ผจญภัยในสุสานกษัตริย์ ตอน สุสานจิ๋นซี
เขียนโดย Lunalily
วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 09.49 น.
แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 10.27 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
7) สุสานปีกหลัง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
บทที่7
สุสานปีกหลัง
อุโมงค์ที่ขุดไม่ใช่อุโมงค์โจรแน่ๆ เมื่อดูจากลักษณะ และเห็นความกว้างของมัน ดูเหมือนต้องใช้กำลังคนมากถึงจะขุดได้ขนาดนี้ เส้นทางระหว่างเดินเข้าไปค่อนข้างยาวและมืดสนิท ชั่วขณะนั้นผมแทบลืมหายใจด้วยความตื่นเต้น คอยตามหลังเฮียฟานไปไม่ห่าง
คำพูดของเหว่ยถิงทำให้ผมคิดหนัก มันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกไม่ไว้วางใจพวกเขาทุกคน เตี่ยเคยเล่าให้ฟังบ่อยๆว่า คนขุดสุสานไม่ใช่คนดี คนดีไม่คว่ำกรวย ตอนนั้นผมเลยแซวเตี่ยว่า "งั้นเตี่ยก็ไม่ใช่คนดีสิ" เตี่ยหัวเราะหึหึ ไม่ปฏิเสธผมแต่กลับเขกหัวผมแทน
เตี่ยบอกว่า "สมบัติน่ะสามารถทำลายคนดีได้ในพริบตา เตี่ยถึงบอกว่าคนดีไม่คว่ำกรวยยังไงล่ะ ส่วนคนขุดสุสาน แม้สนิทกันมากแค่ไหนก็ไม่อาจไว้วางใจกันได้ เมื่อเจอสมบัติก็กลายเป็นคนแปลกหน้าทันที"
ตอนที่เตี่ยสอนผมผมยังอายุแค่สิบหกสิบเจ็ดอยู่เลย ผมไม่เข้าใจหรอกว่าเตี่ยพยายามจะสื่ออะไร แต่ก็พอรู้ความหมายว่า คนขุดสุสานส่วนใหญ่เป็นพวกโจรการหักหลังเป็นเรื่องปรกติ พอเห็นสมบัติใครๆก็เกิดความโลภได้ทั้งนั้น
แต่สำหรับเตี่ยผมไม่ใช่ เขาไม่ได้อยากได้สมบัติ แต่เขาตามหาสมบัติคู่ควรเมือง มันเหมือนเป็นความชอบที่บ่มเพาะขึ้นเรื่อยๆ เกิดความอยากรู้อยากเห็นว่าสมัยก่อนผู้คนมีชีวิตอยู่กันยังไงมากกว่า เรื่องสมบัตินั่นก็อีกส่วนหนึ่ง
พอคิดได้ดังนั้นท้องไส้ผมมันก็ปั่นป่วนขึ้นมาทันที ลงสุสานในครั้งนี้เหมือนเอาชีวิตมาเสี่ยงยังไงยังงั้น หนึ่งคือลูกพี่ลูกน้องจอมเลือดร้อนที่เดาใจได้อยาก อีกคนคืออาลี่หางที่ผมติดหนี้เขาอยู่ ไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายเลือดกันอีกต่างหาก เขาจะเก็บผมเมื่อไรก็ได้ ถึงแม้จะระแวง แต่ผมก็ยังอยากไว้ใจเฮียอยู่ดี
พยายามทำตัวให้เป็นปรกติเหมือนคนโง่คนหนึ่ง ในระหว่างที่เดินไปตามอุโมงค์ผมสะกิดถามเฮียว่า "เฮีย เฮียทิ้งผมไว้ทำไม ทำไมไม่เรียกผม" เฮียหันกลับมามองหน้าผม สีหน้าเรียบเฉยไม่ได้ฉายแววรู้สึกผิดใดๆ
เราสบตากันครู่หนึ่ง ผมอยากได้คำตอบมากเลยส่งสายตาคาดคั้น เชิงบังคับว่าเฮียต้องตอบนะโว้ย เฮียถอนลมหายใจแล้วตอบว่า "ทีแรกเฮียกะว่าจะเข้าสุสานแค่แปบเดียว ถ้าเจอของมีค่าสักชิ้นสองชิ้นก็จะกลับออกไปไม่เสี่ยงเข้าไปลึกกว่านี้ เพราะมีเอ็งมาด้วยมันอันตราย ถ้าเอ็งเป็นอะไรไปเฮียจะกล้าสู้หน้าเตี่ยเอ็งหรือ"
เขาหันไปมองอาลี่หาง แล้วพูดอีกว่า "แต่พอข้าขึ้นมา ดันมาเจอพวกมันซะก่อนไม่รู้เจตนามาหาสมบัติกันเฉยๆหรือเปล่า" จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าไปไม่สนใจผมอีก
ถ้าอยู่ในสถานการณ์ปรกติ ผมอาจจะน้ำตาไหลร้องไห้ฟูมฟายแล้วกอดเฮียแน่นๆ แต่ตอนนี้ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่ก็ยังรู้สึกดีอยู่ แววตาเฮียไม่ได้ฉายแววว่าเขาโกหก สีหน้าเขาจริงจังดูไม่เหมือนที่เหว่ยถิงมันบอกเลย ว่าคนอย่างเฮียนี่น่ะหรือจะหักหลังผม
เมื่อเห็นความตั้งใจของเฮีย ผมจึงถามหยั่งเชิงไปอีกว่า "ถ้าอย่างนั้น เราเจอสมบัติที่พอขายได้ราคาหน่อย เราก็ถอยกลับกันเลย ส่วนเรื่องอาลี่หาง เขาจะไปต่อหรือเปล่าก็เรื่องของเขา ดีไหมเฮีย"
เฮียฟานพยักหน้าเนิบๆตอบ ไม่มีความลังเลเลยสักนิด มันทำให้ผมรู้สึกดีกับเขา ไอ้ที่เหว่ยถิงมันว่า สงสัยมันคงเป็นห่วงผมมากเกินไป ยังไงเฮียฟานก็คือเฮียฟานนั่นแหละ ถึงแกจะนิสัยแย่อยู่บ้าง แต่เรื่องรักน้องนี่ยกให้เป็นที่หนึ่ง
"ยิ้มอยู่ได้ ไปๆเดินไปได้แล้ว" พอเฮียเห็นผมชะลอฝีเท้าลงก็เร่ง ผมพยักหน้ารับแล้วรีบเดินตามพี่ชินดงไป กลายเป็นว่าเฮียให้ผมเดินนำไปก่อนแล้วตามรั้งท้าย
ใครที่สูงกว่าผมค่อนข้างลำบากหน่อยเพราะต้องเดินก้มหัวตลอด ผมเห็นแล้วก็เมื่อยแทน เราเดินลึกเข้าไปหลายร้อยเมตรประมาณเกือบครึ่งชั่วโมงได้ พอแสงไฟส่องเข้าไปข้างในพบเข้ากับกำแพง ใจผมก็ยิ่งเต้นแรงรัวถี่ เกิดอาการตื่นเต้นจนเนื้อตัวสั่นไปหมด
"ถึงแล้ว" อาลี่หางหันกลับมาบอกพวกเรา รอคนอื่นๆตามมาจนครบ
ผมเอาไฟฉายส่องผ่านตัวพี่ชินดงมองกำแพงที่เปื้อนไปด้วยดิน อายุของมันผ่านมานานหลายพันปีแล้ว แต่สภาพยังแข็งแรงดีอยู่ ข้างล่างพบรูๆหนึ่งคาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของคนขุดสุสานที่หนีออกมา อาลี่หางนั่งลงใช้ไฟฉายส่องเข้าไปมองสำรวจ จากนั้นก็มุดเข้าไป
ผมมองหน้าพวกเฮียแวบหนึ่ง จากนั้นก็นั่งมองเข้าไปในรู อาลี่หางส่องไฟออกมาสาดเข้าตาผมบอกว่า "เข้ามาเลยไม่มีกับดัก" จึงสบายใจได้เปราะหนึ่ง สูดลมหายใจเตรียมตัวเข้าไป
แต่ไม่ทันที่ผมจะมุดตาม พี่ชินดงก็แซงมุดเข้าไปก่อนซะแล้ว รายนั้นเข้าไปได้แต่ตัว ดันติดก้นอีก ดูเหมือนรูนี้จะเหมาะสำรับชาวบ้านธรรมดาไม่ค่อยมีอันจะกินมากกว่า ส่วนพี่ชินดงในยุคจ้านกั๋วก็คงเป็นพวกขุนนางชั้นผู้ใหญ่นั่งกินนอนกิน ขนาดไซต์ตัวของเขานี่ไม่เหมาะกับการคว่ำกรวยเลย
ผมดันก้นเขาสุดกำลัง อาลี่หางช่วยดึงตัวของพี่ชินดงเข้าไปอีกแรงแต่ก็ยังติดแหงกอยู่ จนสุดท้ายเฮียฟานทนรอไม่ไหว เขาผลักผมออกไปจากนั้นก็ยันเท้าใส่ก้นพี่ชินดงเต็มแรง พี่แกพุ่งพรวดหายเข้าไปในห้อง พร้อมๆกับสบถด่าแม่เฮีย
ผมแอบขำแต่นั่นก็แค่ประเดี๋ยว มองเฮียมุดตามเข้าไป จากนั้นก็ตามด้วยผม เหว่ยถิง เหิงอี้ จากนั้นก็เป็นลูกน้องของอาลี่หาง เราทั้งหมดสิบกว่าคนภายในห้องสี่เหลี่ยมโล่งๆ ส่องไฟสำรวจไปรอบๆห้อง
โอ้โฮแฮะ ห้องนี้ไม่มีสมบัติเลยสักชิ้นเดียว แต่ห้องค่อนข้างกว้าง มีละอองฝุ่นเต็มไปหมดทำให้เวลาส่องไฟฉายบรรยากาศเห็นเป็นกลุ่มควันจางๆ ยังพอมีอากาศให้หายใจอยู่บ้าง ดูเหมือนเป็นห้องปิดตาย
ผมส่องไฟฉายไปตามกำแพงเจอจิตรกรรมฝาผนังในยุคจ้านกั๋ว บอกเล่าเรื่องราวความเป็นอยู่ของคนในยุคนั้น ภาพค่อนข้างเก่าซีด บางเหตุการณ์แทบจะกลืนหายไปกับสีของกำแพง เมื่อก่อนคงเป็นภาพจิตรกรรมที่อลังการน่าดู
พอผมเห็นก็เกิดความสนใจ ส่องไฟดูเหตุการณ์ในยุคนั้น เรื่องราวของการทำศึกสงครามเด่นชัดเป็นที่สุด มีการเผาหนังสือของแต่ละแคว้น คงเป็นช่วงที่ฉินสือหวงสั่งให้ทหาร กวาดล้างทำลายหนังสือภาษาเฉพาะของแต่ละแคว้น แล้วบังคับให้ใช้อักษรฉินในยุคนั้น รวมไปถึงภาพของการสร้างกำแพงเมืองจีนในยุคด้วย ประวัติศาสตร์ไม่แตกต่างจากที่ผมเคยศึกษามาสักเท่าไร ที่เหลือก็เป็นเรื่องราวของฉินสือหวงตั้งแต่ขึ้นครองราชย์กระทั่งสิ้นพระชนม์
ผมส่องไฟขึ้นไปข้างบน พบเพดานห้องเกิดแสงสีเขียวประหลาดเป็นเส้นๆ บางเส้นขาดหายไป เมื่อมองแล้วคล้ายๆการโยงเส้นของกลุ่มดาว ผมสะกิดเรียกเฮียให้เงยหน้าขึ้นมอง เมื่อเฮียเห็นก็พยักหน้าบอกว่า "พวกนี้คือแสงกลุ่มดาวที่คนในยุคนั้นใช้ในการทำนายศึกสงคราม แสงสีเขียวเป็นเส้นๆนั่นในยุคนั้นเขาใช้อะไรทำกันนะ น่าสนใจจริงๆ"
เราส่องไฟมองไปอยู่นาน จนสังเกตเห็นระหว่างช่วงเส้นที่ขาดหายไปดูเหมือนเป็นหลุมเล็กๆ เหมือนว่ามันเคยมีอะไรฝังอยู่แล้วถูกแคะออก ผมนึกไปถึงไข่มุกดาราที่เฮียว่า เวลากลางคืนจะส่องแสงสว่าง บางทีฉินสือหวงอาจจะใช้พวกนั้นตกแต่งห้องๆนี้ ให้กลายเป็นห้องที่บอกเรื่องราวประวัติของตนเอง ดูเหมือนว่าสมบัติในยุคนั้นจะกลายเป็นสิ่งของฟุ่มเฟือยหรือเปล่า
ผมถามเฮียว่า "เป็นไปได้หรือเปล่าที่ห้องๆนี้จะถูกปิดตาย จากนั้นคนสร้างสุสาน หรือไม่ก็อาจเป็นพวกชาวบ้านที่ลักลอบเข้ามา แคะเอาไข่มุกดาราที่เคยติดอยู่ออกไปจนหมด สมบัติที่พอมีราคาหน่อยก็ขนไปด้วย ห้องๆนี้เลยโล่งอย่างที่เห็น"
"มันก็อาจจะเป็นอย่างที่คุณคิดนะ แต่ห้องนี้ไม่ใช่ห้องปิดตายแน่ๆ" อาลี่หางเป็นคนตอบ เขาเดินไปทางรูปภาพสลักนูนต่ำตามกำแพง เป็นด้านเดียวที่ห้องสุสานห้องนี้ทำไว้ค่อนข้างแตกต่างจากส่วนอื่น
"ใช่ มันไม่ใช่ห้องปิดตาย ห้องนี้มีกลไกสำหรับเปิดปิดประตู ภาพสลักพวกนี้ต้องเป็นประตูสักบานหนึ่ง แต่เราต้องหาคำสั่งกลไกให้เจอก่อน" เฮียคลำไปตามภาพสลักนูนต่ำพวกนั้นเรื่อยๆ เหมือนกำลังหาส่วนที่แตกต่างที่สุด ผมเลยเข้าไปช่วยเขา
พี่ชินดงเดินว่อนไปทั่วห้อง เขาดูกระตือรือร้นจนออกนอกหน้า เร่งพวกผมว่า "ถ้าฝั่งนี้คือทางออก เวลาเราเคาะด้านในต้องมีเสียงสะท้อนแน่ ไม่ต้องไปหากลไกให้ยุ่งยากหรอกหาอะไรมาทุบที่เดียวก็หลุดไปทั้งแผง" พี่แกอยู่ใกล้มือเฮียฟานพอดี โดนโบกไปป้าบหนึ่ง แทบนับดาว
"ไอ้ห่านี่ ข้าพาเอ็งมาเพื่อหาสมบัติไม่ได้มาอวดโง่ ถ้าอยากช่วยก็ช่วยหุบปากเถอะ" พอโดนเฮียว่าพี่ชินดงก็ยิ่งเดือดใหญ่ เถียงกลับมาว่า
"ข้าเน้นความรวดเร็วโว้ย! ยิ่งอยู่นานก็ยิ่งอึดอัดจะตายห่าอยู่แล้ว เอ็งไม่รู้สึกหายใจติดขัดบ้างหรือไง"
พอพี่แกทักมาผมก็รู้สึกอย่างนั้นทันที รู้สึกเหมือนหายใจได้ไม่เต็มปอดเท่าไร
อาลี่หางเหมือนจะทนพวกเขาเถียงกันไม่ไหวจึงห้ามศึก "พอเถอะ พวกคุณเถียงกันไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นมา" เขาเดินไปทางภาพพวกนั้น แล้วใช้มือคลำๆอยู่สักพัก ไล่ไปตามภาพ จากนั้นก็ชะงัก
ภาพสลักนูนต่ำพวกนั้นเป็นรูปมังกรคาบแก้ว กินพื้นที่ลำตัวไปตามผนังเกือบทั้งหมด ภาพสลักกลืนไปกับสีของผนัง แต่ส่วนลูกแก้วกลับมันวาวเหมือนใช้โลหะฝังเข้าไป ดูเตะตา
พอเฮียเดินเข้าไปดู ก็สบถออกมาว่า "เชี่ย! โง่อยู่ตั้งนานกลไกกระจอกแค่นี้" แล้วพี่แกก็ชิงกดลงไปที่ลูกแก้วบนกำแพงทันที ไม่รอให้อาลี่หางคอนเฟิร์มก่อนเลย ดูจะมั่นใจเกินไปหน่อย
แต่เมื่อกดลงไปก็เป็นไปตามคาด เสียงกลไกทำงานเหมือนโซ่หลายเส้นกำลังเลื่อนไปตามแผ่นหิน ประตูทางออกอีกฝั่งหนึ่งค่อยๆเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นห้องอีกห้องหนึ่ง ซึ่งผิดคาดไปหน่อยว่าประตูน่าจะอยู่ข้างหน้าพวกเรา
คนของอาลี่หางส่องไฟเข้าไปข้างใน เหิงอี้รายงานกับลูกพี่เขาว่า "พี่ใหญ่ ข้างในเป็นสุสานหลัก" อาลี่หางรีบเดินเข้าไปดู ผมกับเหว่ยถิงมองหน้ากันแล้วกลืนน้ำลายอึก แววตาตื่นเต้น เข้ามาในสุสานครั้งแรกก็จะได้เจอกับฉินสือหวงซะแล้ว ไม่ทันตั้งตัวเลย มันจะง่ายไปหน่อยหรือเปล่า รีบพากันไปดู
เฮียฟานกับอาลี่หางเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว ส่องไฟไปรอบๆห้อง พบห้องที่จัดตกแต่งคล้ายๆกับที่ประทับของพวกชาววัง คานห้องสร้างด้วยไม้หนานมู่ทองทั้งหมด ยกเว้นกำแพงที่ดูเหมือนใช้พวกหินอ่อนในการสร้าง
ห้องๆนี้คล้ายๆกับห้องบรรทมของนางสนมที่มักจะเห็นบ่อยๆตามซีรีย์ ไม่แต่งต่างกันมาก แต่มีความกว้างพอตัว ตรงกลางห้องพบโลงศพที่ใช้ไม้ชนิดเดียวกันตั้งอยู่เด่นชัด ฝาโลงเปิดออกกว้างจนผมรู้สึกไม่ดีเท่าไร
ภายในห้องมืดทึบ มืดเสียยิ่งกว่าห้องที่อยู่ข้างหลังผมเสียอีก แถมได้กลิ่นแปลกๆไม่ชอบมาพากลซะด้วย
"กลิ่นแปลกๆนะ" ขนาดผมไม่พูดเหว่ยถิงมันยังได้กลิ่นเหมือนกันกับผม มันเป็นกลิ่นที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันเกิดจากอะไร แต่ให้ความรู้สึกผะอืดผะอมมากจริงๆ
"หรือว่าที่นี่จะมีอากาศหายใจไม่พอ" ผมถามเหว่ยถิง แต่มันกลับส่ายหน้าบอกว่า "ไม่ใช่ มันน่าจะเกิดจากพวกเชื้อรารุนแรงมากกว่า แต่น่าแปลก ที่นี่ไม่มีความชื้น จะมีเชื้อราขึ้นได้ยังไง" ว่าพลางก็เอานิ้วถูจมูกไปด้วย
พี่ชินดงใจกล้าเดินไปที่โลงคนแรก จากนั้นก็ตามด้วยอาลี่หางแล้วก็เฮียฟาน สามคนนั้นก้มมองเข้าไปในโลงไม่เกรงกลัว สงสัยจะหาของดีในนั้น ส่วนใหญ่สมบัติฝังร่วมที่มีค่ามันจะฝังรวมไปกับศพ ผมเดินเข้าไปดูกับเหว่ยถิง เมื่อมาถึงเห็นสีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียด ดูไม่ได้ดีใจเลยที่เจอโลงศพฉินสือหวงเร็วขนาดนี้
แต่ถึงแม้ว่าการเก็บรักษาศพจะคงสภาพดีแค่ไหน ผ่านมากี่พันปีก็ไม่น่าชมอยู่ดี ผมเลี่ยงที่จะไม่มองมันดีกว่า แต่เหว่ยถิงมันเป็นหมอ มันไม่กลัวเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เลยชะเง้อเข้าไปมอง พอมองแล้วก็อุทานว่า
"อ้าว! ทำไมโล่งแบบนี้ล่ะ"
ผมหันไปมอง ชะเง้อคอมองเข้าไปดูบ้างด้วยความอยากรู้ ปรากฏว่าโลงโล่งจริงๆ ตอนนี้อาลี่หาง ผม เฮียฟาน ต่างสบตากันด้วยความวิตกกังวล หากไม่กังวลมากไปโลงนี้คงเป็นแค่โลงเปล่าไม่ใช่ห้องสุสานหลักอย่างที่คิด แต่ถ้าพวกเราคาดการณ์ไม่ผิด ศพในโลงอาจมีชีวิตขึ้นมาจริงแล้วล่ะก็ ได้ชิบหายวายป่วงกันแน่ๆ
อาลี่หางใช้มีดเขี่ยพวกคราบสีขาวในโลงขึ้นมาดม ทำหน้าเหม็นใส่แล้วปาดมันคืนไปที่ขอบโลง บอกว่า "ในนี้เคยมีศพ" เท่านั้นล่ะพวกผมถึงกับตาค้างมองหน้ากับแทบแตกตื่น คนอื่นๆยังไม่มีใครได้ยินที่เรากำลังพูดกัน ก็เดินหยิบจับสิ่งของภายในห้องใหญ่
ผมถามว่า "อา ถ้าในนี้เคยมีศพ แล้วศพมันจะหายไปไหน คงไม่เดินออกมาเองหรอกนะ" พูดขำๆปลอบใจตัวเอง ผีดิบเคยเห็นแต่ในหนังไม่มีทางเป็นไปได้หรอกที่มันจะคืนชีพขึ้นมากัดคนน่ะ นึกสภาพฉินสือหวงออกมาชี้หน้าแล้วบอกว่า "พวกเจ้าบุกรุกวังของข้า ต้องตาย" นี่ก็ยิ่งแล้วใหญ่ นึกสภาพไม่ออก บอกเลยตามตรง
อาลี่หางส่ายหน้า ตอบกลับมาว่า "โลงนี้มีศพแน่ๆ แต่นี่ไม่ใช่ห้องสุสานหลัก แต่เป็นห้องฝังร่วม ดูเหมือนว่าห้องนี้จะเป็นห้องสุสานของนางสนมนะ"
เฮียฟังอยู่นานก็กอดอกขำ ถามอาลี่หางว่า "อารู้ได้ไงว่านี่เป็นศพของนางสนม" ตาแก่ชี้ไปทางฝาโลง แล้วหันมาพูดกับผมว่า "คุณเคยอ่านประวัติศาสตร์ของยุคจ้านกั๋วมาบ้างก็น่าจะรู้นะนายน้อย ว่าคำนั้นเขาอ่านว่าอะไร" ผมหันไปทางฝาโลง เห็นตัวหนังสือของยุคจ้านกั๋ว พออ่านได้บ้าง เมื่ออ่านแล้วก็ต้องพยักหน้าตาม
"อืม จริงด้วยนี่เป็นโลงของสนมลี่เฟย"
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ