ผจญภัยในสุสานกษัตริย์ ตอน สุสานจิ๋นซี

-

เขียนโดย Lunalily

วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 09.49 น.

  11 บท
  3 วิจารณ์
  15.39K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 10.27 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

9) ซวยซ้ำซวยซ้อน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

บทที่9

ซวยซ้ำซวยซ้อน

 

 

 

ผมรีบถอยกรูไปข้างหลังเกือบร้องแหกปากลั่น ถ้าสายตาไม่มองไปทางแสงไฟฉายที่หล่นอยู่หน้าช่องนั้นเสียก่อน ผมคงสติแตกไปแล้ว รีบยกมือปิดปากสงบสติที่กำลังกระเจิง หอบหายใจจนตัวเกร็ง

ระหว่างศพที่อยู่ตรงหน้านอนแน่นิ่ง กับผีดิบที่ยืนโผล่มาแค่ส่วนขา ไม่ว่าอะไรแม่มก็น่ากลัวหมดนั่นล่ะ แต่ผมรู้สึกเกรงใจแม่นางที่อยู่ข้างนอกนั่นมากกว่า จึงพยายามกลั้นเสียงไม่ให้เล็ดรอดออกไป แทบจะกลั้นหายใจแล้วแฝงตัวอยู่ในความมืด มองเท้าที่เปื่อยยุ่ยของผีดิบตัวนั้น ภาวนาให้มันออกไปจากตรงนี้เสียที

เวลาผ่านไปชั่วอึดใจแต่เหมือนนานแสนนาน เหงื่อผมแตกผลั่กไม่รู้จะทำยังไง เฮียฟานก็หายไป ทุกคนก็หายไปในกับดักไม่รู้เป็นตายร้ายดีกันอย่างไรบ้าง พอคิดแล้วความหวาดกลัวก็เพิ่มทวี พาลคิดในใจว่า ยี่สิบสามปีที่ผ่านมาสงสัยคงได้เอามาทิ้งในสุสานนี่แน่ๆ

ดวงตาผมจับจ้องไปยังขาๆนั้นตาไม่กระพริบ ภาวนาไล่ยังไงแม่มก็ไม่ไปสักทีจนผมหงุดหงิด คิดในใจว่า เออ! มึงยืนอยู่เฉยๆแบบนี้ไปให้ตลอดก็แล้วกัน อย่าทะลึ่งพรวดเข้ามานะโว้ย แล้วละสายตาจากผีดิบตัวนั้นหันมามองศพแทน

แสงสีเขียวของแท่งไฟยิ่งทำให้ศพดูสยดสยอง ผมค่อยๆกระเถิบออกไปทางด้านข้างหลายก้าว เมื่อตัวติดเข้ากับกำแพงจึงค่อยๆลุกขึ้นอย่างช้าๆ เอาหลังชิดกำแพงไว้ แล้วขยับตัวไปทางไฟฉาย ค่อยๆเอาขาเขี่ยให้มันมาทางผม ใจก็กลัวว่า จะมีมือดีเข้ามาคว้าขาผมไว้หรือเปล่าเหมือนในหนังผีที่เคยดู แต่มันก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ค่อนข้างโล่งใจถึงกับต้องตบอกตัวเองตุบๆ

พอได้ไฟฉายมาไว้ในมือก็รู้สึกโล่งอกขึ้นมาหน่อย ด้านนอกยังได้ยินเสียงฝีเท้าเดินวนเวียนอยู่ข้างหน้า ผมกลืนน้ำลายอึก พยายามไม่ส่งเสียงอะไรออกไป สาดไฟไปทางศพ แต่พอเห็นสภาพเต็มๆแล้วเท่านั้นล่ะ แทบอยากจะแหวะออกมา รีบยกมือขึ้นปิดปากปิดจมูก

ผมไม่เคยเห็นอะไรที่น่ากลัวขนาดนี้มาก่อน นี่คือสภาพของคนที่ตายในสุสานอย่างนั้นหรือ สงสัยฉินสือหวงคงไม่พอใจน่าดูจึงประทานความตายอันโหดร้ายเช่นนี้

ศพนั่นคือศพผู้ชายที่นอนคว่ำหน้าอยู่ แต่ก็พอเห็นด้านข้างของศพ ใบหน้าค่อนข้างเละเหมือนถูกโดนแทะจากตัวอะไรสักอย่าง ตามตัวอาบไปด้วยเลือด สวมเสื้อผ้ารัดกุมคล้ายๆหน่วยสปาย แต่ถึงจะแต่งตัวดียังไงเสื้อผ้าก็ฉีกขาดเป็นรูพรุนแทบทั้งตัว กลิ่นคาวเลือดส่งกลิ่นรุนแรงทำให้ผมถึงกับต้องเบะปาก

ไม่รู้ว่าผู้ชายคนนั้นตายยังไง แต่น่าจะตายได้ไม่นานนัก ดูจากเสื้อผ้าท่าจะไม่ใช่คนของเราแน่นอน คนของอาลี่หางทุกคนรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ แต่ศพที่อยู่ตรงหน้าผมค่อนข้างร่างท้วมไม่สูงมาก

ผมย่นคิ้วประหลาดใจ นอกจากพวกเราแล้วยังมีคนลงมาในสุสานนี่อีกหรอ? แต่เมื่อนึกถึงคำบอกเล่าของเจี้ยนหยี ผมก็ฟันธงว่า นี่คงเป็นคนอีกคณะหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นนักสำรวจจากกรมป่าไม้แน่ๆ เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่เหมือนกับคนของทางการจริงๆ มิน่าล่ะทำไมคนในหมู่บ้านถึงไม่ได้ให้ความสนใจเท่าไร ดูท่าจะพากันมาคว่ำกรวยสุดท้ายแล้วติดแหงกจนถึงแก่ความตายอยู่ที่นี่

เมื่อส่องไฟจนแน่ชัดว่า ศพนั่นไม่มีทางตื่นขึ้นมาเหมือนพวกผีดิบข้างนอกนั่น ผมก็ละสายตาจากเขา ศพนั่นไม่ได้น่ามองเท่าไรนักหรอก ผมควรเลิกระแวงแล้วหาทางหนีจะดีกว่า คิดว่ายังไงก็ต้องตามหาเฮียให้เจอ

เมื่อภายนอกไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก บางทีแม่นางลี่คนนั้นคงจากไปแล้ว ผมจึงกวาดไฟฉายไปทั่วห้อง

ห้องนี้ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นนัก เป็นห้องโล่งๆห้องหนึ่ง พื้นที่ไม่กว้างมากรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตามมุมจัดตกแต่งด้วยโต๊ะไม้เล็กๆ วางด้วยแจกันลายเมฆมังกร บางมุมก็มีเครื่องทองสำริดวางตั้งอยู่ เครื่องทองสำริดนั่นขึ้นรูปร่างคล้ายๆกับกระถางธูปขนาดเท่าสองฝ่ามือ แต่มันอยู่ไกลมากผมมองเห็นมันไม่ชัดนัก มันตั้งอยู่บนแท่นหินแท่นหนึ่ง

ผมคิดว่าจะเดินเข้าไปดูมันสักหน่อย แต่เมื่อก้าวขาก็เตะเข้ากับอะไรบางอย่าง ผมตกใจถึงกับกระโดดตัวติดกำแพง พอส่องไฟมองก็แทบขำ สงสัยผมจะหลอนมาก แค่กระเป๋าสัมภาระใบหนึ่งก็ยังกลัวได้ มันคงเป็นของผู้ชายคนนั้นที่นอนเป็นศพอยู่ที่พื้น

ผมก้มลงหยิบกระเป๋านั่นขึ้นมา มองไปทางศพแล้วบอกเขาว่า "ขอโทษนะพี่ชาย ไหนๆก็ตายแล้วของในนี้คงไม่มีประโยชน์กับคุณ เพราะงั้นขอเปิดดูหน่อยนะ" จากนั้นก็ก้มลงเปิดกระเป๋าสำรวจ

ของในกระเป๋าเต็มไปด้วยขนมปังอัดแท่งกับยารักษาบาดแผล มีตะบันไฟอยู่ประมาณสองสามแท่ง กับลูกกระสุนอีกสองกล่อง มีแท่งเรืองแสงหลายแท่งปะปนกันไปหมด พอผมเห็นแล้วก็ยิ้มออกมาได้หน่อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องมาอดตายอยู่ในสุสานบ้าบอนี่ก็แล้วกันวะ พอรื้อๆดูแล้วเป็นประโยชน์จึงเอามาเป็นของตัวเองซะเลย

ผมเหลือบมองกำลังไฟจากไฟฉายค่อนข้างอ่อนแรง จึงคิดว่าใช้ตะบันไฟจุดนี่น่าจะเห็นรอบๆห้องได้ดีกว่า จึงหยิบมันออกมาแท่งหนึ่งแล้วสะพายกระเป๋า พอจุดตะบันไฟ ทั้งห้องก็สว่างจ้าพอเห็นลู่ทางได้บ้าง ผมยัดไฟฉายเข้ากระเป๋ากางเกง มองไปอีกฝั่งของห้องตรงเครื่องทองสำริด ดูเหมือนตรงนั้นจะมีรอยต่อของประตูลับอยู่

ในใจคิดว่า อย่างน้อยก็ลองเสี่ยงไปทางอื่นไม่ต้องเจอแม่นางลี่คนนั้นล่ะวะ แต่พอผมก้าวขาตั้งท่าจะเดินไปเท่านั้นล่ะ สายตากลับเหลือบไปมองตรงช่องแคบที่ผมแทรกตัวเข้ามาพอดี ทีนี้ล่ะไอ้บ้าเอ๊ย! ขาผมมันหนักขึ้นมาซะดื้อๆ

คอผมแข็งไปหมด มือถือตะบันไฟชูแข็งค้าง แสงของตะบันไฟส่องสว่างยันข้างนอก เผยให้เห็นใบหน้าโชกไปด้วยคราบเมือกสีเขียว ดวงตาขาวเป็นฝ้าทั้งดวง จ้องมาทางผมเขม็ง

ไอ้ผีตัวนี้ผมจำมันได้ ที่แท้ก็คือสนมลี่เฟยนั่นเอง ทีแรกนึกว่านางไปเดินเล่นที่อื่นแล้ว ที่ไหนได้แม่มมายืนแอบมองผู้ชายอยู่นี่เอง ไม่รู้จะติดอกติดใจอะไรกันนักหนาแถมมาทำให้ผมประหม่าเล่นอีก

ทีนี้ล่ะ ใจเต้นโครมครามแทบทะลุ เหงื่อยิ่งผุดเต็มใบหน้าเข้าไปอีก แต่ยิ่งยืนอยู่นาน ตะบันไฟก็จะค่อยๆหมดลงอย่างช้าๆ ผมนี่อยากจะเอาปาหน้านางแล้ววิ่งหนีให้รู้แล้วรู้รอด แต่ช่องทางนี้ก็ใช่ว่าจะกว้างซะเมื่อไร ตัวนางโผล่เข้ามาได้แค่ใบหน้า สงสัยคงไม่รู้วิธีเข้า ยังไงผีดิบก็คือผีดิบ มันคงไม่ฉลาดตะแคงตัวตามเข้ามาหรอกนะ

ผมกลืนน้ำลายอึก พยายามใช้ความกล้าเต็มกำลังเพื่อที่จะไม่สนใจนาง ถ้าหากไปตรงประตูลับบานนั้นได้ ก็เท่ากับหลุดพ้น แต่พอจะก้าวขา ขานี่ก็สั่นพับๆเป็นเจ้าเข้า ร่างกายนี่มันไม่ซื่อตรงกับใจเลยให้ตายสิ!

ผมสูดลมหายใจเน่าเหม็นภายในห้องเฮือกหนึ่ง แล้วก้าวขาไปทางนั้นอย่างกล้าหาญ เอาวะเป็นไงเป็นกัน จ้องได้จ้องไปข้าไม่กลัวเจ้าหรอก แต่พอก้าวขาเท่านั้น อย่าคิดว่าการออกไปจากห้องนี้มันจะง่ายอย่างที่คิด

เสียง แสก แสก ดังเหมือนคลื่นขาอะไรสะอย่างดังอยู่ข้างบนหัวผม ผมชะงักกึกย่นคิ้วด้วยความฉงน แล้วเสียงนั้นก็แตกฮือเหมือนขาของแมลงนับพันวิ่งอยู่ ผมเงยหน้าขึ้นมองตามสัญชาติญาณ เท่านั้นล่ะ เชี่ย! อะไรมันจะซวยขนาดนี้ นั่นมันโคตรพ่อโคตรแม่ปีเตอร์หรือไงวะ

ตาผมนี่เบิกค้าง คางจะหล่นลงพื้นอยู่แล้ว ไม่เคยเห็นแมลงสาปขนาดใหญ่เท่าฝ่ามือตัวเองมาก่อน แค่อีตัวเล็กๆวิ่งผ่านหน้าไปตัวสองตัวนี่ก็ว่าสยองแล้ว นี่มาเป็นฝูงแถมไซต์นี่คงเป็นสายบรรพบุรุษ นี่มันกะเอากันให้ตายเลยใช่ไหม!

ในขณะนั้นเอง ผมยืนอยู่ห่างจากศพประมาณสองก้าว อยู่ๆศพนั่นก็เกิดเสียงแสกๆ ทำเอาผมกระโดดเหยงตัวลอย กลับมายืนติดกำแพงตามเดิม คิดในใจว่า แย่แล้ว ฉินสือหวงทรงพิโรธ ผีดิบสนม กับปีเตอร์นี่มันคงไม่สาแก่ใจ คิดจะปลุกศพเละๆตรงหน้าขึ้นมาอีกตัว ทีนี้ไม่ต้องคิดหนีแล้ว กูยอมตายเลยดีกว่าอะไรจะโหดขนาดนั้น

ผมมองศพจนตัวแข็ง จ้องมันเขม็งมองดูว่าศพนั่นจะลุกขึ้นมาหรือเปล่า ตามเสื้อผ้าและผิวหนังที่เป็นรูของศพส่งเสียงดังปุปุ เนื้อตัวเหมือนมีอะไรกำลังโผล่ออกมา หรือว่าจะเป็นเอเลี่ยน? แต่พอโฉมหน้าของเอเลี่ยนที่ค่อยๆโผล่หัวออกมาผมนี่อยากหากระป๋องยาฆ่าแมลงขนาดจัมโบ้พ่นมันให้ตาย

ไอ้ห่าเอ๊ย! ปีเตอร์ตัวเล็กตัวน้อยที่ไต่ออกมาจากร่างศพ ทำเอาผมใจหายใจคว่ำไปหมดแล้ว

 ยกมือขึ้นทาบอก ใจยังเต้นโครมครามอยู่เลย พอปีเตอร์มันเดินมาทางผมเลยเตะอัดเข้าให้ บันดาลโทสะโทษฐานทำให้ผมกลายเป็นตัวตลก

แค่ตัวใหญ่ขึ้นมาหน่อยเดียว อย่าคิดว่าข้าจะกลัวนะเว้ย แต่ยิ่งเตะไปเท่าไรพวกมันก็ยิ่งกรูมาทางผมมากเท่านั้น

นี่มันไม่ถูกต้อง ผิดหลักธรรมชาติ แมลงสาบพวกนี้มันมุ่งเข้าหาแต่ผม เหมือนกับผมเป็นอาหารอันโอชะของมันยังไงยังงั้น บางตัวเดินผ่านศพก็แวะเวียนไปที่ศพนั่นก่อน ใช้ปากของมันกัดแทะกันอย่างเอร็ดอร่อย พอผมเห็นแล้วก็ตาค้าง แข็งทื่ออยู่กับที่

ทีนี้ล่ะอี้เฟิงเอ๋ย ขอดูโฉมหน้ามันชัดๆหน่อย นี่มันไม่ใช่ปีเตอร์ธรรมดาแล้วนะ นั่นมันแมลงปีศาจชัดๆ!

ผมมองขึ้นไปบนเพดาน ตะบันไฟหมดไปกว่าครึ่ง แมลงพวกนั้นมันหนีออกห่างจากไฟในมือของผมจนหมด พอผมเอาตะบันไฟจ่อลงล่าง แมลงพวกนั้นก็เคลื่อนทัพออกไปเป็นวงกว้าง สงสัยมันจะกลัวไฟ

เมื่อคิดได้ดังนั้นผมก็ดึงกระเป๋าออกมาจากข้างหลัง แสงไฟจะหมดแล้วต้องเอาอีกแท่งออกมาต่อชีวิต แต่พอผมเอาตะบันไฟเบี่ยงออกจากพวกมัน แมลงห่านั่นก็บินพุ่งตรงมาทางผมทันที

ขาที่เป็นเหมือนตะขอหลายซี่เกาะหนึบเข้าที่แขนของผม ความคมของมันฝังเข้ามาในเนื้อสุดแสนเจ็บปวด ผมร้อง "ว๊าก!" เสียงลั่น ปล่อยตะบันไฟหล่นลงพื้น กระชากตัวมันออกไปไม่ทันคิด ทำให้แขนผมโดนเฉือนเนื้อเป็นทางยาวจนเลือดพุ่ง เจ็บถึงทรวง

ผีแม่นางนั้นพอได้กลิ่นเลือด นางก็กรีดร้องใหญ่ ยิ่งทำให้ผมผวาหันไปมอง นางที่พยายามตะกุยช่องแคบนั่นเข้ามาอย่างเอาเป็นเอาตาย

ในใจผมคิด ชิบหายแล้ว รีบคว้าเอามีดพกที่เฮียให้ไว้ขึ้นมาฟันอากาศ ใช้มันป้องกันตัวจากไอ้พวกแมลงปีศาจที่บินเข้ามาใส่  ผมไม่เคยมองเห็นความน่ากลัวของพวกมัน เพิ่งจะมาเห็นก็วันนี้ล่ะวะ

ขาของมันเต็มไปด้วยตะขอขนาดเล็กที่กางออกมา พุ่งเข้าหาหน้าผมด้วยความเร็ว ผมเอียงคอหลบแทบไม่ทัน ถ้าขืนมันเกาะหน้ามีหวังได้เสียโฉมแน่ๆ แมลงปีศาจพวกนั้นเคลื่อนทัพอย่างกับคลื่นของน้ำ ไม่รู้ว่ามันออกมาจากตรงไหน ผมมองไปทางไหนก็เห็นเป็นสีดำไปหมด ไม่กล้าวิ่งฝ่าไปทางประตูลับนั่น

พวกมันกรูเข้าใส่ดุดัน จนผมไม่ทันตั้งตัว เกาะตามขาขึ้นมาตามตัว ซี่ตะขอพวกนั้นทะลุกางเกงโดนเนื้อเจ็บจนอยากลงไปดิ้น ผมใช้มีดฟันมันออกไปอย่างไม่คิดชีวิต เตะขาเหวี่ยงอย่างเอาเป็นเอาตาย

ตอนนี้ผมสิ้นหวังว่าไม่รอดแล้ว ดูจากศพก่อนหน้าคงจะเจอชะตากรรมแบบเดียวกัน ตัวถึงได้พรุนขนาดนั้น แถมยังมีผีดิบที่คิดจะเข้ามาชวนผมไปอยู่ด้วยอีก คิดว่ายังไงผมก็ไม่รอด ทรุดลงกับพื้นเจ็บปวด แมลงพวกนั้นกรูเข้ามาเกาะเต็มตัวผมไปหมด

ยมบาลมายืนโบกมืออยู่ไกลๆ งานนี้คงได้ตายอย่างอนาถ

แต่ทันใดนั้นเอง เสียงเพดานห้องทางด้านบนก็ถูกเปิดออก ตามด้วยเสียงของปืนยิงมาที่ตัวของแมลงสาบที่เกาะอยู่ที่ไหล่ของผมดังปัง! ตัวแมลงสาบตัวนั้นแตกกระจายใส่เต็มหน้าผม กลิ่นเหม็นราวกับศพเน่า จากนั้น คนๆนั้นก็หล่นกระแทกพื้นดังตุบ! ทับใส่ฝูงแมลงจนพวกมันตกใจ แตกฮือไปคนละทิศละทาง

ผมมองไปทางบุคคลที่หล่นลงมาจากเพดาน ปรากฏว่าเขาคือตาแก่ลี่หาง! ผมเผลอยิ้มดีใจออกมาได้หน่อย แล้วผมก็ฮึดตัวลุกขึ้นยืน ใช้มีดจ้วงไปที่แมลงสาบที่เกาะตามตัวผมออกไป วิ่งไปหาอาลี่หางที่พยายามยันตัวลุกขึ้นยืน

ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรอยขีดข่วน ใบหน้ามีแผลเหวอะอยู่สองจุด สภาพสะบักสะบอมยิ่งกว่าผมเสียอีก ผมถามเขาร้อนรน "เป็นไงบ้าง คุณมาโผล่นี่ได้ไง"

ตาแก่นิ่วหน้า ตอบผมว่า "อย่าเพิ่งมาถามผมตอนนี้นายน้อย รีบออกไปจากที่นี่ก่อน" ผมจึงพยักหน้าแล้วยกแขนเขาพาดไหล่ พยุงตัวเขาลุกขึ้นยืน แมลงพวกนั้นหนีไปได้แปบเดียวก็กลับมาอีก แถมช่องแคบแม่นางลี่คนนั้นก็ตะกุยจนมันเปิดกว้างเกือบจะแทรกตัวเข้ามาได้แล้ว

   ผมกัดฟันเดินฝ่าฝูงแมลงที่บินมาเกาะตามเนื้อตัวของผม คิดว่ายังไงผนังตรงข้ามของพวกเราต้องเป็นประตูลับที่เชื่อมไปอีกห้องแน่ๆ ตอนนี้ไม่สนใจความเจ็บปวดแล้ว คิดอาฆาต ไอ้แมลงเวร มึงเกาะได้มึงเกาะไป กูหลุดไปได้เมื่อไรมึงตายแน่

ข่มความเจ็บปวด ก้าวขาพาอาลี่หางไปทางประตูนั่นจนเกือบจะถึง พลันช่องผนังห้องที่ผีดิบนั่นตะกุยเข้ามาก็พังทลายลง เสียงดังโครม!

ด้วยความเร็วแทบตั้งตัวไม่ทัน แม่นางลี่จอมตื๊อนั่นกระโจนเข้ามาได้สำเร็จ กรีดร้องเสียงหลง เสียงร้องแสบแก้วหูทำเอาผมแทบเข่าทรุด

พวกเราหมุนตัว ตั้งท่าจะหลบการโจมตีของนางที่น่ากลัว ตาแก่ยกปืนเตรียมจะยิงสวนแล้ว แต่จังหวะนั้นเพดานห้องก็ส่งเสียงลั่นอีกระลอกใหญ่ ตามด้วยวัตถุดำมืดที่หล่นลงสู่เบื้องล่าง ยิงปืนกลางอากาศ สวนผีดิบนั่นด้วยปืนสั้นสองกระบอก ยิงไปหลายนัดจนนางกระเด็นออกไปทางรูเดิมที่นางเข้ามา

ผู้ชายคนนั้นหมุนตัวกลางอากาศ ตกลงสู่เบื้องล่างด้วยท่าคุกเข่าต่อหน้าพวกเราสองคน ผมอ้าปากค้างไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน ผู้ชายคนนั้นนั่งหันหลังให้พวกเรา รีบลุกขึ้นยืน หันมาสั่งพวกเราว่า "รีบไปจากที่นี่"

     เขาเดินผ่านเราไปทางกระถางธูปทองสำริด ผมเห็นแมลงพวกนั้นแตกฮือหนีเขาไป เหมือนว่าเขาเป็นยาฆ่าแมลงที่พวกนั้นหวาดกลัว ผมมองกลับไปทางผีดิบที่นอนแน่นิ่งอยู่ พอมันขยับแขนก็ผวา ต้องรีบพาตาแก่นี่ตามผู้ชายคนนั้นไปติดๆ ในเมื่อมีทางเลือกเดียว

ชายแปลกหน้าหยุดยืนอยู่หน้ากระถางธูปสำริดรูปทรงประหลาด เขาบิดประถางธูปใบนั้นที่อยู่บนแท่นหินจนรอบ จากนั้นประตูลับก็เปิดออก เขาเดินเข้ามาช่วยผมพยุงตาแก่ที่ตอนนี้ร่อแร่เต็มที่แล้ว พาพวกเราเข้าไปในทางระเบียงที่มืดสนิท ไม่นานนักประตูลับก็ปิดลง

ทางเดินมืดทึบ แทบมองอะไรไม่เห็น ผมได้ยินเสียงเขาหอบหายใจหนักเหมือนว่าพี่ชายคนนั้นเหนื่อยมาก เราเดินไปตามทางไม่รู้ว่าผ่านไปกี่นาทีแล้ว อยู่ๆเขาคนนั้นก็ผละตัวออกไปจากอาลี่หาง เกือบเอาผมกับตาแก่หัวคะมำตามไป

ประตูบานใหญ่ตรงหน้าเราถูกเปิดออกด้วยแรงของเขาเพียงคนเดียว ผมเห็นแสงของดวงจันทร์สาดเข้ามาข้างใน พอเห็นสภาพภายในของตำหนักได้บ้าง รู้สึกตกตะลึง

ผู้ชายคนนั้นพยักหน้าให้เราเข้ามา ผมจึงต้องพยุงตาแก่ตามเขาไป จากนั้นเขาก็ปิดประตูลง ภายในห้องกว้างใหญ่จนเสียงหอบหายใจของพวกเราสะท้อนไปทั่ว พอรู้ว่ารอดแล้ว พวกเราก็ทิ้งตัวลงนั่งพิงตัวไปที่ประตูยักษ์ นั่งหงายหมดสภาพกันทุกคน

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา