[Fan Fiction Saint Seiya+LC]Once Again…

10.0

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 12.40 น.

  13 ตอน
  8 วิจารณ์
  29.74K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 11.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

3) หัวใจที่หวั่นไหว

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

...เคยมีใครบอกว่าคุณเป็นคนสำคัญที่สุดของเขาไหม...

...ถ้าหากว่ามีแล้วตอนนั้นคุณตอบเขากลับไปอย่างไร...

...ในเมื่อคนๆนั้นอาจไม่ใช่คนสำคัญของคุณ...

 

                อิคคิตื่นมาก็พบกับเรื่องน่าแปลกใจก็คือเขากำลังนอนอยู่บนเตียงและยังกอดชุนนอนอยู่ด้วยกันจนชวนให้สงสัยสัยว่าเรื่องตั้งแต่เช้ายันบ่ายคือความฝันหรืออย่างไรกัน แต่คราบเหงื่อที่ชุ่มตัวกับสภาพห้องที่ดูอย่างไรก็เป็นห้องของชุนนั้นได้เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่ามันไม่ใช่ความฝัน

                “อือ...”คงเพราะอิคคิขยับตัวชุนถึงได้รู้สึกตัวตื่น การตื่นขึ้นมาในตอนนี้ทำชุนรู้สึกสดชื่นมากและพบว่าเขานอนอยู่ในห้องของตัวเอง

                “พี่อิคคิอุตส่าห์อุ้มผมมานอนเหรอ ขอบคุณนะครับ”ชุนยิ้มแล้วพูดขอบคุณ แม้จะนึกสงสัยในเรื่องที่ทำไมเขาถึงทำไปโดยไม่รู้ตัวแบบนี้แต่อิคคิก็ยังพยักหน้ารับและเลือกที่จะเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ

                “เย็นป่านนี้แล้วเหรอเนี่ย เดี๋ยวผมไปทำอาหารก่อนนะครับ”ท้องฟ้าข้างนอกกลายเป็นสีแดงของยามเย็นบ่งบอกเวลาที่ทั้งสองคนได้หลับใหลไปนั้นยาวนานแค่ไหน ชุนจึงรีบไปทำอาหารทันทีเหลือเพียงอิคคิที่นั่งอยู่ในห้องพลางนึกทบทวนเรื่องต่างๆอยู่

                “ตอนนั้นเราเผลอหลับไปได้ยังไงกัน”จะบอกว่าเพราะฝึกจนเหนื่อยก็ไม่มีทางเพราะตอนฝึกเป็นเซนต์ต้องฝึกหนักกว่านี้เป็นร้อยเท่ากับแค่การออกกำลัง2-3ชั่วโมงไม่มีทางทำให้เขาเพลียจนหลับไปแน่นอน แต่คิดสงสัยมากเท่าไรก็ยังไม่อาจหาคำตอบที่น่าพอใจได้ ชายหนุ่มจึงเลิกคิดชั่วคราวแล้วเดินกลับห้องตัวเองไปเพื่ออาบน้ำ

                อิคคิอยู่ห้องข้างๆกับชุนดังนั้นการเดินกลับมาห้องตัวเองจึงใช้เวลาเพียงนิดเดียวเท่านั้น หลังเปิดประตูออกก็ปรากฏถึงห้องกว้างๆที่มีเพียงตู้เสื้อผ้า เตียงและโต๊ะเก้าอี้อีกชุดเท่านั้น นับเป็นห้องที่ค่อนข้างจะโล่งและเรียบง่ายจนเกินเหตุแต่คงเพราะเจ้าของห้องไม่ได้มีความสนใจเรื่องใดเป็นพิเศษนอกจากการเดินทางฝึนฝนตัวเองห้องนี้จึงแทบไม่มีสิ่งใดเพิ่มเติมมาเลย

                มือแกร่งคว้าผ้าเช็ดตัวมาพาดบ่าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปและเริ่มต้นอาบน้ำ ระหว่างที่อาบน้ำอิคคิก็ลองสำรวจตัวเองดู อิคคิไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองไหมว่าเหมือนตัวเขาจะมีบางสิ่งแปลกๆเกิดขึ้นแต่เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสิ่งแปลกๆนั้นคืออะไร

                มือนี้ยังคงเป็นมือของเขา ใบหน้านี้ยังคงเป็นของเขา ขอเพียงแค่สมองสั่งร่างกายก็จะเคลื่อนไหวไปตามที่สั่ง ไม่มีสิ่งใดผิดปกติแม้แต่เสี้ยวเดียว

                “หรือที่แปลกไปจะเป็นอย่างอื่น”เหตตุการณ์เมื่อตอนบ่ายถือว่าเป็นหลักฐานชั้นดี เพราะอยู่ดีๆเขาก็เกิดง่วงขึ้นมาและเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัวพอรู้สึกตัวอีกทีกลับพบว่าตนเองกำลังนอนกอดชุนอยู่

                “ระหว่างที่เราไม่ได้สติมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”เขาเอ่ยถามกับตัวเองและไมได้หวังว่าจะมีใครตอบกลับมา ทว่า....

                [มันไม่มีอะไรมากหรอก]

            “ใคร!”อิคคิตวาดกร้าวเมื่อได้ยินเสียงหนึ่งตอบแต่กลับหาเจ้าของเสียงไม่พบมิหนำซ้ำเสียงที่ได้ยินทั้งคุ้นหูราวกับเสียงตัวเองไม่เพียงแค่นั้นเสียงนั่นเขาไม่ได้ยินด้วยโสตประสาทแต่ราวกับมันพูดอยู่ในหัวของเขา!

                “ตอบมา!”เสียงตวาดนั้นช่างน่าเกรงกลัวและน่าเกรงขาม ถ้าหากเป็นโจรผู้ร้ายหรือศัตรูไม่ว่าใครก็คงต้องรีบตอบกลับไปอย่างสั่นกลัวแต่ไม่ใช่กับสิ่งที่ไม่รู้ตัวตนนี้

                มีแต่เพียงความเงียบ ไม่มีเสียงของใครตอบกลับมา มีเพียงเสียงลมหายใจของอิคคิที่ดังก้องอยู่ในห้องน้ำจนเหมือนกับตัวเองเป็นคนบ้าที่พูดอยู่คนเดียว กระนั้นเองอิคคิก็ยังไม่คลายความระมัดระวังลง

                [ข้าก็อยู่ที่นี่ตลอด]เสียงปริศนาตอบกลับมาแต่ไม่อาจทราบได้ว่าเพราะรำคาญหรือแค่อยากให้อีกฝ่ายรู้ตัวตนของตนเองกันแน่ เมื่อได้ยินเสียงตอบชายหนุ่มก็เหมือนจะใจเย็นลงนิดหน่อยและเริ่มตั้งสติให้ดี

                “แกเป็นใคร”เหมือนกับได้ยินเสียงแค่นหัวเราะก่อนจะได้ยินคำตอบ

                [ข้าก็คือเจ้า]คำตอบที่ทำให้อิคคิยิ่งรู้สึกหงุดหงิด แบบนี้มันก็เหมือนกับเจมินี่เซนต์ที่มีด้านมืดอยู่ในตัวและมันอาจจะรอเวลาที่จะได้ยึดร่างของเขาก็ได้

                [ข้าไม่ทำอะไรงี่เง่าแบบนั้นหรอก]เสียงนั้นตอบกลับอย่างนึกดูแคลนความคิดของอิคคิเต็มที่และเหมือนกับจะแก้ต่างให้ตัวเองไปในทีเดียวกัน

                “แกต้องการอะไร”ร่างสูงหันหน้าเข้ากับกระจกในห้องน้ำ เขาไม่ได้ทำเลียนแบบในนิยายที่ไหนเพียงแต่มันรู้สึกหงุดหงิดที่จะต้องโต้ตอบกับสิ่งที่เหมือนไม่มีตัวตน ในเมื่ออีกฝ่ายบอกว่าคือตัวเขางั้นเขาก็จะมองหน้าตัวเองในกระจกแทน

                [สิ่งที่ข้าต้องการคือสิ่งเดียวกับเจ้า]แม้จะจ้องมองในกระจกแต่หากอิคคิไม่เปิดปากพูดภาพในกระจกก็ยังคงสะท้อนใบหน้าขมวดคิ้วของเขาที่ริมฝีปากปิดสนิทซึ่งขัดกับเสียงที่เขายังคงได้ยินอยู่ในหัว

                “หมายความว่ายังไง”เสียงของอิคคิแข็งกร้าวขึ้นกับคำตอบที่ชวนให้โมโหซึ่งคงไม่แปลกที่หากอยู่ดีๆก็มีคนมาบอกว่าต้องการสิ่งเดียวกับเขาทั้งที่เขาไม่รู้จักแม้แต่ชื่อของอีกฝ่ายแบบนี้

                [ข้าหมายความตามที่พูด]คำตอบที่ได้ยังคงเป็นคำตอบที่หาความน่าพอใจไม่ได้แม้แต่นิดเดียวจนอิคคินึกอยากจะซัดอีกฝ่ายให้กระอักเลือดแต่น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่มีร่างให้เขาได้ซัดสมใจอยากนี่สิ

                หลังคำตอบนั้นเสียงปริศนาก็เงียบไปเหมือนจะบอกว่าถ้าไม่ถามเขาก็ไม่ตอบแต่ต่อให้ถามก็ใช่ว่าจะตอบตามตรงทำให้อิคคิจำต้องสงบสติอารมณ์ตัวเองรอบที่สองแล้วเลือกถามคำถามสุดท้ายออกมา

                “แกชื่ออะไร”

                [คางาโฮะ]ตอบเสร็จเสียงนั้นก็เงียบไปอีกเช่นเดิมแต่อิคคิก็ไม่คิดจะสนใจอีกแล้ว

                “คางาโฮะไม่ว่าแกจะเป็นใครหรือเป็นอะไรแต่ฉันจะไม่ยอมให้แกทำอะไรตามใจชอบแน่ ที่สำคัญฉันจะไม่มีวันยอมให้แกแตะต้องน้องชายของฉันได้แม้แต่ปลายเล็บ”สิ่งที่พูดออกมาเป็นทั้งคำประกาศ คำขู่และคำสั่งในเวลาเดียวกันแต่ก็ใช่ว่าคางาโฮะจะกลัว

                [นั่นมันเรื่องของเจ้า]เสียงนั่นหายไปพร้อมกับเสียงแค่นหัวเราะอีกครั้งหนึ่ง

                “ชิ”อิคคิเดาะลิ้นอย่างนึกหงุดหงิดเป็นที่สุดแต่ก็ทำได้แค่นั้นและตัดสินใจที่จะตั้งสติให้ดีตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ใครมาใช้ร่างของเขาได้ตามใจชอบเด็ดขาด!

 

                พี่อิคคิวันนี้อากาศดีไปปิคนิคข้างนอกกันมั้ยครับ”บ่ายวันหนึ่งชุนได้เดินมาชวนเขาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสราวกับว่าเขาตอบตกลงไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ยังไม่ทันถาม

                โดยส่วนตัวแล้วเวลาอยู่บ้านนอกจากฝึนฝนร่างกายนิดหน่อยแล้วอิคคิก็ไม่พิศมัยที่จะออกไปเดินในเมืองสักเท่าไรนักเพราะรู้สึกว่ามันดูไร้สาระแต่พอเห็นสีหน้าคาดหวังเต็มที่ของชุนแล้วเขาจึงยอมพยักหน้าตกลงง่ายๆส่งผลให้ชุนรีบไปเตรียมของว่างเป็นการใหญ่และผ่านไปเพียงสิบนาทีชุนก็กลับมาพร้อมเสื่อและตะกร้าสานที่เต็มไปด้วยของว่างและน้ำชา

                “ไปกันเถอะครับ”เด็กหนุ่มทำท่าจะเดินไปเปิดประตูทั้งที่ยังถือของเต็มสองมือ อิคคิจึงแย่งเสื่อกับตะกร้าในมือของชุนมาถือไว้เอง ตอนแรกชุนคิดจะขอตะกร้ากลับมาถือเพราะไม่อยากเดินมือเปล่าแต่พอเห็นว่าอิคคิไม่มีท่าทีจะคืนตะกร้ามาให้แม้แต่น้อยทำให้ชุนจำต้องยอมเดินมือเปล่าโดยมีอิคคิถือของอยู่เต็มสองมือ

                “พี่อิคคิแบ่งมาให้ผมช่วยถือก็ได้นะครับ”ระหว่างทางชุนยังคงหว่านล้อมแต่อิคคิก็ตอบกลับไปอย่างเรียบง่าย

                “ไม่”ทั้งเรียบง่ายและสั้นได้ใจความจนแทบจะตัดรอนกัน ชุนรู้ว่าพี่ชายหวังดีแต่ก็รู้สึกเหมือนกำลังเอาเปรียบที่เดินตัวเปล่าและไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดอิคคิถึงได้รู้ความคิดของชุนทั้งที่ไม่ได้เป็นฝาแฝดเหมือนกับเจมินี่ชายหนุ่มก็ตอบกลับไปสั้นๆว่า

                “นายทำอาหารกับเตรียมของแล้ว”พอได้ยินคำตอบนี้ชุนก็ยิ้มและเลิกคิดจะขอตะกร้ากลับมาถือทันที

                การเดินทางไปสวนสาธารณะก็เหมือนกับบรรยากาศบนโต๊ะอาหารของสองพี่น้องคือชุนมักจะเป็นฝ่ายชวนคุยและอิคคิก็จะคอยฟังและตอบเป็นครั้งคราวแต่มันก็ยังเต็มไปด้วยความสุขและความสนุกสนานของสองพี่น้องเช่นเดิม

                ใช้เวลาไม่นานสองพี่น้องก็ได้ก้าวเข้ามายังสวนสาธาณะแห่งหนึ่ง อาจเพราะไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงจึงมีพื้นที่เหลือมากพอที่จะทำสวนสาธารณะขนาดใหญ่เอาไว้ อากาศในวันนี้ไม่ร้อนมากนอกจากนี้ในสวนยังมีทั้งบ่อน้ำและต้นไม้ปลูกไว้มากมายจึงทำให้เพียงแค่ก้าวแรกที่เดินเข้ามาก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันสดชื่นเหมาะแก่การพักผ่อน

                “ดีจังนะครับที่คนไม่เยอะ”เนื่องจากนี่เป็นวันธรรมดาผู้คนที่มาพักผ่อนจึงมีบางตาแต่ก็ถือเป็นเรื่องดีเพราะว่าพี่ชายของเขาไม่ชอบที่ๆมีคนอยู่เยอะๆ

                หลังเดินอยู่ครู่หนึ่งชุนก็เลือกพื้นที่ส่วนที่ไม่มีคนแล้วจัดการดึงเสื่อจากมืออิคคิมาปูใต้ต้นไม้ต้นใหญ่ใกล้ๆกับสระน้ำจากนั้นอิคคิก็วางตะกร้าในมือลงบนเสื่อ ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของชุนคือการนำของว่างและน้ำชามาจัดเรียงบนเสื่อ

                “นี่ครับพี่อิคคิ”เสียงหวานเอ่ยพร้อมยื่นแก้วกลาสติกใส่น้ำชาอุ่นๆที่เทมาจากกระติกเก็บความร้อน

                “ขอบใจ”แก้วน้ำชาถูกรับมาดื่มไปอึกหนึ่งแล้วร่างสูงก็เหลือบมองของว่างที่ชุนจัดเตรียมมา สิ่งที่เห็นคือแซนด์วิชที่ใส่ไส้หนาหลายหลายไส้มีทั้งสลัดทูน่า แฮมและเนยถั่วแม้จะเป็นแซนด์วิชแบบง่ายๆแต่อิคคิก็สงสัยจริงๆว่าชุนใช้เวลาเพียงสิบนาทีในการจัดอุปกรณ์และทำของว่างพวกนี้ได้ยังไง

                นอกจากแซนด์วิชก็ยังมีคุ้กกี้และขนมเซมเบ้มาอีกด้วย อิคคิลอบยิ้มน้อยๆเมื่อพบว่าน้องชายเตรียมแต่ของที่เขาชอบไว้ทั้งนั้นส่วนของตัวเองกลับมีเพียงคุ้กกี้จานเล็กๆจานเดียว

                กลิ่นของชาอุ่นๆที่ส่งกลิ่นหอมออกมากับบรรยากาศแสนสงบชวนให้จิตใจได้ผ่อนคลายจากทุกๆอย่าง เสียงพูดคุยของพี่น้องดังแว่วมาเป็นระยะสลับกับความเงียบเมื่อบางครั้งทั้งสองคนบังเอิญหยิบของว่างขึ้นมากินในเวลาเดียวกัน

                เวลาอันแสนสงบไหลผ่านไปอย่างช้าๆพร้อมกับอาทิตย์บนท้องฟ้าที่เริ่มกลายเป็นสีแดงยามที่เข้าใกล้กับผืนดิน อิคคิหันไปมองคนข้างกายที่บัดนี้ถูดแสงอาทิตย์ย้อมจนกลายเป็นสีแดง ใบหน้าขาวนวลแดงระเรื่อคล้ายมะเขือเทศสุกโดยเฉพาะริมฝีปากเล็กน่ารักที่ชวนให้อยากลิ้มลอง

            ไวเท่าความคิดอิคคิได้ยื่นมือไปหาน้องชายอย่างเผลอไผล มือแกร่งวางลงบนไหล่กลมมนและดึงให้ร่างบางหันมาทางตนอย่างเบามือ หากแต่พอได้สบกับดวงตากลมโตนั้นอิคคิก็กลับได้สติว่าตนกำลังจะทำอะไร มือข้างที่จับอยู่ปล่อยไหล่บางนั้นแล้วเปลี่ยนเป็นถามแทน

                “นี่เย็นแล้วจะกลับรึยัง”ยินเสียงพี่ชายถามเด็กหนุ่มก็ตอบด้วยรอยยิ้มกลับไป

                “ครับ”

 

                เมื่อกี้นี้พี่อิคคิคิดจะทำอะไร....

                ชุนถามกับตนเองในใจด้วยใบหน้าร้อนผ่าวที่พยายามปกปิดไม่ให้พี่ชายที่เดินอยู่ข้างๆรู้ ชุนคิดว่าตนเองกำลังคิดเรื่องเหลวไหลอยู่หากแต่เหตุการณ์เมื่อครู่กลับยังติดอยู่เต็มสองตา

                ตอนนั้นเขากำลังมองท้องฟ้าที่เปลี่ยนสีเป็นสีแดงเพื่อชื่นชมความงามของมัน แต่แล้วกลับรู้สึกได้ถึงมือข้างหนึ่งที่ยื่นมาจับหัวไหล่เอาไว้ เขารู้ได้ในทันทีว่าเป็นมือของอิคคิจึงหันกลับไปและคิดจะถามว่าเรียกเขารึเปล่า แต่แล้วภาพเองหน้ากลับทำให้เขาถึงกับกลั้นลมหายใจ

                ใบหน้าของพี่อิคคิแม้จะไม่อาจเรียกว่าใกล้มากแต่ก็แทบไม่ได้ห่างเลย ทั้งที่รู้ว่าเมื่ออิคคิมองเขาก็จะต้องมีภาพของเขาสะท้อนอยู่ในดวงตาแน่นอนแต่ไม่รู้ว่าทำไมภาพของเขาในสายตาของอิคคิถึงได้ชวนให้รู้สึกแปลกๆ

                แอนโดรเมด้า ชุนไม่ใช่คนหลงตัวเองหรือคิดจะชื่นชมความงามของตัวเอง เพียงแต่ภาพของเขาในสายตาของอิคคินั้นกลับงดงามราวเทวดา เส้นผมสีเขียวที่ถูกแสงแดดย้อมกลายเป็นสีแดงควบคู่กับดวงตาที่ถูกย้อมด้วยสีเดียวกันและเป็นเพราะสิ่งนั้นรึเปล่านะที่ทำให้อิคคิมองเขาด้วยสายตาที่เหมือนกับจะหลงใหลแบบนั้น

                มันทำให้เขาคิดว่า...พี่อิคคิจะ...จูบ...

            ไม่ๆๆๆ!

                นี่เราคิดอะไรอยู่ อิคคิเป็นพี่ชายของเราและเป็นพี่น้องแท้ๆกันด้วย!

                ร่างบางส่ายหัวปฏิเสธสุดชีวิตโดยหวังว่าจะลบใบหน้าของอิคคิในตอนนั้นออกไป แต่มันก็เหมือนเปล่าประโยชน์ในเมื่อคนที่คิดอยู่นั้นยังเดินอยู่ข้างๆกันอยู่เลย

                “ชุนนายเป็นอะไรไป ผมยุ่งหมดแล้ว”อิคคิเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าอยู่ดีๆน้องชายก็สะบัดหัวไปมาอย่างกับว่ามีอะไรสักอย่างเกาะบนหัวทั้งผิวแก้มยังแดงระเรื่ออีกต่างหาก

                “เปล่าครับ คือผม...”ยากนักที่ชุนจะคิดหาคำอธิบายกับความคิดที่แทบจะเรียกได้ว่าเพ้อเจ้อในหัว แต่อิคคิกลับตีความไปว่าชุนไข้ขึ้นเสียได้

                “ท่าทางนายจะไม่สบายแล้วนะเพราะพักผ่อนน้อยรึเปล่า”ไม่เพียงแค่คำพูดมือที่เคยต่อสู้กับศัตรูมามากมายยกขึ้นทาบลงบนหน้าผากเพื่อวัดไข้ เรียกได้ว่าเป็นการกระทำอันอ่อนโยนที่หาได้ยากจากบุรุษนามว่าอิคคิ

                แต่อิคคิก็ได้หารู้ไม่เลยว่าเพราะการกระทำอันหาได้ยากนี้ยิ่งทำให้ชุนหน้าแดงหนักกว่าเก่าและเริ่มเข้าสู่สภาวะ“โดนนึ่ง”ไปเรียบร้อยโรงเรียนเซนต์ในทันใด

                “ตัวร้อนจริงๆด้วยรีบกลับบ้านไปนอนพักซะ”แล้วพี่ชายก็จัดการจูงมือน้องทันทีเพื่อรีบพากลับบ้านและก็เป็นเหมือนการซ้ำเติมให้อาการของชุนหนักขึ้นอีก แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นชุนกลับกำมือของอิคคิแน่นไม่ยอมปล่อยเลยจนกระทั่งถึงบ้าน

                เมื่อถึงบ้านชุนคิดจะทำความสะอาดกล่องใส่ขนมในตะกร้าให้เรียบร้อยแต่ก็ถูกอิคคิสั่งห้ามเด็ดขาดและสั่งให้เขารีบไปพักผ่อนจนชุนชักไม่แน่ใจว่าเขาแค่ไข้ขึ้นหรือเพิ่งกลับจากไปออกศึกกับฮาเดสมาอีกรอบกันแน่ แต่มีหรือเมื่อพี่ชายสั่งแล้วชุนจะไม่ทำตาม

                วันนี้พี่อิคคิดูแปลกไป....ทำไมเราถึงรู้สึกว่าพี่อิคคิดูเหมือนจะเป็นห่วงเรามากเกินไปกันนะ....

                เด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้หลังจากที่อาบน้ำเสร็จแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียงตามสั่งแม้จะไม่ได้มีไข้แม้แต่นิดเดียวอย่างที่พี่ชายคิด มาถึงตอนนี้แล้วชุนเลยเลิกคิดจะแก้ไขความเข้าใจผิดเรื่องอาการป่วยด้วยคิดว่าแค่นอนแล้วตื่นมาตอนเช้าบอกว่าหายดีแล้วก็พอ

                แต่ดูเหมือนในวันนี้ชุนจะต้องเจอเรื่องที่ทำให้เกิดอาการเหมือนไข้ขึ้นอีกรอบเมื่อพบว่าประตูห้องถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของชายผนุ่มผู้พี่ที่มาพร้อมกับกะลามังใส่น้ำในมือ

                “พี่อิคคิ!”ชุนเผลอตะโกนเรียกด้วยความตกใจ อิคคิขมวดคิ้วแล้วพูดเสียงเรียบแต่คล้ายเอือมนิดๆว่า

                “แค่พี่ชายมาดูแลน้องที่กำลังป่วยมันแปลกตรงไหน”มาถึงตรงนี้ชุนชักแยกไม่ออกว่าเสียงของอิคคิมันเต็มไปด้วยความเอือมระอาหรือแอบน้อยใจกันแน่

                แต่คนอย่างพี่อิคคิน่ะเหรอจะน้อยใจเป็น!

                สมองเริ่มประมวลผลด้วยความสับสนจนกราฟสมองแทบพังและสุดท้ายก็จบด้วยการโอเวอร์ฮีทไปเรียบร้อย เด็กหนุ่มชักเริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาจริงๆเสียแล้ว

                อาการโอเวอร์ฮีทที่แสดงให้เห็นอิคคิก็ตีความไปว่าน้องไข้ขึ้นหนักอีกแล้วไปเสียได้ มือแกร่งจึงหยิบผ้าขนหนูในกาละมังขึ้นมาบิดหมาดๆแล้วจัดแจงวางบนหน้าผากมนทันทีเพื่อลดไข้

                “ปวดหัวมากมั้ย”เสียงพี่ถามด้วยความเป็นห่วง

                “นิดหน่อยครับ”และด้วยกลัวว่าพี่ชายจะห่วงมากเกินไปน้องชายจึงตอบด้วยรอยยิ้ม ถึงในใจจะแอบคิดว่าต้นเหตุก็คือพี่อิคคิก็ตาม...

                “หลับซะ พี่จะอยู่ข้างๆ”เพียงคำพูดสั้นๆที่ทำให้ชุนเผลอนึกถึงเรื่องอดีตขึ้นมา ในวัยเด็กที่มีกันเพียงสองพี่น้องเวลาที่ป่วยอิคคิก็มักจะคอยดูเขาแบบนี้เสมอ พี่ชายที่อดทนเฝ้าไข้น้องจนแทบจะจับไข้เสียเอง มือที่กุมไว้เหมือนกับในตอนนั้นทำให้อุ่นใจจนสามารถหลับไปได้อย่างสบายใจ

                “ขอบคุณครับ..พี่อิคคิ...”แล้วน้องชายก็หลับไป....

 

                [ชุนน่ารักดีนะ]จู่ๆเสียงในหัวก็ดังขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย คางาโฮะเอ่ยขึ้นจากใจจริงเมื่อเห็นชุนหลับไปแล้ว เขามองเห็นชุนผ่านสายตาของอิคคิตลอดไม่ว่าจะเป็นใบหน้ายิ้มแย้มหรือใบหน้าเขินอายรวมทั้งใบหน้าที่แสดงถึงความสบายใจที่รู้ว่ามีพี่ชายอยู่ข้างๆ

                ใบหน้าน่ารักที่มีชีวิตชีวาทำให้คนอย่างคางาโฮะยังถึงกับออกปากชมได้และอาจทำให้นึกถึงน้องชายที่มีใบหน้าคล้ายกับอาโรนขึ้นมาทำให้คางาโฮะมองชุนด้วยสายตาเอ็นดู เพียงแต่ว่าอิคคิคงไม่มีทางรู้เรื่องนี้ คำพูดของคางาโฮะจึงกลายเป็นชนวนในการยั่วโมโหไปแทน

                “แกอย่ามาเรียกชื่อน้องของฉันห้วนๆ”สำหรับพี่ชายที่รักน้องชายยิ่งชีพแล้วการที่มีใครก็ไม่รู้มาเรียกชื่อน้องชายห้วนๆมันก็ทำให้นึกอยากจะชกเจ้าของเสียงให้ไม่สามารถเรียกชื่อน้องชายได้อีก

                คางาโฮะแค่นเสียงดัง“หึ”เหมือนจะหัวเราะกับความไม่รู้ของอิคคิ แต่เขาก็ไม่มีหน้าที่มาอธิบายอะไรให้ฟังเหมือนกัน เพราะอิคคิจะรู้สึกกับเขายังไงมันก็ไม่สำคัญเลยแม้แต่นิดเดียว

                เมื่อเห็นว่าคู่สนทนาดูจะเลิกต่อปากต่อคำแล้วอิคคิจึงทำใจคิดว่ามันก็แค่เสียงที่แว่วมาตามลมไม่จำเป็นต้องสนใจแล้วหันมาดูแลชุนต่อก่อนจะพบว่ายังไม่ได้ให้ชุนกินยาเลย

                “ชุน ตื่นมากินยาก่อน”เสียงทุ้มนุ่มปลุกให้ร่างเล็กตื่นแต่ดวงตาคู่โตกลับยังหลับพริ้มเหมือนเดิมสื่อว่ากำลังหลับสบายจนอิคคิไม่อยากจะปลุกแต่จะไม่ให้กินยาก็ไม่ได้ หากเป็นยาน้ำก็ยังพอเอาเข้าปากให้กลืนได้แต่นี่มันยาเม็ดจะให้เอาเข้าปากแล้วเอาน้ำเทตามก็ดูจะอันตรายและทารุณคนป่วยเกินไป

                [เจ้าก็ป้อนปากต่อปากก็หมดเรื่องแล้ว]คางาโฮะช่วยเสนองทางเลือกแสนฉลาดที่น่าชกให้กับอิคคิแบบไม่คิดอะไร เพราะในสมัยโบราณถ้าคนป่วยไม่ได้สติก็ใช้วิธีนี้เยอะแยะไปแต่สำหรับอิคคิที่เติบโตขึ้นในยุคสมัยนี้มันเป็นเรื่องที่แทบไม่ต่างจากนิยายน้ำเน่าเลย

                “จะให้ฉันจูบน้องชายตัวเองรึไง”

            [ป้อนยา ไม่ใช่จูบ]เสียงตอบกลับเหมือนจะหงุดหงิดที่อิคคิแปลความหมายจากการรักษาพยาบาลไปเป็นเรื่องอื่นเสียได้ เพราะคางาโฮะเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าวิธีโบราณในสมัยนั้นสำหรับสมัยนี้ที่ไม่ได้ใช้กันแล้วมันเป็นเรื่องที่ทำใจยากแค่ไหน

                แม้ว่าการทำใจยากในตอนนี้จะเป็นอีกความหมายหนึ่งก็ตาม....

                [เจ้าจะไม่ทำงั้นสิ]น้ำเสียงเริ่มแสดงถึงความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นซึ่งมันก็แน่นอนอยู่แล้วสำหรับคางาโฮะที่นอกจากเรื่องของคนสำคัญแล้วเขาไม่เคยมีความใจดีหรือใจเย็นให้กับใครหรือกระทั่งกับตัวเอง

                อิคคิไม่ตอบปฏิเสธซึ่งแปลว่าใช่ คางาโฮะเงียบไปสักครู่ก่อนที่อิคคิเหมือนกับได้ยินเสียงถอนหายใจที่ราวกับเหนื่อยใจเสียเต็มประดาของอีกฝ่ายก่อนจะตามด้วยคำพูดที่ทำให้ชายหนุ่มแทบนึกอยากฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย

                [งั้นเอาร่างเจ้ามาข้าจะทำเอง]ในเวลานั้นคางาโฮะสาบานได้เลยว่าตนเองไม่ได้มีจิตอกุศลแม้แต่เสี้ยวเดียว สิ่งที่ชายหนุ่มคิดคือหากชุนไม่ได้กินยาแล้วเกิดอาการทรุดลงคงไม่ดี ทว่าอิคคิก็สาบานได้เหมือนกันว่าถ้าตอนนั้นคางาโฮะมีร่างและยืนอยู่ตรงหน้าเขาอิคคิก็เลือกจะปลิดชีพอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเลแน่นอน

                “ไม่มีทาง!”ชายหนุ่มประกาศดังลั่นอย่างลืมตัวส่งผลให้ชุนเริ่มรู้สึกตัวเล็กน้อย

                “ถ้าจะให้แกทำฉันทำเองดีกว่า”และไม่รู้ว่าเพราะกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจรีบมายึดร่างตัวเองหรืออย่างไรอิคคิจึงนำยาใส่ปากตามด้วยน้ำแล้วค่อยๆรั้งเอวบางของชุนขึ้นมาจากเตียง ให้ร่างอันบอบบางของน้องชายเอนอิงบนแผ่นอกกว้าง

                มือข้างที่เหลือเกลี่ยเส้นผมให้พ้นดวงหน้างดงามแล้วจึงค่อยใช้นิ้วโป้งวางลงใต้ริมฝีปากออกแรงเพียงเล็กน้อยให้ริมฝีปากของชุนเผยอขึ้นแล้วทาบริมฝีปากของตนลงไปพร้อมกับส่งยาและน้ำเข้าไปในทีเดียว โดยหารู้ไม่ว่าเวลาที่ตนหลับตาลงนั้นเด็กหนุ่มที่ควรนอนหลับไปแล้วกลับลืมตามองคนที่กำลังจูบตนไว้ด้วยดวงตาเบิกกว้าง

                แรกสุดชุนเพียงแค่รู้สึกตัวตื่นเพราะเสียงของอิคคิและยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากถามเขากลับพบว่าพี่ชายกำลังจูบเขา ของเหลวเย็นๆที่ส่งผ่านเข้ามาสัญชาตญาณทางร่างกายบอกให้ตนรีบกลืนมันลงไปในทันทีและเมื่อรู้สึกได้ว่าริมฝีปากที่แนบชิดอยู่กำลังค่อยๆห่างออกไปชุนก็รีบหลับตาแกล้งทำเป็นหลับอย่างรวดเร็ว

                [ก็แค่นี้เองทำเป็นเรื่องมากไปได้]เหมือนกับได้ยินเสียงหัวเราะดังขึ้นเบาๆในหัวพร้อมกับคำพูดนี้ อิคคิตอบกลับไปอย่างฉุนเฉียว

                “หนวกหู”แล้วจึงวางร่างน้องลงบนเตียงโดยที่ยังไม่รู้เลยว่าน้องชายที่น่าจะหลับน่ะรู้สึกตัวตื่นแล้ว

                [หึ ทั้งที่ตัวเองก็อยากจะทำอยู่แล้วแท้ๆ]

                “แกหมายความว่ายังไง”อิคคิถามกลับทันทีแต่อีกฝ่ายก็เงียบหายไปอีกแล้วทำให้อิคคิชักรู้สึกหงุดหงิดหนักเพราะเหมือนกำลังโดนปั่นหัวและที่น่าโมโหและเจ็บใจที่สุดคือเขาไม่รู้จะเอาความโกรธนี้ไปลงที่ไหนดีในเมื่ออีกฝ่ายนั้นนอกจากเสียงพูดในหัวแล้วก็แทบจะหาตัวตนไม่ได้เลย

                ร่างสูงลุกขึ้นจากเตียงเพื่อจะเดินกลับห้องแต่พอเดินไปถึงประตูอิคคิกลับต้องชะงักกึกเมื่อคิดได้ว่าชุนป่วยอยู่และควรที่จะอยู่ดูแล อิคคิหันไปมองนาฬิกาในห้องพบว่ามันเพิ่งหัวค่ำเท่านั้นแต่ก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้วจึงตัดสินใจเดินไปปิดไฟแล้วล้มตัวลงนอนข้างน้องชายบนเตียง

                โชคดีที่เตียงใหญ่พอจะนอนได้สองคนแต่ก็ต้องเบียดกันเล็กน้อย สองแขนจึงรวบกอดร่างเล็กนั้นไว้ในอ้อมกอดแล้วผ่อนลมหายใจหลับตาลง ปกติอิคคิเป็นคนที่หลับไม่ยากแต่ไม่ค่อยยอมหลับต่อหน้าใครเท่าไรยกเว้นก็แต่ชุนน้องชายที่ตนเชื่อใจมากที่สุดมันจึงใช้เวลาไม่นานที่อิคคิจะหลับไป

                ดวงตาคู่โตลืมตาขึ้นในความมืด เพราะว่าหลับตามานานสายตาจึงชินกับความมืดทำให้พอชุนลืมตาขึ้นก็สามารถมองเห็นทุกอย่างได้อย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้ชุนนึกอยากให้อิคคิรีบกลับไปห้องของตัวเองเพราะว่ายังนึกเขินอายกับจูบของพี่ชายที่ถึงจะอ้างได้ว่าแค่ป้อนยาแต่ไม่ว่าจะคิดอย่างไรชุนก็ต้องเขินอยู่ดี

                หากแต่เด็กหนุ่มกลับรู้สึกแปลกๆกับท่าทางของพี่ชายที่เหมือนกับกำลังคุยกับใครสักคนอยู่ ทั้งที่ในห้องมีเพียงเขากับพี่ชาย แน่นอนว่าคนที่อิคคิคุยด้วยต้องไม่ใช่เขาถ้าอย่างนั้น.....

                “เป็นคุณใช่ไหม  คุณคางาโฮะ”คำพูดที่แต่งแต้มไปด้วยความกังวล ชุนภาวนาให้อิคคิลืมตาตื่นขึ้นมาแล้วถามว่าเขาเรียกใครแต่แล้ว.....

                “เจ้าตื่นอยู่สินะ”สรรพนามที่ไม่เหมือนเดิมทำให้ชุนรับรู้อย่างแน่นอนว่าคนตรงหน้าไม่ใช่พี่ชายของเขา อ้อมกอดคลายออกอย่างช้าๆโดยไม่ต้องรอให้ชุนขยับตัวหนี สองร่างลุกขึ้นนั่งบนเตียงสบตากันท่ามกลางความมืดอยู่เนิ่นนานจนกระทั่งเสียงหวานถูกเอ่ยออกมาราวกับเพิ่งทำใจเสร็จ

                “ทำไมคุณถึงยังไม่หายไป”คำถามที่ทำให้ใจคนฟังรู้สึกปวดแปลบแต่ก็ใช่ว่าจะโทษคนตรงหน้าได้และต่อให้ทำได้คางาโฮะก็คงตัดใจทำไม่ลง

                “ข้าไม่รู้”คำตอบที่เรียบง่ายแต่ไม่เคยทำให้ใครสักคนพอใจรวมถึงครั้งนี้ก็เช่นกัน

                “ถ้างั้นคุณคิดจะทำอะไรต่อไป จะยึดร่างของพี่อิคคิรึเปล่า”เป็นอีกคำถามที่ทำให้คางาโฮะนึกเศร้าอยู่ในใจเล็กน้อย แม้ไม่ได้พูดหรือแสดงท่าทีใดๆออกไปแต่ชุนกลับเป็นฝ่ายรู้สึกเสียใจที่พูดออกไปเมื่อพบว่าดวงตาที่เคยดุดันของอีกฝ่ายดูโศกเศร้าขึ้นมา

                “ข้าจะไม่ทำแบบนั้นและไม่มีวันทำ เพราะมันจะทำให้เจ้าเสียใจ”ในตอนนี้คงมีเพียงแค่ชุนเท่านั้นที่คางาโฮะจะยอมตอบคำถามทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง

                คำตอบที่ได้รับทำให้ชุนยิ่งรู้สึกผิดพอๆกับที่ไม่เข้าใจ ทั้งที่เพิ่งจะเคยรู้จักกัน คางาโฮะคืออดีตสเป็คเตอร์ไม่มีความจำเป็นจะต้องมานั่งกลัวทำให้ใครเสียใจเพราะตั้งแต่อดีตกาลจนถึงตอนนี้พวกสเป็คเตอร์ทุกคนก็ล้วนฆ่าฟันผู้คนไปมากมายแท้ๆ

                “ทำไมคุณต้องกลัวทำให้ผมเสียใจ”อดที่จะถามออกไปไม่ได้ ในความไม่เข้าใจอันนี้กำลังก่อให้เกิดความสับสนในหัวใจ ชายหนุ่มมองดวงตาคู่โตตรงหน้าแล้วจึงยื่นมือทั้งสองข้างออกไปรวบกอดร่างของชุนเข้ามาอย่างนุ่มนวลดุจจับต้องสิ่งสำคัญที่เปราะบางยิ่งกว่าสิ่งใด

                “เพราะเจ้าเป็นคนสำคัญของข้า....”แค่ถูกกอดก็ทำให้ชุนตกใจมากแล้วแต่คำพูดของคางาโฮะกลับทำให้ชุนตกใจยิ่งกว่าเดิม เดิมทีจากที่คิดจะผลักไสอ้อมกอดนี้ออกไปก็ทำไม่ลงเมื่อรู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของคนพูดนั้นแน่วแน่และจริงใจมากแค่ไหน

                “ข้าจะปกป้องเจ้าจากทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เจ้าเจ็บปวด”ดวงตาคู่คมหรี่หลับลงพร้อมรอยยิ้มบางๆบนริมฝีปากก่อนจะเอื้อนเอ่ยประโยคที่ทำให้หัวใจของชุนต้องเต้นแรง

                “เพราะงั้นข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าตลอดไป....”คางาโฮะพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็เงียบไปไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ชุนลองขยับตัวจึงได้พบว่าคนที่พูดด้วยเมื่อครู่หลับไปแล้ว...หรืออาจเพียงแค่กลับไปอยู่ในจิตวิญญาณตามเดิม

                ชุนขยับร่างของพี่ชายลงนอนบนเตียงก่อนจะพบว่าใบหน้าของตัวเองร้อนผ่าวขึ้นมาอีกและถึงชุนจะพยายามปฏิเสธแค่ไหนก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันไม่ใช่เพราะพิษไข้อย่างแน่นอน คำพูดของคางาโฮะยังคงสะท้อนไปมาอยู่ในโสตประสาทครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนกับจะย้ำถึงความรู้สึกนั้น

                เพราะเจ้าเป็นคนสำคัญของข้า....

                และแล้วการใช้ชีวิตร่วมกันของทั้งสามคนก็ได้เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา...

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา