[Fan Fiction Saint Seiya+LC]Once Again…

10.0

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 12.40 น.

  13 ตอน
  8 วิจารณ์
  30.18K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 11.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

5) ความรู้สึกแปรเปลี่ยน?

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

...คุณเคยรู้สึกไหมว่าหัวใจของตนเองเต้นแรงแค่ไหน....

...แล้วคุณได้ถามตัวเองไหมว่ารู้สึกแบบนั้นเพราะใคร...

 

                หลังจากวันนั้นทุกวันก็ยังผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง พี่อิคคิก็ยังคงเป็นพี่อิคคิคนเดิม ทุกวันที่พี่น้องได้พูดคุยแลกเปลี่ยนรอยยิ้ม ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนไปยกเว้นแต่เพียงสิ่งเดียวที่เปลี่ยนไป

                “คืนนี้คางาโฮะก็ไม่ออกมาอีกแล้วงั้นเหรอ”เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นพลางมองถ้วยโกโก้ร้อนที่เย็นชืดทั้งสองใบบนโต๊ะแล้วเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาบนผนังที่บ่งบอกว่าตอนนี้เป็นเวลาห้าทุ่มครึ่ง

                ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่ชุนจะเริ่มชงโกโก้มาสองถ้วยในเวลาประมาณ3ทุ่มแล้วนั่งรอให้คางาโฮะเดินลงมาจากห้องนอนราวกับเพิ่งตื่นนอนและเริ่มคุยกันพร้อมกับดื่มโกโก้ไปด้วย ชุนไม่เคยคิดว่าเหตุการณ์นี้จงเป็นแบบนี้ตลอดไปแต่ก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่ามันจะจบลงอย่างรวดเร็วแบบนี้

                เพราะว่านับจากคืนนั้นเขาก็ไม่ได้พบกับคางาโฮะอีกเลย.....

                “เราคงทำร้ายจิตใจเขามากเลยสินะ”นึกโทษตัวเองอยู่ไม่เคยจางหายตั้งแต่คืนนั้นที่ได้แต่ร้องไห้กับอกของอิคคิ รู้ดีว่าคำพูดนั้นทำร้ายจิตใจคางาโฮะมากแค่ไหนแต่ต่อให้ย้อนเวลากลับไปได้ชุนก็คงต้องพูดแบบนั้นเหมือนเดิม

                มันไม่ใช่ความผิดของเขาที่ไม่ได้รักคางาโฮะและกลัวที่จะถูกรังเกียจ เด็กหนุ่มรู้ว่าคางาโฮะเองก็คงรู้เหมือนกันแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถทำใจไม่ให้เสียใจได้ แต่นอกจากนั้นแล้วเขาจะสามารถทำอะไรได้อีกให้ยินยอมอย่างง่ายๆงั้นเหรอหรือจะให้โกหกด้วยถ้อยคำสวยหรูแบบนั้นก็คงโหดร้ายยิ่งกว่า

                ตึก...ตึก...ตึก...

                ยินเสียงเดินอย่างแผ่วเบาดังมาจากด้านหลังทำให้เด็กหนุ่มหันกลับไปข้างหลังอย่างรวดเร็วพร้อมยิ้มให้ด้วยหวังว่าคนที่รออยู่จะมาปรากฏตัวให้เห็น แต่แล้ว....

                “ยังไม่นอนอีกเหรอ”เป็นอิคคิที่เดินลงในยามค่ำคืน ทั้งที่เสียงของอิคคิกับคางาโฮะควรจะเป็นเสียงเดียวกันแต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรกันที่ชุนสามารถแยกเสียงของทั้งสองคนออกได้อย่างถูกต้อง

                “คือ..ผมนอนไม่หลับน่ะครับเลยเดินลงมาชงโกโก้ดื่ม”อิคคิพยักหน้ารับน้อยๆ แต่พอเห็นถ้วยอีกใบที่เกินมาคิ้วสองข้างก็ขมวดเข้าหากันทันที

                “แล้วนั่นของใคร”หมายถึงถ้วยโกโก้ที่เย็นชืดไร้คนเหลียวแลราวกับว่าชงมาให้ใครคนหนึ่งแต่กลับไม่มีใครกิน

                “คือ...”ชุนตัวแข็งไปในทันทีเพราะไม่คิดว่าอิคคิจะลงมาในเวลาแบบนี้จึงไม่ได้เก็บถ้วยโกโก้อีกใบ

                “...ตอนแรกผมชงมาแล้วแต่เหมือนจะชงผิดสูตรไปหน่อยมันเลยไม่อร่อย ผมเลยไปชงใหม่แล้วลืมเก็บน่ะครับ”คำแก้ตัวที่คิดขึ้นสดๆร้อนๆแบบที่ชุนได้แต่ภาวนาว่าอิคคิจะเชื่อ ชายหนุ่มยังคงขมวดคิ้วเหมือนเดิมด้วยสีหน้าที่บ่งบอกว่าไม่เชื่อ ทีแรกอิคคิคิดจะคาดคั้นเอาความจริงแต่พอเห็นสีหน้าน้องชายที่ทำหน้าเหมือนกับว่า “เชื่อด้วยเถอะ”แล้วเขาก็ได้แต่ยอมเชื่อ

                “เอาเถอะ ถ้างั้นนายไปชงมาให้พี่ด้วยสิ”

                “ครับ”ชุนรีบคำแล้วเดินเข้าไปในครัวเพื่อชงโกโก้มาอีกถ้วยและไม่ลืมที่จะเก็บโกโก้ที่มีปัญหาไปด้วยกัน ลับหลังชุนอิคคิก็นั่งลงบนโซฟาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

                “เดี๋ยวนี้ชุนมีท่าทางแปลกๆ”น้องชายที่น่ารักมีแต่รอยยิ้มตลอดเวลาบางครั้งก็ทำหน้าเหมือนกับเหงาทั้งที่มีเขาอยู่ด้วยแทบจะตลอดเวลาแล้วยังคืนนี้ที่มานั่งดื่มโกโก้คนเดียวพร้อมอีกถ้วยเหมือนรอใครสักคนแต่ว่าสิ่งที่ สำคัญที่สุดคือชุนโกหกเขา

                “หวังว่ามันคงไม่ใช่ฝีมือของแกนะ คางาโฮะ”เอ่ยคาดโทษถึงอีกคนในร่างแต่ไม่มีเสียงตอบรับหรือปฏิเสธซึ่งมันไม่ใช่เรื่องแปลกที่คางาโฮะจะไม่ตอบเพราะใช่ว่าทุกคำถามที่เขาถามไปคนในร่างจะนึกอยากตอบให้หมดทุกข้อ

                เป็นอีกครั้งที่คางาโฮะเลือกจะไม่ตอบและไม่สนใจราวกับไม่รู้ไม่เห็นสิ่งใดทั้งที่ปกติสิ่งที่อิคคิเห็นหรือรับรู้คางาโฮะก็จะรับรู้เช่นกัน โดยเฉพาะใบหน้าของชุนในตอนนี้ที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกผิดและสาเหตุที่ทำให้ชุนต้องมีสีหน้าแบบนั้นก็เพราะเขา

                “นี่ครับพี่อิคคิ”เสียงหวานมาพร้อมกับถ้วยโกโก้อุ่นๆใบใหม่ แม้อิคคิจะไม่ใช่คนชอบของหวานแต่โกโก้ที่ชุนชงมาให้จะมีรสชาติไม่หวานเกินทำให้อิคคิค่อนข้างจะชอบพอควร

                อิคคิรับถ้วยไปแล้วก็นั่งดื่มเงียบๆโดยมีชุนนั่งอยู่ข้างๆ  ดื่มไปได้ครู่หนึ่งน้ำหนักบนไหล่ขวาก็เพิ่มมากขึ้นพอหันไปก็พบกับกลุ่มเส้นผมสีเขียวนุ่มๆและเมื่อก้มลงไปอีกเล็กน้อยก็จะเห็นวงหน้างามกำลังยิ้มออกมาน้อยๆ

                “พี่อิคคิ..พรุ่งนี้ออกไปเที่ยวกันมั้ยครับ”คำชวนที่ถามออกมาอย่างแผ่วเบาเหมือนต้องรวบรวมความกล้ามากมายในการถาม

                “แล้วนายอยากไปไหนล่ะ”ถ้วยแก้วถูกวางลงบนโต๊ะเพราะเจ้าของมือได้เปลี่ยนอิริยาบถมาใช้มือสวมกอดไหล่ของน้องชายเอาไว้หลวมๆ

                “ที่ไหนก็ได้ครับขอแค่ไปกับพี่อิคคิก็พอ”ไม่รู้ว่าคิดไปเองไหมว่าดวงตาที่เคยสดใสแลดูหม่นหมองกว่าที่เคยเป็นแต่อิคคิก็ไม่อยากที่จะถามหรือคาดคั้นให้น้องต้องลำบากใจหรือเสียใจ

                “อืม งั้นพรุ่งนี้ไปเที่ยวกันนะ”มือแกร่งวางลงบนหัวน้องแล้วลูบไปมา ชุนยิ้มเมื่อถูกลูบหัวเหมือนกับทุกครั้งแล้วพยักหน้าก่อนจะยอมเดินขึ้นไปนอนเหลือแต่เพียงร่างสูงที่นั่งมองมือตัวเองที่ใช้มันกอดไหล่น้องเอาไว้

 

                อรุณสวัสดิ์ครับ พี่อิคคิ”แม้เมื่อคืนจะนอนดึกมากแต่ในตอนเช้าชุนก็ยังอุตส่าห์ลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าได้ก่อนที่อิคคิจะตื่นตามเคยหากแต่รอยคล้ำใต้ตาทำให้ชายหนุ่มผู้พี่รู้สึกไม่พอใจนิดหน่อยที่ใบหน้าน่ารักๆจะต้องมีตำหนิ

                บนโต๊ะอาหารวันนี้นอกจากมีอาหารเช้าแล้วยังมีกล้องถ่ายรูปถูกวางอยู่พร้อมกับเมมโมรี่การ์ดที่วางไว้คู่กัน อิคคิหยิบมันขึ้นมาใส่การ์ดเข้าไปแล้วลองเปิดเครื่อง

                กล้องถ่ายรูปยังคงทำงานได้เหมือนปกติแม้จะไม่ได้ใช้มานานมากแล้วก็ตาม ชายหนุ่มเบนกล้องไปยังน้องชายในครัว แม้จะเป็นภาพที่เห็นทุกวันแต่พอมองผ่านเลนส์กล้องแล้วกลับทำให้รู้สึกว่าพิเศษกว่าทุกวัน ร่างบอบบางในชุดเสื้อยืดคอกลมสีฟ้ากับผ้ากันเปื้อนสีขาวที่กำลังง่วนอยู่กับการทอดไข่ดูน่ารักมากอิคคิอดไม่ได้ที่จะกดชัตเตอร์ลงไป

                แชะ!

                “อ๊ะ”ชุนหลุดเสียงร้องออกมาเล็กน้อยเมื่อแสงแฟลชแว่บผ่านตาไปและพอหันไปพบว่าตนเองถูกแอบถ่ายใบหน้าน่ารักก็งอง้ำ

                “พี่อิคคิอย่าแอบถ่ายแบบนี้สิครับแล้วก็ถ้าถ่ายเล่นจนแบตหมดวันนี้จะไม่มีใช้นะครับ”เด็กหนุ่มบ่นพี่ชายตัวเองราวกับกำลังบ่นน้องชายตัวเล็กที่มือซนไม่มีผิด อิคคิแอบหัวเราะแล้วจัดการกดปิดกล้องแต่โดยดี

                “รีบกินกันเถอะครับจะได้ออกไปเที่ยวกัน”กล่าวเร่งทั้งที่เพิ่งวางจานไข่ดาวลงบนโต๊ะ แต่ท่าทางกระตือรือร้นนี้ก็ทำให้อิคคิมีความสุขเพราะภาพของน้องชายที่ยิ้มแย้มอยากออกไปเที่ยวดูดีกว่าใบหน้าเศร้าๆเมื่อคืนหลายเท่านัก ข้าวเช้าหมดไปอย่างรวดเร็วและใช้เวลาไม่นานในการแต่งตัวในเวลาประมาณ9โมงกว่าทั้งสองคนก็มาอยู่บนรถไฟฟ้าเรียบร้อย

                คงเพราะเป็นวันหยุดทำให้แม้จะเป็นช่วงสายแล้วแต่คนก็ยังแน่นไม่ต่างกับเวลาเร่งด่วนเลย ชุนยืนอยู่ที่ข้างประตูโดยมีอิคคิยกแขนขึ้นคอยกันคนไม่ให้เข้ามาเบียดหรือทำอะไรชุนซึ่งมันก็ทำให้ชุนอดทักท้วงไม่ได้ว่าเขาไม่ใช่ผู้หญิงถึงความจริงแล้วชุนออกจะดีใจที่อิคคิคอยดูแลด้วยซ้ำไป

                จุดหมายที่สองพี่น้องเลือกจะไปก็คือห้างสรรพสินค้าเพราะที่นี่มีทุกอย่างที่พวกเขาต้องการไม่ว่าจะที่พักผ่อน ซื้อของหรือร้านอาหาร

                “ไปร้านเสื้อผ้ากันเถอะครับ”เพียงแค่เท้าแตะเข้าไปในห้างสรรพสินค้าร่าบางก็รีบดึงแขนพี่ชายให้รีบเดินราวกับกลัวห้างจะปิดก่อนได้เดินไป ท่าทางเหมือนเด็กของชุนทำให้อิคคิส่ายหน้าน้อยๆแต่ก็ยอมให้น้องชายพาไปร้านเสื้อผ้า

                “ตัวนี้ดีมั้ยครับหรือว่าตัวนี้ดี”มือซ้ายคือเสื้อเชิ๊ตสีฟ้าอ่อนปักลายเรือใบดูสบายตา อีกตัวคือเสื้อยืดคอวีสีแดงเลือดหมูมีลายไม้กางเขนพาดกลาง ชายหนุ่มมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะชี้ไปที่เสื้อยืดคอวี ร่างบางลองเอาเสื้อมาทาบตัวเพื่อเทียบขนาดจากนั้นก็ตรงไปยังราวแขวนเสื้อแจ็กเก็ต

                อิคคิเดินตามน้องชายที่กำลังเลือกเสื้อผ้าอย่างสนุกสนานก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อเห็นว่าเสื้อที่ชุนถือขึ้นมาออกจะตัวใหญ่ไปหน่อยถ้าเทียบกับขนาดตัวบอบบางของชุน

                “ไม่ใหญ่ไปหน่อยเหรอ”ว่าพลางมองขนาดเสื้อที่แค่ชูขึ้นมาก็รู้แล้วว่าค่อนข้างตัวใหญ่ ชุนส่ายหัวก่อนจะเดินมาหาอิคคิแล้วจัดการทาบเสื้อลงบนตัวพี่ชาย

                “นี่ไงครับพอดีเลย”แล้วก็ปล่อยมือ ชายหนุ่มหยิบเสื้อแจ็กเก็ตที่วางอยู่บนตัวขึ้นมาพิจารณา เนื้อผ้าที่ไม่หนาเกินไปซึ่งแม้แต่ในหน้าร้อนก็ใส่ได้ กระดุมสีเงินแวววับตัดกับสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ ทั้งเนื้อผ้ารูปทรงถือว่าค่อนข้างถูกใจเขาพอควร

                “พี่อิคคิลองสวมดูสิครับ”ชุนเอ่ยชวนแล้วมีหรือพี่ชายจะปฏิเสธ เสื้อแจ็กเก็ตถูกสวมอย่างช้าๆราวกับนายแบบกำลังโพสท่าถ่ายรูปซึ่งทำให้พนักงานสาวๆในร้านแอบมองกันตาวาวส่วนน้องชายก็แทบจะยืดอกภูมิใจที่มีพี่ชายหน้าตาดี

                “เหมาะมากเลยครับงั้นเอาตัวนี้ด้วยนะครับ”เด็กหนุ่มหันไปบอกพนักงานสาวที่ยืนอยู่ข้างๆทำให้เธอสะดุ้งเล็กๆเพราะมัวแต่มองร่างสูงใหญ่เพลิน

                “พี่อิคคิใส่ออกไปเลยนะครับ”อีกหนึ่งคำขอที่ไม่มีเหตุผลให้ต้องปฏิเสธ ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงออกมาจากร้านพร้อมกับเสื้อในถุงหนึ่งตัวและอีกตัวก็มีอิคคิสวมอยู่

                ออกจากร้านเสื้อแล้วชุนก็ยังไม่รู้จะไปร้านไหนต่อทั้งคู่จึงเดินไปรอบชั้นนี้หากเจอร้านไหนมีอะไรน่าสนใจก็จะแวะไปบ้างหรืออาจแค่หยุดมองดู ผ่านร้านมาก็มากทำให้ชุนเริ่มหิวน้ำก็สบเข้ากับร้านขายน้ำพอดี เด็กหนุ่มจึงฝากของไว้กับพี่ชายแล้วเดินไปซื้อน้ำ

                อิคคิคล้องถุงเสื้อไว้แล้วยกสองมือกอดอกยืนพิงเสารอชุนที่เดินไปซื้อน้ำ ที่ร้านน้ำมีคนอยู่หลายคนเหมือนกันทำให้อาจต้องใช้เวลาหน่อยและเพราะว่ามีคนจะซื้อหลายคนทำให้เกิดความชุลมุนเล็กน้อยและเหตุไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อชุนโดนคนกลุ่มหนึ่งชนจนเซไปชนกับชายอีกคนที่เพิ่งรับแก้วน้ำมาในมือพอดี

                ซ่า!

                น้ำหวานทั้งแก้วหกรดทั้งคนถือและคนถูกชนแต่ส่วนใหญ่จะโดนชุนเสียมากกว่า หากแต่ไม่ว่าใครจะเปียกมากกว่าน้ำก็หกไปแล้วทำให้ชายคนนั้นถึงกับโมโห

                “เฮ้ย ระวังหน่อยเซ่!”ชายคนนั้นตวาดกร้าวอย่างไร้มารยาทแต่ชุนที่รู้ตัวว่าเป็นฝ่ายผิดก็ขอโทษแต่โดยดี

                “ขอโทษครับ”ใบหน้าหวานเงยขึ้นมาเพื่อขอโทษทำให้อีกฝ่ายชะงักไปเล็กน้อยก่อนกล่าวเสียงอึกอัก

                “อ..อะ..เอ่อ...ไม่เป็นไร..คราวหน้าก็ระวังหน่อยล่ะ”เสียงตวาดกร้าวเมื่อครู่อ่อนยวบลงไปในทันที สาเหตุก็ไม่พ้นเพราะได้เห็นใบหน้าหวานน่ารักของชุนเข้า เมื่ออารมณ์เย็นลงก็ทำให้สายตาเริ่มกวาดไปบนร่างของชุนที่โดนน้ำหกใส่ซึ่งมันทำให้ตาแทบถลน

                เพราะว่าวันนี้ชุนใส่เสื้อเชิ๊ตสีขาวมาและเมื่อเสื้อสีขาวโดนน้ำก็จะทำให้เห็นผิวสวยๆที่ซ่อนอยู่หลังเนื้อผ้า แม้จะไม่ได้ตั้งใจมองหรือคิดอกุศลใดๆแต่เมื่อมีของสวยๆงามๆมาอยู่ตรงหน้ามีใครบ้างจะไม่มอง

                “คือ...”นับว่าชายคนนั้นพอจะมีมารยาทอยู่บ้างที่คิดจะเตือนว่าเด็กหนุ่มอยู่ในสภาวะล่อแหลมมากแค่ไหน แต่ก็ไม่ต้องเสียเวลาเตือนแม้แต่น้อยเมื่อมีมือหนึ่งดึงร่างบางเข้าไปกอดแนบกับอกเพื่อบดบังเสื้อสีขาวที่เปียกน้ำ

                “แกจะมองน้องของฉันอีกนานมั้ย”น้ำเสียงของผู้เป็นพี่ชายเย็นเยียบจนใจสั่นทั้งยังดวงตาที่สามารถฆ่าคนได้นั่นทำให้ชายคนนั้นรีบขอโทษแล้วเผ่นหายไปอย่างรวดเร็วโดยถือว่าวันนี้ทั้งเฮงแล้วก็ซวยในเวลาเดียวกัน

                “พี่อิคคิ”ชุนเงยหน้าขึ้นจากอกของอิคคิด้วยสายตางุนงงเพราะยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรข้นทำไมพี่ชายตัวเองถึงได้มีสายตาเหมือนกับจะฆ่าคนได้แบบนี้

                แทนคำตอบเสื้อแจ็กเก็ตที่เพิ่งซื้อในวันนี้ถูกคลุมลงบนไหล่พร้อมจับติดกระดุมให้เรียบร้อยโดยไม่คิดถามความสมัครใจของคนถูกสวมเลย สุดท้ายอิคคิก็ลากชุนออกมาจากบริเวณไปยังห้องน้ำแล้วยื่นเสื้อในถุงให้กับชุน

                “ไปเปลี่ยนซะเสื้อเลอะหมดแล้ว”ชุนรับเสื้อมาแล้วเข้าไปเปลี่ยนในห้องน้ำ พอเข้าห้องน้ำแล้วเห็นตัวเองในกระจกหลังถอดแจ็กเก็ตของอิคคิออกก็ทำให้ชุนเข้าใจได้ในทันทีว่าเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น จากที่คิดจะเปลี่ยนข้างนอกชุนก็เปลี่ยนใจกระชับเสื้อแจ็กเก็ตแน่นแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำปิดประตูทันที

                ใบหน้าหวานแดงซ่านเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ความจริงเขาเป็นผู้ชายไม่จำเป็นที่จะต้องมาขวยเขินกับเรื่องแค่นี้เพียงแต่พอคิดแค่ว่าพี่ชายเห็นเขาในสภาพแบบนี้แล้วใบหน้าก็ร้อนวูบขึ้นมาอย่างไม่อาจห้ามได้ ทำไมเขาต้องเขินเวลาที่ถูกอิคคิมองในสภาพแบบนี้ด้วยล่ะ

                “นี่เราเป็นอะไรไปแล้ว”ไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองกันแน่ เมื่อก่อนเขาไม่เคยเป็นแบบนี้เลยแท้ๆ

 

                ขณะที่ชุนกำลังสับสนในตัวเองอยู่ด้านอิคคิที่กำลังรอชุนอยู่ก็รู้สึกหงุดหงิดใจไม่ใช่น้อยที่มีคนอื่นบังอาจมามองชุนด้วยสายตาแบบนั้น แต่ก็อดแปลกใจตัวเองไม่ได้ว่าทำไมถึงต้องรู้สึกโมโหขนาดนั้นด้วย จริงอยู่ว่ามันเป็นเรื่องที่สมควรโมโหแต่อันที่จริงเขาก็ประหลาดใจที่ตัวเองรู้สึกโมโหได้มากขนาดนั้น

                “เสร็จแล้วครับ”เสียงของชุนเรียกให้อิคคิหยุดความรู้สึกแปลกใจในตัวเองทั้งหมด พอหันไปมองชุนที่เดินออกมาจากห้องน้ำในชุดใหม่ก็ทำให้อิคคิอดที่จะรู้สึกชื่นชมไม่ได้

                ร่างบอบบางในชุดสีแดงเลือดหมูพอดีตัวเน้นเอวเพรียวบางและเพราะเสื้อมีสีแดงจึงทำให้ผิวสีขาวของชุนดูเด่นขึ้นมาแบบที่ไม่ว่าใครก็อยากจะเข้าไปควงวงแขนขาวๆที่โผล่พ้นออกมานอกชายเสื้อแขนสั้น ที่คอของชุนก็สวมโชกเกอร์สีดำห้อยจี้สีทองเอาไว้พอดีซึ่งเข้ากับเสื้อที่สวมอยู่มาก

                “นี่ครับเสื้อ”มือบางส่งเสื้อแจ็กเก็ตที่ถูกนำมาสวมให้ในตอนแรกคืน แม้มันจะชื้นนิดๆเพราะน้ำที่เปียกบนเสื้อชุนแต่อิคคิก็รับมาสวมต่ออย่างไม่นึกรังเกียจ

                “สุดท้ายเราก็สวมเสื้อที่ซื้อมาใหม่ทั้งคู่เลยนะครับ”เอ่ยหยอกล้ออย่างสนุกสนานเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกสับสนก่อนจะเดินนำลิ่วไปเพราะไม่อยากให้พี่ชายต้องเห็นใบหน้าแดงๆของตัวเอง แต่ว่ามีหรือว่าทุกสิ่งทุกอย่างของน้องชายจะรอดสายตาพี่ชายคนนี้ไปได้เพราะถึงแม้จะหันหลังอยู่แต่อิคคิก็ยังมองเห็นว่าใบหูของชุนมีสีแดงนิดๆอยู่

                “ชุนนายเป็นอะไรไป”ชุนแทบจะกลายเป็นรูปปั้นหินไปในทันทีเมื่อโดนพี่ชายทัก

                “ผ..ผมไม่ได้เป็นอะไรนี่ครับ”สองเท้าก้าวเร็วขึ้นอย่างไม่ตั้งใจทำให้อิคคิก็ต้องเร่งฝีเท้ามากขึ้นเมื่อเห็นน้องชายกำลังเดินห่างไปทุกทีๆ ระหว่างทางชุนแทบไม่ได้เงยหน้าจากพื้นเลยทำให้พอเดินไปเรื่อยๆก็ชนเข้ากับคนอื่น

                “โอ้ย ขอโทษครับ”เด็กหนุ่มโค้งหัวขอโทษเสร็จก็รีบสาวเท้าเดินไม่คิดแม้แต่จะมองหน้าคนที่โดนชนเลยแม้แต่นิดเดียวเพราะเสียงของพี่ชายกำลังไล่หลังมาแล้ว

                “ชุนนายจะหนีทำไม”เสียงถามของพี่ชายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ร่างบางรู้ว่าความจริงแล้วการทำแบบนี้มันดูงี่เง่ามากแค่ไหนเพราะยังไงตอนกลับก็ต้องอยู่ด้วยกันอยู่ดี แต่ว่าในเวลานี้ชุนไม่อยากให้พี่อิคคิเห็นหน้าของตัวเองจริงๆ

                “ผมไม่ได้หนีครับ”คนรอบข้างที่มองสภาพของเด็กหนุ่มแล้วต่างก็ส่ายหน้าแบบยิ้มๆพลางคิดว่า ‘แบบนี้แหละที่เขาเรียกว่าหนี’ นอกนั้นบางคนยังแอบหัวเราะเพราะสภาพของสองคนนนี้หากมองด้วยสายตาคนภายนอกแล้วมันก็คือสภาพของคนกำลังงอนกับสภาพของคนกำลังตามง้อไม่มีผิด แม้ว่าความจริงแล้วมันจะไม่ใช่ก็ตาม

                “ชุน!”อิคคิเรียกเสียงดังทำให้เด็กหนุ่มเผลอหยุดชะงักไปเสี้ยววินาทีและมันก็เป็นวินาทีเดียวกันที่อิคคิคว้าแขนชุนเอาไว้ได้สำเร็จ

                “จับได้แล้ว”ทั้งคนเดินหนีและคนตามไม่มีเสียงหอบแม้แต่นิดเดียวเพราะเรื่องแค่นี้มันนับเป็นเรื่องขี้ประติ๋วสำหรับเซนต์แต่ความเหนื่อยใจนี่สิที่อาจจะมากกว่าฝึกเป็นเซนต์หลายร้อยเท่า

                “บอกมาซินายหนีพี่ทำไม”พี่ถามแต่น้องกลับเอาแต่ก้มหน้าส่ายหัวดุ๊กดิ๊กแบบที่ทั้งน่ารักระคนน่าระอา คราวนี้อิคคิไม่คิดจะทำเป็นไม่สนใจอีกแล้วเพราะเขาอยากรู้จริงๆว่ามันมีเหตุผลอะไรที่ทำให้ชุนหนีเขาแต่ครั้นจะถามที่นี่ก็มีคนเยอะไปหน่อย สุดท้ายอิคคิก็ได้แต่พาชุนไปยังที่ๆค่อนข้างส่วนตัวและดวงตาคมก็สบเข้ากับสิ่งที่เรียกว่า ห้องคาราโอเกะ

                “ขอให้สนุกนะคะ”พนักงานสาวพูดด้วยดวงตาวาวระยับที่เจอหนุ่มรูปงามทีเดียวสองคนก่อนจะปิดประตูไปด้วยใบหน้าเสียดายสุดซึ้งที่ไม่สามารถอยู่กับหนุ่มหน้าตาดีต่อได้

                “ทีนี้ก็หนีไม่ได้แล้ว”ร่างสูงจับร่างบางนั่งลงแล้วนั่งตามโดนจับมือแน่นอย่างไม่คิดจะปล่อย

                “ตกลงว่านายหนีทำไม”คำถามถูกรีเพลย์กลับมาอีกรอบแต่คำตอบก็ถูกรีเพลย์กลับมาอีกรอบก็คือการส่ายหัวโดยไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมา

                “ชุน”น้ำเสียงของอิคคิเหมือนจะโมโหแต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เขาเพียงแค่พูดเสียงดังขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ชุนตอบแต่ที่ไหนได้ร่างบางกลับยังคงนิ่งทำให้อิคคิใช้มือเชยคางขึ้นเพื่อบังคับให้น้องเงยหน้า

                “อ้ะ”ชุนหลุดเสียงร้องออกมาเพราะไม่คิดว่าพี่ชายจะใช้วิธีนี้บังคับให้สบตาด้วยและเมื่อไม่ได้ตั้งตัวใบหน้างามที่ยังมีสีแดงระเรื่อไม่จางหายจึงปรากฏสู่สายตาของอิคคิจนได้

                “นาย...”คราวนี้อิคคิไม่มีทางคิดว่าเป็นเพราะพิษไข้อีกอย่างเด็ดขาด แต่อิคคิก็ยังสงสัยว่าชุนจะหน้าแดงทำไม

                “นายหน้าแดงทำไม”เพราะถูกจับคางไว้อยู่ทำให้ชุนไม่อาจหันหน้าหนีได้และพอโดนถามสาเหตุใบหน้าที่แดงแล้วก็ยิ่งแดงมากขึ้นไปอีก

                “ชุน....”อิคคิไม่ได้เรียกชื่อเพื่อที่จะถามซ้ำแต่มันคล้ายกับเสียงอุทานมากกว่า คำถามที่คิดจะถามได้สูญสลายหายไปหมดเพียงเพราะใบหน้าแดงๆที่สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า น่ารักเหลือเกิน

                “พี่อิคคิ....”ยินเสียงน้องร้องเรียกพี่ชายจึงได้สติขึ้นมาและพบว่าตอนนี้ร่างของตัวเองแทบจะคร่อมอยู่บนตัวน้องอยู่แล้วร่างสูงจึงรีบถอยออกด้วยความตกใจทันที ต่างคนก็เข้าสู่ความเงียบเพราะไม่รู้จะหาทางออกจากสถานการณ์ที่อาจเรียกได้ว่ากระอักกระอ่วนนี้ยังไงดีแต่แล้วสิ่งที่ช่วยนำพาทั้งคู่ออกไปกลับเป็น....

                โครก....

                เสียงท้องร้องไม่ได้ดังมากอย่างน่าอับอายแต่ในห้องปิดเสียงที่เงียบกริบนี้ก็ทำให้เสียงร้องอันแสนเบาดังก้องไปทั่วห้องให้ได้ยินอย่างชัดเจน พี่น้องสบตากันโดยไม่รู้ตัวก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาพร้อมกัน

                “ฮ่าๆๆ”หัวเราะกันไปคนละทีแล้วจึงกลับมายิ้มให้กันได้

                “เอาเป็นว่าเราไปหาอะไรกินกันเถอะ”เป็นพี่ชายที่ลุกขึ้นยืนก่อนแล้วเป็นฝ่ายเอ่ยชวนทั้งยังยื่นมือมาให้

                “ครับ”

                จ่ายเงินค่าเช่าห้องเสร็จสองพี่น้องก็จูงมือกันเดินไปร้านใกล้ๆ มื้ออาหารในวันนี้ดูพิเศษกว่าทุกวันเมื่อบ่อยครั้งที่อิคคิจะเป็นคนเปิดบทสนทนาหรือเล่าเรื่องระหว่างผจญภัยให้ฟัง ชุนฟังไปก็รู้สึกสนุกสนานเมื่อมีคนพูดและมีคนฟังโต้ตอบกันไปเรื่อยๆมื้อเที่ยงในวันนี้จึงยาวนานกว่าทุกวันอย่างไม่น่าเชื่อ

                “อิ่มจังเลย”เด็กหนุ่มที่สุดแสนจะอารมณ์ดีเดินจูงมือพี่ชายด้วยสีหน้ามีความสุขสุดๆแบบที่ไม่ว่ามองแล้วก็ต้องรู้สึกเอ็นดูมากรวมไปถึงอิคคิที่ไม่แทบจะไม่เคยเดินจูงมือกับชุนหลังจากผ่านพ้นวัยเด็กมาแล้วในวันนี้ก็ยอมเดินจูงมือไปด้วยกัน

                “ต่อไปจะไปไหน”อิคคิถามด้วยเสียงทุ้มนุ่มบ่งบอกว่ากำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษ ชุนนิ่งคิดเล็กน้อยก่อนตอบเสียงใส

                “ไปที่ชั้นล่างสุดกันเถอะครับ ผมอยากเล่นสเก็ตน้ำแข็ง”ในสายตาของอิคคินั้นเสียงของชุนช่างเป็นเสียงที่เหมือนกับชุนจะย้อนวัยไปเมื่อตอนอายุ5ขวบไม่มีผิด เรียกได้ว่าทั้งน่ารักและน่าเอ็นดูจนอดไม่ได้ที่จะตามใจ

                “เอาสิ”ว่าแล้วทั้งสองก็เดินตรงไปที่ลิฟท์ทันที แต่ทว่าก่อนที่ขาจะก้าวเดินไปก็มีเสียงหนึ่งเอ่ยเรียกดังมาจากด้านหลัง

                “อิคคิ ชุน”สองร่างหันหลังกลับไปทันทีเพราะเสียงทีได้ยินช่างฟังดูคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูกและพอหันกลับไปก็พบกับชายผมทองคนหนึ่งที่มีดวงตาสีฟ้า ชายคนนั้นส่งยิ้มให้แล้วกล่าวทักทาย

                “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”เมื่อรู้ว่าคนตรงหน้าเป็นใครชุนก็เรียกชื่ออีกฝ่ายออกไป

                “เฮียวกะ”

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา