เอล คนทะลุมิติ chapter 1

-

เขียนโดย pong43

วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.34 น.

  48 ตอน
  0 วิจารณ์
  56.27K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 20.29 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

6) เอล คนทะลุมิติ ตอนที่ 6

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
ปริศนาแห่งพลัง      
 
                พวกเหนือมนุษย์ มีพลังอำนาจเหนือโลก ซ่อนเร้นกายปะปนอยู่กับมนุษย์บนโลก            
                               
ที่สนามฟุตบอลของโรงเรียน
เอล ลองก์ จังก์และหว่อง เด็กหน้าตี๋นั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างสนาม
                “นายได้ยินเรื่องฮีโร่ที่กำลังเป็นข่าวหรือเปล่า...” ลองก์หันมาถามเอล
                “ฮีโร่เหรอ...” เอลพูดโดยหันไปทางอื่น “ฮีโร่นั่นไม่มีจริงหรอก...มันแค่เล่นข่าวกันไปเอง”
                “เล่นข่าว” ทุกคนพูดขึ้นพร้อมกัน
“เล่นข่าวบ้าอะไรกัน ฉันว่านั่นเป็นเรื่องจริงนะ..ไม่งั้นข่าวคงไม่ดังแบบนั้นหรอก” ลองก์พูดเสียงดัง
“ไร้สาระ ฮีโร่มีแต่ในคอมมิคเท่านั้น” เอลพูดพลางเหมือนคิดถึงเรื่องๆหนึ่งขึ้นมาแต่ก็ยังพูดต่อ “..มันเป็นแค่ตัวละครในฝันของเด็กๆ เท่านั้นไม่มีสาระอะไรสักนิด....”
                “ก็คงเป็นอย่างที่นายพูดแหละ..” ลองก์พูดประชด
                “ฉันน่ะไม่เคยเชื่อเรื่องฮีรงฮีโร่มาตั้งแต่แม่ฉันตายแล้วล่ะ ถ้ามีฮีโร่จริง...แม่ฉันคงไม่ตายหรอก” พูดจบเอลก็หลับตา
                “ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรเลย” ลองก์เถียงขึ้น
“ทำไมจะไม่เกี่ยว”
“เกี่ยวอะไรกันล่ะ ฮีโร่จะเก่งไปทุกเรื่องได้ไง…นายพูดเหมือนกับว่าฮีโร่อยู่กับแม่นายตรงนั้นแล้วไม่ช่วยแม่นาย”
“เอาอีกแล้วลองก์..” จังก์หันมาโวยลองก์ลั่น “ไอ้บ้า…นายไปสะกิดเรื่องเก่าของเอลอีกแล้วนะ”
ลองก์สั่นศีรษะและยกมือตบไหล่เอลเบาๆ
                “โทษที”
“ไม่เป็นไร...” เอลพูดพลางมองตรงไปยังสนามฟุตบอลซึ่งนักเรียนกลุ่มหนึ่งกำลังเตะบอลกันอย่างสนุกสนาน แต่จิตใจของเขาในตอนนี้กลับล่องลอยไปไกลเสียแล้ว
               
นายพูดถูก...
ฮีโร่อยู่ตรงนั้นแต่ช่วยแม่ไม่ได้จริงๆ...
ไม่สิ ฉันไม่ใช่ฮีโร่...
แม่ฉันไม่ตายแน่ถ้าฮีโร่มีอยู่ในโลกนี้จริง…
ถ้าฉันเป็นฮีโร่จริง…วันนั้นต้องช่วยแม่ได้แล้ว...
แม่ครับ ผมคิดถึงแม่....
 
                เอลพึมพำอยู่คนเดียว ความคิดคำนึงย้อนกลับไปสู่สมัยที่เขาอายุแค่แปดขวบ
บ่ายวันนั้น เป็นเวลาเลิกเรียน เอลไม่มีวันลืมวันนั้นได้เลยตลอดชั่วชีวิตนี้ เขาเป็นเด็กตัวเล็กมากกว่าเด็กวัยเดียวกัน เขาสะพายเป้ใบใหญ่เกินตัวไว้ด้านหลังและเดินเบียดเสียดในกลุ่มเด็กซึ่งกำลังเดินออกจากโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน
                นักเรียนเดินบนทางเท้าตามกันไปเป็นทิวแถวทั้งเด็กเล็กและเด็กโต เขาเดินไปก็พยายามหันหลังกลับไปมองแม่ทางด้านหลัง ปกติทุกวันแม่จะมารับเขา เขาสงสัยว่าวันนี้แม่ไปไหน ทำไมไม่มา แม่ไม่เคยมาสาย เขาคิดว่าแม่คงจะติดธุระจึงตัดสินใจเดินกลับบ้านเองเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นเขายังเด็กเกินกว่าที่จะรู้จักกับคำว่าอันตราย เขาอยากจะลองกลับบ้านด้วยตัวเองมานานแล้วแต่แม่ไม่ยอม ทั้งที่บ้านอยู่บนฝั่งถนนเดียวกันและห่างไปไม่ไกลนักไม่ต้องข้ามถนนใหญ่ แต่แม่ก็ยังไม่ยอม เขาคิดว่าการเดินกลับบ้านด้วยตัวเองเป็นสัญลักษณ์ของลูกผู้ชายแบบหนึ่ง เขาเดินไปคิดไปว่าจะได้อวดกับแม่ในทันทีที่ได้พบหน้าแม่ที่บ้าน
บ้านของเขาอยู่ห่างจากโรงเรียนไม่ถึงสองร้อยเมตร แต่ก็มีซอยเล็กเป็นถนนเลนเดียวตัดผ่านถึงสามถนนด้วยกัน  
เมื่อเอลก้าวเท้าข้ามถนน รถยนต์คันหนึ่งซึ่งวิ่งเลี้ยวมาด้วยความเร็วสูงได้พุ่งเข้าหากลุ่มเด็กที่ข้ามถนนนั้น คนขับรถเหยียบเบรกสุดฤทธิ์แต่ก็พุ่งเข้าชนเอลซึ่งอยู่หน้าสุด
ในพริบตานั้นร่างๆหนึ่งก็พุ่งเข้ามาผลักร่างของเอลให้พ้นไปจากวิถีการชนนั้นอย่างหวุดหวิด
“เอี้ยดดดด”
คนๆนั้นรับเอาแรงกระแทกไปเต็มๆ ร่างนั้นกระเด็นไปแน่นิ่งกับพื้นห่างไปไม่ไกลนัก เลือดไหลทะลักจากปากไม่หยุด ขณะที่สายตานั้นยังจับจ้องมาที่เอลซึ่งนั่งจ้ำเบ้าอยู่ที่พื้นในสภาพตกใจตาเหลือกลานพร้อมๆกับเด็กอีกหลายคนทางด้านหลัง
เอลแทบไม่เชื่อสายตา คนๆนั้นคือแม่ของเขานั่นเอง หญิงวัยสามสิบเศษยิ้มอย่างดีใจ ทั้งที่ได้รับบาดเจ็บจนไม่มีแรงขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้อีกแล้ว ตาของเธอปิดไปข้างหนึ่งแต่เธอก็ยังยิ้มออก เธอปลื้มใจที่ได้ช่วยชีวิตลูกชายของตนเองไว้
“แม่มมมมมมมมมมมมมม” เอลร้องขึ้นอย่างเสียขวัญขณะที่ดวงตาของแม่กำลังจะปิดลง เอลกระโจนไปหาแม่อย่างรวดเร็ว แต่แม่กลับฟุบไปกับพื้นถนนเสียก่อน
“แม่อย่าเป็นอะไรนะแม่”
เอลร้องลั่นพยายามดึงแม่ให้ลุกขึ้นทั้งที่ไม่มีแรงสักนิด ที่สุดจึงก้มลงกอดร่างของแม่ไว้แน่น
 
แม่ไปธุระทำให้มารับเขาที่โรงเรียนไม่ทัน เมื่อเธอแน่ใจว่าเอลออกจากโรงเรียนแล้วจึงกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามหาเอลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพบเอลกำลังเดินดุ่มๆข้ามถนนหน้าปากซอย และเห็นรถยนต์ซึ่งเสียหลักจะพุ่งเข้าชนเขา  เธอจึงกระโจนเข้าไปขวางร่างเขาไว้อย่างไม่เกรงกลัวความตายสักนิด
 
วันนั้น
เอลรู้สึกได้ถึงจิตของแม่ที่กำลังหลุดออกจากร่าง เวลานั้นรวดเร็วมาก จิตของแม่ยืนยิ้มและมองมาที่เขาปากก็พร่ำบ่นว่า ไม่เป็นไรแล้วลูก เขามองสลับกับร่างแม่ที่กอดเขาเอาไว้แน่น จู่ๆ ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าส่องลงมายังแม่ที่ยืน แสงสว่างนั้นกลืนกินร่างแม่จนหายไป เขาอ้าปากค้าง เหลือร่างกายไร้วิญญาณของแม่ซึ่งเขาโอบกอดอยู่เท่านั้น
เขารู้ได้ในทันทีว่านั่นคือ จิตหรือวิญญาณของแม่ซึ่งจากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว เขาได้แต่ตะโกนเรียกแม่เสียงลั่น
“แม่มมมมมมมมมมมม”
เขามองใบหน้าอันอิ่มเอมของแม่ซึ่งจับมือเขาไว้แน่น แม่หลับตาเหมือนนอนหลับฝันดี เขาจึงรู้ในทันทีว่าแม่จากไปอย่างเป็นสุขแล้ว เธอดีใจที่ได้เห็นลูกชายตัวน้อยปลอดภัย เธอตายตาหลับแล้ว
ภาพรอยยิ้มสุดท้ายของแม่ยังตราตรึงใจเขามาจนทุกวันนี้ และทุกครั้งที่มีปัญหาในชีวิตเขาจะนึกถึงยิ้มของแม่ในวันนั้น เขาจะรู้สึกชื่นใจและมีกำลังใจขึ้นอย่างประหลาด
แม้ว่าเขายังเด็กเกินกว่าจะเข้าใจและยอมรับในการสูญเสียนั้นได้ เขารับรู้เพียงอย่างเดียวว่าแม่ได้จากไปโดยไม่มีวันหวนกลับอีกแล้ว และเขาคือต้นเหตุที่ทำให้แม่ตาย
                “ฮือฮือ ฮือ ทำไมไม่มีใครช่วยแม่ ทำไม.... ฉันทำให้แม่ตายๆ”
แม่ตายแทนเขา เขาตำหนิตนเองมาตั้งแต่นั้น เขาจะเป็นฮีโร่ได้อย่างไรกันในเมื่อยังไม่สามารถปกป้องแม่ของตนเองได้
แต่..นั่นเป็นครั้งแรกที่เขาพบความสามารถของตนเอง ความสามารถในการมองเห็นจิตของมนุษย์ซึ่งอยู่คนละมิติ เขาเห็นจิตของแม่ซึ่งกำลังจะเดินทางไกลไปยังโลกซึ่งเขาไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเป็นโลกอันใด แต่มันมีโลกนั้นอยู่อย่างแน่นอน เขาเชื่อเช่นนั้นมาตั้งแต่เด็ก
เขารู้ว่า นาทีสำคัญที่จิตมนุษย์กำลังออกจากร่าง มิได้มีให้เห็นกันบ่อยนัก โอกาสที่จะเห็นใครสักคนในจังหวะความเป็นตายนั้นเป็นเรื่องยากมากทีเดียว
หลายปีต่อมา ลุงเง็นซึ่งอยู่บ้านติดกันก็หัวใจวายและตายลงอย่างกะทันหัน จึงเป็นคนที่สองที่เอลได้เห็นสภาวะที่จิตออกจากร่าง เขาจำได้ว่าวันนั้นก็เป็นวันที่บังเอิญสุดๆ เขาเพิ่งเดินเข้าบ้าน เขาเห็นจิตของลุงเง็นอันเลือนรางยืนอยู่ที่หน้าบ้านมองมาที่เขา เขาก็รู้ได้ในทันทีว่าลุงเง็นคงตายแล้ว ลุงยิ้มให้เขา ใบหน้าของลุงเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เพราะกำลังจะได้เผชิญหน้ากับโลกอีกมิติหนึ่ง ลุงรู้ว่าเขามองเห็นจึงพูดกับเขา
                “ลาก่อนนะเอล”
เวลานั้นเอลอยากจะรู้ว่าลุงจะไปยังสถานที่ใดกันแน่ เขาอยากตามไป ดินแดนนั้นคงเป็นดินแดนเดียวกันกับที่แม่ของเขาเดินทางไปในวันที่แม่จากโลกนี้ไป โลกต่างมิติอันใดกันที่จิตมนุษย์จะเดินทางไปหลังจากสิ้นอายุขัยเป็นปริศนาสำหรับเขา เขาวิ่งโผเข้าไปหาลุง แต่แล้วแสงสว่างเจิดจ้าก็สาดส่องลงมาอย่างไม่บอกกล่าวกลืนร่างของลุงจนหายไปต่อหน้าต่อตา และจนถึงเวลานี้เขาก็ยังไม่เคยเดินทางไปยังโลกมิตินั้นได้เลยสักครั้งแม้ว่าเขาจะมีโอกาสพบเห็นการตายอย่างกระทันหันของผู้คนที่ทั้งรู้จักและไม่รู้จักอีกหลายครั้งก็ตาม
เรื่องนี้เป็นปริศนาซึ่งเขาพยายามหาคำตอบมาตลอด แต่ก็ไม่เคยได้รับคำตอบ เขาคิดได้เพียงอย่างเดียวว่าแม่เดินทางไปยังโลกซึ่งเป็นที่อยู่หลังความตายของมนุษย์อย่างแน่นอน และโลกนั้นเป็นโลกต่างมิติที่เขาไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร นอกเสียจากเขาจะตาย ไม่เช่นนั้นไม่มีทางไปที่นั่นได้
หลังจากที่แม่จากไปได้ไม่ถึงสองปี ในวัยเก้าขวบ เอลก็ได้พบกับความสามารถเหนือมนุษย์ที่ทำให้เขาก้าวข้ามไปยังโลกอีกมิติหนึ่งได้ เปรียบเสมือนห้องกว้างๆในจักรวาลซึ่งเขาสามารถเดินเข้าไปแล้วทำให้ไม่มีใครสามารถเห็นตัวตนของเขา แต่จะเข้าไปได้ก็ต่อเมื่อเขาวิ่งหรือเพิ่มความเร็วในกับตนเองเหนือความเร็วปกติของโลก
นั่นคือพลังเหนือมนุษย์ที่ทำให้เขาทำเช่นนั้นได้ ภายหลังเขาจึงได้รู้ว่าตอนที่เขาเห็นจิตของแม่และลุงนั้น เขาได้เพิ่มความเร็วให้กับตนเองโดยไม่รู้ตัว มันคือการเพิ่มความเร็วให้กับจิตโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง
                ความเร็วเหนือความเร็วโลกนั้นทำให้เขาไปยืนอยู่ยังขอบเขตหนึ่งซึ่งเป็นทางเชื่อมต่อไปยังโลกต่างมิติต่างๆ เขาอยู่ในขอบเขตนั้นได้เพราะความเร็ว แต่เขากลับไม่สามารถข้ามขอบเขตนั้นไปยังโลกต่างมิติเหล่านั้นได้อย่างที่ต้องการ เขากำลังพยายามหาทางข้ามพ้นข้อจำกัดนี้ และถ้าเขาข้ามพ้นไปได้ เขาก็จะสามารถแก้ปริศนาตัวตนของเขาได้   
ปริศนาคือความลับเหนือการรับรู้ทั้งมวลของเขา ทั้งที่เขาพยายามค้นคว้าหาคำตอบมาตลอด แต่ก็คว้าน้ำเหลว มันไกลเกินกว่าจินตนาการที่เขาจะรับรู้ได้ เขาอยู่ในนั้นเฝ้ามองโลกอีกฝากหนึ่งซึ่งเขาอยากทะลุข้ามไปแต่ก็ทำไม่ได้ มันคล้ายประตูคลื่นน้ำยืดหยุ่น พยายามกระแทกเข้าไปก็กระเด็นออกมา  
สิ่งที่เขาทำได้ก็คืออยู่ในนั้นเหมือนมนุษย์ล่องหน ยิ่งเขาเพิ่มความเร็วมากขึ้นเขาก็จะเห็นบรรยากาศโลกมากขึ้น เขาจึงสามารถเดินไปไหนต่อไหนโดยไม่มีใครเห็นเขา เขามักไปยังสถานที่ต้องห้ามซึ่งเด็กนักเรียนห้ามเข้าหลายแห่ง เช่นห้องพักครู เขาเข้าไปแอบอ่านเฉลยข้อสอบและแอบมองผลสอบของครูอยู่เสมอ ห้องทำงานของผู้จัดการร้านสะดวกซื้อที่คับแคบอย่างกับรูหนูหรือบ้านของผู้มีฐานะสุดโต่งซึ่งมีห้องน้ำใหญ่กว่าห้องพักของเขาก็เข้ามาแล้ว และสถานเริงรมย์บาร์และร้านเหล้าซึ่งห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี เข้า ซ่องอันธพาลแถวบ้าน ห้องนิรภัยซึ่งเก็บเงินไว้จำนวนมหาศาลในธนาคารใกล้ๆโรงเรียน ห้องประชุมของบริษัทเอสยักษ์ใหญ่ในตึกสูงเสียดฟ้ากลางนีโอทาวน์ สถานที่เหล่านี้เขาแอบเข้าไปเดินเล่นมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เขาคิดว่านั่นเป็นการเปิดโลกแห่งจินตนาการซึ่งมีอยู่จริงสำหรับเด็กอย่างเขา แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรเกินเลยไปมากกว่าการเรียนรู้ เขาบอกกับตนเองว่าจะไม่หยิบฉวยของผู้อื่นแม้นมีโอกาสทำได้ หลายครั้งที่เขาอยากจะหยิบเงินปึกหนึ่งออกมาจากธนาคารเพื่อไปจ่ายค่าเช่าห้องหรือแม้กระทั่งซื้อโทรศัพท์มือถือเครื่องใหม่ เขานึกถึงคำสอนของแม่ที่พร่ำเตือนให้เป็นคนดีไม่เป็นขี้ขโมย เขาจึงยับยั้งชั่งใจไว้ได้ทุกครั้ง    
เขาคิดเสมอว่าเขาไม่ใช่มนุษย์อย่างผู้คนทั่วไปบนโลกสีน้ำเงินใบนี้อย่างแน่นอน ความสามารถเทียบเคียงพระเจ้าเช่นนี้ไม่ใช่ความสามารถของมนุษย์ธรรมดา เขาเป็นใครกันแน่นะ เขาคือพวกเหนือมนุษย์ เขาเรียกตัวเองเช่นนั้น เหมือนมีอะไรบางอย่างมาบอกกับเขาว่าเขามีชื่อเรียกเช่นนี้ เผ่าพันธุ์พิสดารซึ่งหลงเหลืออยู่บนโลกอย่างโดดเดี่ยว เขาคิดว่าคงไม่มีใครในสังคมยอมรับมนุษย์ประหลาดอย่างเขาได้เป็นแน่
เขามองผู้คนมากมายที่เดินผ่านหน้าเขาไปขณะเพิ่มความเร็วให้เหนือความเร็วโลกทำให้หายตัวไปจากโลกที่เขายืนอยู่ เขามักไปยืนอยู่ที่จัตุรัสไทม์แสควร์ และเฝ้ามองหามนุษย์ซึ่งมีความสามารถเหมือนกับเขา แม้นไม่เหมือนกับเขาก็อาจจะมีความสามารถแบบอื่นซึ่งแตกต่างกัน
มีพวกนั้นอยู่บนโลกหรือไม่  ไม่ต้องโลกนี้ก็ได้ โลกต่างมิติอื่นซึ่งเขาก้าวข้ามไปไม่ได้นั้น อาจจะมีพวกเดียวกับเขาอยู่  แต่ถ้ามีอยู่จริงเขาก็น่าจะรับรู้เรื่องนี้มาได้ตั้งนานแล้ว ที่ได้ยินก็มีเพียงเรื่องในนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น พวกผ่าเหล่าซึ่งมีอำนาจเหนือผู้คนมากมายบนโลก มันเป็นแค่จินตนาการของผู้คนทั้งหลายในสังคม
เขามักขึ้นไปนอนบนหลังคามองขึ้นไปบนท้องฟ้ายามดึกซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวและคิดว่าเขามาจากดาวดวงใดในจักรวาลกันแน่ เขามายังโลกสีน้ำเงินนี้ด้วยจุดประสงค์อันใดกันล่ะ
ไม่มีคำตอบ แต่เขาคิดว่าจะหาคำตอบได้ก็ต้องหาพวกเดียวกันให้พบ ต้องมีคนที่เป็นแบบเขาอยู่บนโลกนี้แน่ เขารู้สึกว่าต้องมี เขาสัมผัสถึงพลังคุกรุ่นในที่ไกล มันคือคนพวกนั้น แต่ทำไมเขากลับไม่เคยพบเห็นพวกนั้นสักคน หรือว่าสิ่งที่เขาสัมผัสได้นั้นอยู่ข้ามขอบเขตของโลกต่างมิติไป หรือว่าถ้าก้าวพ้นขอบเขตนั้นไปได้ เขาจะพบพวกเดียวกัน เขาคิดไม่ออกว่าหากได้เจอกับพวกเดียวกัน เขาจะวางตัวอย่างไรดี
อย่างไรเสียเขาก็ยังอยากจะเจอคนพวกนั้น เพราะหากได้พบเจอเขาคงสามารถแก้ปริศนาเกี่ยวกับตัวตนของเขาได้อย่างแน่นอน
…………

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา