[FanFic Fafner]Flugel - ปีกของผู้ที่เฝ้ารอคอย

-

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 21.52 น.

  3 ตอน
  0 วิจารณ์
  8,467 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 22.24 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

2)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
เกาะทัตสึมิยะ...ยามเมื่อได้กลับมาแม้จะยังมีบางสิ่งที่คลางแคลงใจแต่มันก็หายไปอย่างรวดเร็ว พวกเราได้พรรคพวกใหม่คือ คานนและคุณมิจิโอะ ผมและโซชิสามารถพูดคุยกันฉันท์เพื่อนได้อีกครั้ง ความรู้สึกยินดีเต็มเปี่ยมอยู่ในอกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เส้นทางที่เคยคิดว่าขาดสะบั้นลงถูกเชื่อมด้วยมิตรภาพของโซชิและมันจะไม่มีวันขาดลงอีกต่อไปแล้ว หากใครก็ตามที่คิดจะทำลายมัน ผมนี่แหละจะเข้าต่อสู้เพื่อปกป้องมันเอาไว้ด้วยชีวิตของผม
 
แต่ว่า...ในช่วงเวลาแห่งความยินดีที่เรากำลังหลงระเริงกับชัยชนะตรงหน้าความมืดก็เริ่มย่างกรายเข้ามาโดยที่ไม่มีใครรู้ตัวแม้แต่คนเดียว
 
ซากุระได้ล้มลงไปและกลายเป็นเจ้าหญิงนิทราเพราะเกิดภาวะ"การดูดกลืน"ที่มาจากการขับฟาฟเนอร์ส่วนตัวผมก็เริ่มเกิดอาการแล้วเช่นกัน มาโมรุและคุณมิจิโอะเข้าต่อสู้โดยเสียสละชีวิตตนเอง แล้วยังคนอื่นอีกมากมายที่เสียชีวิตไปเพื่อปกป้องพวกเราทุกคนบนเกาะเอาไว้ และสุดท้าย...โซชิเขาได้..หายไปต่อหน้าต่อตาผม
 
ผมไม่อาจช่วยเขาเอาไว้ได้ทั้งที่อยู่ตรงนั้น ทั้งที่มีพลังมากขนาดนี้แล้วทำไมกัน...ความขมขื่นแทรกเข้ามาในจิตใจก่อนจะแปรเลี่ยนเป็นอีกความรู้สึกหนึ่งที่เรียกว่า....ความแค้น
 
มาร์คไซน์ที่ผมบังคับอยู่กระโจนเข้าใส่มาร์คนิคท์ของเฟสตูมอย่างบ้าคลั่งเหมือนกับคราวที่ผมได้เห็นผู้มีใบหน้าเหมือนคุณแม่ถูกกลืนกินไป ริมฝีปากและจิตใจของผมร่ำร้องแต่เพียงประโยคเดียว
 
เอาโซชิคืนมา!
 
สุดท้ายเจ้านั่นมันก็หนีไปได้ ส่วนพวกเราสูญเสียคนสำคัญไปมากมาย ความยินดีที่เคยมีถูกแทนที่ด้วยความเศร้าสร้อย ความมืดกำลังปกคลุมไปทั่วเกาะ ผมไม่อาจเอ่ยคำพูดอะไรออกมาได้ความสิ้นหวังเข้าครอบงำจิตใจของผมที่ตอนนี้ไร้ซึ่งแสงสว่าง
 
ทว่าในความมืดนั้นกลับมีแสงสว่างเกิดขึ้นมา แสงแห่งความหวัง...
 
มียอลเนียหรือเฟสตูมที่ดูดกลืนมาคาเบะ อากาเนะแม่ของผมเข้าไปได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่ใช่ต่อหน้าของผมแต่เป็นพ่อของผมมาคาเบะ ฟุมิฮิโกะ เธอได้มอบสิ่งที่เรียกว่าความหวังให้กับผมเธอบอกว่า โซชิยังมีชีวิตอยู่...
 
ชั่วขณะนั้นที่ได้ยินคำนั้นผมดีใจจนบอกไม่ถูก โซชิยังมีชีวิตอยู่ ผมยังไม่ได้สูญเสียเขาไป เพราะงั้นผมจะต้องพาเขากลับมาให้ได้
 
ณ ศึกสุดท้ายที่ขั้วโลกเหนือที่ผมและเพื่อนๆได้เข้าร่วมต่อสู้เพื่อพาโซชิกลับไป พวกเราต้องเผชิญหน้ากับเฟสตูมมากมาย หากถามว่าพวกเราไม่คิดหรือว่าอันตราย คิดสิแต่พวกเราจะไม่มีวันทอดทิ้งเพื่อนของเราเด็ดขาด โซชิทำเพื่อพวกเรามาตลอดงั้นเราก็ต้องทำเพื่อเขาบ้าง
 
การบุกทะลวงเข้าไปดูจะราบรื่นดีแต่ว่าพวกเฟสตูมกลับใช้แผนแยกพวกเราออกจากกันทำให้เกือบเอาชีวิตไม่รอดแต่พวกเราจะไม่ยอมแพ้ สิ่งสำคัญที่พวกเราตัดสินใจเอาไว้ ห้ามตายแม้แต่คนเดียวเด็ดขาด
 
คำมั่นที่พวกเรารักษาเอาไว้ และพวกเราก็ทำได้สำเร็จผมได้พบกับโซชิและช่วยเขาออกมาได้ ทุกคนกำลังจะได้กลับบ้าน แต่...เจ้ามาร์คนิคท์มันกลับไม่ยอมปล่อยเราสองคนไป มันดึงผมและโซชิเข้าสู่มิติที่มืดมิด ในมิตินั้นผมพยายามจับโซชิเอาไว้ไม่ให้เขาตกลงไปสู่ความมืด
 
โซชิบอกว่าร่างของพวกเราไม่ได้มีตัวตนอยู่ในมิติมนุษย์อีกแล้วแต่ผมไม่เชื่อหรอก ก็ผมและเขายังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของมือที่จับไว้ ถ้อยคำที่ยังได้ยินของกันและกันคือสิ่งที่ยืนยันตัวตนของพวกเรา พวกเรายังมีตัวตนอยู่ที่นี่!
 
"คาซึกิ...."เสียงหนึ่งที่เคยได้ยินมาก่อนกับสัมผัสที่ดึงให้ผมและโซชิหลุดพ้นจากความมืด โคโย...เพื่อนของพวกเราได้ช่วยผมและโซชิเอาไว้ทำให้ผมและโซชิสามารถกลับมายังมิติมนุษย์ได้อีกครั้ง
 
แต่ว่า..แม้ผมและโซชิจะกลับมายังมิติมนุษย์ได้แต่ผู้ที่กลับไปเกาะทัตสึมิยะได้กลับมีเพียงผมคนเดียว....ระหว่างทางที่กลับมาร่างของโซชิได้สลายหายไป
 
"โซชิ!!!"เสียงกรีดร้องอันเจ็บปวดที่ส่งเสียงเรียกเขา....เขาจากผมไปแล้วจริงๆ....ผมไม่อาจจะ..ช่วยเขาเอาไว้ได้อีกแล้ว โซชิคนสำคัญของผมที่ผมไม่เคยปกป้องเขาเอาไว้ได้เแม้แต่ครั้งเดียว ภายใต้ความเสียใจที่โถมกระหน่ำเขาได้ทิ้งคำพูดสุดท้ายเอาไว้
 
ตราบใดที่นายยังคงเชื่อมั่นในตัวฉัน...สักวันฉันจะกลับมา...ยังที่ซึ่งมีนายอยู่...
 
คำสัญญาที่เขาบอกกับผม สุดท้ายคนที่ถูกช่วยเอาไว้ก็คือผมสินะ...แม้จะเจ็บปวดเพียงใดหรือจะเหงาแค่ไหนแต่ว่า...โซชิฉันจะรอนายตลอดไป
 
.................
............
.......
 
นัยน์ตาของผมรู้สึกได้ถึงแสงสว่างที่ลอดผ่านหนังตาเข้ามาเมื่อลืมตาขึ้นก็ได้พบกับใบหน้าคุ้นเคยที่ดูเปลี่ยนไปของหลายคนในห้องซึ่งตอนนี้ยืนล้อมผมเอาไว้
 
"อรุณสวัสดิ์คาซึกิคุง"คนแรกที่มักจะพูดว่า อรุณสวัสดิ์เป็นคนแรกเสมอยามเมื่อได้พบกัน โทมิ มายะ เส้นผมของเธอดูจะยาวขึ้นมากอย่างบ่งบอกถึงเวลาที่ผ่านไปแม้รูปหน้าจะเหมือนเดิมก็ตาม
 
"คงต้องพูดว่าไม่ได้พบกันนานเลยนะ"ผมหันไปมองอีกเสียงหนึ่งข้าง เค็นจิคือผู้ที่พูดออกมาผมดูแล้วเขาก็ไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไหร่เลย ผมเหลือบมองข้างๆเค็นจิที่คานนยืนอยู่เส้นผมของเธอยังสั้นอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน แต่แล้วผมก็ต้องเกิดอาการตกใจไม่น้อยเมื่อเห็นผู้ที่ยืนอยู่อีกข้างหนึ่งของเค็นจิ
 
เด็กสาวอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกผมยืนอยู่เจ้าของผมสีดำขลับและนัยน์ตาสีน้ำตาลที่มีแววมาดมั่นและกล้าหาญอยู่เสมอ เธอคือซากุระผู้ที่น่าจะนอนหลับอยู่เช่นเดียวกับผมกลับมายืนอยู่ตรงหน้าแล้วอย่างนี้มีใครบ้างล่ะที่ไม่ตกใจ
 
"อะไรเล่าทำหน้ายังกับเห็นผียังไงยังงั้น ชั้นยังไม่ตายซะหน่อย"ท่าทางเธอจะรับรู้ถึงความตกใจของผมเลยได้โอกาสพูดดุเชิงหยอกที่สมกับเป็นเธอ ผมลุกออกจากแคปซูลทรงกระบอกนี้ด้วยความลำบาก รู้สึกร่างกายมันติดขัดยังไงชอบกลจนผมเกือบจะหน้าทิ่มลงพื้นดีที่โทมิเข้ามาจับไว้ทัน
 
"ระวังหน่อยสิคาซึกิคุงรู้มั้ยว่าเธอหลับไปนานมากเลยนะ"โทมิว่าพลางเข้ามาพยุงผมไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆซึ่งคุณหมอโทมิเลื่อนมาให้
 
"...นี่ฉันหลับไปนานเท่าไหร่เหรอ"ผมถามขณะลองขยับข้อมือข้อเท้าเพื่อฟื้นฟูประสาทสัมผัส
 
"เธอหลับไป1ปีน่ะ..ถ้าจะพูดให้ถูกก็1ปีกับอีก20วัน"มิน่าล่ะทุกคนถึงได้ดูเปลี่ยนไป....ผมลอบคิดในใจ
 
"ว่าแต่คำทักทายล่ะ"เค็นจิเอ่ยปากทวงเมื่อเห็นผมทำหน้าสับสนเล็กน้อย ผมเงยหน้าขึ้นแล้วยิ้มออกมาพร้อมกับคำทักทายที่ไม่ได้พูดมานาน
 
"อรุณสวัสดิ์ ทุกคน"จากนั้นทุกคนก็เล่าเรื่องต่างๆระหว่างที่ผมหลับไปให้ฟัง โดยเค็นจิเล่าว่าหลังจากที่ผมหลับไปได้3เดือนคุณหมอโทมิก็สามารถช่วยซากุระได้สำเร็จเธอถึงได้มาอยู่ตรงนี้ส่วนคานนบอกว่าหลังจากที่จบศึกใหญ่นั้นพวกเฟสตูมก็ไม่เคยปรากฏที่เกาะนี้อีกเลย จบท้ายด้วยโทมิที่เล่าเรื่องเล็กน้อยๆภายในเกาะเช่นพิธีจบการศึกษาที่ผมไม่ได้เข้าร่วมด้วย นอกนั้นก็ดูจะไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจาก เรื่องลูกชายของคุณยูมิโกะและคุณมิจิโอะ
 
โทมิบอกว่าลูกชายของทั้งสองคนนั้นชื่อมิจิโอะ ที่ชื่อเหมือนกับคุณมิจิโอะนั้นก็เพื่อจะได้ระลึกถึงเขาที่ปกป้องเกาะนี้เอาไว้โดยสละชีวิตตนเอง แต่ที่น่าขำก็คือโทมิและทุกคนบอกว่าคุณยูมิโกะเล่าให้ฟังว่า มิจิโอะตัวน้อยนี้ขนาดอายุยังไม่ครบขวบดียังซนซะเกือบดูแลไม่ไหวซึ่งถอดแบบมาจากคุณมิจิโอะเปี๊ยบ ช่างสมกับเป็นพ่อลูกกันจริงๆ ระหว่างที่นั่งคุยกันอยู่ประตูห้องก็เปิดออกผู้ที่เดินเข้ามานั้นทำให้ผมดีใจจนลุกขึ้นเดินเข้าไปหา
 
"คุณพ่อ..."ผมมองดูท่านที่แม้ผ่านไปปีเศษก็ยังเหมือนเดิมจะติดก็ที่เส้นผมดูเป็นสีขาวไปแล้วบางส่วน ท่านยิ้มให้ผมก่อนจะเอ่ยทักทาย
 
"เป็นไงบ้างล่ะเราน่ะ"
 
"เอ่อ..ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับแล้วคุณพ่อล่ะครับ"ผมได้ยินเสียงคุณพ่อหัวเราะหึในลำคอก่อนจะพูดกับผมต่อ
 
"ทางฉันจะไปสบายได้ยังไงล่ะ กว่าจะตื่นได้เลยเอาพ่อกลุ้มไปหลายตลบเลยรู้มั้ย โครงการรักษาเค้าวางแผนไว้ประมาณครึ่งปีแต่แกเล่นหลับเกินไปตั้งเท่านึง ไม่อยากจะเจอพ่อขนาดนั้นเลยเหรอไง"ผมหัวเราะกับคำดุระคนแหย่ของท่านเล็กน้อย ใครว่าผมไม่อยากตื่นล่ะแต่มันตื่นได้ที่ไหนกัน...ผมแอบเถียงอยู่ในใจ
 
"เอาเถอะค่ะ คาซึกิคุงตื่นขึ้นมาก็ดีแล้วทีนี้คุณจะได้เลิกห่วงแกเสียทีแล้วคาซึกิคุงรู้สึกยังไงบ้างจ้ะ"คุณหมอโทมิหันมาถามผมหลังจากที่พูดกับคุณพ่อเสร็จแล้ว ผมลองขยับมือตนเองอยู่สองสามทีก่อนจะตอบ
 
"ก็รู้สึกแปลกๆนิดหน่อยน่ะครับ ร่างกายก็ดูจะติดขัดไปบ้าง นี่ผมหลับไปตั้งปีกว่าเชียวเหรอเนี่ย..จริงสิ!"ผมเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก นั่นคือจุดประสงค์ส่วนหนึ่งที่ผมเข้ารับการรักษา โซชิล่ะ...?
 
"โซชิล่ะครับ เขากลับมารึยัง"ทันใดนั้นผมสัมผัสได้ถึงสายตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย นั่นเพราะเรื่องที่โซชิสัญญาว่าเขาจะกลับมานั้นผมไม่เคยบอกใครเลย ทุกคนมองผมด้วยสายตาแปลกๆระคนตกใจในคำถามของผมและบางสิ่งที่เกิดขึ้น
 
"คาซึกิคุง..ตาของเธอมันเป็น.."โทมิพูดขาดหายราวกับคำพูดมันจุกอยู่ในลำคอ
 
"สีแดง"คานนเป็นคนต่อประโยคให้จนจบในขณะที่ดวงตาของเธอยังจับจ้องผมอยู่รวมถึงทุกคนในห้องก็มีท่าทางไม่ต่างกันเว้นก็แต่คุณหมอโทมิเท่านั้นที่ไม่ได้มีอาการตกใจแต่อย่างใด
 
"คงเพราะร่างกายยังไม่เสถียรดีน่ะจ้ะมันคงเป็นแบบนี้ไปอีกซักพักแต่ก็ไม่อันตรายหรอกจ้ะ"ผมได้ยินเสียงคนทั้งห้องปล่อยเสียงถอนหายใจโล่งอกกันเป็นแถว แต่เรื่องตาสีแดงจะเป็นยังไงผมก็ไม่สนหรอกแต่โซชิต่างหากล่ะ!
 
"แล้วเรื่องของโซชิล่ะครับ..."ทุกคนคงนึกว่าผมประหลาดแน่ๆที่ถามแบบนี้ โดยดูได้จากท่าทางอ้ำอึ้งของคุณหมอโทมิก็รู้แล้ว
 
"คือเรื่องของโซชิคุงน่ะ...เขายังไม่กลับมาเลยจ้ะ"คำตอบนี้น่ะผมได้รู้ตั้งแต่เห็นสีหน้าของคุณหมอแล้วล่ะ เพียงแต่ยังไงผมก็อยากจะถาม
 
"งั้นเหรอครับ"ใบหน้าของผมก้มลงมองพื้นได้ยินเสียงของคุณหมอโทมิที่กระซิบกับคุณพ่อพอจับใจความได้ว่า
 
"คงเพราะมีอาการสับสนเกี่ยวกับความทรงจำเลยทำให้แกถามออกไปแบบนั้น...."ไม่ว่าใครก็ไม่มีวันรู้หรอก ผมไม่ได้สับสนหรือเป็นอะไรทั้งนั้นแต่เพราะว่านั่นคือสิ่งที่ผมคนเดียวเท่านั้นที่รู้
 
"จริงสิคาซึกิแกบอกว่าจะให้พ่อสอนวิธีทำเครื่องปั้นดินเผาไม่ใช่เหรอ..."เดาได้ทันทีเลยว่าคุณพ่อต้องรู้ว่าผมผิดหวังแต่ผมก็ดีใจนะที่ท่านยังคงจำสัญญานี้ได้
 
"ครับ"ผมเห็นคุณพ่อยิ้มให้อย่างอ่อนโยนอย่างที่ไม่ได้เคยเห็นมานาน และแล้วเวลาของผมก็เริ่มเดินอีกครั้ง
 
................
...........
 
วันเวลาผ่านไปไวราวกับโกหก1ปีนั้นสั้นราวกับเพียงวินาทีเดียวแต่บางครั้งผมกลับรู้สึกว่ามันช่างแสนยาวไกลนัก ร่างกายของผมสูงขึ้นตามวัยที่เปลี่ยนไปและดูจะสูงเร็วเกินไปเสียด้วยคงเพราะชดเชยกับที่หลับไปปีกว่าละมั้ง น้ำเสียงก็เริ่มเปลี่ยนเล็กน้อย เวลาผ่านไปทุกอย่างก็ย่อมเปลี่ยนไป แต่จิตใจของผมยังคงเหมือนเดิม
 
นับตั้งแต่เมื่อ1ปีก่อนหรือแม้กระทั่งตอนนี้ผมก็ยังคงเฝ้ารอโซชิอยู่เหมือนเดิม แม้ว่าจะมีบางครั้งที่ผมไม่มั่นใจในสัญญานั้น หลายครั้งที่ได้ยินเสียงของโซชิเรียกหาแต่ไม่ว่าผมจะตามหาเท่าไรก็ไม่พบแม้แต่เงาของเขา
 
โซชินายอยู่ที่ไหน....
 
หลายครั้งที่ผมเผลอพูดออกมาเพราะความกลัวและความเหงา ทั้งที่เชื่อมั่นมาตลอดแต่เขาก็ยังไม่กลับมา หากจะโทษใครผมคงโทษตนเองที่ช่วยเขาเอาไว้ไม่ได้ บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมถึงไม่เอาชีวิตของผมไปแทนเขา ทำไมกันถึงไม่ให้คนที่จากไปเป็นผม
 
แต่แล้ววันเวลาก็ได้สอนผม หากลองย้อนมองดูภายในความทรงจำของตนเองแล้วโซชิเองก็คงคิดเหมือนกับผม เขาเองก็ไม่อยากจะให้ผมตาย
 
ความคิดของเราเหมือนกัน....ในที่สุดผมก็สามารถเข้าใจเขาได้จริงๆแม้มันจะสายเกินไปก็ตาม แต่ว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับความเชื่อมั่นที่จะรอเขา วันเวลาได้บอกผมว่าคนเราไม่อาจก้าวต่อไปเพียงลำพังได้บางครั้งจึงได้พบคนที่รอเรามาร่วมเดินไปด้วยกันและบางครั้งก็หยุดรอใครซักคน......
 
เสียงของสายลมบางครั้งก็ชวนให้เหงาแต่บางครั้งก็ชวนให้รื่นรมย์ จากทุกสิ่งที่ได้พบมาทำให้ผมรู้ว่า แม้เรื่องราวจะไม่ได้จบลงด้วยความสุขเสมอไปแต่มันไม่มีทางจบลงอย่างเลวร้ายที่สุดเช่นกัน อาจมีทั้งความสุขและความเศร้าคละเคล้ากันไป กาลเวลาอาจไม่รอใครก็จริงแต่เพียงแค่ผมคนเดียวก็พอแล้ว
 
"โซชินายได้ยินฉันไหม ฉันยังอยู่ที่นี่นะ..."ถ้อยคำที่มักพูดเสมอยามเมื่อมายังที่แห่งนี้ สายตาจับจ้องไปยังท้องฟ้าที่ทอดยาวไปไกลเคียงคู่กับผืนน้ำสีเดียวกันดั่งเส้นขนาน แสงสว่างของช่วงยามเย็นช่างเจิดจ้าและอบอุ่นราวกับผมถูกโอบอุ้มไว้ด้วยความอ่อนโยน
 
"ขอบคุณนะ สึบากิ"คำกล่าวขอบคุณแก่ผู้ที่ไม่มีตัวตนอยู่ที่ไหนและก็มีตัวตนอยู่ทุกที่ มินะชิโร่ สึบากิน้องสาวของโซชิผู้ที่สานต่อความต้องการของโซชิเอาไว้ เธอจะคอยปกป้องพวกเราเอาไว้เสมอ
 
เมื่อก่อนอาจเคยคิดว่าตัวผมนั้นโดดเดี่ยวแต่คงเพราะผมไม่เคยมองมันมากกว่าทั้งที่แท้จริงแล้วผมมีทุกคนอยู่เคียงข้างเสมอคุณ พ่อ คุณหมอโทมิ โทมิ เค็นจิ คานน ซากุระ รวมถึงผู้ที่จากไป สึบากิ โชโกะ โคโยและสุดท้ายโซชิ.. เขาจะยังคงอยู่ในตัวของผมเสมอจนกว่าจะถึงวันที่เราได้พบกันอีก

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา