[Fan Fiction Saint Seiya+LC]Once Again…
10.0
เขียนโดย MeiaR
วันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2556 เวลา 12.40 น.
13 ตอน
8 วิจารณ์
29.81K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2556 11.17 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
1) การพบพานอันไม่คาดฝัน
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ ...คุณเชื่อในโชคชะตาบ้างไหม.....
...บางครั้งอาจมีคนถามคุณแบบนี้แล้วคุณล่ะตอบกลับไปว่าอย่างไร....
...โดยเฉพาะในเรื่องของการพบพานที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้....
ยามเช้าที่สว่างสดใสเซนต์แอนโดรเมด้านามชุนเงยหน้ามองมันจากหน้าต่างบ้านหลังหนึ่งในเมืองแล้วยิ้มออกมา หลังจบศึกแล้วทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของแต่ละคนอย่างมีอิสระเสรี บางคนเลือกที่จะอยู่แซงค์ทัวรี่ต่อไป บางคนกลับบ้านเกิดหรือบางคนก็ออกเดินทางไปดังเช่นพี่ชายของเขา
ไม่ว่าจะร่วมศึกกันมาหลายศึกแล้วแต่ฟินิกส์อิคคิก็ยังคงเป็นบุรุษผู้รักสันโดษอยู่เช่นเดิม ชายผู้ที่ออกเดินทางไปทั้งที่บาดแผลยังไม่หายดีและไม่แม้แต่จะกล่าวคำอำลากับน้องชายแท้ๆของตนเอง
แน่นอนว่าชุนอดที่จะเศร้าไม่ได้แต่ก็ไม่ได้เศร้านานมากนักเพราะเขารู้ดีว่าพี่ชายของเขาไม่มีวันทิ้งเขาไปไหนไกลโดยเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงกลับมายังบ้านเกิดของพวกเขาและเฝ้ารอพี่ชายซึ่งนานๆก็จะกลับมาสักครั้งหนึ่ง
มันเป็นช่วงเวลาแสนพิเศษที่สองพี่น้องจะได้อยู่ด้วยกัน แม้จะเป็นเพียงการอยู่ด้วยกันอย่างเงียบๆหรือการพูดของชุนอยู่ฝ่ายเดียวแต่อิคคิก็ยังรับฟังและยิ้มออกมาในบางครั้ง
“วันนี้พี่อิคคิจะกลับมาแล้วสินะ”เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดีเพราะเมื่อวานมีการติดต่อจากพี่ว่าวันนี้จะกลับมา ชุนจึงตั้งหน้าตั้งตารออย่างมากเพราะคราวนี้อิคคิออกเดินทางไปถึง 2 เดือนโดยไม่มีการติดต่อใดๆกลับมามันทำให้เขารู้สึกดีใจอย่างมาก หลังกินข้าวเช้าเสร็จชุนจึงรีบคว้ากระเป๋าเงินแล้วตรงไปยังตลาดทันทีด้วยหัวใจเบิกบาน
“ต้องเตรียมของที่พี่อิคคิชอบเยอะๆเลย”ระหว่างที่เลือกวัตถุดิบทำอาหารเด็กหนุ่มก็คิดเมนูไปด้วยและจนกระทั่งตะกร้าใส่อาหารสดเต็มแล้วชุนจึงเลิกซื้อและเตรียมตัวจะเดินกลับ แต่แล้วระหว่างที่เดินกลับดวงตาคู่งามกลับพบกับร้านหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทางกลับ
“นี่ร้านอะไรกันน่ะทำไมตอนแรกเราถึงไม่เห็นกัน”ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยแต่เด็กหนุ่มก็ยังเลือกที่จะเดินเข้าไปและเพียงแค่ผลักประตูเปิดออกเขาก็รู้ทันทีว่านี่คือร้านอะไร
“ร้านขายของเก่างั้นเหรอ แถวนี้มีร้านแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ”ทั้งที่เป็นแถวบ้านที่คุ้นชินและเป็นเส้นทางที่ผ่านไปมาเสมอแต่เด็กหนุ่มกลับจดจำร้านนี้ไมได้เลยแม้แต่นิดเดียว ในร้านเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายจากหลายยุคสมัย มีตั้งแต่ถ้วยชามใบเล็กๆไปจนถึงตู้ไม้สลักหลังใหญ่
“มีใครอยู่มั้ยครับ”ชุนร้องเรียกแต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาซึ่งนั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าเดิม
ขณะที่เดินไปชุนยังคงส่งเสียงเรียกเป็นระยะและยังคงไร้เสียงตอบกลับมาเช่นเดิม มันเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับมนุษย์ทั้งที่ดูไม่น่าไว้ใจแต่ก็ยังอยากที่จะเดินเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นและชุนเองก็เป็นเช่นนั้น นอกจากนั้นชุนก็มั่นใจในฝีมือของตัวเองจึงไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว
“ความรู้สึกนี้มัน...”ความรู้สึกที่ทั้งรู้จักและเหมือนกับไม่รู้จัก กลิ่นอายของพลังขุมหนึ่งที่ปะปนมาพร้อมกับกลิ่นของสีน้ำมัน มันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากร้านขายของเก่าจะมีภาพสีน้ำมันในสมัยต่างๆมาขายบ้าง แต่มันกลับเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยกับเขาเหลือเกินทั้งที่เขาก็ไม่เคยวาดรูปสีน้ำมันแท้ๆ
สองเท้านำพาเจ้าของร่างเดินเข้าไปเรื่อยๆราวกับต้องมนต์สะกดและแล้วมันก็มาหยุดอยู่หน้ารูปหนึ่งซึ่งมีผ้าสีขาวปกคลุมอยู่ อย่างช้าๆมือข้างที่ว่างอยู่ค่อยๆยกขึ้นดึงผ้าออก พลันนั้นภาพที่ปรากฏออกมาเบื้องหลังผืนผ้าสีขาวก็ทำให้ดวงตาคู่งามเบิกกว้างขึ้น
ภาพนั้นเป็นภาพเหมือนของชายคนหนึ่งที่ถูกวาดออกมาอย่างสวยงาม ผู้ซึ่งทั่วร่างราวกับถูกปกคลุมไปด้วยสีดำของรัตติกาลไม่ว่าจะเป็นดวงตาคมที่ดุดัน เส้นผมหรือกระทั่งสิ่งทีเรียกว่าชุดเซอร์พริสกับเปลวเพลิงทมิฬ ที่สำคัญที่สุดก็คือใบหน้าของคนผู้นั้นที่เหมือนกับพี่ชายของเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน!
“นี่มันอะไรกัน...”ความสงสัยและสับสนก่อเกิดขึ้นในหัวใจ พี่ของเขาคือเซนต์ฟินิกส์แห่งอาธีน่าแต่ว่าคนในภาพนี้กลับสวมเซอร์พริสอยู่ ชุนไม่อาจจะทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลยแม้แต่นิดเดียวเพราะไม่ว่าจะมองอย่างไรชายในภาพนั้นก็ช่างเหมือนพี่ชายของเขาเหลือเกิน
แต่ความตื่นตระหนกและสับสนของเซนต์แอนโดรเมด้าก็ได้ยุติลงเพียงเพราะเสียงของชายคนหนึ่งดังมาจากข้างหลัง
“นั่นคือภาพโบราณอายุ 200กว่าปีที่ถูกค้นพบที่ประเทศกรีซครับ”ชุนหันหลังกลับไปแทบจะทันทีและพบกับชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าเจ้าเล่ห์ ชายผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับใครบางคนที่เขาเองก็นึกไม่ออก ชายคนนั้นก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้าๆก่อนจะพูดต่อ
“ชายในภาพคือบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในอดีตกาลเมื่อ 200กว่าปีที่แล้ว ชายผู้สวมชุดเกราะสีดำผู้มาพร้อมกับเพลิงทมิฬที่สามารถแผดเผาได้ทุกสิ่ง นามของเขาคือเบนู คางาโฮะ”ชายปริศนาเอ่ยราบเรียบคล้ายกำลังโฆษณาสินค้าโดยไม่ได้สนใจดวงตาที่เบิกกว้างของชุนเลย
เด็กหนุ่มเผลอลอบถอนหายใจเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าบุคคลในภาพไม่มีทางเป็นพี่ชายของเขาอย่างแน่นอน แต่ในความโล่งใจนั้นกลับมีความรู้สึกหนึ่งที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรและบางทีเขาคงได้คำตอบถ้าหากได้ฟังชายคนนี้พูดจนจบ
“ชายคนนี้ได้เสียชีวิตลงเพื่อปกป้องผู้ที่สำคัญที่สุดของตนเองทว่าแม้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตเขาก็ยังสาบานที่จะปกป้องคนสำคัญของตนเองและเพื่อเป็นการระลึกถึงความรู้สึกของเขาคนนี้คนสำคัญของเขาจึงได้วาดภาพนี้ขึ้นมา”หลังมือของชายคนนั้นไล้ลงไปยังภาพเปลวเพลิงสีทมิฬราวกับเล่านิทานภาพแต่สุดท้ายมือข้างนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงตัวข้อความสีทองตัวเล็กที่มุมหนึ่งของภาพ
ข้อความที่คาดว่าจะเป็นลายเซนต์เจ้าขอภาพนี้ถูกเขียนลงบนจุดที่ไม่สะดุดตาเพื่อไม่ให้เป็นการทำลายภาพอันสวยงาม เมื่อชุนได้ก้มลงมองดีๆแล้วจึงสามารถสะกดออกมาเป็นคำได้
“แด่คางาโฮะ บุรุษผู้ปกป้องข้าไว้ด้วยชีวิตของตนเองข้าจะไม่ขอให้เจ้าสมปรารถนาแต่ขอเพียงให้ชาติต่อไปเจ้าจะมีความสุข...”เสียงของชุนที่เอ่ยออกมาฟังดูเลื่อนลอยราวกับไร้ซึ่งสติ ดุจได้ยินเสียงเจ้าของภาพเอ่ยขึ้นกับภาพใบนี้ทั้งที่ไม่ควรจะได้ยิน
“จากอาโรน...”เสียงที่ตนเองเอ่ยและได้ยินเจือปนทั้งความอ่อนโยน ขื่นขม ระทมทุกข์และเป็นสุขในคราวเดียวกัน น้ำเสียงที่สั่นพร่าราวกับจะร้องไห้แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าด้วยความดีใจหรือเสียใจกันแน่
“ถ้าหากท่านชอบภาพนี้ข้าก็ยินดีจะยกให้ท่าน”เป็นอีกครั้งที่เสียงของชายปริศนาทำให้เขาคืนสติ เด็กหนุ่มหันไปมองชายวัยกลางคนซึ่งกำลังยิ้มอยู่ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับกำลังรอเรื่องสนุกไม่มีผิด
“คุณไม่ได้ขายมันงั้นหรือ”ที่นี่เป็นร้านขายของเก่าแล้วทำไมถึงต้องยกภาพให้กับคนที่ควรจะเป็นลูกค้าด้วยเด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยและยังไม่ไว้ใจอีกด้วย เขาเป็นเซนต์แห่งอาธีน่าแต่ชายสเป็คเตอร์คนนั้นเป็นศัตรูคู่แค้นกันแล้วจะให้เขานำภาพนี้กลับไปได้อย่างไร
“ข้าก็เพียงแค่สงสารภาพนี้ยิ่งนักเพราะว่ามันตามหาเจ้าของมันมานานแล้วและบางทีเจ้าของมันก็อาจจะเป็นท่านมิใช่หรือ อดีตร่างทรงฮาเดส...”สิ้นคำนั้นชุนก็ต้องตกใจเป็นครั้งที่สองเมื่อสิ่งที่ชายคนนั้นพูดออกมาถ้าหากไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องจริงๆไม่มีวันรู้เด็ดขาด
“คุณเป็นใครกันแน่!”เสียงหวานที่ตะโกนถามเต็มไปด้วยความระมัดระวังตัวสุดชีวิตโดยเฉพาะในยามที่เขาไม่มีชุดคล็อธติดกายเฉกเช่นนี้
“ข้าหรือ...ก็แค่ผู้ชมที่กำลังรอความสนุกเท่านั้นแหละ”พริบตานั้นทุกสิ่งก็ถูกปกคลุมด้วยความมืด ในวินาทีที่ดวงตากำลังจะถูกบดบังด้วยความมืดเด็กหนุ่มได้มองเห็นบางสิ่งที่คล้ายกับปีกสีดำปรากฏขึ้นเบื้องหลังของชายคนนั้นและในยามที่รอบข้างกลับมากระจ่างชัดเช่นเดิมรอบข้างของเขาก็หายไปจนหมดสิ้นเหลือเพียงพื้นที่รกร้างว่างเปล่ากับภาพของชายนามคางาโฮะที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
“นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่...”
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าประตูบ้านหลังหนึ่งก็ถูกเปิดออกโดยชายหนุ่มที่ออกเดินทางไปนานกว่า 2 เดือน ร่างสูงถอดรองเท้าและเดินเข้าบ้านอย่างเงียบๆโดยไม่ได้กล่าวแม้แต่คำทักทายเพราะนั่นก็เป็นเรื่องปกติของชายหนุ่มอยู่แล้วแต่ทว่าสิ่งที่ผิดปกติก็คือร่างบอบบางของน้องชายที่น่าจะเดินเข้ามาต้อนรับเขาพร้อมกับเอ่ยทักทายตั้งแต่วินาทีแรกที่เสียงเปิดประตูดังขึ้นแล้ว
“ชุน”อิคคิลองเอ่ยเสียงเรียกแต่ก็ยังไม่มีเสียงใดตอบกลับมาทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วกับความผิดปกติ มือแกร่งกระชับสายคล้องบนบ่าแน่นขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาในส่วนของบ้านอย่างเงียบกริบ ใจหนึ่งก็ระวังรอบข้างส่วนอีกใจก็นึกห่วงน้องชายของตนเอง
แต่แล้วความกังวลก็คลายลงเมื่อพบว่าน้องชายของตนเองนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกโดยปราศจากอันตรายใดๆซึ่งมันทำให้อิคคิแอบถอนใจด้วยความโล่งอกไม่ได้
“ชุน”ชายหนุ่มเรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ไม่ได้เรียกว่าดังเลยแต่ร่างบางกลับสะดุ้งเฮือกราวถูกตะคอกก่อนจะทำท่าเหมือนรู้ตัวว่าถูกเรียกแล้วหันกลับมา
“พี่อิคคิ...”สิ่งที่อิคคิเห็นในสายตาของชุนตอนนั้นคือความตกใจระคนงุนงงก่อนจะกลายเป็นความยินดี
“ยินดีต้อนรับกลับมาครับ”ชุนเอ่ยต้อนรับด้วยรอยยิ้มเหมือนกับทุกครั้งที่พี่ชายกลับบ้าน รอยยิ้มของชุนที่ยังเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนทำให้อิคคินึกวางใจขึ้นมามากเลยทีเดียว
“อืม”อิคคิตอบกลับไปแค่นั้นก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างน้องชายก่อนจะพบกับของบางอย่างที่ถูกห่อด้วยผ้าสีขาว
“ชุน นี่มันอะไรน่ะ”เอ่ยถามอย่างนึกสงสัย ดูจากรูปร่างแล้วมันน่าจะเป็นกล่องหรือไม่ก็พวกรูปวาดแต่เท่าที่จำได้น้องชายของเขาก็ไม่ใช่คนที่สนใจศิลปะภาพเขียนมากเท่าไรนัก
“คือ...มีคนให้มาน่ะครับ พี่อิคคิรีบไปอาบน้ำดีกว่าครับเดี๋ยวผมจะทำอาหารให้ทาน”เด็กหนุ่มเอ่ยรัวเร็วจนมากเกินเหมือนจะปกปิดความลับแต่อิคคิก็ไม่ใช่คนเซ้าซี้จึงไม่คิดจะคาดคั้นทั้งยังวางของลงแล้วเดินไปอาบน้ำตามที่ชุนบอก
มื้อเย็นของทั้งคู่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีความสุขตามแบบสองพี่น้องคู่นี้ ฝ่ายน้องที่เลือกจะเป็นคนถามและเล่าเรื่องของตนส่วนฝ่ายพี่ก็เลือกที่จะฟังและตอบมากกว่าที่จะเป็นคนเริ่มเล่า
ท่าทางภายนอกมันอาจดูเป็นมื้ออาหารที่แสนเย็นชาโดยเฉพาะพี่ชายที่ตอบกลับไปแบบแทบจะนับคำได้แต่ใครจะรู้บ้างว่าทุกกิริยาท่าทางของน้องชายนั้นอยู่ในสายตาของผู้เป็นพี่ตลอดเวลา โดยเฉพาะใบหน้ายามยิ้มแย้มนั้นที่อิคคิจะไม่มีวันคลาดสายตาไปเป็นอันขาด
สุดท้ายหลังมื้ออาหารชุนก็ยกจานไปล้าง ตอนแรกอิคคิจะเป็นฝ่ายจัดการให้แต่ชุนก็ให้เหตุผลว่าเขาเพิ่งเดินทางกลับมาน่าจะเหนื่อยให้ไปนั่งพักที่ห้องรับแขกหรือจะไปนอนเลยก็ได้ เขารู้ว่าชุนภายนอกดูเป็นคนว่าง่ายแต่จริงๆแล้วหัวดื้อพอสมควรชายหนุ่มจึงตัดสินใจขึ้นไปนอนโดยลืมเรื่องของสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องรับแขกไปเสียสนิท
“เฮ้อ...เสร็จซักที”มือสองข้างยืดไปประสานกันคลายความเมื่อยขบจากทั้งวัน จานชามถูกล้างและคว่ำไว้เรียบร้อยเหลือก็เพียงจัดเก็บของในบ้านทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่เพียงแค่คิดถึงสิ่งที่ถูกวางอยู่ในห้องรับแขกเด็กหนุ่มก็รู้สึกสับสนเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี
ในคราวแรกที่รู้สึกตัวเขาคิดจะรีบกลับบ้านทันทีแต่แล้วไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจให้เขาหยิบผ้ามาคลุมภาพสีน้ำมันที่ถูกวางทิ้งไว้แล้วนำมันกลับมาที่บ้านและโดยไม่รู้ตัวเขาเผลอจดจ้องสิ่งนั้นเนิ่นนานตั้งแต่วินาทีแรกที่มันถูกวางลงบนโต๊ะ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตนเองถึงจ้องมันอยู่เช่นนั้นทั้งที่เอาผ้าคลุมไว้จนไม่เห็นตัวภาพแล้วแท้ๆ
“คนๆนั้นเป็นใครกันแน่”หวนนึกถึงชายวัยกลางคนผู้ที่มอบภาพนี้ให้กับเขา ชายผู้มาพร้อมกับปีกสีดำและรอยยิ้มมากเล่ห์
แต่คิดเท่าไรเด็กหนุ่มก็คิดไม่ออกจึงเลิกที่จะคิดมันและตัดสินใจนำภาพนั้นไปเก็บไว้ในห้องนอนของตัวเองก่อน ระหว่างที่ถืออยู่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขายังคงมีสติดีและไม่ได้ยินเสียงแปลกๆมันทำให้ชุนโล่งใจ เมื่อเข้ามาในห้องนอนชุนจึงรวบรวมความกล้าดึงผ้าที่ห่อภาพไว้ออก
ภาพของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าดุดันปรากฏขึ้นอีกครั้ง สองมือจับไว้ที่ขอบภาพเพราะอยากจะดูภาพนั้นให้ชัดๆและยิ่งดูชุนก็ยิ่งรู้สึกว่าเกือบทุกอย่างของชายในภาพนั้นช่างเหมือนกับพี่ชายของเขาจริงๆ
“ทำไมถึงได้เหมือนกับพี่อิคคิแบบนี้นะ”ไม่ว่าจะใบหน้า แววตาหรือท่าทางล้วนแต่เหมือนกันจนราวกับเป็นคนๆเดียวกันจนทำให้รู้สึกเหมือนกับผูกพันหรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานำภาพนี้กลับมากันนะ
ดวงตาคู่สวยมองไล่ไปทั่วภาพและมาหยุดที่ข้อความสีทองบนภาพอีกครั้งหนึ่ง ปลายนิ้วลูบไล้ลงไปบนข้อความบนภาพที่ยังคงแจ่มชัดเช่นเดียวกับตัวภาพที่สีดำนั้นไมได้จางลงเลยราวกับว่ามีชีวิตอยู่
“เดี๋ยวสิ...ภาพวาดอย่างงั้นเหรอ”พลันนั้นเด็กหนุ่มกลับนึกได้ถึงเรื่องบางอย่างที่เคยได้รับการถ่ายทอดมาจากโกลด์เซนต์ไลบร้า โดโก
“สงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อ200ปีก่อน...ถ้าจำไม่ผิดท่านผู้เฒ่าได้กล่าวถึงเรื่องของภาพวาดด้วยนี่นา”เด็กหนุ่มหลับตาแล้วหวนระลึกถึงช่วงที่พักรักษาตัวอยู่ในเซงค์ทัวรี่หลังจบศึกขึ้นมา ในวันนั้นท่านผู้เฒ่าได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับสงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อครั้งที่แล้วให้ฟัง
เมื่อ 200กว่าขวบปีก่อน เมื่อครั้งที่ข้ายังเยาว์วัยนักข้ามีน้องชายอยู่คนหนึ่ง ไม่ใช่น้องชายแท้ๆหรอกแต่ก็เป็นน้องชายคนสำคัญของข้า เขาคือเพกาซัส เท็นมะชายผู้เป็นเพื่อนกับร่างทรงของจ้าวนรกฮาเดสผู้มอบภาพวาดผืนสุดท้ายให้กับโลกใบนี้โดยใช้ท้องฟ้าแทนผืนผ้าใบและใช้เลือดกับดวงวิญญาณประหนึ่งสีวาดภาพ ภาพนั้นมีชื่อว่าLost Canvas…
“ชื่อของร่างทรงฮาเดสคนก่อนก็คือ อาโรน!”ตอนนี้ชุนรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างกาย มือทั้งคู่เผลอสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเพราะมันหมายความว่าภาพที่เขาถืออยู่คือภาพที่ฮาเดสเป็นคนวาดมิใช่หรือ!
ชุนจ้องภาพของชายในภาพอีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตาตนเองและหากลองเพ่งสมาธิดีๆแล้วเขาก็เริ่มรู้สึกถึงขุมพลังบางอย่างที่แฝงอยู่ในสีเหล่านั้นและมันคือพลังที่เขารู้จักดีที่สุด
คอสโมของฮาเดส!
“นี่คือภาพวาดของฮาเดสงั้นเหรอ”ความรู้สึกหวาดหวั่นเริ่มก่อเกิดขึ้น เด็กหนุ่มพยายามที่จะนึกถึงคำพูดของท่านผู้เฒ่าที่เล่าเรื่องราวนั้นต่อทั้งที่ร่างกายกำลังสั่น
น้อยคนนักที่จะเข้าใจว่าเท็นมะต้องสู้ด้วยความรู้สึกแบบใดกันในยามที่เพื่อนรักของตนเองต้องกลายเป็นผู้ทำลายล้างโลกนี้และน้อยคนยิ่งกว่าที่จะมีคนเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่จ้องทำลายล้างโลกใบนี้ คนที่ข้ารู้ก็มีเพียงคนเดียว
สเป็คเตอร์หนุ่มผู้สวมใส่เซอร์พริสเบนูและมาพร้อมกับเพลิงกาฬสีทมิฬ...ชายผู้ซึ่งได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องจ้าวนรกนามของเขาก็คือ....
“นามของเขาก็คือ....”ริมฝีปากเอ่ยออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ได้ยินอีกครั้งกับเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ควรจะรู้จักแต่กลับคุ้นเคยราวกับเป็นเสียงของตัวเอง เสียงที่เอ่ยเรียกนามของบุคคลในภาพ
“คางาโฮะ....”และในวินาทีนั้นคอสโมจำนวนมหาศาลก็พุ่งพล่านออกมาจากภาพวาด มันคือคอสโมสีดำสนิท....
“ไม่นะ!”ร่างบางเผลอร้องออกมาเมื่อคอสโมที่ราวกับเพลิงสีทมิฬนั้นพุ่งเข้ามาหาตนและล้อมรอบกายของตนเองเอาไว้อย่างไม่อาจหนีพ้น
“ไม่ อย่าเข้ามา!”อาจจะฟังดูน่าสมเพชที่แสดงความหวาดกลัวออกมาแต่สำหรับผู้ที่เคยถูกฮาเดสสิงแล้ว คอสโมของฮาเดสถือเป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึงเป็นที่สุด แต่ท่ามกลางคอสโมสีดำนั้นชุนกลับได้ยินเสียงของใครคนหนึ่ง
....น....ท่าน.....
“นี่มันเสียงใครกัน...”เสียงที่คล้ายกับเสียงของพี่อิคคิแต่ว่า....
ท่านอาโรน.....
“ไม่ใช่ ผมคือชุน ผมไม่ใช่อาโรน”ร้องปฏิเสธพลางหลับตาแน่นและในวินาทีนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้น
ปัง!
“ชุน!”มันคือเสียงประตูห้องที่เปิดออกอย่างรุนแรงด้วยฝีมือของอิคคิที่รีบวิ่งมาหาเพราะรู้สึกได้ถึงพลังคอสโมอันดำมืดนี้แต่นั่นก็เป็นความคิดที่ผิดเพราะพริบตาที่อิคคิส่งเสียงเรียกชุนคอสโมเหล่านั้นก็ได้เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นตัวเขาแทน
“อ้าก!!!!!!!!!!!!!!!”
“พี่อิคคิ!”เด็กหนุ่มลุกขึ้นและรีบวิ่งเข้าไปหาพี่ชายของตนเองในทันที อิคคิร้องด้วยความเจ็บปวดสองมือกุมหัวที่เหมือนกับจะแตกเป็นเสี่ยงและพร้อมกับคอสโมสีดำที่กำลังแทรกซึมเข้าไปในร่าง ชุนไม่อาจทำอะไรได้เลยกระทั่งจะเข้าใกล้ก็ยังทำไม่ได้เพราะคอสโมสีดำพวกนั้นคอยขัดขวาง
“พี่อิคคิ!”ชุนร้องเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอันปวดร้าวแต่ทุกอย่างก็ยังดำเนินต่อไปจนกระทั่งคอสโมสีดำเข้าไปในร่างของอิคคิจนหมดสิ้น
เสียงร้องของอิคคิหยุดลง สองมือทิ้งลงข้างตัว ไม่มีกระทั่งเสียงหอบมีเพียงเสียงของลมหายใจที่ผ่อนออกมายาวๆก่อนที่ดวงตาสีดำสนิทจะมองกลับมายังเด็กหนุ่ม แต่แววตานั้นกลับไม่ดูเหมือนพี่ชายของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“พี่อิคคิ....”เป็นครั้งแรกที่ชุนเรียกชื่อของพี่ชายได้ยากลำบากเหลือเกินเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีดำที่ดุดันและแข็งกร้าวยิ่งกว่าสิ่งใด ทั้งสองสบตากันเนิ่นนานจนกระทั่งมีคนหนึ่งเอ่ยทำลายความเงียบ
“ข้าไม่ได้มีนามเช่นนั้น”เสียงที่ยังคงเป็นเสียงของอิคคิแต่ถ้าหากชุนไม่ได้ฟังผิดไปเขากลับรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งที่คล้ายคลึงกับเสียงของอิคคิแทรกเข้ามา
“ข้าคือสเป็คเตอร์แห่งดาวพยศนภาเบนู คางาโฮะ”
...บางครั้งอาจมีคนถามคุณแบบนี้แล้วคุณล่ะตอบกลับไปว่าอย่างไร....
...โดยเฉพาะในเรื่องของการพบพานที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้....
ยามเช้าที่สว่างสดใสเซนต์แอนโดรเมด้านามชุนเงยหน้ามองมันจากหน้าต่างบ้านหลังหนึ่งในเมืองแล้วยิ้มออกมา หลังจบศึกแล้วทุกคนต่างก็แยกย้ายกันไปใช้ชีวิตของแต่ละคนอย่างมีอิสระเสรี บางคนเลือกที่จะอยู่แซงค์ทัวรี่ต่อไป บางคนกลับบ้านเกิดหรือบางคนก็ออกเดินทางไปดังเช่นพี่ชายของเขา
ไม่ว่าจะร่วมศึกกันมาหลายศึกแล้วแต่ฟินิกส์อิคคิก็ยังคงเป็นบุรุษผู้รักสันโดษอยู่เช่นเดิม ชายผู้ที่ออกเดินทางไปทั้งที่บาดแผลยังไม่หายดีและไม่แม้แต่จะกล่าวคำอำลากับน้องชายแท้ๆของตนเอง
แน่นอนว่าชุนอดที่จะเศร้าไม่ได้แต่ก็ไม่ได้เศร้านานมากนักเพราะเขารู้ดีว่าพี่ชายของเขาไม่มีวันทิ้งเขาไปไหนไกลโดยเด็ดขาด ดังนั้นเขาจึงกลับมายังบ้านเกิดของพวกเขาและเฝ้ารอพี่ชายซึ่งนานๆก็จะกลับมาสักครั้งหนึ่ง
มันเป็นช่วงเวลาแสนพิเศษที่สองพี่น้องจะได้อยู่ด้วยกัน แม้จะเป็นเพียงการอยู่ด้วยกันอย่างเงียบๆหรือการพูดของชุนอยู่ฝ่ายเดียวแต่อิคคิก็ยังรับฟังและยิ้มออกมาในบางครั้ง
“วันนี้พี่อิคคิจะกลับมาแล้วสินะ”เด็กหนุ่มเอ่ยอย่างอารมณ์ดีเพราะเมื่อวานมีการติดต่อจากพี่ว่าวันนี้จะกลับมา ชุนจึงตั้งหน้าตั้งตารออย่างมากเพราะคราวนี้อิคคิออกเดินทางไปถึง 2 เดือนโดยไม่มีการติดต่อใดๆกลับมามันทำให้เขารู้สึกดีใจอย่างมาก หลังกินข้าวเช้าเสร็จชุนจึงรีบคว้ากระเป๋าเงินแล้วตรงไปยังตลาดทันทีด้วยหัวใจเบิกบาน
“ต้องเตรียมของที่พี่อิคคิชอบเยอะๆเลย”ระหว่างที่เลือกวัตถุดิบทำอาหารเด็กหนุ่มก็คิดเมนูไปด้วยและจนกระทั่งตะกร้าใส่อาหารสดเต็มแล้วชุนจึงเลิกซื้อและเตรียมตัวจะเดินกลับ แต่แล้วระหว่างที่เดินกลับดวงตาคู่งามกลับพบกับร้านหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ระหว่างทางกลับ
“นี่ร้านอะไรกันน่ะทำไมตอนแรกเราถึงไม่เห็นกัน”ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยแต่เด็กหนุ่มก็ยังเลือกที่จะเดินเข้าไปและเพียงแค่ผลักประตูเปิดออกเขาก็รู้ทันทีว่านี่คือร้านอะไร
“ร้านขายของเก่างั้นเหรอ แถวนี้มีร้านแบบนี้ด้วยงั้นเหรอ”ทั้งที่เป็นแถวบ้านที่คุ้นชินและเป็นเส้นทางที่ผ่านไปมาเสมอแต่เด็กหนุ่มกลับจดจำร้านนี้ไมได้เลยแม้แต่นิดเดียว ในร้านเต็มไปด้วยสิ่งของมากมายจากหลายยุคสมัย มีตั้งแต่ถ้วยชามใบเล็กๆไปจนถึงตู้ไม้สลักหลังใหญ่
“มีใครอยู่มั้ยครับ”ชุนร้องเรียกแต่ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาซึ่งนั่นยิ่งทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกแปลกใจและเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าเดิม
ขณะที่เดินไปชุนยังคงส่งเสียงเรียกเป็นระยะและยังคงไร้เสียงตอบกลับมาเช่นเดิม มันเป็นเรื่องน่าแปลกสำหรับมนุษย์ทั้งที่ดูไม่น่าไว้ใจแต่ก็ยังอยากที่จะเดินเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นและชุนเองก็เป็นเช่นนั้น นอกจากนั้นชุนก็มั่นใจในฝีมือของตัวเองจึงไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว
“ความรู้สึกนี้มัน...”ความรู้สึกที่ทั้งรู้จักและเหมือนกับไม่รู้จัก กลิ่นอายของพลังขุมหนึ่งที่ปะปนมาพร้อมกับกลิ่นของสีน้ำมัน มันไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าหากร้านขายของเก่าจะมีภาพสีน้ำมันในสมัยต่างๆมาขายบ้าง แต่มันกลับเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยกับเขาเหลือเกินทั้งที่เขาก็ไม่เคยวาดรูปสีน้ำมันแท้ๆ
สองเท้านำพาเจ้าของร่างเดินเข้าไปเรื่อยๆราวกับต้องมนต์สะกดและแล้วมันก็มาหยุดอยู่หน้ารูปหนึ่งซึ่งมีผ้าสีขาวปกคลุมอยู่ อย่างช้าๆมือข้างที่ว่างอยู่ค่อยๆยกขึ้นดึงผ้าออก พลันนั้นภาพที่ปรากฏออกมาเบื้องหลังผืนผ้าสีขาวก็ทำให้ดวงตาคู่งามเบิกกว้างขึ้น
ภาพนั้นเป็นภาพเหมือนของชายคนหนึ่งที่ถูกวาดออกมาอย่างสวยงาม ผู้ซึ่งทั่วร่างราวกับถูกปกคลุมไปด้วยสีดำของรัตติกาลไม่ว่าจะเป็นดวงตาคมที่ดุดัน เส้นผมหรือกระทั่งสิ่งทีเรียกว่าชุดเซอร์พริสกับเปลวเพลิงทมิฬ ที่สำคัญที่สุดก็คือใบหน้าของคนผู้นั้นที่เหมือนกับพี่ชายของเขาราวกับพิมพ์เดียวกัน!
“นี่มันอะไรกัน...”ความสงสัยและสับสนก่อเกิดขึ้นในหัวใจ พี่ของเขาคือเซนต์ฟินิกส์แห่งอาธีน่าแต่ว่าคนในภาพนี้กลับสวมเซอร์พริสอยู่ ชุนไม่อาจจะทำความเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นได้เลยแม้แต่นิดเดียวเพราะไม่ว่าจะมองอย่างไรชายในภาพนั้นก็ช่างเหมือนพี่ชายของเขาเหลือเกิน
แต่ความตื่นตระหนกและสับสนของเซนต์แอนโดรเมด้าก็ได้ยุติลงเพียงเพราะเสียงของชายคนหนึ่งดังมาจากข้างหลัง
“นั่นคือภาพโบราณอายุ 200กว่าปีที่ถูกค้นพบที่ประเทศกรีซครับ”ชุนหันหลังกลับไปแทบจะทันทีและพบกับชายคนหนึ่งยืนอยู่ด้วยรอยยิ้มที่เรียกได้ว่าเจ้าเล่ห์ ชายผู้มีใบหน้าคล้ายคลึงกับใครบางคนที่เขาเองก็นึกไม่ออก ชายคนนั้นก้าวเท้าเข้ามาอย่างช้าๆก่อนจะพูดต่อ
“ชายในภาพคือบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในอดีตกาลเมื่อ 200กว่าปีที่แล้ว ชายผู้สวมชุดเกราะสีดำผู้มาพร้อมกับเพลิงทมิฬที่สามารถแผดเผาได้ทุกสิ่ง นามของเขาคือเบนู คางาโฮะ”ชายปริศนาเอ่ยราบเรียบคล้ายกำลังโฆษณาสินค้าโดยไม่ได้สนใจดวงตาที่เบิกกว้างของชุนเลย
เด็กหนุ่มเผลอลอบถอนหายใจเมื่อรู้แน่ชัดแล้วว่าบุคคลในภาพไม่มีทางเป็นพี่ชายของเขาอย่างแน่นอน แต่ในความโล่งใจนั้นกลับมีความรู้สึกหนึ่งที่เขาเองก็ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไรและบางทีเขาคงได้คำตอบถ้าหากได้ฟังชายคนนี้พูดจนจบ
“ชายคนนี้ได้เสียชีวิตลงเพื่อปกป้องผู้ที่สำคัญที่สุดของตนเองทว่าแม้ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตเขาก็ยังสาบานที่จะปกป้องคนสำคัญของตนเองและเพื่อเป็นการระลึกถึงความรู้สึกของเขาคนนี้คนสำคัญของเขาจึงได้วาดภาพนี้ขึ้นมา”หลังมือของชายคนนั้นไล้ลงไปยังภาพเปลวเพลิงสีทมิฬราวกับเล่านิทานภาพแต่สุดท้ายมือข้างนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงตัวข้อความสีทองตัวเล็กที่มุมหนึ่งของภาพ
ข้อความที่คาดว่าจะเป็นลายเซนต์เจ้าขอภาพนี้ถูกเขียนลงบนจุดที่ไม่สะดุดตาเพื่อไม่ให้เป็นการทำลายภาพอันสวยงาม เมื่อชุนได้ก้มลงมองดีๆแล้วจึงสามารถสะกดออกมาเป็นคำได้
“แด่คางาโฮะ บุรุษผู้ปกป้องข้าไว้ด้วยชีวิตของตนเองข้าจะไม่ขอให้เจ้าสมปรารถนาแต่ขอเพียงให้ชาติต่อไปเจ้าจะมีความสุข...”เสียงของชุนที่เอ่ยออกมาฟังดูเลื่อนลอยราวกับไร้ซึ่งสติ ดุจได้ยินเสียงเจ้าของภาพเอ่ยขึ้นกับภาพใบนี้ทั้งที่ไม่ควรจะได้ยิน
“จากอาโรน...”เสียงที่ตนเองเอ่ยและได้ยินเจือปนทั้งความอ่อนโยน ขื่นขม ระทมทุกข์และเป็นสุขในคราวเดียวกัน น้ำเสียงที่สั่นพร่าราวกับจะร้องไห้แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าด้วยความดีใจหรือเสียใจกันแน่
“ถ้าหากท่านชอบภาพนี้ข้าก็ยินดีจะยกให้ท่าน”เป็นอีกครั้งที่เสียงของชายปริศนาทำให้เขาคืนสติ เด็กหนุ่มหันไปมองชายวัยกลางคนซึ่งกำลังยิ้มอยู่ ช่างเป็นรอยยิ้มที่เหมือนกับกำลังรอเรื่องสนุกไม่มีผิด
“คุณไม่ได้ขายมันงั้นหรือ”ที่นี่เป็นร้านขายของเก่าแล้วทำไมถึงต้องยกภาพให้กับคนที่ควรจะเป็นลูกค้าด้วยเด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยและยังไม่ไว้ใจอีกด้วย เขาเป็นเซนต์แห่งอาธีน่าแต่ชายสเป็คเตอร์คนนั้นเป็นศัตรูคู่แค้นกันแล้วจะให้เขานำภาพนี้กลับไปได้อย่างไร
“ข้าก็เพียงแค่สงสารภาพนี้ยิ่งนักเพราะว่ามันตามหาเจ้าของมันมานานแล้วและบางทีเจ้าของมันก็อาจจะเป็นท่านมิใช่หรือ อดีตร่างทรงฮาเดส...”สิ้นคำนั้นชุนก็ต้องตกใจเป็นครั้งที่สองเมื่อสิ่งที่ชายคนนั้นพูดออกมาถ้าหากไม่ใช่ผู้เกี่ยวข้องจริงๆไม่มีวันรู้เด็ดขาด
“คุณเป็นใครกันแน่!”เสียงหวานที่ตะโกนถามเต็มไปด้วยความระมัดระวังตัวสุดชีวิตโดยเฉพาะในยามที่เขาไม่มีชุดคล็อธติดกายเฉกเช่นนี้
“ข้าหรือ...ก็แค่ผู้ชมที่กำลังรอความสนุกเท่านั้นแหละ”พริบตานั้นทุกสิ่งก็ถูกปกคลุมด้วยความมืด ในวินาทีที่ดวงตากำลังจะถูกบดบังด้วยความมืดเด็กหนุ่มได้มองเห็นบางสิ่งที่คล้ายกับปีกสีดำปรากฏขึ้นเบื้องหลังของชายคนนั้นและในยามที่รอบข้างกลับมากระจ่างชัดเช่นเดิมรอบข้างของเขาก็หายไปจนหมดสิ้นเหลือเพียงพื้นที่รกร้างว่างเปล่ากับภาพของชายนามคางาโฮะที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า
“นี่มัน...เกิดอะไรขึ้นกันแน่...”
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าประตูบ้านหลังหนึ่งก็ถูกเปิดออกโดยชายหนุ่มที่ออกเดินทางไปนานกว่า 2 เดือน ร่างสูงถอดรองเท้าและเดินเข้าบ้านอย่างเงียบๆโดยไม่ได้กล่าวแม้แต่คำทักทายเพราะนั่นก็เป็นเรื่องปกติของชายหนุ่มอยู่แล้วแต่ทว่าสิ่งที่ผิดปกติก็คือร่างบอบบางของน้องชายที่น่าจะเดินเข้ามาต้อนรับเขาพร้อมกับเอ่ยทักทายตั้งแต่วินาทีแรกที่เสียงเปิดประตูดังขึ้นแล้ว
“ชุน”อิคคิลองเอ่ยเสียงเรียกแต่ก็ยังไม่มีเสียงใดตอบกลับมาทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้วกับความผิดปกติ มือแกร่งกระชับสายคล้องบนบ่าแน่นขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาในส่วนของบ้านอย่างเงียบกริบ ใจหนึ่งก็ระวังรอบข้างส่วนอีกใจก็นึกห่วงน้องชายของตนเอง
แต่แล้วความกังวลก็คลายลงเมื่อพบว่าน้องชายของตนเองนั่งอยู่บนโซฟาในห้องรับแขกโดยปราศจากอันตรายใดๆซึ่งมันทำให้อิคคิแอบถอนใจด้วยความโล่งอกไม่ได้
“ชุน”ชายหนุ่มเรียกอีกครั้งด้วยเสียงที่ไม่ได้เรียกว่าดังเลยแต่ร่างบางกลับสะดุ้งเฮือกราวถูกตะคอกก่อนจะทำท่าเหมือนรู้ตัวว่าถูกเรียกแล้วหันกลับมา
“พี่อิคคิ...”สิ่งที่อิคคิเห็นในสายตาของชุนตอนนั้นคือความตกใจระคนงุนงงก่อนจะกลายเป็นความยินดี
“ยินดีต้อนรับกลับมาครับ”ชุนเอ่ยต้อนรับด้วยรอยยิ้มเหมือนกับทุกครั้งที่พี่ชายกลับบ้าน รอยยิ้มของชุนที่ยังเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยนทำให้อิคคินึกวางใจขึ้นมามากเลยทีเดียว
“อืม”อิคคิตอบกลับไปแค่นั้นก่อนจะทิ้งตัวลงบนโซฟาข้างน้องชายก่อนจะพบกับของบางอย่างที่ถูกห่อด้วยผ้าสีขาว
“ชุน นี่มันอะไรน่ะ”เอ่ยถามอย่างนึกสงสัย ดูจากรูปร่างแล้วมันน่าจะเป็นกล่องหรือไม่ก็พวกรูปวาดแต่เท่าที่จำได้น้องชายของเขาก็ไม่ใช่คนที่สนใจศิลปะภาพเขียนมากเท่าไรนัก
“คือ...มีคนให้มาน่ะครับ พี่อิคคิรีบไปอาบน้ำดีกว่าครับเดี๋ยวผมจะทำอาหารให้ทาน”เด็กหนุ่มเอ่ยรัวเร็วจนมากเกินเหมือนจะปกปิดความลับแต่อิคคิก็ไม่ใช่คนเซ้าซี้จึงไม่คิดจะคาดคั้นทั้งยังวางของลงแล้วเดินไปอาบน้ำตามที่ชุนบอก
มื้อเย็นของทั้งคู่เต็มไปด้วยความสนุกสนานและมีความสุขตามแบบสองพี่น้องคู่นี้ ฝ่ายน้องที่เลือกจะเป็นคนถามและเล่าเรื่องของตนส่วนฝ่ายพี่ก็เลือกที่จะฟังและตอบมากกว่าที่จะเป็นคนเริ่มเล่า
ท่าทางภายนอกมันอาจดูเป็นมื้ออาหารที่แสนเย็นชาโดยเฉพาะพี่ชายที่ตอบกลับไปแบบแทบจะนับคำได้แต่ใครจะรู้บ้างว่าทุกกิริยาท่าทางของน้องชายนั้นอยู่ในสายตาของผู้เป็นพี่ตลอดเวลา โดยเฉพาะใบหน้ายามยิ้มแย้มนั้นที่อิคคิจะไม่มีวันคลาดสายตาไปเป็นอันขาด
สุดท้ายหลังมื้ออาหารชุนก็ยกจานไปล้าง ตอนแรกอิคคิจะเป็นฝ่ายจัดการให้แต่ชุนก็ให้เหตุผลว่าเขาเพิ่งเดินทางกลับมาน่าจะเหนื่อยให้ไปนั่งพักที่ห้องรับแขกหรือจะไปนอนเลยก็ได้ เขารู้ว่าชุนภายนอกดูเป็นคนว่าง่ายแต่จริงๆแล้วหัวดื้อพอสมควรชายหนุ่มจึงตัดสินใจขึ้นไปนอนโดยลืมเรื่องของสิ่งที่วางอยู่บนโต๊ะในห้องรับแขกไปเสียสนิท
“เฮ้อ...เสร็จซักที”มือสองข้างยืดไปประสานกันคลายความเมื่อยขบจากทั้งวัน จานชามถูกล้างและคว่ำไว้เรียบร้อยเหลือก็เพียงจัดเก็บของในบ้านทุกอย่างให้เรียบร้อย แต่เพียงแค่คิดถึงสิ่งที่ถูกวางอยู่ในห้องรับแขกเด็กหนุ่มก็รู้สึกสับสนเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรกับมันดี
ในคราวแรกที่รู้สึกตัวเขาคิดจะรีบกลับบ้านทันทีแต่แล้วไม่รู้ว่าสิ่งใดดลใจให้เขาหยิบผ้ามาคลุมภาพสีน้ำมันที่ถูกวางทิ้งไว้แล้วนำมันกลับมาที่บ้านและโดยไม่รู้ตัวเขาเผลอจดจ้องสิ่งนั้นเนิ่นนานตั้งแต่วินาทีแรกที่มันถูกวางลงบนโต๊ะ เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมตนเองถึงจ้องมันอยู่เช่นนั้นทั้งที่เอาผ้าคลุมไว้จนไม่เห็นตัวภาพแล้วแท้ๆ
“คนๆนั้นเป็นใครกันแน่”หวนนึกถึงชายวัยกลางคนผู้ที่มอบภาพนี้ให้กับเขา ชายผู้มาพร้อมกับปีกสีดำและรอยยิ้มมากเล่ห์
แต่คิดเท่าไรเด็กหนุ่มก็คิดไม่ออกจึงเลิกที่จะคิดมันและตัดสินใจนำภาพนั้นไปเก็บไว้ในห้องนอนของตัวเองก่อน ระหว่างที่ถืออยู่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น เขายังคงมีสติดีและไม่ได้ยินเสียงแปลกๆมันทำให้ชุนโล่งใจ เมื่อเข้ามาในห้องนอนชุนจึงรวบรวมความกล้าดึงผ้าที่ห่อภาพไว้ออก
ภาพของชายหนุ่มผู้มีใบหน้าดุดันปรากฏขึ้นอีกครั้ง สองมือจับไว้ที่ขอบภาพเพราะอยากจะดูภาพนั้นให้ชัดๆและยิ่งดูชุนก็ยิ่งรู้สึกว่าเกือบทุกอย่างของชายในภาพนั้นช่างเหมือนกับพี่ชายของเขาจริงๆ
“ทำไมถึงได้เหมือนกับพี่อิคคิแบบนี้นะ”ไม่ว่าจะใบหน้า แววตาหรือท่าทางล้วนแต่เหมือนกันจนราวกับเป็นคนๆเดียวกันจนทำให้รู้สึกเหมือนกับผูกพันหรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้เขานำภาพนี้กลับมากันนะ
ดวงตาคู่สวยมองไล่ไปทั่วภาพและมาหยุดที่ข้อความสีทองบนภาพอีกครั้งหนึ่ง ปลายนิ้วลูบไล้ลงไปบนข้อความบนภาพที่ยังคงแจ่มชัดเช่นเดียวกับตัวภาพที่สีดำนั้นไมได้จางลงเลยราวกับว่ามีชีวิตอยู่
“เดี๋ยวสิ...ภาพวาดอย่างงั้นเหรอ”พลันนั้นเด็กหนุ่มกลับนึกได้ถึงเรื่องบางอย่างที่เคยได้รับการถ่ายทอดมาจากโกลด์เซนต์ไลบร้า โดโก
“สงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อ200ปีก่อน...ถ้าจำไม่ผิดท่านผู้เฒ่าได้กล่าวถึงเรื่องของภาพวาดด้วยนี่นา”เด็กหนุ่มหลับตาแล้วหวนระลึกถึงช่วงที่พักรักษาตัวอยู่ในเซงค์ทัวรี่หลังจบศึกขึ้นมา ในวันนั้นท่านผู้เฒ่าได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับสงครามศักดิ์สิทธิ์เมื่อครั้งที่แล้วให้ฟัง
เมื่อ 200กว่าขวบปีก่อน เมื่อครั้งที่ข้ายังเยาว์วัยนักข้ามีน้องชายอยู่คนหนึ่ง ไม่ใช่น้องชายแท้ๆหรอกแต่ก็เป็นน้องชายคนสำคัญของข้า เขาคือเพกาซัส เท็นมะชายผู้เป็นเพื่อนกับร่างทรงของจ้าวนรกฮาเดสผู้มอบภาพวาดผืนสุดท้ายให้กับโลกใบนี้โดยใช้ท้องฟ้าแทนผืนผ้าใบและใช้เลือดกับดวงวิญญาณประหนึ่งสีวาดภาพ ภาพนั้นมีชื่อว่าLost Canvas…
“ชื่อของร่างทรงฮาเดสคนก่อนก็คือ อาโรน!”ตอนนี้ชุนรู้สึกเย็นวาบไปทั่วร่างกาย มือทั้งคู่เผลอสั่นขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัวเพราะมันหมายความว่าภาพที่เขาถืออยู่คือภาพที่ฮาเดสเป็นคนวาดมิใช่หรือ!
ชุนจ้องภาพของชายในภาพอีกครั้งอย่างไม่เชื่อสายตาตนเองและหากลองเพ่งสมาธิดีๆแล้วเขาก็เริ่มรู้สึกถึงขุมพลังบางอย่างที่แฝงอยู่ในสีเหล่านั้นและมันคือพลังที่เขารู้จักดีที่สุด
คอสโมของฮาเดส!
“นี่คือภาพวาดของฮาเดสงั้นเหรอ”ความรู้สึกหวาดหวั่นเริ่มก่อเกิดขึ้น เด็กหนุ่มพยายามที่จะนึกถึงคำพูดของท่านผู้เฒ่าที่เล่าเรื่องราวนั้นต่อทั้งที่ร่างกายกำลังสั่น
น้อยคนนักที่จะเข้าใจว่าเท็นมะต้องสู้ด้วยความรู้สึกแบบใดกันในยามที่เพื่อนรักของตนเองต้องกลายเป็นผู้ทำลายล้างโลกนี้และน้อยคนยิ่งกว่าที่จะมีคนเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่จ้องทำลายล้างโลกใบนี้ คนที่ข้ารู้ก็มีเพียงคนเดียว
สเป็คเตอร์หนุ่มผู้สวมใส่เซอร์พริสเบนูและมาพร้อมกับเพลิงกาฬสีทมิฬ...ชายผู้ซึ่งได้ให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องจ้าวนรกนามของเขาก็คือ....
“นามของเขาก็คือ....”ริมฝีปากเอ่ยออกมาอย่างควบคุมไม่ได้ ได้ยินอีกครั้งกับเสียงของชายหนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ควรจะรู้จักแต่กลับคุ้นเคยราวกับเป็นเสียงของตัวเอง เสียงที่เอ่ยเรียกนามของบุคคลในภาพ
“คางาโฮะ....”และในวินาทีนั้นคอสโมจำนวนมหาศาลก็พุ่งพล่านออกมาจากภาพวาด มันคือคอสโมสีดำสนิท....
“ไม่นะ!”ร่างบางเผลอร้องออกมาเมื่อคอสโมที่ราวกับเพลิงสีทมิฬนั้นพุ่งเข้ามาหาตนและล้อมรอบกายของตนเองเอาไว้อย่างไม่อาจหนีพ้น
“ไม่ อย่าเข้ามา!”อาจจะฟังดูน่าสมเพชที่แสดงความหวาดกลัวออกมาแต่สำหรับผู้ที่เคยถูกฮาเดสสิงแล้ว คอสโมของฮาเดสถือเป็นสิ่งที่น่าพรั่นพรึงเป็นที่สุด แต่ท่ามกลางคอสโมสีดำนั้นชุนกลับได้ยินเสียงของใครคนหนึ่ง
....น....ท่าน.....
“นี่มันเสียงใครกัน...”เสียงที่คล้ายกับเสียงของพี่อิคคิแต่ว่า....
ท่านอาโรน.....
“ไม่ใช่ ผมคือชุน ผมไม่ใช่อาโรน”ร้องปฏิเสธพลางหลับตาแน่นและในวินาทีนั้นก็เกิดเสียงดังขึ้น
ปัง!
“ชุน!”มันคือเสียงประตูห้องที่เปิดออกอย่างรุนแรงด้วยฝีมือของอิคคิที่รีบวิ่งมาหาเพราะรู้สึกได้ถึงพลังคอสโมอันดำมืดนี้แต่นั่นก็เป็นความคิดที่ผิดเพราะพริบตาที่อิคคิส่งเสียงเรียกชุนคอสโมเหล่านั้นก็ได้เปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นตัวเขาแทน
“อ้าก!!!!!!!!!!!!!!!”
“พี่อิคคิ!”เด็กหนุ่มลุกขึ้นและรีบวิ่งเข้าไปหาพี่ชายของตนเองในทันที อิคคิร้องด้วยความเจ็บปวดสองมือกุมหัวที่เหมือนกับจะแตกเป็นเสี่ยงและพร้อมกับคอสโมสีดำที่กำลังแทรกซึมเข้าไปในร่าง ชุนไม่อาจทำอะไรได้เลยกระทั่งจะเข้าใกล้ก็ยังทำไม่ได้เพราะคอสโมสีดำพวกนั้นคอยขัดขวาง
“พี่อิคคิ!”ชุนร้องเรียกอีกครั้งด้วยน้ำเสียงอันปวดร้าวแต่ทุกอย่างก็ยังดำเนินต่อไปจนกระทั่งคอสโมสีดำเข้าไปในร่างของอิคคิจนหมดสิ้น
เสียงร้องของอิคคิหยุดลง สองมือทิ้งลงข้างตัว ไม่มีกระทั่งเสียงหอบมีเพียงเสียงของลมหายใจที่ผ่อนออกมายาวๆก่อนที่ดวงตาสีดำสนิทจะมองกลับมายังเด็กหนุ่ม แต่แววตานั้นกลับไม่ดูเหมือนพี่ชายของเขาเลยแม้แต่นิดเดียว
“พี่อิคคิ....”เป็นครั้งแรกที่ชุนเรียกชื่อของพี่ชายได้ยากลำบากเหลือเกินเมื่อต้องเผชิญหน้ากับดวงตาสีดำที่ดุดันและแข็งกร้าวยิ่งกว่าสิ่งใด ทั้งสองสบตากันเนิ่นนานจนกระทั่งมีคนหนึ่งเอ่ยทำลายความเงียบ
“ข้าไม่ได้มีนามเช่นนั้น”เสียงที่ยังคงเป็นเสียงของอิคคิแต่ถ้าหากชุนไม่ได้ฟังผิดไปเขากลับรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งที่คล้ายคลึงกับเสียงของอิคคิแทรกเข้ามา
“ข้าคือสเป็คเตอร์แห่งดาวพยศนภาเบนู คางาโฮะ”
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ