ผจญภัยในสุสานกษัตริย์ ตอน สุสานจิ๋นซี

-

เขียนโดย Lunalily

วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 09.49 น.

  11 บท
  3 วิจารณ์
  15.37K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 10.27 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

3) หนทางสว่าง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
บทที่3
หนทางสว่าง
 
 
 
หลังจากที่ได้สมุดบันทึกของเตี่ย ผมเอามันกลับมานอนคิดว่าจะจัดการกับมันยังไงต่อดี เรื่องตู้เซพนั่นลบมันออกจากความคิดไปได้เลย ให้ตายก็เดารหัสไม่ถูก เตี่ยเป็นประเภทชอบเขียนรหัสที่เขารู้เพียงคนเดียว มีงานโบราณคดีหลายเรื่องที่เตี่ยมักจดเป็นรหัส ทำให้ผมแยกไม่ออกว่าอันไหนเป็นรหัสตู้เซพ เพราะงั้นช่างมันเถอะ
เมื่อคิดถึงยุคจ้านกั๋ว ยุคนั้นจีนยังแยกออกเป็นก๊ก กษัตริย์อิ๋งเจิ้งแห่งรัฐฉินผนวกดินแดนหกรัฐรวมเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกัน จนมาเป็นราชวงศ์ฉิน สถาปนาตัวเองเป็นจักพรรดิพระองค์แรก หรือในนามฉินสือหวง
ในสมัยนั้นตัวหนังสือจ้วนแพร่หลายในราชวงศ์ ผมพอศึกษามันมาบ้างตอนอายุสิบหก ตอนนั้นเตี่ยผมมักหอบหนังสือโบราณที่ได้จากการขุดสุสานกลับมาบ้าน หรือต้องบอกว่าแอบจิ๊กเขามาถึงจะถูก
ผมเห็นเตี่ยนั่งอ่านศึกษาข้ามวันข้ามคืน จนผมนึกว่าเตี่ยนั่งอ่านนวนิยายในยุคนั้นอยู่แน่ๆ จึงเกิดความอยากรู้อยากเห็น สุดท้ายเลยให้เตี่ยเป็นคนสอน นับตั้งแต่นั้นมาก็เป็นใบเบิกทางให้ผมเข้าคณะโบราณคดี ตามรอยเท้าเตี่ย
ผมเปิดสมุดพลิกไปพลิกมาหลายหน้า บางทีก็เกรงว่ามันจะขาดด้วยมือของผมเอง อ่านความน่าจะเป็นไปได้ภายในสุสาน ยิ่งเห็นก็ยิ่งเกิดความโลภอยากเข้าไปสำรวจภายในนั้น หรือนี่จะเป็นเพราะเลือดสกุลหลี่มันแรงเกินไป จนเนื้อตัวสั่นไปหมด
ผมตัดสินใจเก็บสมุดใส่กระเป๋า หลังจากนั้นนอนค้างที่บ้านหนึ่งคืน รุ่งเช้าผมก็ขึ้นเครื่องกลับไปที่ปักกิ่ง รีบเอาสมุดบันทึกของเตี่ยให้เฮียฟานดู
"มีความเป็นไปได้ ว่าโครงสร้างสุสานจิ๋นซีจะมีลักษณะนี้ กษัตริย์สร้างสุสานเพื่อสนองความต้องการของตัวเองกันทั้งนั้น แม้ตายก็ยังอยากให้พระศพสุขสบาย มันไม่แปลกหรอกที่ฉินสือหวงจะสร้างสุสานให้เหมือนกับราชวังของตัวเอง ใส่ลูกเล่นกลไกในด่านแรกเพื่อไม่ให้โจรฝ่าด่านเข้ามาง่ายๆ โดยเฉพาะศัตรูของฉินสือหวงมีเยอะแยะไปหมด ไม่มีอะไรประกันว่าสุสานจะไม่โดนพวกศัตรูขุดแก้แค้น อีกทั้งสมบัติยังมีมากมายมหาศาลขนาดนั้น"
เฮียฟานบ่นๆ แล้วก็เปิดสมุดดูไปด้วย ผมนั่งฟังเขาบ่นไปเรื่อยๆ
"สมัยนั้น ลูกเล่นกับดักคงเป็นธนูพันดอก อาศัยสัมผัสหรือความร้อนทำให้กลไกทำงาน เมื่อมีใครก็ตามสัมผัสไปที่ประตู ลูกธนูนับพันก็จะพุ่งลงมาใส่ราวกับห่าฝน ฉินสือหวงทรงพระปรีชาสามารถ แถมฉลาดหลักแหลม รู้จักการใช้ปรอทในการสร้างกลไก เทคนิคคงไม่ต่างกับการสร้างปรอทวัดไข้ พออุณหภูมิสูงขึ้นสารปรอทจึงทำงาน นี่คงเป็นเหตุผลที่สุสานฝังอยู่ใต้หุบเขาที่มีความเย็นพอสมควร อากาศถ่ายเทน้อย บางสุสานแทบไม่มีอากาศให้หายใจเลยด้วยซ้ำ"
เฮียแกหยุดพักหายใจ เคาะบุหรี่แล้วดูดควันรีดเค้นวิชาของตัวเอง ขุดความรู้ออกมาวิเคราะห์เรื่องสุสานคร่าวๆ
"แถมฉินสือหวงยังใช้ปรอทรักษาพระศพ ในสุสานหลักคงมีธารปรอทสายยาว ตั้งแต่ท้องพระโรงทอดยาวไปจนถึงห้องสุสานหลัก ระบบรักษาความปลอดภัยคงแน่นหนา จริงๆไม่ต้องพึ่งพากลไก แค่คนตกลงไปในสารปรอทนั่นก็ตายห่า"
ผมถาม "เฮียพูดแบบนี้แสดงว่า มันไม่มีทางเป็นไปได้เลยสิว่าจะมีใครเข้าไปในสุสานได้" 
เฮียเหลือบมองผม เขาปิดสมุดบันทึกของเตี่ยแล้วใช้มันตีหัวผมเบาๆ โยนมันคืนให้ สีหน้าเขาดูดีกว่าเมื่อวานเยอะมาก แทบจะเรียกได้ว่า เงิงโผล่ออกมาจนเห็นฟันครบทุกซี่
"ใครว่าล่ะ ที่ฉันจะบอกน่ะ มันมีทางเป็นไปได้ สุสานแต่ละสุสานย่อมมีจุดอ่อนกันทั้งนั้น มีการติดตั้งกลไก ก็ต้องมีเปิดปิดให้มันทำงานได้ ถ้าไม่อย่างนั้นคนติดตั้งกลไกก็ตายห่าไม่ทันให้ถูกเจื๋อนหรอก"
พอเฮียพูดแบบนี้ผมก็นึกได้ คนสร้างสุสาน ติดตั้งกลไกย่อมต้องรู้แล้วว่าตัวเองไม่รอด โดยสัญชาติญาณการเอาตัวรอดมนุษย์แล้ว ต้องมีคนที่ไม่อยากถูกฆ่าแล้วฝังร่วมในสุสาน
บางสุสานมีอุโมงค์ลับอยู่หลายแห่ง เป็นอุโมงค์ที่คนสร้างสุสานใช้หลบหนีหลังจากที่สร้างสุสานเสร็จ หรือไม่ ก็หลังจากที่ถูกฝังอยู่ข้างในแล้ว
"ถ้าอย่างนั้นแม่ทัพเซี่ยงหยี่นี่ก็คงคิดแบบเฮีย เข้าไปในสุสาน ทำลายกลไกจนได้สมบัติออกมาล่ะสิ"
เฮียฟานส่ายหน้า "สมัยนั้นมีน้อยคนที่มีความรู้เรื่องกลไก แม่ทัพเซี่ยงหยี่เก่งพะบู๊ใช้กำลังเข้าใส่ นำกำลังพลเข้าไปเจอห่าธนูนี่ขวัญกระเจิงแล้ว คาดว่าน่าจะขนสมบัติออกไปแค่สุสานปีกนอก ด้านในยังมีกำแพงอีกชั้น ทำลายได้ยาก ส่วนเส้นทางลับนี่น่าจะเป็นอุโมงค์หลบภัยที่คนสร้างสุสานทำเอาไว้ ไม่แน่นะ มันอาจจะเชื่อมเข้าไปยังสุสานหลักได้ แกเอ๋ย คิดดู ถ้าไม่โลภมากหยิบสมบัติมาแค่ชิ้นสองชิ้นอย่างไข่มุกดารา* นี่ก็รวยไปชาตินึงแล้ว"
เฮียฟานยิ้มร้ายกาจ สงสัยคงคิดชั่วอยู่ในใจแน่ๆ เห็นทีคราวนี้คงได้เคาะสนิมพลั่วกันแล้ว นักขุดดินสายอาชีพอย่างเฮียพอได้ยินได้เห็นเรื่องสมบัตินี่ก็หูตาวาววับ ถึงผมจะไม่เคยทำอะไรแบบนี้ แต่ในอนาคตก็ต้องทำ นี่ต้องเรียกว่าลงดินหาประสบการณ์ 
"นี่อย่าบอกนะว่าพวกคุณจะขุดสุสานกันน่ะ นี่ไม่กลัวถูกจับยิงเป้าหรือไง" เหว่ยถิงนั่งฟังพวกผมคุยกันอยู่นานก็พูดแทรก ดูตกใจ
"เพื่อนเอ็งนี่ปากเสียจริงๆ ไอ้น้อง มืออาชีพที่ไหนเขาจะรอให้โดนจับกันล่ะฮึ ถ้าไม่ร่วมก็ไม่ต้องแทรกจะได้ไหม นี่คงเป็นทางออกของพวกข้าแล้ว ไม่เสี่ยงก็ไม่ได้" เฮียฟานปัดมือไล่ ไม่ให้เพื่อนผมเข้ามาแทรกอีก เหว่ยถิงจะเถียงก็เกรงใจ เพราะเขาเป็นคนนอก ส่วนพวกผมเป็นญาติกันถึงจะห้ามพวกผมก็ไม่ฟังอยู่ดี
เฮียฟานกระดิกนิ้วให้ผมขยับหูเข้าไปใกล้ เริ่มสุมหัวกัน "เราต้องรีบเตรียมการ ออกไปจากปักกิ่งก่อนคืนวันพรุ่งนี้ ลี่หางมันต้องส่งคนมาที่นี่แน่ๆ ทำอะไรเราต้องเร็ว เฮียจะไปหาพรรคพวกมาเพิ่ม พร้อมๆกับเตรียมอุปกรณ์ลงดิน เอ็งไปรอเฮียที่เอี้ยนไจ้ อีกสองวันเจอกัน"
ผมย่นคิ้ว หดคอกลับมา ให้ผมไปรอที่เอี้ยนไจ้เนี่ยนะ ที่นั่นผมเคยไปเสียที่ไหน ผมถาม "เฮีย เอี้ยนไจ้เป็นหมู่บ้าน ผมหน้าบาง จะให้ผมไปพักที่ไหน" เฮียฟานส่งเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ
"เตี่ยเอ็งเคยไปที่นั่นต้องมีคนรู้จักสิ อย่างน้อยก็คนเก่าคนแก่ เขามีที่พักสำหรับนักโบราณคดีกับพวกนักท่องเที่ยว พอไปถึงเดี๋ยวก็มีคนเข้ามารับเอง"  
 "งั้นหรอ" เฮียพยักหน้าเหมือนรำคาญผมเต็มที แต่ผมก็ยังกังวลอยู่ "แล้วเรื่องอาลี่หางล่ะ เขาไม่โกรธเราตายหรอหนีเขาไปแบบนี้ อีกอย่างผมรับปากเขาไว้"
ผมโดนเฮียเขกหัวเต็มแรงดังโป๊ก แถมตะคอกใส่เลียงหลงว่า "เอ็งนี่! จะอยู่รอให้มันมาเก็บเอ็งหรือไง พอเราได้สมบัติมาสักชิ้นสองชิ้น เอาไปขายทอดตลาด โปะดอกเบี้ยให้อีกสักสิบเปอร์เซ็นต์ ขี้คร้านจะก้มกราบเข้าให้ จำไว้ สัจจะไม่มีอยู่ในหมู่โจรไม่ต้องไปสนมัน"
แต่ผมไม่ใช่โจรโว้ย! ไม่คิดไม่ได้ ผมคลำหัวป้อยๆ ไม่กล้าเถียงอีก เจ็บชะมัด
หลังจากนี้อีกสองวันสงสัยชื่อเสียงผมคงป่นปี่ รับปากอาลี่หางไว้แบบนั้น หน้าขายหน้าจริงๆ แต่นี่เป็นหนทางเดียวที่เราจะหาเงินคืนให้เขา ยอมเสียหน้าหน่อย อย่างน้อยก็คืนวะ
หลังจากที่ตกลงเฮียก็หายตัวไป สงสัยคงไปทำตามแผนที่เราตั้งไว้ ส่วนผมต้องรีบเตรียมตัวพรุ่งนี้ออกเดินทาง เหว่ยถิงด่าผมใหญ่แต่ผมทำเป็นไม่ฟัง พอแกล้งแซวไป "ทำไมนายไม่ตามฉันไปซะเลยล่ะถ้าห่วงนัก" เลยโดนด่ากลับมาอีก ตกลงมันเป็นเพื่อนผมหรือเป็นแม่ผมกันแน่
 เพื่อไม่ให้เพื่อนผมเป็นกังวลมาก ผมเลยบอกมันไปว่า "ไปแค่อาทิตย์เดียวเดี๋ยวก็กลับ ถ้านานกว่านี้ก็สุดแล้วแต่ฉินสือหวงจะปล่อยตัวหรือเปล่า" เหว่ยถิงมันด่ากลับมา "ไอ้ห่านี่ กูกลัวว่ามึงจะตายตั้งแต่ด่านแรกมากกว่าเถอะ" เถียงกันสักพักพอสนุกปากก็เพลาๆลง
มันซักรายละเอียดผมเรื่องการเดินทาง พอเห็นว่าผมมีจุดหมายปลายทางแน่ชัด ไม่ได้ไปมั่วๆ ก็ไม่พูดอะไรอีก บอกว่าให้ระวังตัวด้วย จากนั้นมันก็เข้าเวนเลยไม่ได้คุยกันต่อ ตอนแรกผมก็งงว่ามันอยากรู้ไปทำไม แต่สุดท้ายก็คิดว่ามันคงเป็นห่วงอีกนั่นล่ะปล่อยๆมันไปเถอะ ส่วนผม หลังจากนี้ก็ต้องเตรียมตัวเดินทางไปหมู่บ้านเอี้ยนไจ้
 
 
 
 
 
 
 
*ไข่มุกดารา ไข่มุกที่เปล่งแสงได้ในตอนกลางคืนเหมือนหมู่ดาว
 
 
 
 
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา