[Fan Fiction Saint Seiya+LC]Once Again…
เขียนโดย MeiaR
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 12.40 น.
แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 11.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
6) จากเบนูสู่ฟินิกซ์
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ...คุณคิดว่าคนเราควรซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเองรึเปล่า...
...หากว่ามันคือความรักที่กับคนที่คุณคิดว่าไม่ควรจะรัก....
ด้านล่างของห้างสรรพสินค้าถูกสร้างเป็นลานเล่นไอซ์สเก็ตขนาดย่อมเพื่อให้สำหรับเล่นและผ่อนคลายด้วยราคาที่ไม่แพงนักจึงไม่แปลกที่จะมีคนมาเล่นจำนวนไม่น้อยและท่ามกลางลานน้ำแข็งนี้ก็มีคนอยู่สามคนที่เรียกได้ว่าเป็นจุดสนใจของแทบทุกคนบนลานน้ำแข็งแห่งนี้
คนแรกคือชายหนุ่มที่มีรูปร่างสูงในชุดแจ็กเก็ตสีน้ำตาลดำซึ่งกำลังยืนพิงขอบลานน้ำแข็ง ดวงตาคู่คมมองไปยังอีกสองคนที่เป็นจุดสนใจอย่างไม่รู้ตัว
“ฮะๆๆ”แว่วเสียงหัวเราะดังมาให้ได้ยินเป็นระยะพร้อมกับสีหน้ายิ้มแย้มสนุกสนานของเซนต์แอนโรเมด้า ชุนกับเสียงพูดคุยของเซนต์ซิกนัส เฮียวกะที่ร่วมหัวเราะไปด้วยสลับพูดคุย
“ชิ”ร่างสูงเดาะลิ้นอย่างนึกขัดใจเพราะแค่ถูกสายตาของคนแทบทั้งลานมองไปยังน้องชายก็ทำให้ขุ่นเคืองมากแล้วแต่มันก็ยังไม่เท่ากับการถูกรบกวนเวลาส่วนตัวของพี่น้องพลางนึกย้อนความเรื่องเมื่อก่อนหน้านี้
เมื่อ 15 นาทีก่อน…
“เฮียวกะ”ชุนเรียกชื่อออกไปและอีกคนก็ตอบรับด้วยการโบกมือน้อยๆ
“ไง ท่าทางสบายดีนะ”เฮียวกะถามแต่ชุนไม่ได้ตอบเพราะกำลังมองคนที่ไม่ได้เจอกันมานานแต่อยู่ๆกลับบังเอิญมาเจอกันอย่างไม่คาดฝันด้วยสีหน้าอึ้งๆเล็กน้อย
“อื้ม แล้วนายล่ะเฮียวกะ”ร่างบางถามกลับด้วยสีหน้ายินดีที่ได้เจอเพื่อนอีกครั้ง ต่างฝ่ายก็มีสีหน้ายินดีกันโดยลืมอีกคนที่เริ่มมีสีหน้าหงุดหงิดขึ้นมาแล้ว
“พอดีฉันมาธุระแถวนี้นิดหน่อยน่ะนี่ก็กะว่าจะมาซื้อของแล้วไปเยี่ยมนายที่บ้านอยู่เลย”เหตุผลที่ได้เจอเฮียวกะยิ่งทำให้อิคคิขมวดคิ้วมากขึ้นไปอีก
“แต่ว่าเมื่อกี้ก็ตกใจจริงๆนะ”อิคคิกับชุนทำหน้าสงสัยเมื่อเฮียวกะพูดประโยคนี้ออกมา
“นายหมายความว่าไงน่ะ”พอชุนถามกลับเฮียะกะก็ถึงกับหัวเราะร่วนแล้วจึงเฉลยให้ฟัง
“ก็ตอนที่นายกำลังเล่นบทงอนให้ง้อกับอิคคิอยู่นายวิ่งมาชนฉันน่ะสิแต่กลับไม่รู้ตัวว่าเป็นฉันส่วนอิคคิก็มัวแต่ตามนายจนไม่ได้สนใจฉันเหมือนกัน”ฟังจบชุนก็แทบจะร้อง ‘อ้อ’ออกมาเมื่อนึกออกว่าตอนกำลัง...หนีพี่อิคคิอยู่เขาชนกับใครบางคนเหมือนกัน
ว่าแต่จากสายตาคนอื่นภาพตอนเขาเดินหนีอิคคิคือบทงอนง้อหรอกเหรอ...คิดแล้วชุนก็แทบจะสะบัดหัวไล่ความฟุ้งซ่านออกแล้วทำทีเป็นเปลี่ยนเรื่อง
“จริงสิ เฮียวกะนายว่างมั้ย”เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มน่ารักชนิดที่ต่อให้งานล้นมือก็ยังสลัดงานทิ้งแล้วบอกว่าว่างได้อย่างไม่ลังเล
“ว่างสิ”มือที่จับมือกับอิคคิอยู่ถูกปล่อยทันทีแล้วเข้าไปดึงมือเฮียวกะหมายจะให้ไปด้วยกัน
“ผมกำลังจะไปเล่นสเก็ตน้ำแข็ง เฮียวกะก็ไปด้วยกันสิ”ชวนเสร็จก็จัดแจงลากเพื่อนไปแบบที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ ในตอนนั้นชุนมัวแต่ดีใจที่ได้เจอเพื่อนอีกครั้งจนลืมมองสายตาที่แทบจะฆ่าคนได้ของอิคคิไปเลย
จบการย้อนความอิคคิก็กอดอกขมวดคิ้วจนแทบผูกเป็นโบว์ที่น้องชายกำลังสนุกกับเพื่อนแทนที่จะให้ความสนใจพี่ชายมากกว่า แต่อิคคิก็พยายามทำใจเย็นว่าชุนไม่ได้เจอเพื่อนมานานก็คงมีเรื่องคุยเยอะแยะแล้วพยายามทำใจกว้างปล่อยให้น้องชายคุยกับคนอื่นต่อไป
เปลี่ยนมาทางด้านชุนที่กำลังเล่นสเก็ตไปกับเฮียวกะท่ามกลางสายตาวิบวับของเหล่าสาวๆที่อยากจะวิ่งเข้าไปแทรกกลางแล้วขอควงเหลือเกินเพียงแต่ว่าเป้าหมายที่อยากจะควงกลับคุยกันสนุกสนานไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย...
“นี่ทุกคนเป็นไงบ้างเหรอ”เสียงใสๆของเด็กหนุ่มวัย15เอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแป้นทำเอาคนรอบข้างแทบละลาย
“อืม...ก็คงสบายดีนะพอดีฉันมาหานายเป็นคนแรกน่ะ”เสียงทุ้มของเด็กหนุ่มอีกคนตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกันทำให้แทบอยากจะแช่แข็งรอยยิ้มนี้ไว้เป็นที่ระลึก
“เหรอครับ”ว่าแล้วชุนก็ไถลตัวออกไปอีกหน่อยเพื่อหลบคนที่(ทำเนียน)มาชน เฮียวกะก็ไถลตามไปด้วยท่วงท่าธรรมดาแต่กลับดูพริ้วสวยงามในสายตาสาวๆ
“แต่ฉันแปลกใจมากเลยนะที่เจอนายพร้อมกับอิคคิ”เพราะปกติอิคคิมักไปไหนมาไหนคนเดียวทำให้เฮียวกะต้องแปลกใจมากเมื่อพบชุนกับอิคคิพร้อมกัน
“ก็ช่วงนี้พี่เขาอยู่บ้านน่ะครับ”แม้ตอบไปแบบนั้นแต่ใจจริงชุนก็แปลกใจที่อิคคิอยู่บ้านนานกว่าปกติมาก ถ้าเป็นเมื่อก่อนอย่างมากก็อยู่สักสัปดาห์แล้วก็ไปต่อแต่รอบนี้ก็เกือบ 2 เดือนแล้วที่อิคคิอยู่กับเขา ไม่ใช่ว่าไม่ดีกลับกันเขารู้สึกดีใจมากที่มีอิคคิอยู่ด้วย
พอเห็นชุนแย้มรอยยิ้มหวานออกมาเฮียวกะก็อดที่จะยิ้มออกมาพร้อมกับหัวเราะเบาๆไม่ได้ แต่รอยยิ้มก็ต้องสะดุดลงเมื่ออยู่ๆร่างบางก็โดนเด็กที่เล่นอยู่แถวนั้นลื่นไถลมาชนอย่างไม่ตั้งใจและเพราะถูกชนจากด้านหลังที่น่องทำให้ชุนหงายหลังล้มไปข้างหลัง
“เหวอ!”ชุนร้องด้วยความตกใจ แต่ร่างของเด็กหนุ่มก็ไม่ได้หงายหลังล้มลงไปเมื่อมีมือหนึ่งจับมือของชุนไว้และอีกมือก็รวบเอวบางเข้ามากลายเป็นท่าเล่นไอซ์สเก็ตสุดสวยไปเสียได้
“กรี๊ด!!!!!!!!!!!!!!”เสียงกรี๊ดดังเกรียวกราวรอบด้านๆพอๆกับเสียงชื่นชมตบมือด้วยความทึ่ง สาวๆหลายคนแทบจะเป็นลมเพราะภาพอันสวยงามแต่ก็มีอีกจำนวนมากที่อิจฉาอยากจะเข้าไปเป็นฝ่ายถูกโอบเอวเสียเอง
เปรี้ยง!
เสียงปริศนาดังขึ้นจากมุมหนึ่งของลานน้ำแข็งที่มีร่างหนึ่งยืนอยู่แต่น้ำแข็งใต้เท้ากลับแตกเป็นเสี่ยงๆจนน่ากลัวว่าหากมีคนไปเล่นจะต้องล้มอย่างแน่แท้ ทว่าสิ่งที่น่ากลัวกว่าก็คือชายหนุ่มที่มีดวงตาที่สามารถฆ่าคนได้เพียงแค่สบตา!
“เฮียวกะ....”น้ำเสียงราบเรียบกลายเป็นเหมือนกำลังกัดฟันอดกลั้นอารมณ์โกรธไว้ อิคคิไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าภาพที่ชุนถูกคนอื่นโอบเอวไว้จะทำให้เขานึกอยากระเบิดคอสโมทำลายลานน้ำแข็งทิ้ง
“อ้ะ พี่อิคคิ”พอเห็นพี่ชายกำลังมาทางนี้ชุนก็สลัดเฮียวกะทิ้งอย่างไม่ใยดีลืมกระทั่งขอบคุณแล้วรีบไถลไปหาพี่ชายทันที
“มีอะไรเหรอครับหรือว่าเบื่อแล้ว”พอเจอน้องชายถามเสียงใส อิคคิก็ปั้นหน้ายิ้มแล้วตอบไป
“เปล่าแค่จะมาบอกว่านายเล่นนานไปแล้วดูสิแก้มเย็นหมดแล้ว”ไม่ว่าเปล่ายังยกมือขึ้นลูบแก้มเหมือนจะพิสูจน์ซึ่งก็ทำให้สาวๆแทบกรี๊ดด้วยความอิจฉาออกมารอบที่ 2
“พี่ว่านายไปซื้ออะไรอุ่นๆมากินหน่อยดีกว่า”ชุนรีบพยักหน้ารับหลังโดนจับแก้มแล้วรีบไถลออกนอกลานไปซื้อเครื่องดื่มอุ่นๆที่ว่าด้วยใบหน้าที่ตอนนี้น่าจะร้อนขึ้นมาแล้ว ลับหลังชุนใบหน้ายิ้มแบบพี่ชายก็กลับสู่ใบหน้าขมวดคิ้วและดวงตาที่ไฟลุกพรึ่บอย่างน่ากลัวจนเฮียวกะแทบจะเผลอถอยหลังหนี
“เอ่อ...มีอะไรเหรออิคคิ”ถามอย่างกล้าๆกลัวๆเนื่องด้วยเจ้าตัวไม่ได้รู้เลยว่าเป็นเหตุให้ไฟในดวงตาของอิคคิลุกพรึ่บขนาดนี้
“เปล่า แค่จะบอกว่าตอนนี้ชุนกำลังไปซื้อน้ำถ้ายังไงระหว่างรอเรามาคุยกันหน่อยดีกว่า”คำว่า “คุย” ถูกเน้นอย่างชัดเจนมากเหมือนกลัวคนฟังจะฟังผิดอย่างไรอย่างนั้นและในสถานการณ์นั้นร้อยคนก็ต้องตอบตกลงร้อยคนแน่นอน
ทั้งสองคนมาหยุดยืน“คุย”อยู่ที่ขอบอีกด้านหนึ่งจากตอนแรกที่อิคคิยืนอยู่เพราะน้ำแข็งแตกไปแล้ว ถึงจะบอกว่ามาคุยแต่พอมาถึงปุ๊บอิคคิก็เอาแต่เงียบเฮียวกะที่ถูกเรียกมาก็ต้องเงียบตาม โดยที่รอบข้างสาวๆยังคงจับจ้องอยู่เหมือนเดิมเพราะแม้จะเปลี่ยนจากหนุ่มหน้าตาดีกับหนุ่มน้อยน่ารักไปแล้วแต่ก็เปลี่ยนเป็นหนุ่มมาดนิ่งหน้าตาคมมาแทนก็ถือเป็นอาหารตาชั้นยอด
“เฮียวกะ”หลังจากยืนเป็นอาหารตาให้สาวๆอยู่ครู่หนึ่งอิคคิก็เปิดปากพูดออกมา
“มีอะไรเหรออิคคิ”จากน้ำเสียงของอิคคิที่เหมือนจะใจเย็นลงแล้วทำให้เฮียวกะใจชื้นขึ้นมาเล็กน้อย
“นาย....คิดยังไงกับชุน”เสียงที่ถามดังชัดเจนและราบเรียบแต่สายตาคนฟังกลับเหมือนมีไฟลุกจนคู่สนทนาขอถอนคำพูด อิคคิไมได้ใจเย็นลงเลยแม้แต่นิดเดียว
“ชุนก็น่ารักดี ทั้งนิสัยหน้าตาก็ดี”คำตอบนี้ไม่ใช่การยกยอ เฮียวกะตอบไปตามที่คิดจริงทุกประการเพราะรู้ดีว่าอิคคิคงไม่ชอบแน่ถ้าเขาโกหก โดยที่หารู้ไม่เลยว่าคำว่า “น่ารัก” ที่หลุดออกมานั้นยิ่งทำให้อิคคินึกอยากจะบีบคอเฮียวกะให้ตายจริงๆ
“อ...ฉันพูดอะไรผิดเหรออิคคิ”เฮียวกะถามอย่างหวาดๆเมื่อพบว่าสิ้นเสียงของตนแล้วอิคคิก็เดี๋ยวกำเดี๋ยวคลายมือเหมือนกับจะสะกดให้ตัวเองไม่ไปเผลอบีบคอใครเข้าและเฮียวกะก็หวังอย่างยิ่งว่าคอที่จะถูกบีบคงไม่ใช่คอของตัวเขาเอง
อันที่จริงคำพูดของเฮียวกะมันไม่ผิดเลย ไม่ผิดแม้แต่นิดเดียวแต่มันผิดที่ว่า “ใคร” เป็นคนพูดมากกว่าเพราะหากลองเปลี่ยนเป็นคนอื่นมาพูดบางทีอิคคิอาจจะแค่หัวเราะเบาๆแล้วยิ้มเท่านั้น แต่ดูเหมือนเพราะความใกล้ชิดเมื่อครู่ของเฮียวกะกับชุนเมื่อครู่จะทำให้ใจของอิคคิเดือดพล่านจนแทบจะปล่อยไฟได้เท่านั้นเอง
บรรยากาศรอบข้างเงียบสงัดชนาดป่าช้ายังชิดซ้ายเพราะรังสีอำมหิตกำลังแผ่ซ่านออกมาจากชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคมคายซึ่งกำลังยืนกอดอกเหลือบมองคนข้างๆด้วยสายตาที่ราวกับกำลังพิจารณาว่าจะจัดการเก็บยังไงให้แนบเนียนที่สุด แต่ว่าทุกอย่างที่อิคคิคิดก็ต้องหยุดลงเพราะว่า...
“พี่อิคคิผมซื้อน้ำกลับมาให้ด้วยนะครับ”เสียงหวานของน้องชายที่แสนสดใสช่วยชำระล้างบรรยากาศชวนสยองเมื่อครู่ไปจนหมดซึ่งเป็นบุญคุณอันล้นพ้นสำหรับเฮียวกะที่ในที่สุดก็สามารถหายใจได้อย่างโล่งคอเสียที
“ขอบใจมากชุน”อิคคิหันไปยิ้มรับแววตาดูเป็นมิตรที่ใครเห็นก็ต้องบอกว่าทั้งรักและเอาใจใส่น้องชายเป็นอย่างยิ่ง แก้วในมือของชุนมี 2 ใบ ใบแรกถูกส่งไปให้อิคคิอย่างไร้ปัญหาแต่ปัญหาก็มาเกิดกับแก้วใบที่สองซึ่งถูกส่งให้เฮียวกะ
“ขอบใจนะชุนว่าแต่ของนายล่ะ”อดถามไม่ได้เมื่อพบว่าคนไปซื้อกลับดูท่าจะไม่ได้ซื้อของตัวเองกลับมาด้วยและชุนก็คลายข้อข้องใจให้ในทันที
“พอดีผมถือมาไม่ไหวเลยซื้อมาแค่ 2 แก้วถ้าไงขอแบ่งจากนายก็แล้วกันนะเฮียวกะ”
โพล้ะ!
“หวา! พี่อิคคิเลอะหมดแล้ว!”เสียงตกใจของชุนดังตามหลังเสียงแก้วที่ถูกบีบแตกคามืออิคคิทำให้น้ำกาแฟร้อนๆหกเลอะเต็มมือ แต่หารู้ไม่ว่าตอนนี้ในอกของอิคคิมันร้อนเป็นไฟยิ่งกว่าน้ำกาแฟร้อนๆที่เลอะทั่วมือเสียอีก
“แค่นี้เองไม่เห็นเป็น...”คำพูดยังออกมาจากปากไม่หมดก็เป็นอันต้องชะงักค้างเมื่อรับรู้ได้ถึงสัมผัสอ่อนนุ่มระคนเปียกชื้นที่เกิดจากปลายลิ้นสีชมพูที่กำลังเลียคราบกาแฟออกจากนิ้วทีละนิ้ว ภาพที่เห็นนั้นเรียกเลือดสีแดงให้วิ่งขึ้นหน้าของเฮียวกะที่ตอนนี้กลายเป็นแขกรับเชิญไปเรียบร้อย
“ชุน..”อิคคิตั้งใจจะบอกให้ชุนหยุดแต่กลับพูดอะไรไม่ออกนอกจากชื่อของน้องชาย รอจนคราบกาแฟบางส่วนถูกลิ้นเล็กๆเลียออกไปแล้วชุนถึงยอมเลิก
“พี่อิคคิไปล้างมือกันเถอะครับ”โดยไม่ต้องรอคำตอบของพี่ชาย น้องชายที่แสนน่ารักก็รีบลากพี่ชายไปยังห้องน้ำเป็นการด่วนทั้งที่ความจริงแล้วกับแค่กาแฟร้อนๆหกใส่มือน่ะมันเป็นเรื่องเล็กจนแทบจะเล็กมากที่สุดสำหรับเซนต์ที่ต่อสู้กันมาอย่างหนักหน่วง แต่เพราะความลนลานของชุนถึงทำให้เฮียวกะรอดสภาพการถูกจับหักคอไปได้อย่างหวุดหวิด
ซ่า....
น้ำเย็นๆไหลออกจากก๊อกน้ำผ่านไปยังมือกร้านที่เลอะไปด้วยคราบกาแฟตัดกับมือสีขาวสะอาดที่กำลังลูบไล้ลงไปบนฝ่ามือของพี่ชายเพื่อช่วยล้างคราบกาแฟออกไป ถ้าหากเป็นปกติอิคคิคงจะบอกว่าชุนเป็นห่วงมากไปแล้วแต่ว่าในเวลานี้เขากลับรู้สึกดีใจที่ชุนเป็นห่วง
ดวงตาคู่คมลอบมองหน้าน้องชายผ่านทางกระจกและเพราะชุนมัวแต่ก้มหน้าก้มตาล้างมืออิคคิพลางใช้สายตาทั้งหมดเพ่งมองว่ามือข้างนั้นว่ามีแผลจากน้ำร้อนบ้างหรือไม่ สีหน้าที่ดูเป็นห่วงของน้องชายที่น่ารักทำให้เขาร้สึกมีความสุขจริงๆ
“อืม ดูท่าจะไม่มีแผลนะครับ”รอยยิ้มที่แสนสบายใจของน้องทำให้พี่ชายยิ้มตอบพลางหัวเราะ
“นายเป็นห่วงพี่มากเกินไปแล้วแค่น้ำร้อนแค่นี้ทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก”หลังได้ยินพี่ชายหัวเราะชุนก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกออกว่าตนเป็นห่วงมากเกินไป ใบหน้าหวานจึงก้มลงทันทีแต่ด้วยใบหูแดงๆทำให้อิคคิรู้ว่าชุนกำลังเขิน
“เรื่องแค่นี้ไม่ต้องเขินหรอกน่า”ว่าแล้วก็ยกมือข้างที่แห้งอยู่ลูบหัวน้องไปมาอย่างเอ็นดูสมกับเป็นพี่ชาย พอได้ยินคำพูดของอิคคิชุนจึงค่อยๆเงยหน้าขึ้นมาทีละนิดด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่ออย่างที่ถ้าสาวๆมาเห็นคงอยากจะรีบลากกลับไปฟัดที่บ้านเป็นการด่วน
“นายออกไปก่อนเดี๋ยวพี่ขอเช็ดมือก่อน”ชายหนุ่มว่า ชุนพยักหน้ารับแล้วก็เดินออกไป ลับหลังน้องชายอิคคิก็กำมือแน่นราวกับจะสงบสติอารมณ์
“ใจเย็นๆสิ นั่นน้องชายของนายนะ”คำพูดที่ราวกับจะเตือนสติตัวเอง อิคคิไม่เคยคิดเลยว่าตนเองจะต้องมารู้สึกแปลกๆแบบนี้กับน้องชายร่วมสายเลือดของตัวเอง ทั้งที่เขาเคยมองชุนเป็นน้องชายมาตลอด
ชุนเป็นเด็กหนุ่มที่น่ารักทั้งหน้าตาและนิสัย ไม่ว่าใครได้พบเห็นต่างก็ทั้งรักทั้งชอบ แต่ภายใต้ความบอบบางคือความแข็งแกร่งที่ไม่แพ้ใคร อิคคิคิดมาตลอดว่านั่นคือสิ่งที่มีสเน่ห์ที่สุดของชุน ตลอดที่ผ่านมาเขาอาจจะเอาใจใส่ชุนมากในฐานะน้องชายซึ่งมันเป็นเรื่องปกติสำหรับพี่ชายกับน้องชาย
ทว่ามาในวันนี้อิคคิไม่สามารถเข้าใจตัวเองได้แล้ว น้องชายของเขายังคงเหมือนเดิม ยิ้มง่าย ร่าเริง ใจดี ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปแต่แล้วอะไรกันที่ทำให้เขามองชุนแปลกไปจากเดิม ไม่ต้องการให้ใครมามองหรือแตะต้อง อยากให้สนใจแต่เขาเพียงคนเดียว เขาเข้าใจได้ในทันทีว่ามันไม่ใช่ความรู้สึกของพี่ชายที่มีต่อน้องชายอย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่กล้าพอที่จะยอมรับว่ามันคืออะไร
“ที่ฉันเป็นแบบนี้เพราะแกรึเปล่า คางาโฮะ”เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ถามกับอีกคนภายในร่าง หลังจบคำถามนั้นทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบอยู่นาน อิคคิไม่ได้มีท่าทีโกรธเกรี้ยวแต่กลับรออย่างใจเย็นจนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากความว่างเปล่า
[ทำไมเจ้าถึงคิดว่าเป็นเพราะข้า]สิ่งที่ได้ยินไม่ใช่คำตอบแต่เป็นการถามกลับจากคนที่เงียบสนิทจนแทบจะลืมไปแล้วว่ายังมีตัวตนอยู่
“เพราะตั้งแต่ฉันได้ยินเสียงแกถึงได้เกิดความรู้สึกแบบนี้ขึ้น”พูดจบแล้วก็เหมือนได้ยินเสียงถอนหายใจของอีกฝ่ายดังออกมา
[ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันกระทั่งเทพก็ยังบงการความรู้สึกของมนุษย์ไม่ได้แล้วเจ้าจะมาหวังว่าข้าจะบังคับความรู้สึกของเจ้าได้รึยังไงกัน]คือความเป็นจริงที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงและเป็นสิ่งที่คางาโฮะเชื่อมาตลอดหากแต่อิคคิกลับไม่อาจยอมรับได้
“แกจะบอกว่าทุกอย่างที่ฉันคิดหรือรู้สึกมาจากตัวของฉันเองรึยังไงกัน”ถามกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจจะยอมรับได้ในสิ่งที่ได้ยินและคำตอบที่ได้รับก็คือความเงียบซึ่งหมายถึงความถูกต้องซึ่งมันทำให้อิคคิต้องกัดฟันกรอด
“ฉันไม่เชื่อแก!”ไม่เชื่อและไม่อาจจะเชื่อได้ อิคคิไม่อยากจะยอมรับเลยว่าตอนนี้เขากำลังเริ่มมองชุนในฐานะอื่นที่ไม่ใช่น้องชายเสียแล้ว จะให้เขายอมรับได้ยังไงกันว่าเขากำลังหลงรักน้องชายตัวเอง!
[จะเชื่อหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า]เสียงนั้นส่อถึงความรำคาญอย่างยิ่งยวดด้วยไม่รู้ว่าทำไมอิคคิจะต้องปฏิเสธสิ่งที่อยู่ในใจของตัวเองมากขนาดนี้ เขาไม่เข้าใจแม้แต่นิดเดียวว่าการโกหกใจของตัวเองมันจะได้อะไรขึ้นมาบ้างนอกจากความเสียใจ
“ฉันไม่เชื่อ....”ยังคงเอ่ยย้ำกับตัวเองแม้ว่าอีกคนหนึ่งในร่างจะเงียบเสียงไปแล้ว ดวงตาทั้งสองข้างจับจ้องเข้าไปในดวงตาของตนเองที่สะท้อนบนกระจกด้วยแววตาที่แข็งกร้าว
“ฉันไม่มีวันเชื่อ!”คำพูดนั้นไม่มีใครรู้ว่าพูดให้กับใครฟังกันแน่
หลังจากเล่นสเก็ตน้ำแข็งกันจนพอใจแล้วชุนก็ชวนเฮียวกะไปกินข้าวเย็นด้วยกัน ตอนแรกเฮียวกะก็คิดจะตอบรับอยู่แต่พอเห็นสีหน้าบึ้งตึงของอิคคิที่อยู่ข้างหลังชุนก็ทำให้เฮียวกะจำต้องกล่าวปฏิเสธออกไปอย่างนึกเสียดาย
“ความจริงเฮียวกะก็น่าจะมากินด้วยกันนะ นานๆจะได้เจอกันทีแท้ๆ”ระหว่างกินข้าวในร้านอาหารแห่งหนึ่งของห้างชุนก็บ่นออกมา
“เสียใจที่มันไม่มากินด้วยรึไง”ฝ่ายพี่ชายพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบตามปกติแต่ก็มีติดจะหงุดหงิดอยู่บ้างทั้งเรื่องของเฮียวกะกับเรื่องของตัวเอง ชุนทำหน้าอย่างบึ้งไม่พอใจ
“พี่อิคคิอย่าเรียกเฮียวกะว่ามันสิครับ”เสียงไม่พอใจของชุนเริ่มทำให้อิคคินึกไม่พอใจขึ้นมาบ้างและมันยิ่งน่าหงุดหงิดเมื่อพบว่าความหงุดหงิดนั้นมาจากการได้ยินชื่อของเฮียวกะออกมาจากปากของชุนและที่น่าหงุดหงิดที่สุดก็คือเรื่องที่ทำไมตัวเองจะต้องมานึกโมโหเพียงเพราะน้องชายเรียกชื่อคนอื่น
ไม่...เขาไม่มีวันเชื่อคำพูดของคางาโฮะ....
“พี่อิคคิฟังผมอยู่รึเปล่าครับ”น้ำเสียงฟังดูไม่พอใจมากขึ้นอีก ดวงตาคู่โตจ้องพี่ชายเขม็ง
“พี่อิคคิถึงพี่อาจจะไม่ชอบเฮียวกะแต่เฮียวกะเป็นเพื่อนผมคราวต่อไปก็ห้ามเรียกเฮียวกะว่ามันนะครับ”ช้อนส้อมในมือของอิคคิถูกวางลงทำให้ชุนเผลอยิ้มก่อนจะกลายเป็นยิ้มค้างเมื่อ....
“เงียบได้แล้วน่าชุน อย่าพูดชื่อมันให้พี่ได้ยินอีก”สิ้นคำอิคคิก็ลงมือกินต่อและเพราะโดนพี่ชายทำหน้าบึ้งตึง ร่างบางก็ได้แต่ตักอาหารเข้าปากอย่างเงียบๆต่อไปด้วยแววตาสลดที่โดนดุ
พอเห็นน้องชายทำหน้าสลดเสียใจ ใจของพี่ชายก็รู้สึกผิดขึ้นมาที่เผลอแสดงอารมณ์หงุดหงิดใส่น้องชายไป เพียงแต่อิคคิก็ปากแข็งเกินกว่าจะกล่าวขอโทษน้องในสถานการณ์แบบนี้จึงได้แต่กินข้าวต่อไปและพยายามไม่สนใจ บรรยากาศเดิมๆบนโต๊ะอาหารของสองคนจางหายไปในเมื่อต่างคนต่างก็เอาแต่กินข้าวกันอย่างเงียบๆสร้างบรรยากาศอึมครึมออกมา
บรรยากาศของสองพี่น้องดูจะแย่ลงเพราะขนาดว่ากินข้าวเสร็จ จ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้านอาหารทั้งสองคนก็ยังไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียวมีเพียงก็แค่สายตาที่ลอบมองกันและกันโดยที่ต่างฝ่ายก็ไม่รู้ตัว สองขาของทั้งสองนก้าวไปพร้อมกันอย่างไร้จุดหมายต่อไป ปกติชุนจะเป็นคนที่เลือกจะไปที่ไหนอิคคิก็มีหน้าที่แค่ตามใจน้องแล้วเดินไปด้วยกัน แต่พอชุนกลายเป็นคนเงียบไม่พูดอะไรอิคคิก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปไหนดีได้แต่ขยับขาก้าวไปเรื่อยๆเท่านั้น
เวลาผ่านไปสองคนที่เดินด้วยกันแบบเหมือนต่างคนต่างเดินก็มาหยุดอยู่ที่หน้าลิฟท์แก้วสำหรับขึ้นไปบนดาดฟ้าตึกที่มีไว้สำหรับชมวิวยามค่ำคืน อิคคิกับชุนมองกันเล็กน้อยก่อนจะก้าวเข้าไปในลิฟท์พร้อมกัน เพราะเป็นเวลาเย็นค่อนมืดแล้วจึงมีคนเข้ามาในลิฟท์ค่อนข้างมากจนอิคคิกับชุนต้องมายืนเบียดกัน
กระเป๋าใบใหญ่ของผู้หญิงคนข้างๆกำลังเบียดเข้ามาแน่นทำให้ชุนหายใจไม่สะดวกแต่ก็ไม่อาจจะผลักผู้หญิงคนนั้นออกไปได้ ตอนแรกชุนทำใจแล้วว่าคงต้องยืนอึดอัดไปจนถึงชั้นบนแต่ก็ผิดคาดเมื่อมือแกร่งได้ดึงน้องชายของตัวเอกออกมาจากมุมที่อึดอัดนั้นเข้ามาซบกับอกของตัวเอง
เสี้ยววินาทีที่ใบหน้าของชุนแนบกับอกของอิคคิใจของชุนก็เต้นแรงขึ้นจนหยุดไม่ได้ทั้งยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี จะเอนซบลงไปเลยก็ใช่ที่แต่จะถอยออกมาก็ไม่มีที่ให้ถอย สถานการณ์นี้ทำให้ชุนกระอักกระอ่วนใจระคนเขินอย่างหนักและเมื่อชุนไม่สามารถตัดสินใจได้อิคคิจึงตัดสินใจแทนโดยการยกมือขึ้นรวบเอวชุนเอาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน
คราวนี้นอกจากจะไม่กล้าขยับตัวแม้แต่ปากชุนก็ยังไม่กล้าขยับพูดด้วยไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดีจึงต้องจำยอมยืนซบอกพี่ชายท่ามกลางคนหมู่มากด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ มาทางด้านพี่ชายก็ได้แต่หลับตาไม่มองหน้าน้องภาวนาให้ลิฟท์มาถึงชั้นบนสุดเร็วๆ
กิ๊ง...
เสียงสัญญาณลิฟท์ดังขึ้นในเวลาต่อมาเพียงไม่กี่นาทีที่ยาวนานเหมือนเป็นชั่วโมงสำหรับสองพี่น้องที่แทบจะผละออกจากกันทันทีที่ได้ยินเสียงลิฟท์แล้วเดินตามคนอื่นออกไป
แค่ก้าวแรกที่ก้าวออกมาดวงตาคู่สวยก็เบิกกว้างกับสีรัตติกาลที่ทอดแผ่ยาวสยายไปทั่วท้องฟ้าและถูกประดับไปด้วยดวงดาวต่างๆมากมายส่องสงระยิบระยับแบบที่หาได้ยากในเมืองหลวงซึ่งก็ถือเป็นโชคดีสำหรับอิคคิกับชุนที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเมืองหลวง
“ว้าว สวยจังเลย”เสียงหวานเอ่ยชื่นชมราวกับเด็กน้อยที่ไม่ว่าใครได้ฟังก็รู้สึกเอ็นดูและเพียงแค่เสียงเดียวนี้ที่ทำให้บรรยากาศอึมครึมของทั้งคู่จางหายไป
ร่างบางก้าวเดินออกไปยังดาดฟ้าที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงามคล้ายกับสวนหย่อม ร้านขายอาหารและเครื่องดื่มถูกแยกออกไปยังมุมหนึ่งที่ห่างออกไปเพื่อไม่ให้ทำลายบรรยากาศ เก้าอี้ยาวและโต๊ะม้าหินถูกจัดเรียงไว้ตามที่ต่างๆเพื่อรอให้คนจับจองเพียงชั่วข้ามคืน
แต่ทั้งที่มีโต๊ะว่างอยู่มากมายชุนกลับไม่มีท่าทีสนใจแม้แต่น้อย ร่างบางเลือกที่จะก้าวเดินไปตามกระเบื้องหินสีน้ำตาลทีละก้าวพร้อมกับมองไปยังบนท้องฟ้าเพื่อมองหากลุ่มดาวต่างๆโดยมีอิคคิที่อารมณ์ดีขึ้นแล้วเดินไปด้วยกันด้วยความรู้สึกแบบที่เดินด้วยกันจริงๆไม่ใช่เหมือนต่างคนต่างเดินอีกต่อไป
“พี่อิคคิเจอกลุ่มดาวฟินิกซ์รึยังครับ”ชุนเอ่ยถามขณะที่เท้าแขนพิงรั้วสูงถึงอก คำถามนั้นอิคคิไม่ได้ตอบแต่เลือกที่จะชี้นิ้วไปยังท้องฟ้าแล้ววาดนิ้วไปมาราวกับจะวาดภาพบนท้องฟ้าและปลายนิ้วที่ลากไปมาก็คือสัญลักษณ์ของกลุ่มดาวฟินิกซ์
เด็กหนุ่มมองตามปลายนิ้วของชายหนุ่มแล้วเผยรอยยิ้มบางๆออกมาเมื่อพบกลุ่มดาวฟินิกซ์ที่ส่องประกายบนฟ้า ก่อนจะนึกได้ถึงประวัติของนกฟินิกซ์ที่เคยได้ยินเมื่อนานมาแล้ว นกฟินิกซ์มีอีกนามหนึ่งซึ่งถูกเรียกขานในประเทศอียิปต์อันห่างไกลว่า “นกเบนู”
ไม่รู้ราวกับเป็นการย้ำเตือนถึงอีกคนหนึ่งซึ่งเคยถือครองสัญลักญ์แห่งนกเบนูหรืออย่างไรชุนถึงได้หวนนึกถึงคางาโฮะขึ้นมาอย่างไม่ตั้งใจ
นกฟินกซ์ยามเมื่อสิ้นใจก็จะแผดเผาร่างกายของตนเองด้วยเปลวเพลิงที่ตนเป็นผู้สร้างให้กลายเป็นเพียงเถ้าถ่านแล้วถือกำเนิดใหม่อีกครั้งในกองฟืน เติบใหญ่ขึ้นจากกองขี้เถ้าอดีตร่างของตนเองและเมื่อเติบใหญ่ก็จะออกโผบินอีกครั้งเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นอมตะ
เฉกเช่นเดียวกับเมื่อคราที่คางาโฮะได้สิ้นใจไปเมื่อกว่าสองร้อยขวบปีก่อน ร่างของนกเบนูที่ถูกแผดเผาด้วยเปลวเพลิงซึ่งตนเป็นผู้รังสรรค์ได้แผดเผาให้กายาสูญสิ้นก่อนจะถือกำเนิดขึ้นจากกองฟืนที่เรียกว่าผืนดิน สุดท้ายก็สามารถสยายปีกขึ้นมาบนโลกนี้ได้อีกครั้งในนามของนกฟีนิกซ์
“คิดอะไรอยู่งั้นเหรอชุน”อิคคิเอ่ยถามเมื่อพบว่าน้องชายของตัวเองเอาแต่มองกลุ่มดาวฟินิกซ์ด้วยสายตาที่คล้ายกับจะเลื่อนลอย แววตาที่เหมือนกำลังจดจ่อกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งในหัวจนไม่อาจให้ความสนใจแม้เสี้ยวเดียวต่อสิ่งรอบข้างได้
“ชุน”เรียกอีกครั้งพร้อมกับยกมือขึ้นจับบ่าชุนแล้วเขย่าเบาๆเป็นผลให้น้องชายหันกลับมาอย่างช้าๆแล้วกลายเป็นฝ่ายที่เอ่ยถามแทน
“พี่อิคคิเชื่อตำนานของนกฟินิกซ์มากแค่ไหนครับ”เป็นคำถามที่ทำให้อิคคิต้องนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบกลับมาอย่างจริงจัง
“มันก็เป็นแค่ตำนาน”หรืออาจบอกได้อีกอย่างว่าไม่คิดจะเชื่อซึ่งความจริงแล้วคำพูดนี้ก็ไม่สมควรจะออกมาจากปากของเซนต์ประจำกลุ่มดาวฟินิกซ์เลย หากแต่คำตอบที่ได้ยินนี้กลับคล้ายกับคำพูดของอีกคนหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ
องค์ฮาเดสจะเป็นเช่นไรไม่เกี่ยวกับข้า
คำพูดของสเป็คเตอร์ที่ควรจะภักดีแต่กลับไม่นึกสนใจ สิ่งที่สนใจมีแต่เพียงใครคนหนึ่งซึ่งสถิตย์อยู่ในดวงตาตลอดเวลาไม่ว่าจะผ่านมานานมากเพียงใดก็ตามและเป็นดวงตาเดียวกันที่ทำให้ชุนราวกับถูกสะกดให้อยู่ในห้วงภวังค์
“พี่อิคคิ....”เอ่ยเรียกด้วยเสียงอันแผ่วเบาที่ดังเพียงพอให้ได้ยินกันแค่สองคน ฝ่ายพี่ชายนิ่งรอให้น้องชายเป็นฝ่ายเริ่มพูดขึ้นมาก่อน
“พี่เชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดมากแค่ไหน”สิ้นคำถามนี้ก็มีอีกคำถามหนึ่งที่ดังขึ้นอยู่ในหัวและรอที่จะถามออกไปเช่นเดียวกัน
ถ้าหากผมบอกว่าผมรู้จักคางาโฮะที่อยู่ในตัวของพี่ พี่อิคคิจะเชื่อผมรึเปล่า
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ