[FanFic Fafner]Flugel - ปีกของผู้ที่เฝ้ารอคอย
เขียนโดย MeiaR
วันที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 21.52 น.
แก้ไขเมื่อ 30 กันยายน พ.ศ. 2556 22.24 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
1)
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความAs long as you still believe me...one day I'll come back...to where you are...
ตราบใดที่นายยังคงเชื่อมั่นในตัวฉัน...สักวันฉันจะกลับมา...ยังที่ซึ่งมีนายอยู่...
หลังจากเมื่อตอนนั้น เวลาได้ล่วงเลยผ่านไป 2 ปี ผมยังคงอยู่ที่นี่...ที่ลานของภูเขาแห่งความเดียวดาย ที่ซึ่งเคยออกปากว่าจะไม่มาที่นี่อีกแล้วยังคงมาอยู่เสมอ...
“ภูเขาสำหรับผู้ที่ต้องการอยู่คนเดียว” ใครกันนะเป็นผู้ที่คิดขึ้นมา สำหรับผมแล้วเมื่อก่อนนี้อาจจะใช่เพราะผมคิดมาตลอดว่าบางที..ผมไม่อยู่ซะคงจะดีกว่า ทว่าตอนนี้มันไม่ใช่อีกต่อไปแล้วตอนนี้ผมอยากจะมีตัวตนอยู่เพื่อรอใครคนหนึ่ง..คำสัญญาของผมและโซชิเพียงสองคน...เพราะงั้นผมจึงได้มาอยู่ที่นี่เพียงคนเดียว
ร่างกายของผมปะทะกับสายลมที่พัดผ่านมา เมื่อมองออกไปข้างหน้าก็ยังคงเป็นทิวทัศน์เดิมที่เคยมองอยู่เสมอไม่เคยเปลี่ยนเหมือนเมื่อครั้งที่ผมและทุกคนยังเด็กนัก....ยังคงมองเห็นถึงตัวตนของผมในเวลานั้นอยู่เสมอ...
เมื่อมองดู ณ เวลานี้สิ่งที่เปลี่ยนไปก็คงเป็นตัวผมและทุกคนที่เติบใหญ่ขึ้นท่ามกลางสายธารแห่งกาลเวลา...ละทิ้งความลังเล ความเศร้า ความอ่อนแอทั้งหมดก็เพื่อปกป้องทิวทัศน์นี้เอาไว้..เหมือนกับโซชิ ในที่สุดผมก็เข้าใจความรู้สึกของเขาแล้ว...
เมื่อคราวที่ได้สยายปีกทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าสีครามที่ทอดยาวออกไปไกลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดนี้ ผมจะต้องเข้มแข็งขึ้น..จะเข้มแข็งให้มากกว่านี้ความเศร้าที่พยายามแทรกเข้ามานี้ให้ได้ ผมจะต่อสู้เพื่อรักษาที่อยู่ของผมเอาไว้โดยไม่ให้ใครหรือภัยร้ายมากล้ำกรายได้โดยเด็ดขาด ทั้งปีกของผมที่เป็นความหวังและทุกคนที่หวังในตัวผม ผมจะปกป้องมันไว้ด้วยมือของผมเอง
จะไม่ให้น้ำตาไหลออกมาอีกแล้ว...
"โซชิ..."ชื่อของคนหนึ่งที่ผมรอคอยหลุดออกมาโดยที่นัยน์ตาของผมยังจ้องมองออกไปไกลอยู่เสมอ นัยน์ตาสีน้ำตาลที่มักกลายเป็นสีแดงอยู่บ่อยครั้งโดยเฉพาะยามเมื่อผมนึกถึงโซชิมันก็จะกลายเป็นสีแดงทุกครั้งไป
แม่ของโทมิ..คุณหมอโทมิบอกว่าอาจเพราะร่างกายยังไม่เสถียรจากการรักษาภาวะ"การดูดกลืน"และมันคงเป็นแบบนี้ไปอีกซักพัก
นั่นเพราะว่าเมื่อ2ปีก่อนหลังจากที่ผมได้กลับมาแล้ว ผมก็เข้ารับการรักษาทันทีเพื่อคงความมีตัวตนเอาไว้....
..............
..........
"เอาล่ะเข้าไปนอนในนี้ได้เลยนะจ้ะ"คุณหมอโทมิบอกผมแบบนั้นพร้อมชี้ไปที่แคปซูลอันหนึ่งที่อยู่กลางห้องสีขาว ผมจำได้ทันทีว่าเคยเห็นโคโยและซากุระนอนอยู่ในนี้เพื่อยับยั้งภาวะ"การดูดกลืน" ก่อนจะมาที่นี่คุณหมอบอกผมว่าพวกเค้าจะรักษาในขณะที่ผมนอนหลับอยู่ในนี้ซึ่งจะทำให้ได้ผลดีกว่าตอนที่ผมตื่นอยู่
ในตอนนั้นผมนึกลังเล..ไม่สินึกกลัวขึ้นมา ผมกลัวว่าหากผมหลับไปแล้วอาจจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้ว
ไม่ใช่ว่าผมไม่ไว้ใจพวกแม่ของโทมิแต่ว่า...ผมกลัว...
"ไม่เป็นไรนะ คาซึกิคุงเธอจะต้องไม่เป็นอะไรเชื่อใจชั้นสิ"...เชื่อใจฉันสิ...คำพูดแบบเดียวกับที่โซชิเคยพูดเอาไว้เมื่อตอนที่ผมจะขับฟาฟเนอร์ครั้งแรก เขาจะรู้ไหมนะว่าคำว่า เชื่อใจ นั้นมีค่าสำหรับผมมากแค่ไหน
ตลอดมาผมเคยคิดว่าเขาคงไม่ต้องการผมเพราะว่าผมทำให้ตาซ้ายของเขาต้อง...แต่เขาก็ยังบอกให้ผมเชื่อใจเขาแสดงว่าเขาเองก็เชื่อใจผมเหมือนกัน เขาต้องการผม... ฉะนั้นผมจึงยอมขึ้นขับฟาฟเนอร์ทั้งที่รู้ว่ามันอันตรายเรื่อยมา
เชื่อใจฉันสิ...คำง่ายๆสั้นๆที่ทำให้ผมรู้สึกสบายใจขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ความกลัวที่เคยมีก็พลันหายไปหมดเพราะคำพูดนี้
"โทมิ..ขอบคุณนะ"นี่เป็นคำพูดสุดท้ายของผมก่อนที่จะเอนตัวลงนอนในแคปซูลนั้นและหลับไป...
ขณะที่ผมหลับอยู่..ผมฝัน...ฝันถึงเรื่องราวมากมายทั้เรื่องที่เจ็บปวดและเรื่องที่ยินดี เรื่องที่อยากจะลืมและเรื่องที่ไม่มีวันลืม...
ความฝันของผมมันเริ่มต้นที่นี่...
เพล้ง!
เสียงบางอย่างแตกสลายไป แท่งผลึกสีเขียวที่ปรากฏอยู่บนมือของโซชิสลายหายไปพร้อมๆกับเลือดที่แดงเข้มที่ชโลมอยู่บนใบหน้าของเค้า
"อ้าก!!!!"ผมได้ยินเสียงเค้าร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อมองดูมือของตนเองที่มีเลือดสีเดียวกันติดอยู่ กลิ่นคาวเลือดลอยขึ้นมาเตะจมูก ภาพของเพื่อนที่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดมันกำลังทำให้ผมกลัว
ผมลุกขึ้นและออกวิ่งโดยไม่แม้หันหลังกลับมามองแม้แต่น้อย เมื่อถึงบ้านผมรีบล้างมือที่เปื้อนเลือดออกอย่างเร่งด่วนและขังตนเองอยู่ในห้อง คิดแต่เพียงว่ามันเป็นความผิดของผม...
มือเล็กๆที่แม้จะล้างเลือดออกไปแต่กลิ่นคาวที่น่าสะอิดสะเอียนของมันยังคงเหลืออยู่ แต่ตัวผมสิที่น่ารังเกียจยิ่งกว่าเพราะว่าผมวิ่งหนีมาโดยทิ้งโซชิไว้แบบนั้นเพียงลำพัง....
เช้าวันต่อมาผมแทบไม่อยากจะไปโรงเรียนเลย คงเพราะกลัวที่จะได้พบกับความจริงที่รออยู่ตรงหน้า แต่สุดท้ายผมก็ต้องจำใจไปเพราะมันก็ยังดีกว่าจะกักขังตัวเองอยู่แบบนี้
"อรุณสวัสดิ์ คาซึกิคุง"เสียงน่ารักๆของโทมิทักผมเป็นคนแรกเมื่อผมก้าวเข้าไปในห้องและนั่งลงที่โต๊ะประจำ โทมิมักจะมาเช้าอยู่เสมอตั้งแต่ตอนนั้นแล้วและที่นั่งของโชโกะก็มักจะว่างอยู่เสมอ...ทุกอย่างยังเหมือนเดิม
"อรุณสวัสดิ์"ผมทักตอบและก็อดแปลกใจไม่ได้ที่โทมิยังจ้องหน้าผมด้วยดวงตาใสแป๋วแล้วถาม
"ทำไมวันนี้ดูคาซึกิคุงไม่ร่าเริงเลยล่ะ"คำถามที่ทำให้ความรู้สึกบางอย่างที่พยายามกดไว้ผุดขึ้นมามันคงเป็นความกลัวแบบเด็กๆที่เวลาทำอะไรเสียหายก็ต้องนำไปซ่อนไม่ให้ใครเห็นแต่นี่คงไม่เหมือนกันมากนักเพราะสิ่งที่เสียหายไม่ใช่สิ่งของแต่เป็นเพื่อนรักของผม..โซชิ
ผมนิ่งเงียบกับคำถามนั้น พูดอะไรไม่ออกจนกระทั่งได้ยินเสียงประตูห้องเปิดออกอีกครั้งพร้อมด้วยเสียงฮือฮาจากเพื่อนๆและยังเสียงหนึ่งที่ทำให้ผมต้องเหลียวมอง
"อรุณสวัสดิ์"โซชิกล่าวออกมาขณะที่พาร่างเล็กๆของตนซึ่งตาซ้ายนั้นมีผ้าสีขาวพันเอาไว้เสียแน่นจนเกือบจะปิดตาขวาอีกข้างด้วยซ้ำ เขาเดินไปนั่งที่โต๊ะซึ่งอยู่ห่างจากผมพอควรโดยยังมีเพื่อนๆรุมล้อมอยู่
"อรุณสวัสดิ์คาซึกิ"อยู่ๆโซชิก็หันมาและกล่าวทักทายผมพร้อมยิ้มให้คงเพราะเขารู้ละมั้งว่าผมจ้องมองเขาอยู่
"อ..อืม"ผมตอบรับในลำคอและพยักหน้า
"โซชิตาของนาย...."เค็นจิเป็นคนเริ่มถามขึ้นจากในกลุ่มเพื่อนที่ยืนล้อมอยู่
"อ๋อนี่เหรอ พอดีเมื่อวานฉันหกล้มไปโดนกิ่งไม้เข้าน่ะ"โซชิบอกไปแบบนั้น
ไม่ใช่นะ...
"แล้วเจ็บมากรึเปล่า"เค็นจิถามต่อพลางมองที่ผ้าพันแผล
"ก็นิดหน่อยนะ"
ไม่ใช่หรอกมันต้องเจ็บมากแน่ๆ...
"นี่นายไปหกล้มมาจริงน่ะเหรอ"คราวนี้ซากุระเป็นฝ่ายถามบ้างคงเพราะผ้าพันแผลที่พันหนามากขนาดนั้นละมั้งเลยทำให้เธอสงสัย
"อืมพอดีฉันวิ่งแล้วมันสะดุดน่ะ เพราะฉันไม่ระวังเองแหละ"โซชิยังยืนยันคำเดิมแล้วยิ้มเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย
ไม่ใช่..มันเพราะผมต่างหากล่ะ
คนที่ทำให้โซชิต้องเจ็บปวดคือผมเอง คนที่ทำร้ายโซชิก็คือผมแล้ว ทำไม...
ณ เวลานั้นผมทำได้แค่ร่ำร้องอยู่ในจิตใจเพียงคนเดียว ผมไม่อาจจะพูดออกไปได้ทั้งความกลัวและความลังเลนั้นมันกำลังกดทับความรู้สึกต่างๆเอาไว้
ทำไมล่ะโซชิ...ทำไมถึงไม่โทษฉันซักคำ...ทั้งที่น่าจะเจ็บปวดแล้วทำไมยังยิ้มให้ฉันอีกแล้วแบบนี้ฉันจะทำยังไง
ผมนิ่งเงียบมองเขาโดยไม่กล้าพูดอะไรจนกระทั่งเมื่อเวลาผ่านไปผมและเขาก็ไม่เคยได้พูดอะไรกันอีกเลย จนแม้เราสองคนจะเติบโตขึ้นระยะห่างที่ผมสร้างขึ้นก็ไม่ได้หดสั้นลงเลยซ้ำยังเหมือนกับว่าเราสองคนห่างไกลกันไปเรื่อยๆ โซชิเองก็คงรู้ว่าผมพยายามที่จะหนีเขาโซชิจึงพยายามจะไม่พูดกับผมโดยไม่จำเป็น ภาพของเราสองคนที่เคยเล่นและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานดูจะกลายเป็นเพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น
ผมเคยคิดแบบนั้นจนกระทั่งวันที่เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของผมและทุกคนก็มาถึง วันนั้นขณะที่ผมกำลังประลองกับเค็นจิแบบที่เคยทำอยู่บ่อยๆความรู้สึกบางอย่างก็แทรกเข้ามา ผมละทิ้งการต่อสู้และวิ่งออกไปโดยไม่รู้ตัว มันรู้สึกเหมือนมีใครสักคนกำลังเรียกผมอยู่ วิ่งออกไปได้ไม่เท่าไหร่สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นผมจึงตัดสินใจเข้าไปในที่หลบภัยพร้อมๆกับคนรอบข้าง
ที่นั่นทุกคนต่างพูดคุยถกเถียงเกี่ยวกับสัญญาณเตือนภัยที่ดังขึ้น ที่แห่งนั้นมีหลากหลายอารมณ์ปะปนไปมาหลายคนตื่นตระหนก บางคนเริ่มหวาดกลัว น้อยคนนักที่จะสงบได้แบบผมอาจเป็นเพราะสิ่งที่ผมกลัวนั้นมันมากกว่าความกลัวที่อยู่ตรงหน้าก็เป็นได้
ผ่านไปได้ไม่นานเสียงที่เคยพูดคุยก็เงียบลงและเสียงประกาศก็ดังขึ้นทำลายความเงียบผมลืมตาขึ้นและเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
"มาคาเบะ คาซึกิขอให้เตรียมตัวให้พร้อมในการปฏิบัติภารกิจ"เสียงที่ออกมาทำให้ผมรู้สึกตกใจไม่น้อยเพราะมันเป็นเสียงของโซชิที่ไม่ได้อยู่ที่นี่
"ขอย้ำ! มาคาเบะ คาซึกิขอให้เตรียมตัวให้พร้อมในการปฏิบัติภารกิจ"เสียงของโซชิเอ่ยย้ำอีกครั้ง รู้สึกได้เลยว่าสายตาของเพื่อนๆกำลังมองมาที่ผมอย่างสนอกสนใจและสงสัย ผมลุกขึ้นยืนและเดินไปที่ประตูซึ่งกำลังจะเปิดออก เมื่อประตูนั้นเปิดออกร่างของโซชิก็ยืนอยู่ข้างหน้า
"โซชิ พวกเราน่ะจะไปที่ไหนงั้นเหรอ"ผมถามด้วยความสงสัย แต่คำตอบที่ได้ก็ดูจะไม่เป็นคำตอบเสียเท่าไหร่
"สรวงสวรรค์ไงล่ะ..."
จากนั้นเขาก็พาผมไปยังที่แห่งหนึ่งที่ลงไปใต้ดินลึกลงไปมากกว่าหลุมหลบภัยเสียอีกที่นั่นผมได้พบกับพวกอาจารย์และคนในเมืองทั้งหลายกำลังทำอะไรบางอย่างกับเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าซึ่งมันดูแปลกตาสำหรับผมแต่ที่ผมตกใจที่สุดคงเป็นสถานที่ซึ่งผมกำลังยืนอยู่และสิ่งที่ผมต้องไปเผชิญหน้ากับมัน
หุ่นยนต์ยักษ์สีฟ้าเข้มรูปร่างประหลาดและเพรียวบางยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้าผม สายตาผมเหลือบไปเห็นอ.ฮาซามะ โยโกะกำลังง่วนอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ตรงหน้าก่อนจะเงยขึ้นมาสบตาผมและยิ้มให้เหมือนเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมมายืนอยู่ตรงนี้
"ชื่อของมันคือมาร์คเอลฟ์"ชื่อประหลาด...สิ่งที่ผมคิดในใจเมื่อได้ยินชื่อนี้แต่ผมก็ยังสงสัยอยู่ดีว่าเขาให้ผมมาดูสิ่งนี้ทำไมแต่ผมได้คำตอบมาในทันที
"นายจะต้องขึ้นไปขับมันเพื่อปกป้องเกาะนี้เอาไว้"คำพูดของโซชิทำให้ผมอึ้งจนพูดไม่ออก ถ้าเป็นเวลาปกติผมคงนึกว่าเขาพูดเล่นแต่ในเวลานี้มันกำลังทำให้ผมเริ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา
จะทำได้เหรอคนไร้ค่าอย่างผมน่ะ....
ผมคิดแบบนั้นและพยายามปฏิเสธเขาใจหนึ่งก็กลัวใจหนึ่งก็สับสน เฝ้าคิดแต่ว่าไม่มีวันทำได้แต่แล้วคำพูดหนึ่งของโซชิก็ช่วยเปลี่ยนใจผม
"เชื่อใจฉันสิ...."คำพูดเดียวที่เปลี่ยนทุกอย่างในใจของผม
เชื่อใจ...กับคนอย่างผม เขาเชื่อใจผมที่แสนไร้ค่า ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ผมก็ไม่ได้ไร้ค่าอีกแล้ว ผมกำลังเป็นที่ต้องการไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม
และนั่นก็คือเหตุผลที่ผมขับฟาฟเนอร์มาตลอด ทั้งที่รู้ว่าอันตรายแต่ก็ยอมเสี่ยงอย่างน้อยผมก็ไม่ไร้ค่าและมีค่าแก่การจดจำ หากไร้ค่าก็ไร้ผู้คนจดจำแต่หากมีค่าเหล่าผู้คนก็จะไม่ลืมเลือน
ระยะห่างของผมและโซชิดูจะหดสั้นลงทุกครั้งที่ผมได้ออกปฏิบัติการ เส้นทางได้ทอดยาวออกไปไกลโดยมีโซชิและผมก้าวเดินอยู่บนเส้นทางนั้น ความยินดีกำลังเปี่ยมล้นอยู่ในอก
ทว่าผมคงคิดไปเองฝ่ายเดียว...เพราะว่าหลังจากที่โชโกะและโคโยไม่ได้มีตัวตนที่แท้จริงอยู่อีก ผมก็ได้เห็นด้านหนึ่งของโซชิ เขาดูเย็นชาและไร้ใจราวกับเป็นคนละคนที่ผมเคยเห็นมาตลอด ในวันนั้นผมจึงได้ถามเขาออกไป
"โซชิสำหรับนายแล้วพวกเรากับฟาฟเนอร์สิ่งไหนสำคัญกว่ากัน"ที่ถามไปเช่นนั้นเพราะอยากเข้าใจในความเปลี่ยนไปของเขา โซชิมักพูดเหมือนกับว่าฟาฟเนอร์สำคัญกว่าทุกสิ่งแต่ผมก็ไม่แน่ใจจึงได้ถามเช่นนั้น
"...ฟาฟเนอร์ไงล่ะ"ราวกับทุกอย่างหยุดนิ่งลง ทุกสิ่งที่เคยสร้างมาด้วยกันพังทลายลง ความเชื่อใจที่เคยเชื่อกลายเป็นเพียงคำโกหก เส้นทางที่เคยคิดว่าได้เดินร่วมกันขาดสะบั้นลงจนผมคิดว่า เราคงไม่อาจร่วมเดินกันได้อีกต่อไป
ในเช้าวันต่อมาผมก็ได้ออกจากเกาะไป.... โดยหวังเพียงแค่อยากจะพบในสิ่งที่โซชิเคยพบ อยากจะมองในสิ่งที่โซชิเคยมอง เพื่อว่าจะได้เข้าใจเขามากขึ้น
ทว่าผมกลับถูกจับไปที่ฐานทัพโมลโดว่าหรือฐานของกองทัพมนุษย์ที่นั่นผมได้แต่ไตร่ตรองในทางเลือกอื่นนอกจากการต่อสู้ แต่มันจะมีหรือสำหรับผมน่ะ แล้วผมก็ได้พบกับผู้ที่ไม่คิดว่าจะได้พบ
คุณแม่...
ไม่สิหากพูดให้ถูกคือเฟสตูมรูปแบบมาสเตอร์ที่ดูดกลืนคุณแม่เข้าไปมากกว่า เฟสตูมตนนั้นได้มอบมาร์คไซน์ให้กับผมและเธอก็ถูกเฟสตูมอีกตัวหนึ่งกลืนกินเข้าไป ภาพของผู้ที่มีใบหน้าของคุณแม่ถูกกลืนกินเข้าไปทำให้ผมคลั่งและเข้าจัดการมันอย่างเดือดดาล
ผมทำให้พื้นที่รอบข้างกลายเป็นลาวาและดูดกลืนพวกเฟสตูมเข้าไปอย่างไม่รู้ตัว แล้วผมก็จมลงสู่ห้วงแห่งความคิด ภาพของโซชิที่มีผ้าพันแผลที่ตาซ้ายผุดขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าเธอคือน้องสาวของโซชิชื่อ สึบากิ
สึบากิได้บอกเล่าถึงความรู้สึกของโซชิให้ผมฟังและถามผมว่า"เธอน่ะอยากจะมีตัวตนหรืออยากจะหายไป...."
คำตอบนั้นผมไม่รู้หรอกเพราะตลอดมาผมคิดแต่ว่าไม่อยู่เสียจะดีกว่า แต่เมื่อได้รับรู้ถึงความรู้สึกของโซชิความคิดของผมก็เปลี่ยนไปผมอยากจะ...คุยกับโซชิอีกสักครั้ง
ผมกำลังเรียกร้องในสิ่งที่ต้องการจริงๆ ทั้งที่รู้ตัวมาตลอดแต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ คิดมาตลอดว่าอยากหายไปทั้งที่จริงแล้วผมอยากจะมีตัวตนอยู่ที่นี่ต่างหาก ผมอยากจะอยู่ที่นี่....อยากจะเป็นกำลังให้กับโซชิ....อยากจะพูดคุยกับเขาอีกครั้ง....
ความรู้สึกนี้แหละที่ผลักดันให้ผมกล้าที่จะกลับมายังเกาะแห่งนี้ซึ่งตอนนี้ผมได้รู้แล้วว่า มันคือสถานที่ซึ่งผมไม่อาจไม่อาจแยกจากมาได้อีกแล้ว...
มือของผมนั้นกำคำตอบของตนเองเอาไว้แน่น คำตอบที่ผมจะไม่มีวันเสียใจ จะไม่หลบเลี่ยงที่ทำเพียงแค่เฝ้าดูอยู่ห่างๆอีกแล้ว คราวนี้แหละที่ผมจะเผชิญหน้าเข้าต่อสู้กับอดีตนั้น
โซชิ...โซ่ที่พันธนาการนายเอาไว้ นายไม่จำเป็นต้องแบกรับมันไว้เพียงคนเดียวอีกต่อไปแล้ว
ตลอดมานายแบกรับความเจ็บปวดไว้เพียงผู้เดียว...เพราะงั้นคราวนี้แหละที่ฉันจะแบกรับมันเอาไว้บ้าง
ท้องฟ้าสีครามนี้ปีกของผมได้ตื่นขึ้นจากการหลับไหลและทะยานขึ้นไปอีกครั้ง โผบินอย่างอิสระสู่สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ไร้ซึ่งมลทินและความสิ้นหวังทั้งปวง อยากจะใช้มือทั้งสองข้างของผมช่วยเหลือนายและทุกคนจากความสิ้นหวัง จะไม่มีวันทำให้มันเกิดรอยแผลขึ้นมาอีกต่อไปแล้ว....
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ