[Fan Fiction Saint Seiya+LC]Once Again…

10.0

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 12.40 น.

  13 ตอน
  8 วิจารณ์
  29.75K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 11.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

4) คนสำคัญที่ไม่ได้เป็น

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ


...บางครั้งอดีตก็มีแต่เรื่องที่เจ็บปวด...

...แล้วทำไมคุณถึงได้จดจำมันไว้โดยไม่ยอมลืมแบบนี้...

 

                เวลาล่วงเลยผ่านไปร่วมสัปดาห์ทำให้สิ่งแปลกใหม่เริ่มกลายเป็นความเคยชินทีละนิด โดยเฉพาะกับชีวิตประจำวันที่มีคนอีกหนึ่งคนเพิ่มขึ้นมาแม้ว่าจะไม่อาจเรียกว่า “คน” ได้เต็มปากก็ตาม

                รุ่งเช้าอากาศยังคงสดใสเหมือนกับทุกวันอิคคิลุกขึ้นจากเตียงเดินตรงเข้าห้องน้ำไปล้างหน้าปลี่ยนเสื้อเตรียมไปออกกำลังกายในตอนเช้าและก็กิจวัตรเดิมๆที่เมื่ออิคคิเดินลงมาจากบันไดจะเห็นชุนอยู่ในครัวเสมอ

                [ชุนยังขยันเหมือนเดิม]เสียงเรียบๆกึ่งเอ็นดูดังขึ้นในหัวและอาจด้วยความเคยชินหรือปรับตัวได้แล้วอิคคิจึงเลิกที่จะหงุดหงิดยามอีกฝ่ายเรียกชื่อน้องตัวเองแบบสนิทสนมและเปลี่ยนเป็นเลิกสนใจแทน

                “อรุณสวัสดิ์ครับพี่อิคคิ”เสียงหวานเอ่ยทักทายเมื่อเห็นว่าพี่ชายกำลังเดินลงมาจากบันได

                “อืม”อิคคิตอบรับคำทักทายเพียงแค่นั้น

                “ไปดีมาดีนะครับ”ชุนส่งยิ้มให้ขณะที่อิคคิกำลังใส่รองเท้า ใส่รองเท้าเสร็จร่างสูงใหญ่ก็ดินออกจากบ้านไป ในตอนนั้นอิคคิไม่ได้รู้เลยว่ารอยยิ้มที่ชุนส่งมาให้นั้นได้เผื่อแผ่มายังอีกคนที่อยู่ในตัวด้วย

                ในยามเช้าที่อากาศสดชื่นแบบนี้อิคคิกำลังวิ่งไปตามถนนเพื่อฝึกฝนร่างกาย แม้จะไม่มีเรื่องให้ต้องต่อสู้แต่เขาก็ยังคงฟิตซ้อมร่างกายแบบนี้เสมอๆจนเป็นชีวิตประจำวันไปแล้ว ความจริงช่วงอายุของอิคคิกับชุนควรจะไปอยู่ในวัยเรียนมากกว่าแต่เพราะเมื่อเป็นเซนต์แล้วจึงยอมทุ่มเทให้หน้าที่อย่างเต็มที่และแม้การต่อสู้จะจบลงแซงค์ทัวรี่ก็ไม่มีทางทอดทิ้งเหล่าเซนต์ทุกคน

                ดังนั้นทุกเดือนจะมีเงินที่ถือว่าเป็นค่าตอบแทนสำหรับความทุ่มเทเหล่านั้นมาให้ซึ่งแม้จะไม่มากแต่ก็พอให้มีชีวิตสุขสบายไปตลอดชีวิตเพียงแต่บางครั้งหากมีเหตุอะไรพวกตนก็จะถูกเรียกกลับไปยังแซงค์ทัวรี่เพื่อปฏิบัติภารกิจเท่านั้นเอง

                [ช่างเป็นยุคสมัยที่สงบสุขเหลือเกิน]คางาโฮะเอ่ยขึ้นเหมือนกับจะชวนคุยหรือไม่ก็พูดกับตนเอง อิคคิเองก็ชินเสียแล้วที่อยู่ๆอีกฝ่ายจะพูดออกมา

                “ก็แค่บางที่เท่านั้นแหละ”คือคำตอบของที่มีประสบการณ์ในการเดินทางมามากทำให้ได้เห็นสิ่งต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะการก่อการร้ายหรือสงครามเล็กๆที่เกิดขึ้นโดยแทบไม่มีใครรู้เหมือนกับพวกตนที่ต่อสู้มามากมายโดยที่คนธรรมดาแทบไม่ได้ล่วงรู้เลย

                [แต่ในยุคของข้าน่ะแทบจะหาที่เรียกว่าสงบสุขไม่ได้ด้วยซ้ำ]ในยุคเมื่อ200กว่าปีก่อนที่เต็มไปด้วยการต่อสู้ โลกที่ผู้อ่อนแอไม่อาจมีชีวิตรอดทำได้เพียงเข้มแข็งขึ้นและต่อสู้เอาชีวิตรอดเท่านั้น

                [มันมีแต่ความเจ็บปวด]และพรากคนสำคัญไปดังนั้นจึงเกลียดชังโลกและอยากให้มันล่มสลายไปเหมือนกับความคิดของคนสำคัญที่บอกว่าโลกนี้มันโหดร้ายเกินไปจึงอยากให้ทุกคนได้หลับอย่างเป็นสุขตลอดกาล

                บทสนทนาของทั้งคู่จบลงเพียงแค่นั้นเพราะอิคคิไม่คิดจะถามเพิ่มเติมและอีกฝ่ายก็ไม่คิดจะเล่าเช่นกัน ในเวลานี้สำหรับอิคคิที่พอจะรับได้แล้วว่าตนเองยังมีอีกคนอยู่ในร่างบางครั้งก็รับฟังหรือพูดคุยด้วยบ้างซึ่งหากตัดเรื่องของชุนออกไปคางาโฮะก็อาจนับได้ว่าเป็นเพื่อนของเขา

                ด้านอายุถ้านับเมื่อตอนที่คางาโฮะตายไปก็ใกล้ๆกับเขาหรืออาจมากกว่าเล็กน้อย นิสัยเงียบขรึมดุดันแต่ก็มีช่วงเวลาที่สบายๆอยู่บ้างเรียกได้ว่าค่อนข้างจะเหมือนกับอิคคิอยู่หลายส่วน

                ทางด้านคางาโฮะก็ยอมรับแต่โดยดีว่านี่เป็นร่างของอิคคิไม่ใช่ของตัวเองต่อให้มีวิญญาณดวงเดียวกันแต่ตนก็เหมือนเป็นแค่ส่วนหนึ่งในร่างอิคคิเท่านั้นจึงไม่คิดจะทำอะไรให้บาดหมางใจกันให้มากนัก

                ด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นว่าทั้งสองเริ่มปรับตัวเข้าหากันและยอมรับการคงอยู่ของแต่ละฝ่ายไปโดยปริยาย เพียงแต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่อิคคิยังทำใจยอมรับไม่ได้เสียที....

                “กลับมาแล้ว”พอเปิดประตูบ้านก็จะมีกลิ่นหอมของอาหารเช้าโชยออกมาพร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้รู้สึกสบายใจของน้องชาย

                “ยินดีต้อนรับกลับครับ”และระหว่างที่ชุนจัดโต๊ะอาหารอิคคิก็จะไปอาบน้ำและมาร่วมโต๊ะอาหารด้วยกัน หลังจากทานอาหารเสร็จบางครั้งอิคคิก็จะอาสาทำความสะอาดให้เหมือนกับในวันนี้ชุนจึงเริ่มต้นทำความสะอาดบ้าน

                เมื่อชามใบสุดท้ายถูกวางลงบนที่คว่ำจานอิคคิก็จะกลับไปที่ห้องของตัวเองเพื่อที่ชุนจะได้ทำความสะอาดบ้านได้อย่างสะดวก อิคคิทิ้งตัวลงบนเตียงแล้วผ่อนลมหายใจช้าๆพลางคิดว่าหากเป็นปกติเขาคงกำลังอยู่ในระหว่างเดินทางเป็นแน่

                “คราวนี้จะไปที่ไหนดีนะ”สมองคิดหาประเทศจุดหมายในการเดินทางต่อไปแต่อีกคนที่อยู่ในตัวกลับตอบแบบที่เกือบจะประท้วงว่า

                [ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น]คำพูดที่ชวนให้อิคคินึกปวดหัวเพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ ความจริงอิคคิตั้งใจจะออกเดินทางตั้งแต่ตอนที่รู้ว่ามีคางาโฮะอยู่ในร่างแล้วแต่เจ้าคนในร่างเขาสิกลับไม่ยอม

                แค่ไม่ยอมน่ะยังพอว่า แต่มันดันทำให้เขาขยับตัวไม่ได้!

                ยิ่งคิดอิคคิก็ยิ่งนึกโมโหทั้งที่เป็นร่างของตัวเองแต่ถ้าทำอะไรไม่ถูกใจขึ้นมาเจ้าคนอาศัยก็พาลจะทำให้ขยับตัวไม่ค่อยได้ แถมยังมีหน้ามาขู่ว่าถ้ายังคิดจะไปอีกจะยึดร่างถาวรอีกต่างหาก!

            [ข้าจะไม่ยอมอยู่ห่างชุนเด็ดขาด]คางาโฮะยื่นคำขาดแบบชนิดที่ไม่ให้มีการต่อรองแม้แต่เสี้ยวเดียวหลงเหลืออยู่ แต่แบบนี้มันก็ยิ่งอันตรายเพราะเกิดวันดีคืนดีมันคิดจะทำอะไรชุนขึ้นมาอิคคิก็ไม่สามารถแน่ใจได้เลยว่าจะสามารถหยุดคางาโฮะได้หรือไม่

                “เป็นแค่คนอาศัยอย่ามาเรื่องมากจะได้มั้ย ฉันจะไปไหนมันก็เรื่องของฉัน!”เจ้าของร่างโวยลั่น

                [คนอาศัย?]ถ้าหากมีร่างให้เห็นคงได้เห็นคางาโฮะเลิกคิ้วแบบหาดูได้ยากอย่างแน่นอน

                [ ถ้าจำไม่ผิดเหมือนข้าจะเคยบอกเจ้าแล้วว่าข้าก็คือตัวเจ้า ถ้าข้าเป็นคนอาศัยแล้วเจ้าล่ะป้ายชื่อร่างรึยังไง]คำยอกย้อนอันเจ็บแสบที่ทำให้อิคคินึกอยากประทุษร้ายร่างกายตัวเองเผื่อว่าเจ้าคนในร่างมันจะรู้สึกเจ็บขึ้นมาบ้าง หลังจากนั้นก็เหมือนกับได้ยินเสียงถอนหายใจยาวๆดังอยู่ในหัว ก่อนจะตามด้วยคำพูดที่ทำให้อิคคิถึงกับสะอึก

                [ข้าไม่เข้าใจเจ้าเอาเสียเลย ทั้งที่มีโอกาสได้อยู่กับคนสำคัญตลอดเวลาแต่เจ้ากลับอยากจะทิ้งน้องตัวเองแล้วไปเดินทางอยู่เพียงลำพัง]สำหรับคางาโฮะที่ต้องพรากจากคนสำคัญครั้งแล้วครั้งเล่า การที่อิคคิบอกว่าจะออกเดินทางแล้วทิ้งให้ชุนอยู่คนเดียวคงทำให้คางาโฮะไม่พอใจเป็นอย่างมาก

                “ฉันไม่ได้คิดจะไม่กลับมาสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรฉันก็ต้องกลับมาบ้านอยู่แล้ว”การอยู่บ้านแต่เพียงอย่างเดียวแม้จะได้อยู่กับชุนแต่มันก็ยังเป็นชีวิตที่น่าเบื่อเกินไป นอกจากนี้ในตอนนี้ร่างของเขามีใครก็ไม่รู้อาศัยอยู่ด้วย เขาไม่มีวันยอมให้คนที่ไม่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงอยู่ใกล้ๆชุนเด็ดขาด

                “ที่สำคัญฉันไม่มีวันทิ้งชุนเด็ดขาด”คนสำคัญที่สุดในโลกเพียงคนเดียว คนที่ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่ทอดทิ้ง

                [ทั้งที่ปล่อยให้น้องเจ้าต้องเหงาแท้ๆ]น้ำเสียงที่ราวกับจะตำหนิในการกระทำที่คางาโฮะจะไม่มีวันทำเด็ดขาด

                [ไม่ว่าอย่างไรข้าก็จะไม่มีวันยอมอยู่ห่างจากชุนเด็ดขาด]แล้วคางาโฮะก็เงียบไปแบบนั้นเป็นการตัดบทสนทนาที่ภายนอกเหมือนอิคคิกำลังพูดคนเดียว

                ปึง!

                ร่างสูงทุบผนังห้องด้วยแรงโทสะอย่างนึกขุ่นเคืองในคำพูดที่ได้ยิน ดวงตาคู่คมดุดันและน่ากลัวจนแทบจะปล่อยไฟออกมาได้ จากนั้นทั้งวันอิคคิกับคางาโฮะก็ไม่ได้พูดคุยกันอีกเลย

 

                พระอาทิตย์ลาลับไปในยามเย็นบ่งบอกเวลาที่กำลังเข้าสู่ราตรีกาล สองพี่น้องได้มาใช้เวลาร่วมกันที่หน้าจะทีวีในห้องรับแขก ชุนเลือกนำหนังแนวแฟนตาซีเรื่องหนึ่งมาเปิดดู บรรยากาศภายในห้องรับแขกมีเพียงเสียงจากหนังดังออกมาโดยที่อิคคิกับชุนต่างก็นั่งดูอยู่เงียบๆไม่ได้คุยกัน

                หนังเรื่องนี้ก็มีพล็อตง่ายๆอย่างมีจอมมารร้ายคิดจะทำลายล้างโลกแล้วมีผู้กล้ามาปราบจอมมาร สุดท้ายโลกก็กลับคืนสู่ความสงบสุข ว่ากันตามจริงสำหรับพวกเซนต์ที่มีประสบการณ์จริงเกี่ยวกับเรื่องคล้ายๆแบบนี้แล้วต่อให้หนังเรื่องนี้ทำมาดีแค่ไหนพวกตนก็แทบจะหาความสนุกไม่เจอเลย

                ความจริงเมื่อก่อนชุนชอบหนังเรื่องนี้มากแต่พอผ่านประสบการณ์กู้โลกมาแล้วมันก็ทำให้หนังเรื่องนี้ดูจะลดคุณค่าความสนุกไปจนแทบจะเรียกได้ว่าน่าเบื่อจนแทบจะเผลอหลับไปหลายต่อหลายครั้ง ตอนแรกชุนคิดจะปิดแต่ก็พบว่าอิคคิทำท่าเหมือนกำลังตั้งใจดูอยู่ชุนจึงไม่กล้าปิดได้แต่นั่งดูต่อไปด้วยอารมณ์ครึ่งหลับครึ่งตื่น

                จวบจนกระทั่งหนังจบแล้วขึ้นเครดิตผู้สร้างนั่นแหละชุนถึงได้ลุกขึ้นบิดขี้เกียจไล่ความเมื่อยขบก่อนจะเดินไปปิดเครื่องเล่นดีวีดีกับทีวีให้เรีบร้อยจากนั้นก็เดินไปชงโกโก้มาสองแก้ว

                “นี่ครับ”ถ้วยโกโก้มีควันลอยฉุยถูกส่งมาพร้อมกับรอยยิ้ม ชายหนุ่มรับมันมาดื่มเงียบๆก่อนจะเปิดปากพูด

                “สิ่งที่ดูเมื่อครู่ช่างน่ารำคาญนัก”เพียงแค่เปิดปากพูดออกมาชุนก็ขมวดคิ้วนิดๆก่อนจะถอนหายใจแล้วนั่งลง

                “คุณอีกแล้วเหรอครับ คุณคางาโฮะ”ชุนวางแก้วลงบนโต๊ะหันมามองหน้าพี่ชายที่ถูกเปลี่ยนตัวเป็นคนอื่น

                “แล้วเปลี่ยนตัวกันตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”

                “หลังจากที่เจ้าเปิดนั่นได้ไม่นาน”ว่าพลางชี้ไปยังเครื่องที่อยู่ตรงหน้าทำให้ในวันนี้ชุนได้รู้ซึ้งแล้วว่าอย่างน้อยหนังเรื่องนี้ก็มีความสามารถถึงขนาดทำให้เซนต์อย่างอิคคิยังเผลอหลับได้

                และนี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อิคคิไม่รู้ก็คือ ขอเพียงอิคคิไม่รู้สึกตัวเมื่อไรคางาโฮะก็จะออกมาแทนแล้วใช้ร่างนี้มาพูดคุยกับชุนอยู่เสมอซึ่งมักจะอยู่ในช่วงเวลากลางคืน ตอนแรกชุนก็โวยวายหาว่าคางาโฮะจะยึดร่างอิคคิแต่คางาโฮะก็ยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ทำแน่นอนที่ออกมาก็แค่อยากจะคุยกับชุนเท่านั้น

                แน่นอนว่าคำตอบนี้เล่นเอาชุนถึงกับหน้าแดงพูดอะไรไม่ถูกได้แต่ยอมรับการกระทำนี้เพราะถ้าหากอิคคิยังห้ามไม่ได้มีหรือเขาจะห้ามได้ ถึงแม้ว่าความเข้าใจของชุนมันจะกลับตาลปัตรก็ตาม

                “เค้าเรียกว่าภาพยนตร์หรือหนังครับ”เป็นอีกครั้งจากหลายครั้งในการพบกันตอนกลางคืนที่ชุนจะบอกเล่าถึงสิ่งต่างๆในยุคนี้ให้ฟัง นับว่าเป็นเคราะห์ดีที่คางาโฮะไม่ได้ทำตัวเหมือนคนป่าหลงยุคเข้าเมืองเห็นอะไรแปลกๆไม่รู้จักก็เข้าไปยุ่งจนพังแบบในหนังที่เคยดูเมื่อสมัยเด็ก

                เพราะว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นจริงชุนคงหัวเราะไม่ออกเหมือนในสมัยเด็กแน่ๆ

                “ว่าแต่ที่บอกว่าน่ารำคาญเพราะอะไรงั้นเหรอครับ”คางาโฮะเงียบไปไม่ได้ตอบในทันที ผ่านไปครู่หนึ่งชุนถึงเพิ่งนึกได้ว่าอีกฝ่ายคืออดีตสเป็คเตอร์ผู้ภักดีต่อจ้าวนรกฮาเดสทีจ้องจะทำลายโลก ดังนั้นถึงไม่ต้องถามก็น่าจะรู้คำตอบตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

                “ขอโทษนะครับ”ร่างบางก้มหน้าขอโทษด้วยน้ำเสียงน่าสงสาร คางาโฮะยื่นมือมาวางลงบนศีรษะแล้วลูบเบาๆเหมือนกำลังปลอบเด็ก

                “เจ้าไม่จำเป็นต้องขอโทษ”การกระทำอันอ่อนโยนไม่สามารถเทียบเท่ากับน้ำเสียงที่อ่อนโยนยิ่งกว่าจนชุนไม่อยากจะเชื่อเลยว่าอีกฝ่ายเคยเป็นสเป็คเตอร์มาก่อน

                “คุณใจดีจังนะครับ”พอเอ่ยชมมือที่วางอยู่บนหัวก็รีบผละออกทันที

                “ข้าไม่ได้ใจดีหรืออะไรทั้งนั้น”เสียงพูดรัวเร็วจนเหมือนกับจะแก้ตัวแต่ชุนกับเห็นว่าผิวแก้มของอีกฝ่ายมีสีแดงจางๆ

                “คุณคางาโฮะ...”เด็กหนุ่มร้องเรียกชายหนุ่มก็หันหลับมาแต่กลับเปิดปากพูดก่อนที่ชุนจะได้พูด

                “เรียกแค่คางาโฮะก็พอแล้ว”คำพูดสั้นๆรวบรัดและกึ่งจะบังคับนิดๆไม่ได้ทำให้เขานึกโกรธแต่กลับนึกขำมากกว่าเพราะวิธีการพูดแบบนี้ช่างเหมือนกับพี่ชายของเขาจริงๆ

                “ครับ คางาโฮะ”รับคำจบชุนก็เงียบไป ดวงตาคมเหลือบมองมาเล็กน้อยแล้วจึงค่อยๆพูดออกมาราวกับเพิ่งเรียบเรียงเนื้อความเสร็จ

                “ข้ารู้สึกไม่ชอบใจนักเพราะสิ่งที่ดูเมื่อครู่มันมีเพียงแค่ด้านเดียว”ชุนสับสนเล็กน้อยในคำพูดนั้นก่อนจะเพิ่งรู้ตัวว่าคางาโฮะกำลังตอบคำถามเขา

                “เจ้ารู้เรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งก่อนมากแค่ไหน”คราวนี้คางาโฮะเป็นฝ่ายถามแทน

                “ก็รู้ว่าร่างทรงคนก่อนชื่ออาโรนและเป็นเพื่อนของเพกาซัสรุ่นก่อนกับเป็นพี่ชายขององค์อาธีน่าครับ ผลของสงครามสุดท้ายองค์อาธีน่ากับเพกาซัสก็สามารถผนึกวิญญาณฮาเดสได้ครับ”ชุนตอบไปตามตรงแม้ใจจะนึกหวั่นๆกับปฏิกิริยาของคนข้างๆก็ตาม

                “นอกจากนั้นท่านผู้เฒ่าก็บอกว่าคุณคงเป็นสเป็คเตอร์เพียงคนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของฮาเดส”ร่างสูงขมวดคิ้วกับประโยคถัดมาแล้วจึงค่อยพูดต่อ

                “ข้าไม่เคยนึกสนใจองค์ฮาเดส สิ่งที่ข้าสนใจมีเพียงสิ่งเดียวคือท่านอาโรน”ยังคงเป็นคำตอบๆเดิมๆที่ชุนไม่อาจทำความเข้าใจได้ มันช่างน่าสงสัยจนอดที่จะถามออกไปไม่ได้

                “ผมไม่เข้าใจคุณเลย ถ้าพูดถึงอาโรนก็น่าจะหมายถึงฮาเดสไม่ใช่เหรอครับ”คำตอบที่ได้รับคือการส่ายหน้าและตามด้วยคำอธิบายถึงความเป็นจริงที่แทบจะไม่มีใครรู้มาก่อน

                “จริงอยู่ที่ท่านอาโรนเป็นร่างทรงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องถูกองค์ฮาเดสควบคุม ท่านอาโรนต่างหากที่เป็นฝ่ายควบคุมเทพ”

                “ว่าไงนะครับ!”ดวงตาเบิกกว้างอย่างไม่อาจเชื่อในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมาได้ มันจะเป็นไปได้ยังไงกันมนุษย์จะสามารถมีพลังขนาดต่อต้านและครอบครองพลังของเทพได้ยังไงกัน!

                “แต่ว่าท่านอาโรนทำได้”ราวกับอ่านใจของชุนได้คางาโฮะจึงได้พูดประโยคนี้ต่อมา

                “ด้วยจิตวิญญาณอันแรงกล้าที่มากพอจะช่วงชิงพลังของเทพจึงทำให้วิญญาณขององค์ฮาเดสไม่อาจทำได้แม้กระทั่งทำให้จิตวิญญาณแปดเปื้อน”มันช่างเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ ความเป็นจริงที่ไม่ได้ถูกบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ด้วยเพราะคงไม่มีใครเชื่อแน่ว่ากลับกลายเป็นเทพที่ถูกมนุษย์ชักใย

                “คุณรู้งั้นเหรอครับ”

                “ใช่ ข้ารู้ตั้งแต่แรกแล้ว”แล้วคำตอบนี้ก็ทำให้ชุนเข้าใจบางสิ่งเพิ่มขึ้นมา ตลอดมาตั้งแต่ที่ได้พบกันคางาโฮะไม่เคยเรียกร่างทรงว่าฮาเดสเลยแต่กลับเรียกด้วยชื่อของร่างทรงมาตลอด แต่ก็ยังไม่เข้าใจถ้าหากว่าอาโรนสามารถควบคุมพลังของเทพได้แล้วทำไมสงครามศักดิ์สิทธิ์ถึงได้เกิดขึ้น

                “ทำไมถึงได้เกิดสงครามศักดิ์สิทธิ์ขึ้นล่ะครับ ก็อาโรนควบคุมพลังได้แล้วก็ไม่มีความจำเป็นต้องต่อสู้กับเพื่อนแล้วก็น้องสาวของตัวเองเลย”ชุนเข้าใจความรู้สึกนี้ดีเหมือนกับที่เคยถูกฮาเดสยึดร่างกายแล้วเข้าต่อสู้กับเพื่อนพ้องรวมถึงพี่ชายแท้ๆของตัวเอง

                เพียงแค่ต้องยืนอยู่คนละฝ่ายก็เจ็บในอก ยามที่ทุกคนถูกเขาทำร้ายก็รู้สึกเหมือนกับหัวใจจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ความเจ็บปวดที่เจ็บยิ่งกว่าความตายแบบนั้น ถ้าหากมันไม่เกิดขึ้นก็คงจะดีไม่ใช่รึไงกัน

                “เพราะว่าท่านอาโรนอ่อนโยนเกินไป”หลับตาพลันรำลึกถึงเมื่อครั้งอดีตที่ได้พบกันในคราแรก

                เมื่อครั้งที่เขาได้แต่คิดแค้นโลกอันโหดร้ายที่พรากเอาคนสำคัญไป เมื่อโลกนี้ไม่มีคนสำคัญอยู่ก็ไม่มีค่าที่จะคงอยู่เฉกเช่นเดียวกัน เขาถึงได้ยอมเป็นสเป็คเตอร์เพื่อที่จะแก้แค้นโลกใบนี้ แต่แล้วทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเพียงเพราะการพบกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

                แว่บแรกที่ได้พบกันร่างบอบบางที่อยู่บนบัลลังก์ในตำแหน่งสูงสุดของทัพยมโลก เขาก็ต้องตกตะลึงจนพูดไม่ออกเมื่อพบว่าเค้าหน้านั้นช่างคล้ายคลึงกับน้องชายของตนเองยิ่งนัก มันเป็นเพียงชั่วเสี้ยววินาทีเดียวที่คางาโฮะได้สบตากับอาโรน

                ทว่าเพียงชั่วเสี้ยววินาทีนั้นกลับมากพอที่จะทำให้รู้ว่าร่างทรงนั้นไม่ใช่ฮาเดสอย่างที่ทุกคนเข้าใจ คางาโฮะรู้จักแววตาแบบนั้น มันเป็นแววตาเดียวกับที่น้องชายของเขาใช้มองโลกใบนี้

                น้องชายของเขาเป็นเด็กที่ใจดีและอ่อนโยนแต่โลกใบนี้กลับให้แต่ความโหดร้ายกับน้องของเขา ทุกวันที่อยู่อย่างยากลำบากหากไม่สู้ก็ตาย แต่เด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งจะทำอะไรได้เพราะงั้นเพื่อไม่ให้ร่างที่บอบบางต้องบาดเจ็บเขาจึงต่อสู้และยอมที่จะเป็นฝ่ายเจ็บเอง

                ทุกครั้งที่การต่อสู้จบลงน้องชายก็จะร้องไห้และกล่าวโทษตัวเองที่อ่อนแอ ในแววตาของน้องที่มองโลกใบนี้คือแววตาที่ทั้งรักทั้งชัง เจ็บแค้นผู้คนแต่ก็ยังรักผู้คนและสุดท้ายก็จบด้วยน้ำตาที่ไหลรินไม่ขาดสาย

                “แววตาของท่านอาโรนเต็มไปด้วยความรักและความผิดหวังที่มีต่อโลกใบนี้”เพราะต่อให้รักมากแค่ไหนแต่สุดท้ายก็ไม่อาจอภัยให้กับโลกนี้ได้จริงๆ

                “ท่านอาโรนจึงได้ใช้พลังขององค์ฮาเดสสร้างลอสต์แคนวาสขึ้นมาเพื่อปลดปล่อยมนุษย์จากโลกอันโหดร้ายไปสู่ความตายที่แสนสงบ”นี่คือความเป็นจริงที่ข้ามผ่านกาลเวลามา ความอ่อนโยนที่ถูกซ่อนอยู่เบื้องหลังของความโหดร้าย

            “ทุกคนอาจจะมองว่าท่านอาโรนช่างโหดร้ายแต่สำหรับข้าแล้วท่านเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆที่ร้องไห้ตัดพ้อด้วยความเจ็บปวดกับโลกใบนี้ เด็กน้อยที่แบกรับความเจ็บปวดไว้ยิ่งกว่าใคร ข้าจึงหวังที่จะปกป้องและขอให้เมื่อทุกอย่างจบลงท่านจะสามารถยิ้มออกมาได้”ทุ่มเทให้กับทุกอย่างเพียงเพราะแค่อยากเห็นเด็กน้อยที่ได้แต่ร้องไห้คนนั้นแย้มยิ้มออกมาอย่างมีความสุขสักครั้งหนึ่ง

                “สำหรับเจ้าแล้วคิดว่าคนที่อ่อนโยนแบบนั้นเป็นคนที่เลวร้ายรึเปล่า”ย้อนถามกลับถึงความคิดที่ชุนไม่อาจจะตอบได้ แม้จะต้องต่อสู้จนเจียนตายแต่ชุนก็เกิดมาในยุคที่เรียกได้ว่าสงบสุขย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจผู้ที่ต้องมีชีวิตอยู่อย่างโหดร้าย

                “ผมไม่รู้....”ไม่อาจเข้าใจได้ทั้งความใจดีและความเจ็บปวดนั้น เพราะสำหรับชุนแล้วไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาก็ยังอยากจะให้คนที่รักมีชีวิตอยู่ต่อไปกับเขา เขาไม่อาจจะเข้าใจความรู้สึกสิ้นหวังที่ถึงขนาดทำลายล้างโลกใบนี้ได้

                “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ก็ได้ เพราะว่าเจ้าก็คือเจ้า”ไม่ใช่ท่านอาโรนที่มีแววตาอันเจ็บปวดแบบนั้น...มือแกร่งยกขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาให้อย่างแผ่วเบาชุนถึงได้รู้ตัวว่าเขากำลังร้องไห้

                “เรื่องราวมันมานานมากแล้ว เพราะงั้นอย่าร้องไห้เลยนะ”เสียงที่เอ่ยปลอบเต็มไปด้วยความเศร้าจนเหมือนกับกำลังร้องไห้อยู่เสียเอง ชุนส่ายหน้าแล้วจึงตอบ

                “แล้วคุณล่ะคางาโฮะ สำหรับคุณแล้วมันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากไม่ใช่รึไง”การที่ต้องตายโดยไม่อาจปกป้องคนที่รักได้คงทำให้หัวใจรู้สึกเจ็บแล้วพอลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งโลกใบนี้ก็ไม่ใช่โลกที่ตัวเองรู้จักและไม่มีคนสำคัญของตัวเองอยู่อีกต่อไป

                “คุณคงจะต้องทรมาณมากแน่ๆกับการตื่นขึ้นมาในโลกใบนี้”ไม่อาจจะหยุดน้ำตาที่ไหลออกมาได้ หัวใจรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ถูกถ่ายทอดมาจากคำบอกเล่าทั้งหมด

                “ผิดแล้ว มันไม่ได้ทรมาณเลยแม้แต่นิดเดียว”น้ำตาที่ไหลรดข้างแก้มถูกเช็ดออกอีกครั้งด้วยความอ่อนโยนเช่นเดิม  มือข้างที่เช็ดน้ำตาวางลงข้างแก้มเพื่อเกลี่ยน้ำตาให้พ้นไปจากดวงหน้างดงามเหมือนกับอยากจะขจัดความอาดูรให้หมดสิ้นไป

                “ขอเพียงมีเจ้าอยู่ข้าก็ไม่รู้สึกทุกข์ทรมาณอีกแล้ว”เคยคิดว่าตัวเองคงไม่อาจมองเห็นใครสำคัญได้มากเท่ากับอาโรน แต่มาในวันนี้เด็กน้อยที่ได้พบเจอไม่นานกลับเปลี่ยนแปลงหัวใจของเขา เด็กน้อยที่ยิ้มแย้มและมอบความอ่อนโยนให้กับทุกอย่างเหมือนกับอาโรน หากว่าบนโลกนี้มีแต่คนอ่อนโยนแบบนี้เมื่อครั้งอดีตอาโรนก็คงไม่เลือกเส้นทางที่สิ้นหวังแบบนั้น

                “ทำไมคุณถึงบอกว่าผมเป็นคนสำคัญ”ชุนไม่เคยเข้าใจกับคำพูดนี้และคงเพราะไม่อาจทนเก็บเอาไว้ได้จึงได้ถามออกไป

                “ข้าไม่สามารถอธิบายออกมาได้ แต่ขอให้เจ้ารู้ว่าข้าจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้า”มือที่วางแก้มเลื่อนไปยังท้ายทอยก่อนจะรั้งร่างนั้นเข้ามาอย่างทะนุถนอมแล้วประทับริมฝีปากลงไป แรกสุดชุนตกใจจนแทบจะปล่อยหมัดออกไปด้วยซ้ำแต่แล้วพอได้สัมผัสกับความอ่อนโยนที่ผ่านมาจากจูบนั้นกลับทำให้ทั่วทั้งร่างอ่อนแรง

                ร่างบางหลับตาลงอย่างช้าๆ คางาโฮะถอนริมฝีปากออกเพื่อจะกดนิ้วลงบนริมฝีปากเบาๆให้เผยอขึ้นมาเล็กน้อยแล้วจูบลงมาอีกครั้ง หากแต่ในคราวนี้ชุนกลับรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มที่รุกเข้ามาภายในปาก สิ่งที่รุกเข้ามาราวกับจะหยอกล้อและล่อลวงให้หลงใหลจนทำให้รู้ตัวอีกทีแผ่นหลังก็สัมผัสกับโซฟาโดยมีร่างหนึ่งคร่อมอยู่ข้างบน

                “อา...”เสียงครางหลุดออกมาเมื่อมีมือหนึ่งสอดเข้ามาใต้เนื้อผ้าลูบไล้ไปบนยอดอก ชุนลืมตาขึ้นช้าๆเมื่อพบว่าอีกฝ่ายถอนริมฝีปากออกไปแล้ว คางาโฮะสบตากับชุนเพียงครู่เดียวเหมือนกับจะขออนุญาตแล้วจึงก้มลงจูบลงบนลำคอขาวเบาๆราวกับกลัวทำชุนเจ็บ

                สัมผัสแปลกใหม่ที่แนบชิดทำให้กายบางเริ่มรู้สึกถึงความร้อนที่กำลังก่อตัวขึ้นภายในร่างกายและอดไม่ได้ที่จะบิดกายน้อยๆทุกครั้งที่ริมฝีปากไล่แตะลงไปบนซอกคอ ในหัวมึนตื้อไปหมดจนคิดอะไรไม่ออกได้แต่ใช้สองมือจิกลงบนโซฟา

                “อือ..”ชุนเบือนหน้าหนีเมื่อกระดุมเสื้อถูกปลดออกจนหมด ผิวขาวสะอาดที่ไม่เคยถูกใครสัมผัสกำลังถูกแต่งแต้มสีกุหลาบอย่างอ่อนโยน

                มือที่สัมผัสไปทั่วแผ่นอกและแผ่นหลังราวกับกำลังล่อลวงด้วยความรู้สึกอันแสนหวานจนอยากจะลืมซึ่งทุกสิ่งแล้วหลับตาลงรับสัมผัสที่ทำให้รู้สึกดียิ่งนี้ หากแต่สิ่งที่รั้งสติชุนไว้ก็คือใบหน้าของพี่ชาย พี่อิคคิจะรู้สึกอย่างไรหากรู้ว่าใครคนหนึ่งในร่างมาใช้ร่างกายทำเรื่องแบบนี้กับน้องชายของตัวเอง

                ชุนไม่ได้รังเกียจที่จะถูกคางาโฮะแตะต้อง คางาโฮะทั้งอ่อนโยนและใจดีจนยากจะปฏิเสธ แต่เขาจะทำเรื่องแบบนี้กับคนที่ไม่ได้รักไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้นหากอิคคิรู้ว่าเขาทำแบบนี้กับคางาโฮะพี่อิคคิคงทั้งเกลียดและรังเกียจเขาเป็นแน่

                แค่เรื่องนี้เท่านั้นที่ชุนยอมไม่ได้จริงๆ....

                “..ม...ไม่..อย่า”ดังนั้นคำปฏิเสธจึงถูกกล่าวออกไปพร้อมกับหยุดการกระทำทั้งหมดของคางาโฮะ ร่างสูงยอมลุกออกมาอย่างง่ายดายทั้งยังช่วยแต่งตัวให้โดยไม่มีท่าทีโกรธเคืองแต่อย่างใดจะมีก็คงเป็นความรู้สึกผิดเท่านั้น

                “ข้าขอโทษ”กล่าวออกไปอย่างที่ไม่เคยทำกับใคร โทษตัวเองที่ทำให้เด็กหนุ่มถึงกับร้องขอปฏิเสธ นี่เขาทำให้ชุนรู้สึกรังเกียจใช่ไหม

                “เจ้าคงรังเกียจสินะ”มันไม่ใช่เรื่องแปลก แม้ชุนจะมีใบหน้าหวานแค่ไหนแต่ก็ยังเป็นผู้ชาย การถูกผู้ชายด้วยกันทำแบบนี้คงเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจมาก

                “ไม่ใช่...ผมไม่ได้รังเกียจคุณ แต่ว่า...”น้ำตาไหลออกมาอีกครั้งเพียงแค่นึกถึงใบหน้าของพี่ชายขึ้นมา แค่คิดว่าจะต้องเห็นใบหน้าที่แสดงถึงความรังเกียจหรือความโกรธของอิคคิแล้วร่างกายก็ถึงกับสั่นด้วยความกลัว

ผมไม่อยากสูญเสียพี่อิคคิไป

                “ผมไม่อาจทำเรื่องแบบนี้กับพี่ชายของตัวเองได้และยิ่งไม่อาจทำเรื่องแบบนี้กับคนที่ไม่ได้รัก ผมทำไม่ได้จริงๆ”อยากจะหาคำพูดที่ดีกว่านี้แต่ก็หาไม่ได้จึงได้แต่บอกความจริงที่อยู่ในใจออกไปโดยที่รู้ว่ามันทำร้ายจิตใจอีกฝ่ายมากเพียงใด

                “งั้นเหรอ....”เป็นเพียงคำตอบรับสั้นๆก่อนที่ดวงเนตรจะปิดลง ร่างสูงนั่งพิงอยู่บนโซฟาเพียงชั่วครู่ก่อนจะลืมตาขึ้นและแปรเปลี่ยนเป็นพี่ชายกลับคืนมา

                “...นี่ฉันเผลอหลับไปงั้นเหรอ”อิคคิยกมือขึ้นเสยผมที่ปิดดวงตาอยู่ออกก่อนจะพบว่าร่างที่อยู่ข้างๆกำลังร้องไห้

                “ชุนนายร้องไห้ทำไม!”เอ่ยถามอย่างร้อนรนพร้อมใบหน้าที่แสดงถึงความเป็นห่วง ชุนจึงส่งยิ้มให้พลางเช็ดน้ำตาออกด้วยตัวเอง

                “ก็แค่เรื่องมันเศร้าไปหน่อยน่ะครับ เพราะว่าพี่อิคคิหลับไปก่อนก็เลยไม่รู้”กล่าวอ้างไปแบบนั้นแล้วจึงโผเข้ากอดพี่ชายเอาไว้อย่างแนบแน่น อิคคินึกสงสัยแต่ก็ไม่คิดว่าชุนจะโกหกจึงยกมือขึ้นลูบศีรษะน้องเป็นการปลอบ

                “มันก็แค่เรื่องที่แต่งขึ้นเท่านั้น”ชุนได้แต่ตอบรับคำพูดของอิคคิ

                “ครับ....”

                ถ้าหากว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นก็คงดีกว่านี้.....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา