที่ฉันโยนทิ้งไปเมื่อกี้

“สกปรก… ป็อบปี้ ฉันมันสกปรกอย่างนั้นเลยเหรอ?” จะมากเกินไปแล้วนะผู้ชายคนนี้

                  นายมีสิทธิ์อะไรที่จะมาทำร้ายจิตใจของฉันแบบน่ะ ฉันกำมัดแน่นจนเล็บจิก

เข้าไปในอุ้มมือและป็อบปี้ก็ทำท่าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เขามองผ่านฉันไปเลยเหมือนว่าฉันเป็น

อากาศที่มาอาจจะมองเห็นและจับต้องไม่ได้ ฉันเคยคิดว่าเขาเย็นชา

                   แต่ตอนนี้เขามันก็ไม่ต่างจากฉันเท่าไหร่นักหรอก

                   เขาเองก็เป็นปีศาจร้ายเหมือนกันกับฉัน เป็นปีศาจที่กัดกินเนื้อในที่เป้นตัว

ตนของฉันไปทีละเล็กละน้อยจนเจ็บปวด สุดท้ายก็จะด้านชา และกลายเป็นปีศาจเต็มตัวเหมือน

กับเขา

“ของพรรค์นี้ หายๆ ไปซะ ฉันจะได้ไม่รกหูรกตา”  ป็อบปี้ลุกขึ้นจากพื้น หยิบขวดเหล้าแบบ

พกพาที่เป็นโลหะขึ้นมาเปิดดื่มสองสามอึก จากนั้นเขาก็เทราดลงที่ชุดทั้งสองชุดนั้น

“ป็อบปี้ นายทำอะไรน่ะ!!” ฉันหวีดเสียงสูงเมื่อเห็นว่าเขาทำบ้าอะไรสักอย่าง

“เผามันทิ้งไงล่ะ” และป็อบปี้ก็กระตุกยิ้มพลางดึกเอาไฟแช็กออกมาจากกระเป๋ากางเกง

ก่อนจะจุดและโยนมันลงไปยังกองชุดแต่งงานที่ชุ่มไปด้วยแอลกอฮอก่อนหน้านี้

“ป็อบปี้!!” ฉันร้องออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าไฟลุกพรึบติดอย่างรวดเร็ว

            เพราะอะไรก็ไม่รู้ ทำให้ฉันถลาเข้าไปยังกองเพลิงนั้นอย่างรวดเร็วและพยายามจะหยิบ

ชุดเจ้าสาวที่เหมือนจะติดไฟลามไปอย่างรวดเร็วขึ้นมาสะบัดๆ ทันที

“ฟาง!!” ป็อบปี้เรียกชื่อฉันด้วยความตกใจสุดขีด แต่ฉันไม่สนใจแล้ว

         บนดาดฟ้าที่สูงนับสิบชั้นทำให้ลมบนนั้นพัดแรงกว่าบริเวณพื้นดิน ไม่นานลมก็พัด

ให้ไฟโหมกระพือและสุดท้ายก็ลวกทั้งหน้าและแขน รวมไปถึงเสื้อของฉันที่สวมอยู่ติดไฟตาม

ไปด้วย

           ฉันร้องกรี๊ดและล้มลงรู้สึกเหมือนว่าไฟลวกไปทั้งตัวจนแสบร้อนไปหมด และยังชุด

เจ้าสาวที่ตกอยู่กับตักของฉันนี่ด้วย ทำให้ต้นขาของฉันก็แสบร้อนไปหมด

“ให้ตาย!” ป็อบปี้ฉวยเอาชุดที่ไหม้ไฟนั้นออกไปพ้นตัวของฉัน ก่อนจะเข้ามาประคองฉันไว้

ที่ถูกไฟลวกไปทั้งตัวแล้ว

“เธอทำบ้าอะไรน่ะ…” เสียงของเขาสั่น และชั่วขณะหนึ่ง ฉันคิดว่าเขากำลังตกใจและเป็นห่วงฉัน

“มือเธอเละหมดแล้วนะ ยัยบ้า!!” ป็อบปี้ช้อนตัวของฉันที่นั่งพิงอกของเขาขึ้นอุ้ม และรีบเดินเป็น

วิ่งลงบันไดทันที

“อย่าเป็นอะไรนะ อย่าเป็นอะไรนะฟาง…”

 

PF PF PF PF PF PF PF PF

ขอตบป็อบสักที-^-

หมั่นไส้ความมั่นใจของฮี

เกินจะคาดเดา(หัวเราะ) นาง

เอกของเราก็ร้ายแบบออกมาไม่

หมด จินนี่แค่กุญแจเปิดความร้าย

ขั้นแรก แต่จะมีอีกคนที่มาเปิดความ

ร้ายของฟางแบบจัดเต็ม แต่จะใคร

นั้น ขออุบไว้ก่อน อิอิ เม้นให้ด้วยจ้า

แล้วเจอกันตอนหน้า จุ้บๆ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา