ผจญภัยในสุสานกษัตริย์ ตอน สุสานจิ๋นซี

-

เขียนโดย Lunalily

วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 09.49 น.

  11 บท
  3 วิจารณ์
  15.35K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 10.27 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

5) เดินทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

บทที่5

เดินทาง

 

 

การเดินทาง ทีแรก เราต้องรีบเดินทางออกจากหมู่บ้านเพราะสัมภาระที่ดูเตะตาของเฮียฟาน ผ่านทุ่งหญ้ามุ่งหน้าสู่เทือกเขาลูกหนึ่ง เมื่อผ่านเขาลูกแรกมาได้ก็ชะลอฝีเท้าลงเพราะเส้นทางค่อนข้างลำบากนิดหน่อย

ผมเองก็สงสัยว่าสิ่งของเหล่านี้เฮียแกขนมาได้ยังไง โดยที่ไม่โดนลูกพี่ใหญ่เพ่งเล็ง เมื่อถาม เฮียแกก็บอกว่าพวกเขามาถึงส่านซีตั้งแต่เมื่อวานแล้ว หาโรงแรมพักหนึ่งคืน จากนั้นก็หาซื้ออุปกรณ์พวกนี้ ส่วนปืนพวกเขาพอมีเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อยู่ที่นี่เลยให้เขาหาให้

สรุปคือที่หายไปสองวัน คือหนึ่งคืนรอพี่ชินดงบินมาปักกิ่ง ส่วนอีกคืนคือเตรียมอุปกรณ์พร้อม หากไม่ทำแบบนี้เขากลัวว่าอาลี่หางจะสงสัย รายนั้นคงมีสายจับตาดูเราอยู่

ส่วนเรื่องคน มากันสามคนเฮียบอกว่าขุดสุสานจิ๋นซีไม่จำเป็นต้องพาคนมามากให้วุ่นวาย เพราะมากคนก็มากความ กับดักสุสานอาจมีอยู่ทุกที่ ถ้าขืนออกันไปเป็นหมู่คณะมีหวังได้ตายกันหมด เกิดทะเล่อทะล่าเหยียบกับดักเข้าก็เท่ากับไปตายฟรี เมื่อมีคนไปน้อยโอกาสที่จะโดนกับดักก็น้อย ยังมีหน้ามาเตือนผมว่า "เอ็งอย่าเผลอไปเหยียบเข้าก็แล้วกัน" ทำเหมือนผมเป็นตัวปัญหายังไงยังงั้น

พวกเรามุ่งหน้าไปตามเข็มทิศโดยใช้แผนที่กับบันทึกของเตี่ยประกอบ เดินมาได้สองชั่วโมงเริ่มเห็นลู่ทาง ภูเขาลูกเล็กสองลูกขนาบข้างทำให้เห็นเป็นช่องเขา พอผ่านเขาสองลูกนี้ไปก็จะเห็นเส้นทางน้ำ ในบันทึกบอกว่า เดินเท้าขึ้นทิศเหนือขึ้น ไปอีกประมาณสามชั่วโมงกว่าๆก็ถึงที่หมาย พอผมเห็นภูเขาสองลูกนี่ก็กระหยิ่มยิ้มในใจ อย่างน้อยก็ยังพาเฮียมาถูกทางละวะ ถึงจะเดาสุ่มก็เถอะ

การพึ่งGPSในป่าเขานี่ไม่ได้ช่วยอะไรนอกจากระบุตำแหน่งสถานที่เท่านั้น ที่เหลือก็พึ่งประสบการณ์ล้วนๆ แต่สำหรับผมนี่มันเป็นครั้งแรก ขอให้คะแนนตัวเองเกือบเต็มสิบก็แล้วกัน

ผมกางแผนที่ ดูบันทึก ชี้ให้เฮียดูจุดหมายของเรา เฮียพยักหน้าแล้วสั่งให้เราเร่งฝีเท้าเข้าไปทางภูเขาสองลูก ลุยป่าได้สักพักก็มาถึงปากทาง พี่ชินดงร้อง "ฮึ" ทำสีหน้าประหลาดใจ ผมถาม "มีอะไรหรอเฮีย" พี่เขาชี้ไปข้างหน้า

"พุ่มไม้พวกนี้เหมือนถูกฟันทิ้งเพื่อเบิกทางนะ ดูไม่เหมือนร่องรอยของสัตว์ป่าเลย" พอผมสังเกตดีๆก็จริงอย่างที่พี่แกว่า ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาเต็มไปด้วยแมกไม้ขึ้นรกเต็มไปหมด มีแต่เส้นทางนี้ที่โล่งเตียนเหมือนถูกถางออกแบบลวกๆ พอมองที่พื้นเห็นรอยเท้าคนมากมาย

เฮียเดินเข้าไปดู บอกว่า "รอยนี่ยังใหม่อยู่ น่าจะผ่านมาวันนึงแล้ว" ผมใจหายวาบ หรือว่าจะเป็นฝีมือของคนอีกคณะหนึ่ง พวกเรามองหน้ากันแวบหนึ่ง ท่าไม่ดี จากนั้นก็เร่งฝีเท้าเข้าไปในช่องเขา

เมื่อโผล่พ้นออกมาก็เห็นทางน้ำ รอยเท้าพวกนั้นขาดหายไป เฮียบอกว่าพวกนั้นอาจจะไปอีกทางหนึ่ง โล่งอกขึ้นหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ต้องเจอะกับคนเหล่านั้น แยกไปคนละทางเป็นดีที่สุด

ในระหว่างทางที่เดินไปตามเส้นทางน้ำ พี่ชินดงก็ร้องเพลงให้ฟังไปด้วย ทำให้บรรยากาศไม่เหน็ดเหนื่อยมาก ดูผ่อนคลาย เดินไปเรื่อยๆเกือบสามชั่วโมงก็เห็นเขาลูกใหญ่ สูงประมาณหกร้อยเมตร เส้นน้ำตกไหลลงสู่เบื้องล่าง ละอองน้ำชุ่มฉ่ำหัวใจจริงๆ ผมนี่ยิ้มจนแก้มแทบปริ ถึงแล้วโว้ย!

 

ผมทิ้งตัวนั่งลง พิงบนหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง พี่ชินดงก็หอบลิ้นห้อยไม่ต่างกัน นั่งลงข้างๆ ขาสั่นพับๆ เหน็ดเหนื่อยจากการเดินมาราธอนไม่หยุดพักมาหลายกิโล ทุบขาไปพลางมองสายน้ำตกไปพลาง

เฮียตบไหล่ผมสองที ยกนิ้วโป้ง "เก่งมากไอ้น้อง" ค่อยยืดอกขึ้นได้หน่อย อย่างน้อยก็มาถูกที่ตามในบันทึกเป๊ะๆ

พวกเรานั่งพักกันจนหายเหนื่อยจากนั้นก็หาอะไรกิน เฮียหาก้อนหินมาตั้งทำเตาอุ่นอาหาร พี่ชินดงหากิ่งไม้ก่อไฟ ส่วนผมนั่งรอกินอย่างเดียว ดีหน่อยที่พกอาหารกระป๋องประเภทเนื้อมา พี่ชินดงเก่งเรื่องทำครัวทำอาหารเสร็จแปบเดียวก็ได้กิน

เรากินกันประหนึ่งอดอยากกันมาเป็นแรมปี จ้วงตะเกียบพุ้ยเนื้อคำใหญ่ ในเวลาที่หิวและโคตรเหนื่อยแบบนี้กินอะไรก็อร่อยไปหมด นั่งกินข้างน้ำตกได้บรรยากาศไปอีกแบบ เฮียแหงนคอมองขึ้นไปบนภูเขา ปากยังเคี้ยวเนื้ออยู่พูดว่า "สายน้ำตกกำลังค่อนข้างแรง ช่วงที่เตี่ยเอ็งมาคงไม่ใช่หน้าน้ำน้ำตกจึงไม่แรงมาก ถ้าเราปีนขึ้นไปตอนนี้มีหวังม่องแน่"

ผมมองตามแล้วก็ถาม "งั้นเราก็ต้องรอให้กำลังน้ำตกเบาลงก่อนนะสิ แล้วเมื่อไรมันจะเบาลงล่ะ" เฮียส่ายหน้า บอกไม่รู้

หลังจากที่กินอาหารเสร็จ ผมดูเวลาตอนนี้ก็เกือบจะบ่ายสามแล้ว แดดร่มลมตก หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน ร่างกายเหน็ดเหนื่อย โดนเฮียด่าว่า "อะไรกัน ยังไม่ทันลงดินก็เหนื่อยแล้ว ไม่ได้เรื่องเลย" ผมถึงกับฉุน เลยสวนกลับไป "ผมไม่ได้เดินทางตามล่าสุสานอย่างพวกเฮียนี่ ถึงได้ถึกบึกบึนไม่รู้เหนื่อยอย่างนี้"

  เฮียเบะปาก ส่ายหน้าให้ผมสามทีแล้วหันไปคุยกับพี่ชินดง คุยอะไรกันไม่รู้จากนั้นก็หันมาบอกผมว่าพักซะ เดี๋ยวจะเดินไปสำรวจแถวๆน้ำตก ว่ามีทางขึ้นทางไหนบ้าง ผมพยักหน้าขอไปที พิงตัวไปตามโขดหินแล้วก็พักสายตา

เรื่องพวกนี้ควรให้พวกเฮียเขาจัดการดีกว่า พวกเขามีประสบการณ์มากกว่าผม ส่วนพี่ชินดงนี่ก็ก๊วนเดียวกันกับเฮียฟาน เคยลงดินด้วยกันมาก่อนเหมือนกัน มีประสบการณ์กันทั้งคู่ ถ้าขืนผมไปด้วยก็คงเกะกะเขาเปล่าๆ ไหนๆก็ให้พักแล้วของีบเอาแรงสักพัก

ผมสะดุ้งตื่นขึ้นก็เห็นพระอาทิตย์เริ่มลับตาแล้ว รอบๆเริ่มมืด ป่าไม้เงียบสงัดน่าขนลุก มองไปรอบๆเห็นไฟฉายเหมืองเปิดอยู่ ทำให้บริเวณที่ผมนั่งอยู่ไม่มืดมาก แสงไฟส่องผ่านตัวผมไปทางน้ำตก

พอลุกขึ้นยืนมองรอบๆ พวกเฮียหายกันไปหมด กระเป๋าก็หายไป ใจผมหายวาบนึกว่าเฮียเล่นผมแล้ว หรือว่าจะหนีเข้าสุสานไปไม่บอกผม ร้องเรียก "เฮีย! เฮีย!" ไร้เสียงตอบรับ

ผมก้มลงรื้อกระเป๋าตัวเอง มีแต่ของกินเล็กน้อยไม่กี่อย่าง บัดซบ! ไอ้เฮียมันทิ้งผมจริงๆ ผมโกรธเลือดขึ้นหน้า หยิบไฟฉายกระบอกเล็กข้างกระเป๋าขึ้นมา เอามีดพกที่เฮียให้ผมไว้ตอนแรกเหน็บไว้ในเข็มขัด เดินไปทางแสงไฟของเหมืองที่ส่องไปทางน้ำตก

ตอนแรกที่เรามาถึงน้ำตก สายน้ำค่อนข้างไหลลงมาแรง แต่ตอนนี้เบาลงมากแล้ว ผมเห็นเชือกไนลอนห้อยลงมาจากข้างบน คาดว่าพวกเขาน่าจะเจออุโมงค์นั่นแล้ว อุปกรณ์ปีนเขาพวกเฮียเอาไปด้วย ผมไม่รีรอ ชั่วขณะนั้นมันโกรธจนไม่ทันฉุกคิดถึงเหตุผลที่เขาทิ้งผมไว้ ยึดจับเชือกไนลอนเส้นหนา เหยียบเท้าไปตามโขดหินที่ย้อยออกมา สาวเชือกดึงขึ้นไปเรื่อยๆ

ตอนแรกก็ไม่กลัวหรอก แต่พอปีนขึ้นไปได้ประมาณยี่สิบสาวยาวๆ ถีบตัวไปตามก้อนหินโดนน้ำกระทบจนเปียกครึ่งตัว พอหันกลับไปมองข้างล่างเท่านั้นล่ะ โอ้ยตายห่า! สูงฉิบหายเลย เห็นเป็นเงาละอองน้ำตก ถ้าลื่นตกลงไปมีหวังหัวร้างข้างแตกแน่ๆ

ผมเกิดอาการใจฝ่อชั่วขณะ ขาเขอเริ่มอ่อนกำลัง แขนนี่อ่อนยวบ พยายามยึดเชือกเอาไว้กลืนน้ำลายอึกแล้วเดินหน้าต่อ ทีแรก ทำไมตอนปีนขึ้นมามันง๊ายง่าย แต่ทำไมตอนนี้รู้สึกว่าก้อนหินของภูเขาที่ยื่นย้อยออกมามันลื่นแบบนี้

ผมพยายามสาวแขนยาวๆขึ้นไปยากลำบาก เกร็งท่อนขาไม่ให้ลื่นไหลเพราะตะไคร่น้ำ ผ่านไปประมาณเกือบห้านาที กระทั่งใกล้ถึงจุดที่เชือกผลุบหายเข้าไปในถ้ำ ยิ้มออกมาได้หน่อยรีบสาวเท้าขึ้นไป อีกแค่เอื้อมมือก็จะถึงแล้ว

เมื่อมาถึงสุดสาย ผมเหวี่ยงตัวเอาขาก่ายปากถ้ำ ค่อนข้างทุลักทุเล ใช้แขนข้างหนึ่งยันแล้วดึงตัวขึ้นมา ข้างในมืดตื๋อ เป็นเพราะตอนนี้พระอาทิตย์ลับตาไปแล้ว นั่งลงเหนื่อยหอบ แขนสั่นพับๆ สงสัยหลังจากทัวร์สุสานฉินสือหวงรอบนี้คงต้องออกกำลังกายบ้างแล้ว

ผมได้หยุดพักหอบหายใจเพียงแค่ฮึดเดียว เสียงกริ๊กก็ดังขึ้นข้างๆหู พร้อมกับโลหะเย็นๆทึ่มอยู่ที่ศีรษะ ผมนั่งแข็งทื่อ ดวงตาเบิกโพลงมองภายในถ้ำไม่กล้าขยับตัว เห็นเงาตะคุ่มๆเดินไปมา ตอนนี้เหงื่อผมแตกพลั่กทั้งๆที่หนาวจะแย่ ขนาดน้ำลายยังไม่กล้ากลืน

เพียงอึดใจเดียวที่เสียงกริ๊กดังขึ้น ภายในถ้ำก็สว่างวาบด้วยแสงไฟฉาย ส่องเข้าตาผม รีบหรี่ตาลงเห็นคนหลายคนยืนอยู่ คนที่ส่องไฟเข้ามาทางผมอยู่ลึกเข้าไปข้างในถ้ำ ไฟหลายดวงส่องแสงมา ราวกับผมเป็นจำเลยของพวกมัน

พอผมเห็นว่าพวกมันเป็นใครก็ช็อกตาตั้ง ไม่คิดเลยว่า แม้หนีมาถึงสุสานจิ๋นซีพวกมันก็ยังตามราวีไม่เลิก

เฮียฟานนั่งพิงผนังถ้ำชันเข่าเท้าแขน หน้าตาบูดบึ้งไม่สบอารมณ์โดนปืนจ่ออยู่ที่หัว ส่วนพี่ชินดง นั่งหันหน้ามาทางผมโบกมือหยอยๆ ยิ้มแหยทักทาย ชะตากรรมไม่ต่างกัน ผมก่นด่าในใจ ไอ้พวกเฮียนี่แม่ง

ผมนั่งเกร็งตะคริวแทบกินขา ปืนสั้นที่จ่อหัวผมอยู่ก็ชักกลับไป คนๆนั้นเขานั่งลงยองข้างๆ พอเห็นหน้าเท่านั้นล่ะ เชี่ยเอ๊ย!

"ว่าไงนายน้อยหลี่ คุณผิดคำพูดกับผมอีกแล้วนะ"

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา