ผจญภัยในสุสานกษัตริย์ ตอน สุสานจิ๋นซี

-

เขียนโดย Lunalily

วันที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 09.49 น.

  11 บท
  3 วิจารณ์
  15.37K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 5 เมษายน พ.ศ. 2558 10.27 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

2) มืดแปดด้าน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

 

 

บทที่2

มืดแปดด้าน

 

 

หลังจากที่โดนซ้อมจนอ่วม ลูกน้องของเซี่ยลี่หางยังใจดีพาพวกผมมาส่งถึงหอพัก เหว่ยถิงพอเปิดประตูรับ ตาเหลือกตกใจสภาพของพวกผมทั้งคู่ใหญ่ รีบหายามาปฐมพยาบาล พวกเราช่วยกันพยุงตัวไปที่โซฟาแล้วทิ้งกายนั่งลง สภาพเหน็ดเหนื่อย อาลี่หางนี่โคตรโหดร้าย สั่งคนมายำพวกผมบริการฟรีส่งถึงที่ด้วยอีกต่างหาก

สุดท้ายพวกเขาก็รู้ที่กบดานของผมแล้ว การหลบหน้ารอบต่อไปคงไม่มีประโยชน์ พอนึกถึงความใจกล้าที่รับปากไปอย่างนั้น นี่อยากจะตบปากตัวเองซักร้อยรอบ ผีเจาะปากให้พูดแท้ๆ แล้วหลังจากนี้อีกสามวันจะทำยังไงดี เงินสองล้านหยวนบวกของเฮียฟานด้วย สามวันจะเอาปัญญาที่ไหนมาคืนเขา

เฮียฟานนั่งซีดปากเจ็บปวด สภาพของเขานี่ต้องบอกว่ายับเยิน ขนาดเหว่ยถิงบรรจงแต้มยาให้อย่างเบามือยังเจ็บขนาดนั้นแล้วก็น่าเห็นใจ อ้อ สมน้ำหน้าซ้ำให้ด้วย  

"พวกคุณไปทำอะไรกันมาเนี่ย หายไปแค่สามชั่วโมงยังสภาพขนาดนี้ ถ้าข้ามวันผมว่าคงต้องเรียกรถไปหามศพมาแล้วล่ะ"

เฮียฟานถลึงตาใส่เหว่ยถิงที่พูดเล่นผิดเวลา หมอนั่นกลั้วหัวเราะ "ก็มันจริงไหมเล่า มีเรื่องกับใครไม่มี ไปมีเรื่องกับคนตระกูลเซี่ย นี่หาเรื่องใส่ตัวกันเกินไปหรือเปล่า"

"พอเลย หยุดพูดเลย ถ้านายไม่เต็มใจช่วยก็กลับไปนอนซะไป" ผมไล่เขา เหว่ยถิงเบะปากใส่แล้วกลับไปนอนอย่างว่าง่าย หมอนั่นถ่างตาออกมาทำแผลให้พวกผมตอนเที่ยงคืนคงจะหงุดหงิดเหมือนกัน เลยปากหมาออกมาแบบนี้ ส่วนเฮียฟานนั่งหน้าเสีย ดูก็รู้ว่ากำลังหงุดหงิด

"ตาแก่เชี่ยมีหาง ต่อหน้าเตี่ยล่ะทำเป็นอ่อนน้อมถ่อมตน ลับหลังก็หางโผล่ อย่าให้ถึงทีข้าบ้างละกัน" เฮียฟานบ่นอุบ แต้มยาไปตามแขนตัวเอง ผมหัวเราะหึหึนี่ยังไม่เข็ดอีกนะ

"เฮียจะทำอะไรเขาล่ะ ตัวเองโดนตัดหางปล่อยวัดมานานแล้ว ลุงอู๋คงไม่ยอมช่วยหรอก คงจะซ้ำเติมเข้าให้"

"เออ! ข้ารู้อยู่หรอกเอ็งหยุดพูดมากได้ไหม" เฮียฟานเหวี่ยงใส่ฮึดฮัดโยนสำลีที่ใช้แต้มยาโยนลงบนโต๊ะ เรานั่งเงียบกันไปพักหนึ่ง หัวหมุนไปหมดไม่รู้จะทำยังไงดี ตอนนี้มืดแปดด้าน แม้แสงสว่างก็ไม่มีให้เห็น

ถ้าหากขอความช่วยเหลือจากเตี่ยผม ผมไม่รู้ว่าจะโดนด่าอะไรบ้าง รอบที่แล้วโดนหักค่าขนมเป็นเดือนนี่ก็แทบกระอักแล้ว รอบนี้ ถ้าบอกว่าขอเงินสดสองล้านหยวน ผมว่าคงโดนเตี่ยจับหักคอแน่ๆ แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ไม่เท่ากับรอวันตายหรือไง

อาลี่หางก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเราบ้าง ผมรู้ชื่อเสียงเขาดี ในปักกิ่งมีหรือที่ใครจะไม่รู้จัก ลักลอบเปิดบ่อนพนันใช้ร้านอาหารบังหน้า มีร้านขายของโบราณสามสาขา เบื้องหลังลักลอบขุดสุสาน ทำงานลับให้กับองค์กรงี้ น้อยคนที่จะกล้ามีเรื่องกับเขา

มีแต่ผมกับเฮียฟานนี่ล่ะมั้งเจ้าแรก ที่เดินออกมาจากที่นั่นโดยอวัยวะร่างกายครบถ้วน นี่ต้องขอบคุณเตี่ยผมหรือเปล่าที่ทำให้ผมยังไม่ตาย หรือไม่ก็ยังไม่โดนตัดมือ

ส่วนเฮียอี้ฟาน อาเตี่ยแกทำอาชีพเดียวกันกับอาลี่หาง เป็นโจรลักลอบขุดสุสาน เบื้องหน้าเปิดธุรกิจรับจ้างออกแบบบ้าน หรือไม่ก็รับติดตั้งกลไกให้พวกเศรษฐีที่วันๆไม่มีอะไรทำ ศึกษาดูงานโบราณสถาน วิเคราะห์กลไกของสุสานบ้างเป็นครั้งคราว แต่เนื้อแท้ก็โจรนั่นแหละ

ลุงอู๋ยังเคยลงขุดสุสานกับอาลี่หางหลายครั้ง พูดง่ายๆ ทุกคนคล้ายๆกับเครือญาติกัน แต่พอทุกคนเริ่มแก่ตัว อาชีพนี่ก็เลิกทำไปโดยปริยายเหมือนล้างมือ

ความสัมพันธ์ของพวกเขาเริ่มร้างลา เฮียฟานโดนซ้อมไม่ไว้หน้า หรือไม่ พวกผู้ใหญ่ก็รู้กันอยู่แล้ว อาลี่หางถึงกล้าทำกับพวกผมถึงขนาดนี้ แต่คิดแล้วมันก็เจ็บใจ แต่เรื่องเงิน เมื่อรับปากแล้วก็ต้องทำให้ได้

ผมหันไปถามเฮีย "ตกลงเรื่องเงินเอาไงดีเฮีย ถ้าหาไม่ได้ผมว่าต้องโดนตัดมือทิ้งแน่ๆ"

เฮียฟานทำเสียงฮึดฮัด "ตาเชี่ยมีหางนั่นไม่กล้าทำอะไรเราหรอก เรื่องเงินเดี๋ยวเฮียจัดการเอง ลองโทรไปหยิบยืมเพื่อนเฮียก็ได้ เอ็งอยู่เฉยๆก็พอ"

"เฮีย สามวันนะ แล้วเงินตั้งสองล้านหยวนแนะ ผมว่าไม่มีใครหาให้เราเร็วขนาดนั้นหรอก เอางี้ เดี๋ยวผมลองคุยกับเตี่ยอีกทีก็แล้วกัน ช่วงนี้เฮียก็ช่วยผมหาเงินอีกแรง แต่อย่าหักโหมร่างกายมากนักล่ะเดี๋ยวช้ำในเข้าไปอีก"

เฮียฟานหน้าเครียดเงียบไปอีกครั้ง เหมือนกำลังคิดหนัก สงสัยละอาใจที่ให้น้องชายอย่าผมเป็นคนวิ่งเต้นหาเงิน ผมตบไหล่เฮียแกปักปักเพื่อให้ผ่อนคลาย ส่วนผม เป็นไงเป็นกัน อย่างมากก็แค่โดนเตี่ยด่า โดนหักค่าขนม หรืออาจจะมากกว่านั้น ไม่แน่อาจโดนตัดหางปล่อยวัดเหมือนเฮียฟานนี่ก็ได้

"อี้เฟิง" เฮียฟานเรียกผมเสียงต่ำ ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม เฮียแกล้วงมือหามือถือ แล้วกดเช็คเงินในบัญชี "ในบัญชีเฮียมีอยู่หกแสนกว่าๆ แกขอเตี่ยมาสักล้านห้าก็แล้วกัน"

ผมมองหน้าเฮียตาปริบๆ สายตาคาดหวังกับผมสุดๆ ผมนี่โคตรซึ้งใจเป็นพี่ชายที่สนับสนุนให้น้องทำดีมากๆ ผมถาม อีกแสนจะเอามาทำอะไร ออกอีกแสนไม่ได้หรอ ให้ผมขอเตี่ยแค่ล้านสี่ก็พอ เฮียแกบอกว่า เผื่อเอาไว้ทำทุนตอนเอ็งโดนตัดหางปล่อยวัด เท่านั้นล่ะผมซึ้งจนน้ำตาไหล

เราหาทางออกเรื่องเงินนี่ก็กินเวลาไปจนเกือบตีสอง จากนั้นจึงพากันเข้านอน เฮียฟานคงต้องอยู่ที่นี่ไปสักพักหนึ่ง เพราะไม่ต้องเปลืองค่ารักษาพยาบาลมาก มีเหว่ยถิงอยู่ช่วยให้ประหยัดไปหลายพันหยวน ส่วนผม นอนเครียดมันทั้งคืน ไม่รู้ว่าจะอธิบายกับเตี่ยเรื่องเงินยังไง นอนซักซ้อมบทตอนพูดมันทั้งคืน

พอเช้า ผมรีบโทรเข้าบ้านใหญ่แทบจะทันทีที่ตื่นนอน เพราะเหลือเวลาไม่มาก รอสายอยู่พักใหญ่พ่อบ้านจึงมารับสาย ผมถาม "เตี่ยล่ะ" ปลายสายตอบผมกลับมาว่า "นายใหญ่ไปอียิปต์ครับนายน้อย อีกประมาณสองเดือนจึงจะกลับ ท่านสั่งเอาไว้ ว่าถ้านายน้อยโทรมาบอกว่าไม่ต้องโทรหา เพราะที่นั่นไม่มีสัญญาณ มีอะไรค่อยว่ากันตอนที่กลับมาแล้ว"

คำตอบของพ่อบ้านทำเอาหูผมอื้ออึงไปหมด ถามกลับร้อนรน "เอ้า! เขาไปทำอะไรที่อียิปต์ล่ะ"

"มีฝรั่งให้ไปช่วยสำรวจซากโบราณที่นั่นนั่นล่ะครับ เห็นเขาว่ามีการค้นพบครั้งใหม่ ผมก็ไม่รู้เรื่องอะไรได้ยินเขาพูดกันแบบนี้อีกที"

ตอนนี้ลิ้นผมแข็งพูดไม่ออก เลยอือออกลับไปแล้ววางสาย นั่งคอตกอยู่กับที่ ทำไมเตี่ยต้องมาไม่อยู่ได้ถูกเวลาล่ำเวลาแบบนี้ด้วยนะ บอกว่ามีอะไรคุยกันตอนกลับ พอถึงตอนนั้นผมกับเตี่ยคงไม่ได้เจอกันอีกแล้ว

นั่งกระวนกระวายใจพลางมองไปทางเฮียฟาน ตอนนี้เฮียแกยังหลับอยู่สงสัยเพลียมาก ไม่กล้าบอกความจริง ผมนั่งอึนอยู่พักใหญ่ พยายามหาทางออกเอง สักพักจึงนึกขึ้นได้

ผมเคยเห็นเตี่ยซ่อนเงินสดเอาไว้ในตู้เซพ มันอยู่หลังกรอบรูปที่แขวนอยู่หลังโต๊ะทำงานของเขา เงินก้อนนั้นคงหลายหยวนอยู่ บางทีอาจหลักล้าน พอนึกได้แบบนี้ก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย ดูมีความหวังขึ้นมาบ้าง ขอยืมมาใช้หนี้ก่อนเตี่ยคงไม่รู้หรอก รายนั้นชอบแอบเงินแล้วก็ลืม พอเคลียร์หนี้เสร็จค่อยไปหาเอามาคืนเตี่ยก็ได้

พอคิดได้ดังนั้นผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าลงไปโบกแท็กซี่ ซื้อตั๋วเครื่องบินกลับไปบ้านใหญ่ที่หังโจวทันที 

พอเตี่ยไม่อยู่ก็เหลือแต่พ่อบ้าน กับลูกน้องสองสามคนนั่งคุยกันอยู่ พอเห็นผมกลับมาก็ทักเรื่องใบหน้ายกใหญ่ ผมแถวว่าขับรถล้มเขาก็บอกว่าให้ดูแลรักษาตัวด้วย ผมนี่ซึ้งจนน้ำตาเล็ดน้ำตาไหล

ผมซื้อขนมเป็นของฝากให้พ่อบ้านเอาไปแจกพวกเด็กๆ ที่นี่มีแต่หลักฐานสำคัญทางโบราณคดีที่เตี่ยเก็บไว้หลายอย่าง ที่บ้านเลยมีลูกน้องคอยเฝ้าหลายคน เหมือนเป็นพิพิธพันธ์ขนาดย่อมเลยก็ว่าได้

เปิดบ้านเข้ามามีแต่ของเก่าคร่ำครึ ถ้าใครมาเยี่ยมคงนึกว่าหลงยุคอยู่ในเมืองโบราณเมื่อพันปีก่อน แต่ผมชอบคิดว่าของพวกนี้เป็นขยะ เตี่ยชอบเก็บขยะแล้วบอกว่าเป็นของล้ำค่า ของล้ำค่าที่ขายไม่ได้ผมว่ามันก็ขยะดีๆนี่แหละ เก็บไว้รกบ้านเปล่าๆ หยิบอะไรไปขายใช้หนี้ไม่ได้สักอย่าง

รีบตรงดิ่งไปชั้นสองของบ้าน ค่อนข้างลำบากหน่อยเพราะขยะของเตี่ย เข้าไปในห้องทำงานซึ่งเป็นห้องหนังสือ ขนาด25x25ตารางวา ข้างในเต็มไปด้วยแถวหนังสือเกี่ยวกับประวัติราชวงศ์จีนต่างๆ โต๊ะทำงานเตี่ยอยู่ทางซ้ายมือ ผมรีบเดินไปที่โต๊ะอ้อมเข้าไปยกรูปภาพออก ปรากฏว่ามีตู้เซพขนาดเล็กจริงๆ กระหยิ่มยิ้มในใจ คิดว่างานนี้รอดตายแล้ว อย่างน้อยก็ไม่ถูกอาลี่หางดูถูกละวะ

แต่ถึงจะมีตู้เซพจริงก็ไม่รู้รหัสปลดล็อกอยู่ดี ผมหมุนตัวกลับมาที่โต๊ะทำงานของเตี่ย คาดว่าเตี่ยอาจจะจดรหัสเอาไว้บ้าง แต่หาเท่าไรก็ไม่มีค่อนข้างน่าโมโห ยิ่งรีบร้อนทำอะไรก็ยิ่งหงุดหงิดไปหมด เลยมองหาตามโต๊ะทำงานบ้าง เจอแต่สมุดบันทึกเก่าๆ บางเล่มก็เปิดทิ้งเอาไว้ วางระเกะระกะไปหมด

นิสัยเตี่ยชอบสอดข้อความสำคัญเอาไว้ในสมุดบันทึกของตนเอง ผมเลยนั่งลงแล้วเปิดทีละเล่ม หยิบเล่มที่ดูเก่าขึ้นมาหน่อย พอเปิดด้านในผมต้องย่นคิ้ว มันเป็นสมุดบันทึกการสำรวจของสุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ ตั้งแต่แรกเริ่มการขุดพบ

เตี่ยศึกษาเรื่องนี้มานานมาก ถึงขนาดรู้โครงสร้างคร่าวๆของสุสาน พอผมเห็นก็ตาพราว เลยเลื่อนเก้าอี้เข้ามานั่งอ่าน สมุดเล่มนี้บันทึกเอาไว้หลังจากการขุดค้นพบในปีค.ศ.1979ตอนนั้นเตี่ยผมอายุยี่สิบปี เป็นยังเป็นนักสำรวจทางโบราณคดีเลือดร้อนอยู่ ผ่านมาสามสิบกว่าปีก็ยังเก็บบันทึกเล่มนี้เอาไว้ สมุดค่อนข้างเก่าเขียนรายละเอียดเยอะแยะไปหมด

ภายในบันทึกของเตี่ย เขียนงานออกแบบโครงสร้างคร่าวๆของสุสานที่ฝังอยู่ในใต้ดิน ลักษณะของสุสาน ข้อสันนิฐานของการติดตั้งกลไกภายใน สมบัติฝังร่วมที่มหาศาล โครงสร้างที่เตี่ยร่างขึ้นมาน่าจะเป็นสุสานหลักที่ทางรัฐบาลสั่งห้ามไม่ให้ขุดค้นสำรวจแน่ๆ 

ในยุคนั้นที่ค้นพบ ส่วนใหญ่พบเพียงแค่ภาชนะเครื่องปั้นดินเผา กับกองทัพทหารดินเผาของจิ๋นซีฮ่องเต้ เป็นห้องสุสานฝังร่วมใช้เป็นกองกำลังส่งเสด็จขึ้นสรวงสวรรค์ ประวัติของจิ๋นซีฮ่องเต้คงรู้ๆกันดี สมบัติมากมายมหาศาล เพชรนิลจินดาต้องฝั่งร่วมอยู่ในสุสานหลักแน่ๆ

ผมนึกถึงขนาดที่ว่า ถ้าหากได้ขุดลงไปสำรวจสุสานหลักแล้วล่ะก็ เพียงแค่หยิบสมบัติเพชรพลอยมาแค่สองสามชิ้นคงสุขสบายไปทั้งชาติ ยังไม่รวมฝีมืองานช่างในการทำเครื่องประดับในสมัยนั้น ไม่รู้ว่าจะตีค่าราคามากมายมากแค่ไหน

เมื่อเปิดสมุดบันทึกไปอีกหน้า ผมเห็นเส้นทางการเดินเท้าสำรวจ ภายในภูเขาหลี่ซาน เขียนเป็นรูปแผนที่ของหมู่บ้านเอี้ยนไจ้ในมณฑลส่านซี เขียนเป็นรูปภูเขาระบุพิกัดที่ตั้งของสุสาน ซึ่งอยู่ระหว่างภูเขาหลี่ซานทางใต้กับแม่น้ำเว่ยซุ่ยทางเหนือ

เขาลูกหนึ่งเป็นน้ำตกเส้นทางน้ำไหลลงสู่แม่น้ำเว่ยซุ่ย กำลังน้ำตกไม่แรงมาก พบทางเข้าสุสานหนึ่งแห่ง น่าจะเคยเป็นอุโมงค์โจรเมื่อสมัยที่ฉินสือหวงสวรรคต แล้วเซี่ยงหยี่ยกทัพขุดสุสาน

อุโมงค์โจรอยู่ในถ้ำหลังม่านน้ำตกแหงนหน้าขึ้นข้างบนประมาณห้าสิบเมตร แต่เส้นทางข้างในถูกปิดด้วยหินหล่นทับต้องใช้กำลังคนและเครื่องมือในการขุดสุสาน สมัยนั้นทางรัฐบาลคุมเข้มเข้มงวดไม่อาจลักลอบขุดสุสานเลยต้องเก็บพับเรื่องนี้เอาไว้ คณะสำรวจต้องยอมแพ้กลับไปแล้วอาจจะลืมเรื่องทางเข้าลับทางนี้ไปแล้ว มีแค่เตี่ยกับอาลี่หาง และนักศึกษาทางโบราณคดีอีกหนึ่งคนที่รู้เท่านั้น

พอได้อ่านคร่าวๆหูตาผมแพรวพราวไปหมด ความคิดชั่ววูบแล่นเข้ามาในหัว การขุดสุสานเป็นวิธีที่เสี่ยงตายมากที่สุด แต่ก็ง่ายที่สุดในการหาเงินก้อนหนึ่ง

สุสานจิ๋ซีฮ่องเต้ กับดักกลไกค่อนข้างดุ แต่สมองของคนโบราณหรือจะเอาคนสมัยใหม่อยู่ ผมคิดดูถูกอย่างนั้น พาลคิดว่า เฮียฟานน่าจะรู้เรื่องกลไกของฉินสือหวงดี

ไม่แน่ ถ้าพวกเราเข้าไปในนั้นแล้วหยิบเครื่องทองสำริดงานฝีมือดีมาสักชิ้น หรือหยิบปิ่นปักผมไข่มุกพันปีของจักรพรรดินีมาสักอย่างสองอย่าง ผมคิดว่า... แค่สองล้านหยวนนี่ไม่ใช่ปัญหาผมใหญ่สำหรับผมเลย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา