[Fan Fiction Saint Seiya+LC]Once Again…

10.0

เขียนโดย MeiaR

วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 12.40 น.

  13 ตอน
  8 วิจารณ์
  30.18K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 11.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

2) ชีวิตไร้ความหมาย

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

....หากบอกว่าการพบพานก็ไม่ต่างกับโชคชะตา...

...แล้วคุณเรียกการพบกันของเราสองคนว่าอะไร...

 

                ในหลายปีที่ผ่านมานี้ชุนได้พบกับสิ่งที่เรียกได้ว่าน่าเหลือเชื่อมาหลายต่อหลายครั้งแต่เด็กหนุ่มก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้เกิดขึ้นกับตัวเขาและพี่ชายของเขา

                “คุณคือ....”แม้อีกฝ่ายจะเอ่ยนามออกมาแล้วแต่เด็กหนุ่มก็ยังสับสน หากเพราะผู้ที่พูดออกมาคือพี่ชายแท้ๆของเขาแต่ชุนก็รู้สึกได้ว่าสิ่งที่อยู่ภายในร่างพี่ชายเขาเป็นคนอื่นอย่างแน่นอน

                อิคคิหรือในตอนนี้ที่เรียกตัวเองว่าคางาโฮะไม่ได้ตอบราวกับไม่ได้นึกสนใจแม้แต่นิดเดียว หลังละสายตาจากชุนแล้วชายหนุ่มก็เอาแต่มองรอบห้องเหมือนกำลังสำรวจ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันกับสภาพรอบข้างที่ไม่คุ้นตาแม้แต่นิดเดียว

                ร่างสูงเดินไปยังหน้าต่างแล้วมองออกไปข้างนอก สิ่งที่เห็นก็คือสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มีแสงสว่างส่องออกมามากมายจนทำให้มองดวงดาวบนท้องฟ้าไม่เห็นแม้แต่นิดเดียว เสียงของเครื่องยนต์ที่กระทบเข้ามาในโสตประสาทยิ่งทำให้คิ้วทั้งสองข้างขมวดเข้าหากันเหมือนกับจะรำคาญ

                “เจ้าหนูบอกข้ามาหลังจากสงครามศักดิ์สิทธิ์มันผ่านมานานแค่ไหนแล้ว”คำสรรพนามที่ไม่คุ้นเคยถูกเรียกออกมาทำให้ชุนตั้งตัวได้ช้ากว่าปกติเท่าตัว เด็กหนุ่มตั้งสติเล็กน้อยและเริ่มทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้แล้ว

                “ถ้าหากในยุคของผมก็คงไม่นานเท่าไหร่แต่ถ้าหากนับในยุคของคุณก็ประมาณ200กว่าปีแล้วล่ะครับ”มันเป็นคำตอบที่น่าตกใจสำหรับคนที่เพิ่งรู้ตัวว่าได้ข้ามผ่านกาลเวลามานานแสนนานแต่คางาโฮะก็ไม่ได้ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ชายหนุ่มเพียงแค่กอดอกแล้วนิ่งคิดเงียบๆอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงหันมาสนใจเด็กหนุ่มอีกครั้ง

                สายตาของคางาโฮะไล่มองชุนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วหน้าก็ยิ่งบูดบึ้งกว่าเดิมเมื่อสัมผัสได้ถึงคอสโมที่ไม่ได้ดำมืดเช่นเดียวกับตน

                “เจ้าเป็นเซนต์แห่งอาธีน่าสินะ”ในน้ำเสียงไม่ได้แสดงถึงความดูถูกแต่คล้ายไม่สบอารมณ์และชุนก็เลือกจะนิ่งเงียบ คางาโฮะยังคงมองร่างเบื้องหน้าและสำรวจระดับพลังของเด็กหนุ่มแต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องตกใจเมื่อค้นพบสิ่งหนึ่งที่หลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิดในตัวของชุน

                “มีพลังของท่านฮาเดสอยู่ในตัวเจ้า”เป็นเพียงคำพูดราบเรียบที่ทำให้ชุนต้องเป็นฝ่ายหรี่ตาลงเล็กน้อยและตอบกลับตามความเป็นจริง

                “ครับ ผมคือร่างทรงของฮาเดสในชาตินี้”มันเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่จิตของคางาโฮะปรากฏขึ้นบนร่างของอิคคิได้แสดงสีหน้าตกใจออกมาให้ได้เห็น สีหน้าของคางาโฮะในตอนนั้นชุนไม่อาจทำความเข้าใจได้เลยสีหน้าของคางาโฮะดูเหมือนตกใจ เศร้าใจ เสียใจและเหมือนสิ้นหวังในเวลาเดียวกัน

                ตอนแรกชุนคิดว่าสเป็คเตอร์หนุ่มคนนี้จะรีบคุกเข่าให้เขาในฐานะร่างทรงฮาเดสเสียอีกแต่ก็เปล่า ชายหนุ่มกลับเดินเข้ามาหาชุนแล้วใช้มือเชยคางชุนขึ้นมา นัยน์ตาสีดำนิ่งมองนานแสนนานทำให้ชุนเกร็งไปทั้งตัวจนแทบลืมหายใจและไม่รู้ว่าพอใจแล้วหรือเลิกคาดหวังกันแน่คางาโฮะจึงได้ลดมือลง

                “เจ้าไม่ใช่ท่านอาโรน”น้ำเสียงยังคงราบเรียบแต่ชุนกลับรู้สึกว่ามันดูเศร้าๆ เด็กหนุ่มลอบมองใบหน้าแล้วก็พบกับดวงตาที่หม่นหมองแต่กเป็นเพียงชั่ววินาทีเดียวเท่านั้นมันก็กลับมาดูดุดันเช่นเดิม

                “เล่าเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์ในคราวนี้มาให้หมด”คำพูดที่ไม่ต่างกับคำสั่งทำให้ชุนนึกโมโหขึ้นมาแม้ปกติเขาจะเป็นคนใจเย็นแต่อยู่ๆก็มาเจอวิญญาณสิงร่างพี่ชายตัวเองแล้วมาสั่งแบบนี้ก็อดที่จะโมโหไม่ได้

                “ผมไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเล่าเรื่องให้กับคนที่ตายไปแล้ว นี่ไม่ใช่ยุคสมัยของคุณและนี่ก็ไม่ใช่ร่างของคุณ คุณไม่มีสิทธิ์มาสั่งผม”สิ้นคำคางาโฮะก็ถลึงตามองชุนอย่างหงุดหงิดแต่ชุนก็ไม่กลัวทั้งยังจ้องตากลับอย่างไม่ยอมแพ้

                “ข้าอาจตายไปแล้วก็จริงแต่ร่างนี้เป็นของข้า”และเพราะคำพูดนี้ก็ยิ่งทำให้ชุนโมโหหนักขึ้นไปอีก

                “ไม่ใช่! นี่คือร่างกายของพี่ชายของผม มันเป็นร่างของพี่อิคคิ! ถ้าออกมาจากรูปก็ช่วยกลับเข้าไปในนั้นด้วย!”ร่างบางตวาดอย่างนึกเหลืออดพร้อมชี้ไปยังรูปภาพที่ถูกทิ้งอยู่บนเตียง

                ชายหนุ่มเดินไปที่เตียงหยิบรูปขึ้นมาดูและยกมือขึ้นวางทาบลงบนข้อความสีทอง คิ้วที่ขมวดอยู่คลายออก ลูบไล้ไปมาบนตัวอักษรนั้นราวกับกำลังให้ความสำคัญกับสิ่งล้ำค่า

                “ท่าทางเจ้าจะเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ออกมาจากรูปภาพ ภาพนี้ต่างหากที่มีพลังกระตุ้นให้วิญญาณของข้าจดจำเรื่องราวในอดีตชาติได้”

                “คุณหมายความว่ายังไง”คำอธิบายที่ชุนจับต้นชนปลายไม่ถูก อารมณ์โกรธถูกแทนที่ด้วยความสงสัยทันที

                “หมายความว่าข้าคือความทรงจำชาติที่แล้วของพี่ชายเจ้ายังไงล่ะ”ราวกับมีสายฟ้าฟาดผ่าลงมากลางใจ เมื่อชุนได้พบว่าพี่ชายของตนเองเคยเป็นสเป็คเตอร์มาก่อน แม้จะเป็นเรื่องเมื่อชาติที่แล้วแต่ตอนนี้พี่ของเขาเป็นเซนต์แห่งอาธีน่านะ! สเป็คเตอร์คือผู้รับใช้ราชายมโลกฮาเดสแล้วจะมาเกิดเป็นเซนต์แห่งอาธีน่าได้ยังไงกัน!

            “นี่มัน...เรื่องบ้าชัดๆ”วันนี้มันวันอะไรกันทำไมถึงได้มีแต่เรื่องแปลกประหลาดมากมายขนาดนี้ มันเป็นสิ่งที่ชุนยากจะเชื่อแม้ว่าความจริงจะปรากฏอยู่ตรงหน้าก็ตาม

                “เจ้าเองก็ยังเป็นเซนต์แห่งอาธีน่าทั้งที่เป็นร่างทรงจ้าวนรกได้เลย”คางาโฮะพูดเสียงเรียบ เขาไม่ได้คิดแดกดันหรือพูดประชดเพียงแค่พูดถึงความเป็นจริงเท่านั้น

                “และมันไม่สำคัญเลยว่าข้าจะเป็นใครความปรารถนาของข้าเพียงแค่ต้องการปกป้องท่านอาโรนเท่านั้น”มันเป็นอีกหนึ่งความจริงสำหรับตัวเขา คางาโฮะมองชุนอีกครั้งก่อนจะหลับตาลงคล้ายกับจะนึกถึงใบหน้าของใครอีกคนหนึ่งขึ้นมาแทนและท่าทางนั้นก็อยู่ในสายตาของชุนตลอด

                “....ผมจะเล่าเรื่องสงครามศักดิ์สิทธิ์คราวนี้ให้ฟังก็ได้”ไม่รู้เหมือนกันว่าความโกรธมันหายไปไหนหมดหรือจะเป็นเพราะใบหน้าเศร้าๆนั้นกันแน่ที่ทำให้เขาลืมเลือนซึ่งความโกรธ

                “แต่หลังจากเล่าเสร็จคุณต้องคืนร่างให้พี่อิคคิด้วย”ชุนยื่นข้อเสนอและคางาโฮะก็พยักหน้ารับง่ายๆ ดังนั้นชุนจึงเริ่มเล่าเรื่องของสงครามศักดิ์สิทธิ์จนหมด ระหว่างที่ฟังคางาโฮะมักจะขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของโกลด์เซนต์ไลบร้า โดโกขึ้นมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรและรับฟังจนจบ

                “เรื่องทั้งหมดก็มีเท่านี้แหละครับ”เมื่อเรื่องทุกอย่างถูกเล่าจนจบแววตาของคางาโฮะก็ยังคงนิ่งเฉยไม่แปรเปลี่ยนจนชุนนึกสงสัยว่าชายคนนี้เป็นสเป็คเตอร์จริงเหรอทำไมถึงได้ไม่มีท่าทางโกรธแค้นกับเรื่องที่ฮาเดสโดนพวกเขาจัดการเลย

                “คุณไม่สนใจเรื่องของฮาเดสเลยเหรอครับ”การที่ชุนถามคำถามนี้กับสเป็คเตอร์ถือว่ากล้ามาก เพราะสเป็คเตอร์เองก็ไม่ต่างจากเซนต์แห่งอาธีน่าคือความจงรักภักดี แต่คงเพราะเป็นชายคนนี้ชุนถึงกล้าถามออกไป

                “องค์ฮาเดสจะเป็นเช่นไรไม่เกี่ยวกับข้า”คำตอบที่ไม่น่าจะออกมาจากปากของสเป็คเตอร์เลย ใครได้ฟังก็ต้องคิดว่ามันเป็นคำโกหกอย่างแน่นอนแต่ชุนกลับมั่นใจว่ามันคือความจริง

                “สิ่งเดียวที่สำคัญที่สุดสำหรับข้าคือท่านอาโรนเท่านั้น”เด็กหนุ่มกลับเป็นฝ่ายขมวดคิ้วแทนอย่างไม่เข้าใจ อาโรนที่ว่าคือร่างทรงของฮาเดสซึ่งก็น่าจะหมายถึงตัวของฮาเดสเองแล้วทำไมคางาโฮะถึงต้องแบ่งแยกแบบนี้ด้วย

                ทว่ายังไม่ทันที่ชุนจะได้ถามคางาโฮะก็หันหลังไปหยิบรูปตนเองบนเตียงส่งมาให้กับชุน เด็กหนุ่มยื่นมือไปรับด้วยความไม่เข้าใจ ถึงชุนจะยื่นมือไปจับไว้แล้วแต่คางาโฮะกลับไม่ยอมปล่อยมือ เขากำลังจ้องมองที่ภาพ..ไม่สิ กำลังจ้องมองที่ข้อความสีทองนั้นอีกแล้วคางาโฮะจ้องมองมันอยู่นานจนเหมือนเขากลัวว่าหากละสายตาแล้วละก็ตัวอักษรเหล่านั้นจะเลือนหายไป

            สิ่งที่มีค่ามันควรจะเป็นภาพไม่ใช่หรือ เกิดคำถามนี้ขึ้นในใจชุนแต่สิ่งที่เขาเห็นคือคางาโฮะไม่ได้แม้แต่จะใส่ใจภาพเลยแม้แต่นิดเดียวแต่กลับให้ความสำคัญกับตัวอักษรเพียงไม่กี่ประโยคนั้นและไม่รู้ว่าคางาโฮะยอมตัดใจแล้วหรือไงจึงยอมปล่อยมือจากภาพแล้วกล่าวเสียงเรียบ

                “รีบเอาภาพไปซ่อนซะ เจ้าคงไม่อยากให้พี่ของเจ้าเห็นใช่ไหม”ชุนเผลอรับคำแล้วรีบเอาภาพไปซ่อนอย่างรวดเร็วเป็นเวลาเดียวกับที่คางาโฮะเดินไปยังประตูหมายจะเดินออกจากห้อง

                “เดี๋ยว...”ชุนไม่ได้คิดจะรั้งเอาไว้แต่กำลังจะทวงสัญญาแต่อีกฝ่ายก็ดูจะจำสัญญานั้นได้จึงหันกลับมาตอบ

                “ข้าจะรักษาสัญญา พรุ่งนี้เจ้าก็จะได้พี่ชายคนเดิมกลับคืนมา”แล้วประตูก็ปิดลงพร้อมกับร่างของชายหนุ่มที่เดินจากไปทิ้งให้เด็กหนุ่มยืนอยู่เพียงลำพัง

                คืนนั้นแม้ว่าจะล่วงเข้าไปในยามดึกมากแค่ไหนแต่เด็กหนุ่มกลับไม่อาจเข้าสู่นิทราได้เลยจวบจนกระทั่งใกล้รุ่งสางเด็กหนุ่มจึงสามารถหลับใหลลงได้...

 

                หากว่าเช้าเมื่อวานคือเช้าอันสดใสเช้าวันนี้สำหรับชุนก็คงเป็นเช้าที่น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะเพียงแค่แสงแรกของดวงอาทิตย์สาดส่องเด็กหนุ่มที่แม้จะพิ่งหลับไปได้ไม่นานก็ลืมตาตื่นและรีบไปยังห้องนอนของพี่ชายที่อยู่ข้างกันทันที

                แอ๊ด....

                ประตูห้องนอนของผู้เป็นพี่ถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ร่างบางค่อยๆเดินเข้ามา ก้าวย่างแต่ละก้าวเงียบกริบไร้เสียง ชุนก้าวเข้าไปใกล้ร่างที่นอนอยู่บนเตียงเรื่อยๆและเริ่มไล่สายตาสำรวจ

                ผู้ที่นอนอยู่คืออิคคิ ร่างสูงนอนอยู่ใต้ผ้าห่มผืนหนาบนเตียง เสียงลมหายใจเข้าออกก็ฟังดูสม่ำเสมอเหมือนกำลังหลบสบายจนชุนไม่แน่ใจว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนคือความฝันรึเปล่า

                “พี่อิคคิ...”ทั้งที่ตั้งใจจะปลุกให้ตื่นแต่ชุนก็ไม่กล้าเรียกสักเท่าไรก็เพราะเกรงว่าหากร่างนี้ลืมตาตื่นแล้วยังคงเป็นคางาโฮะแล้วเขาจะทำอย่างไรดีซึ่งมันทำให้ชุนต้องรวบรวมความกล้าพอสมควรในการปลุกให้ร่างตรงหน้าลืมตาตื่นขึ้นมา

                “พี่อิคคิ”เสียงเรียกที่สองดังกว่าครั้งแรกมากนัก ชุนยื่นมือไปหมายจะปลุกแต่แล้วข้อมือบางกลับโดนจับไว้และภาพตรงหน้าก็ขยับวูบรู้ตัวอีกทีกลับเป็นตัวเขาเองที่นอนลงบนเตียงและมีร่างหนึ่งคร่อมอยู่พร้อมด้วยมือที่วางอยู่บนลำคอของเขา

                ชายหนุ่มที่คร่อมอยู่บนตัวเขาเผยสีหน้าเหมือนกำลังตกใจก่อนจะค่อยๆคลายมือออกจากลำคอของเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยด้วยคำที่ทำให้ชุนรู้สึกวางใจ

                “นายเองเหรอชุน ขอโทษที”บางทีนี่อาจเป็นครั้งแรกที่ชุนรู้สึกดีใจมากเวลาที่อิคคิเรียกชื่อของเขา เพราะมันทำให้เขาแน่ใจว่าเขาได้พี่ชายคนเดิมกลับคืนมาแล้ว

                “อรุณสวัสดิ์ครับ”ชุนกล่าวทักทายด้วยสีหน้ายิ้มแย้มเหมือนไม่นึกโกรธที่เมื่อสักครู่เกือบถูกบีบคอเลยแม้แต่นิดเดียว อิคคิขยับตัวถอยออกให้ชุนลุกขึ้นมานั่งได้สะดวก ตอนแรกอิคคิคิดจะถามว่าทำไมชุนถึงเข้ามาหาเขาแต่พอพบกับรอยคล้ำใต้ดวงตาคู่งามนั้นอิคคิก็เปลี่ยนคำถามทันที

                “เมื่อคืนมัวแต่ทำอะไรทำไมไม่นอน ใต้ตาคล้ำหมดแล้ว”ไม่ว่าเปล่ายังยกมือขึ้นจับที่แก้มแล้วใช้นิ้วเกลี่ยไปที่ผิวหนังใต้ดวงตาอย่างอ่อนโยนแม้ว่าดวงตาจะส่งสัญญาณบอกว่ากำลังดุอยู่ก็ตาม ชุนหัวเราะเบาๆที่โดนดุแบบคนไม่สำนึกผิดแล้วตอบด้วยใบหน้าที่ยังคงประดับด้วยรอยยิ้ม

                “ผมนอนไม่ค่อยหลับน่ะครับ”คำตอบที่กำกวมแต่อิคคิก็ยังคงเป็นอิคคิที่ไม่สนใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ ดวงตาคู่คมหันไปมองนาฬิกาที่บอกว่าตอนนี้เพิ่งจะตี1เท่านั้นแล้วก็หันมาสั่งน้องตัวเอง

                “ถ้างั้นก็นอนต่อได้แล้ว”

                “ครับ”ชุนทำท่าลุกแต่ภาพตรงหน้าก็ไหววูบอีกรอบและทัศนวิสัยก็เปลี่ยนมาเป็นแผ่นอกของพี่ชายที่อยู่แทบจะชิดหน้าของเขา

                “พี่อิคคิ!”ชุนร้องเรียกด้วยความตกใจแต่อิคคิกลับทำท่าเหมือนไม่สนใจแล้วใช้มือรวบเอวบางพลางขยับให้นอนอยู่ในท่าทีสบายที่สุดแล้วสั่งอีกรอบ

                “นอนที่นี่แหละ”สั้นง่ายได้ใจความและห้ามปฏิเสธนี่แหละคือฟินิกส์ อิคคิ

                ชุนอยากจะค้านและลุกออกจากอ้อมอกนี้ แม้จะเคยนอนกอดกันมาก่อนแต่นั่นมันเรื่องสมัยเด็กก่อนที่จะเป็นเซนต์แห่งอาธีน่าด้วยซ้ำมาในตอนนี้ทั้งเขากับอิคคิก็โตแล้วมันจึงอดไม่ได้ที่ชุนจะนึกเขิน

                อิคคิมองใบหน้าที่แดงซ่านของน้องชายแล้วหัวเราะเบาๆอย่างนึกขบขันพลางกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นอีก จมูกของอิคคิฝังลงบนเส้นผมสีเขียวอ่อนนุ่มของน้องชายได้กลิ่นหอมอ่อนๆลอยออกมา

                ผมของชุนยังหอมเหมือนเดิม....

                ฝ่ายพี่ชายนอนกอดน้องชายอย่างสบายอารมณ์แต่คุณน้องนี่สิหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะไปแล้วเพราะเขากับพี่ไม่ได้ใกล้ชิดกันแบบนี้มานานมากแล้วถึงเขาจะเคยนอนกอดเฮียวกะแต่มันก็เพราะเหตุฉุกเฉินแถมต่างฝ่ายก็ไม่คิดอะไรแต่นี่ทำไมเขาถึงต้องเขินกับการถูกพี่ชายตัวเองกอดด้วยล่ะ

                และแล้วแม้ชุนจะได้ลงมานอนอีกรอบแต่ชุนก็ยังคงนอนแทบไม่หลับตามเดิมอันเนื่องมาจากอ้อมกอดอันอบอุ่นของพี่ชายที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องนอนใจเต้นไปตลอดจนถึงเวลาอาหารเช้า...

                เมื่อไม่ได้พักผ่อนร่างกายก็ย่อมเกิดอาการประท้วงขึ้นมา เวลา 8โมงเช้า ณ ห้องอาหารประจำบ้านแม้จะเรียกว่าช่วงสายแล้วแต่ชุนก็รู้สึกว่าหนังตาตัวเองยังหนักอยู่เลยแต่ชุนก็ไม่กล้านอนพักเพราะยังไม่ไว้ใจว่าพี่ชายของเขาอาจเปลี่ยนไปเป็นคนอื่นอีก

                ตลอดทั้งวันชุนต้องคอยจับดูอิคคิอยู่ห่างๆเพราะด้วยรู้ว่าพี่เขาคงไม่ชอบให้มีใครตามติดตลอดทั้งวัน แต่มีหรือที่อิคคิจะไม่รู้ว่าน้องชายกำลังจับตาดูตัวเอง อิคคิรู้แต่ก็ไม่ได้พูดออกไปด้วยรู้ว่าชุนไม่ทำอะไรไร้เหตุผลและมันยังอยู่ในระดับที่ทนได้ ดังนั้นเรื่องจึงกลายเป็นว่าต่างฝ่ายต่างลอบจับตากันและกันไปเสียได้

                “พี่อิคคิครับผมเอาน้ำมาให้”นี่ก็เป็นอีกวิธีในการจับตาดูอิคคิแบบเนียนๆที่ชุนคิดออก เด็กหนุ่มถือน้ำมาพร้อมด้วยเอาผ้าขนหนูพาดแขนเดินเข้ามาหาอิคคิในยามบ่ายที่กำลังออกกำลังอยู่ที่สวนหลังบ้าน

                “ขอบใจ”มือแกร่งยื่นไปหยิบน้ำมายกดื่มรวดเดียวหมด แม้การดื่มน้ำเย็นอย่างรวดเร็วในตอนที่กำลังเหนื่อยจะไม่ดีต่อร่างกายแต่อิคคิก็ไม่ใช่คนสนใจเรื่องเล็กน้อยแบบนี้ หลังดื่มน้ำเสร็จแก้วเปล่าก็ถูกยื่นคืนให้กับชุนเปลี่ยนเป็นผ้าขนหนูแทน

                หลังรับแก้วเปล่าคืนร่างบางก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ไม้หลังบ้านแล้ววางแก้วลงบนโต๊ะเล็กๆที่อยู่ข้างกัน หลังบ้านในตอนเช้าจะมีแดดส่องเหมาะแก่การตากผ้า แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงบ่ายพระอาทิตย์ก็จะเปลี่ยนทิศกลายเป็นมุมอับแสงแต่เพราะมีต้นไม้ที่ปลูกไว้จึงทำให้รู้สึกร่มรื่นมีสายลมเย็นๆพัดผ่านเหมาะแก่การนอนเล่นเป็นอย่างยิ่ง

                “ไม่ต้องรอพี่หรอกมีอะไรจะทำก็ไปทำเถอะ”ชายหนุ่มว่าพลางนั่งลงข้างกัน ชุนยิ้มแล้วตอบเสียงใส

                “ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ทำหรอกครับ”นอกจากตามจับตาดูพี่.....ชุนต่อประโยคนี้จนจบในใจ แต่ไม่ทราบว่าอิคคิมีสัญชาตญาณดีราวกับคู่แฝดเจมินี่หรืออย่างไรถึงได้ทราบประโยคในใจของชุนได้

                อิคคิขมวดคิ้วแต่ก็เหมือนเดิมคือไม่คิดจะพูด ชายหนุ่มเอนหลังลงกับเก้าอี้แล้วหลับตาลงเพื่อพักสายตา ทุกอย่างจึงเข้าสู่ความเงียบ ชุนได้ยินเสียงผ่อนลมหายใจยาวๆออกมาจึงรู้ว่าพี่ของเขาหลับไปแล้ว ดวงตาคู่งามมองไล่ใบหน้าของพี่ชายไปจนถึงต้นคอและแผ่นอกแกร่งที่เด่นชัดขึ้นมาเพราะเหงื่อที่เปียกอยู่บนเสื้อผ้าทำให้ชุนหน้าร้อนวูบ

                เด็กหนุ่มอดคิดไม่ได้ว่าอิคคิหุ่นดีมาก ใบหน้าก็หล่อเหลาดวงตาคมดุดัน เรียกได้ว่ามีเสน่ห์แบบชายหนุ่มอย่างเต็มเปี่ยม แต่พอดูตัวเองแล้วหลายครั้งก็อดที่จะน้อยใจไม่ได้ เขาที่เป็นน้องชายแม้ตัวจะไม่เล็กหรือเตี้ยแต่ก็บอบบางทั้งยังใบหน้าหวานจนเหมือนผู้หญิงแบบนี้อีก

                มือเรียวบางยื่นไปวางทาบบนใบหน้าของพี่ชายเบาๆ ช่างน่าแปลกใจทั้งที่เมื่อเช้าเพียงแค่เขาเข้าไปใกล้อิคคิก็ตื่นทันทีไม่เหมือนกับตอนนี้ที่แม้มือของเขาจะวางทาบลงบนใบหน้าแล้วพี่ชายก็ยังคงหลับเหมือนเดิมแสดงได้ถึงความไว้วางใจในตัวเขา

                “พี่...อิคคิ...”ไม่รู้ว่าเพราะอากาศดีเกินไปหรือว่าเพราะว่าไม่ได้นอนเต็มอิ่มกันแน่สติของเด็กหนุ่มจึงค่อยๆเลือนหายไปทีละนิด ร่างบอบบางเอนเอียงไปทางชายหนุ่มผู้พี่และทำให้ศีรษะพิงลงบนไหล่พอดี

                สายลมพัดผ่านเบาๆราวกับกำลังร้องเพลงขับกล่อมให้เข้าสู่นิทราอย่างเงียบๆ เป็นเวลาเพียงชั่วครู่หนึ่งที่ทั้งสองต่างก็ตกลงสู่ห้วงนิทราจวบจนกระทั่งร่างสูงได้ลืมตาตื่นขึ้นช้าๆ สิ่งแรกที่รู้สึกคือน้ำหนักที่เอนพิงตัวของเขาเอาไว้และพอมองไปก็พบกับกลุ่มผมสีเขียวยาวนุ่มนิ่ม

                ชายหนุ่มลังเลนิดหน่อยว่าจะปลุกให้เด็กหนุ่มตื่นดีหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ตัดสินใจค่อยๆขยับตัวอย่างเบาๆเพื่อที่ร่างบางข้างเขาจะได้ไม่ตื่นแล้วจึงใช้สองแขนช้อนร่างนั้นขึ้นมาอุ้มพาเดินเข้าไปในบ้าน

                ระยะทางจากหลังบ้านไปยังห้องนอนของชุนไม่ได้ไกลเลยแต่เพราะถ้ารีบเดินเด็กหนุ่มอาจจะตื่นก็ได้ เขาจึงเดินช้าๆและนุ่มนวลที่สุด ทั้งที่ปกติเขาไม่มีทางแสดงท่าทีอ่อนโยนให้ใครเห็นและจำเป็นต้องอ่อนข้อให้กับใคร ผู้ที่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นนั้นมีเพียงคนสำคัญของเขา

                แต่ว่าพอมองใบหน้ายามหลับของร่างในอ้อมแขนนี้จิตใจที่แข็งกระด้างกลับไม่แข็งกระด้างเช่นเดิม เขาไม่เข้าใจตัวเองเลยว่าเหตุใดถึงได้นึกอยากจะทะนุถนอมเด็กคนนี้

                เพราะสองมืออุ้มเด็กหนุ่มอยู่การเปิดประตูห้องจึงทำได้ยากลำบาก หากเป็นปกติเขาคงนึกรำคาญกับความยุ่งยากแบบนี้แต่บางทีนี่คงเป็นครั้งแรกที่เรื่องยุ่งยากพวกนี้เทียบไม่ได้เลยกับความรู้สึกที่อยากให้เด็กคนนี้ได้นอนหลับต่อไป

                ร่างบอบบางถูกวางลงบนเตียงด้วยความนุ่มนวลที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ทั้งที่พาเด็กหนุ่มมาถึงห้องนอนแล้วแต่ชายหนุ่มก็ยังยืนอยู่ในห้องต่อไปและพอเห็นว่ามีเส้นผมปรกอยู่บนใบหน้างามนั้นเขาก็ใช้มือเกลี่ยมันออกเบาๆและใช้แววตาที่ถ้าหากชุนได้เห็นก็ต้องตกใจว่า นี่คือแววตาของชายหนุ่มผู้มีสีหน้าดุดันแบบในภาพจริงหรือ

                คางาโฮะไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกและถ้าหากเด็กหนุ่มตรงหน้าตื่นมาพบว่าคนตรงหน้าไม่ใช่พี่ชายของตัวเองอีกแล้วใบหน้านี้ก็คงไม่แคล้วถูกแต่งแต้มด้วยความเศร้าหมอง

                “เจ้าไม่ใช่ท่านอาโรน”คางาโฮะบอกกับตัวเองแบบนั้น ท่านอาโรนในความทรงจำของเขามีเส้นผมสีดำสนิทกับดวงตาอันอ่อนโยนซึ่งถูกเคลือบด้วยความเศร้าหมอง ทั้งสีผม ดวงตาและเสียงไม่มีส่วนใดที่เหมือนกับท่านอาโรนแม้แต่น้อย มีก็เพียงใบหน้าเท่านั้นที่เยาว์วัยสมกับอายุแม้หลับอยู่แต่ใครได้เห็นก็คงต้องบอกว่าช่างเป็นใบหน้าที่น่ารักและดูอ่อนโยนเหลือเกิน มีเพียงสิ่งนี้ที่ทำให้เขาคิดถึงคนสำคัญของเขาขึ้นมา

                “ทำไมข้าต้องสนใจเจ้าด้วย”คนที่เขาอยากปกป้องไม่อยู่อีกแล้วแต่ความรู้สึกนี้ยังคงอยู่เสมอ เขาไม่ใช่คนน่าสมเพชที่คิดเอาคนอื่นมาแทนที่คนสำคัญ ทั้งที่คิดว่าขอให้ตนได้หลับต่อไปในก้นบึ้งของวิญญาณดังเช่นเดิมเพียงเพราะไม่อยากจะตื่นมาพบกับโลกที่ไม่มีคนสำคัญของเขาอยู่อีกต่อไป

                แต่ว่าใบหน้าของชุนที่ได้เห็นเมื่อคืนกลับฝังแน่นอยู่ในจิตใจไม่ยอมเลือนหาย ทั้งยามที่โกรธหรือเศร้ารวมถึงรอยยิ้มที่ได้เห็นมันผ่านดวงตาของชายคนนี้มันทำให้เขาตัดใจไม่ได้

                “ช่างแตกต่างและเหมือนท่านอาโรนเหลือเกิน”มือลูบไล้ลงบนเส้นผมอย่างอ่อนโยนแบบที่ไม่เคยได้ทำให้กับคนสำคัญของตนเพียงเพราะรู้ดีว่าตนไม่มีสิทธิ์ทำเช่นนั้น

                สำหรับเขาอาโรนเป็นยิ่งกว่าคนสำคัญ เป็นยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง เป็นยิ่งกว่าทุกสิ่งทุกอย่างของตนเอง จนทำให้รู้สึกเหมือนตนไม่อาจเข้าใกล้หรือทำได้แม้แต่สัมผัส เขาไม่เคยไม่พอใจกับความเป็นจริงนี้แต่เขาเลือกที่จะยอมรับและทำหน้าที่ปกป้องของตนเองให้ดีที่สุด

                แต่มาในวันนี้ทุกอย่างกลับไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว สงครามศักดิ์สิทธิ์จบลงแล้วไม่จำเป็นต้องต่อสู้ห้ำหั่นกันอีก ไม่มีคู่ต่อสู้ที่ต้องเผชิญหน้ากัน ไม่มีคนที่อยากปกป้อง ไม่มีสิ่งใดที่มีความหมายสำหรับเขาเลย

                “ท่านทำให้ข้าตื่นขึ้นมาอีกครั้งเพื่ออะไรงั้นหรือ ท่านอาโรน”คางาโฮะไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่เขาต้องพูดประโยคนี้ออกมาด้วยน้ำเสียงแบบนี้ เขาเชื่อมั่นมาตลอดว่าตนเป็นคนเข้มแข็งและแข็งแกร่งแต่มาในวันนี้เขากลับรู้สึกอยากร้องไห้เหลือเกิน

                “ท่านอาโรน....”ช่างเหมือนคนโง่เขลาที่เรียกขานนามของผู้ที่จากไปแล้วออกมาเฉกเช่นนี้ รู้ดีว่าไม่มีใครสามารถตอบเขาได้ทว่า...

                “คางาโฮะ...”เป็นเพียงเสียงอันแสนแผ่วเบาที่อ่อนโยน เป็นเสียงที่แม้จะข้ามผ่านกาลเวลามานับสองร้อยปีคางาโฮะก็ไม่มีวันลืม เบื้องหน้าของเขาคือดวงตาสีเขียวเช่นเดียวกับเส้นผมนุ่มๆในมือ คือเด็กหนุ่มที่เขาเพิ่งอุ้มขึ้นมานอนเมื่อครู่แต่ความรู้สึกที่ได้รับจากดวงตานั้นมันช่างคุ้นเคยเหลือเกิน

                “คางาโฮะ...”เสียงนั้นยังคงเอ่ยเรียกด้วยรอยยิ้ม พลันนั้นใบหน้าที่แสนโหยหาก็ทับซ้อนลงบนดวงหน้างามนั้น ใบหน้างดงามของเด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมสีทองของแสงสว่างและดวงตาสีท้องฟ้า

                “ท่าน...ท่านอาโรน....”นามเรียกขานที่ยากจะเอ่ยออกมาจากปากกว่าจะรู้ตัวว่าน้ำเสียงของตัวเองสั่นพร่าก็เป็นเวลาครู่หนึ่งที่มือขาวเนียนเลื่อนมาวางทาบลงบนสองข้างแก้มนี้

                ไม่มีคำพูดใดๆหรือแม้แต่คำถามมากมายที่อยากเอ่ยถาม มีเพียงความเงียบที่ราวกับเป็นนิรันดร์ของทั้งสองคนแต่ก็เป็นเพียงแค่ไม่กี่นาทีที่ทำให้คางาโฮะพบว่าเด็กหนุ่มได้หลับลงไปอีกครั้งในอ้อมแขนของเขา

                สองแขนรวบกอดร่างบางนั้นเอาไว้แต่ก็ไม่กล้ารัดแน่นจนเกินไปเพราะกลัวว่าหากร่างนี้ตื่นขึ้นมาสิ่งที่เหมือนกับความฝันเมื่อครู่จะสลายหายไป คางาโฮะมองใบหน้ายามหลับนั้นแล้วก็เผลอยิ้มออกมา

                “ท่านยังอยู่ที่นี่สินะ”เหมือนกับที่ข้ายังคงอยู่ที่นี่....

                “ข้าขอสาบานว่าครั้งนี้ข้าจะต้องปกป้องท่านให้ได้”จะขอปกป้องด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่และจะไม่ยอมปล่อยให้คนสำคัญต้องจากไปอีกแล้ว

                คนสำคัญที่ครั้งหนึ่งทำได้เพียงมองห่างๆและคอยปกป้องอยู่ใกล้ๆแต่ก็ไม่อาจสัมผัสได้มาในวันนี้เรื่องเหล่านั้นมันไม่มีความหมายอีกแล้ว คงน่าขันถ้าหากคางาโฮะจะบอกว่าตั้งแต่เกิดจนตายและลืมตาตื่นขึ้นมานี้เขาเพิ่งจะเข้าใจความหมายของคำว่า“ชีวิตใหม่”เป็นครั้งแรก

                ตัวตนที่สัมผัสได้ในความเป็นจริง ไม่จำเป็นต้องยืนอยู่ห่างเพื่อปกป้องแต่สามารถอยู่เคียงข้างเพื่อปกป้องได้ ไม่มีคำว่าห่างไกลสำหรับตัวเขาอีกต่อไป สองมือที่มีอยู่นี้สามารถโอบกอดเอาไว้ได้

                “ข้าจะปกป้องทั้งท่านและเด็กคนนี้เอง”ใบหน้าคมเลื่อนลงไปใกล้จนชิดกันประทับริมฝีปากลงบนกลีบปากนุ่มหมายจะเป็นการแสดงสัตย์สาบานที่มีให้แก่คนผู้นี้

                ไม่ใช่เพียงท่านอาโรน แต่คือจิตวิญญาณและรวมถึงเด็กคนนี้....

                ชุน...ข้าก็จะปกป้องเจ้าเช่นกัน....

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

อ่านนิยายฟิคชั่นเรื่องอื่น

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา