เอล คนทะลุมิติ chapter 1
เขียนโดย pong43
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.34 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 20.29 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
7) เอล คนทะลุมิติ ตอนที่ 7
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเอล....
วันนั้น
ขณะที่ผมกำลังวิ่งหนีพวกเด็กนักเรียนอันธพาลเจ็ดคนซึ่งคอยจ้องทำร้ายผมอยู่เป็นประจำ ผมวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิตทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับพวกมัน
วิ่ง วิ่ง วิ่ง วิ่ง หนีไปให้พ้นเท่านั้นจึงจะไม่เจ็บตัว ผมตัวเล็กกว่า สู้ไปก็มีแต่เจ็บตัวเปล่า
แต่หลายครั้งเมื่อจนตรอก ผมจึงหันเข้าสู้ แต่ก็ไม่เคยสู้ได้สักครั้งเพราะพวกมันเยอะกว่า ถ้าสักสองต่อหนึ่งก็ยังพอไหว เมื่อเจ็บตัวสะบักสะบอมกลับไปถึงบ้านก็โดนพ่อดุด่า พ่อคิดว่าผมชอบทะเลาะวิวาท พ่อจึงลงโทษด้วยการหวดด้วยไม้เรียวซ้ำอีก ผมเจ็บตัวสองต่ออยู่บ่อยๆ
หลังๆ ผมจึงตั้งใจว่าถ้าเจอเจ้าพวกนี้เมื่อใดต้องวิ่งหนีอย่างเดียว อย่าได้สู้กับมันเด็ดขาด
พ่อสอนเสมอว่า คนฉลาดต้องไม่เผชิญหน้า จงหนี ไม่ตอบโต้ด้วยกำลัง แม้จะสู้ได้ก็ตาม เพราะถ้าเราตอบโต้กลับ เราก็ไม่ต่างจากพวกนั้น หลายครั้งผมคิดว่าคำสอนของพ่อเป็นความคิดของคนอ่อนแอ ที่ผมยืนแลกหมัดกับพวกมันขณะจนตรอกก็เพราะว่าต้องการแสดงให้พวกมันรู้ว่าผมไม่ใช่คนอ่อนแอ
ทุกครั้งที่ผมวิ่งหนีเพียงเพราะไม่อยากโดนพ่อทำโทษเท่านั้นไม่ใช่เพราะผมกลัวหรอกนะ ผมยอมเจ็บตัวยังดีกว่าก้มหัวให้พวกมัน
วันนั้นมันมากันเจ็ดคน มากกว่าทุกครั้ง เจ็ดคน ผมคงไม่มีทางเอาชนะมันได้แน่
ผมวิ่งๆ ๆ ๆ อย่างไม่คิดชีวิต ผมวิ่งได้เร็วกว่าพวกมันเสมอ ผมวิ่งจนไปหยุดยืนอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง ผมหยุดวิ่งเพราะแน่ใจว่าพวกมันไม่ได้วิ่งตามมาแล้ว มันหายไปไหนกันล่ะ บริเวณนั้นมืดยังไงชอบกล ผมมองสำรวจไปรอบๆ สงสัยว่ามันที่ไหนกันล่ะ..บรรยากาศรอบข้างค่อยๆมืดลงอย่างรวดเร็ว ทุกอย่างเงียบไปหมด เสียงรถราซึ่งดังอยู่ก่อนหน้าก็หายไปหมด มันเงียบวังเวง แสงสว่างหายไปหมด แต่สายตากลับพบกับจุดสว่างเล็กๆ ปรากฏหลงเหลืออยู่ในที่ไกลๆ ผมจึงวิ่งเข้าไปหา แต่แสงนั้นกลับค่อยๆ เล็กลงเหมือนถอยหลังหนีห่างผมออกไป มีอะไรบางอย่างบอกในใจว่า ที่นี่ไม่ใช่โลกมนุษย์ ถ้าไม่ใช่โลก แล้วมันที่ไหนกันล่ะ ผมพลัดหลงไปในสถานที่ซึ่งไม่ใช่โลกอย่างนั้นหรือ ผมตัดสินใจวิ่งตามจุดสว่างเล็กๆนั้น ผมวิ่งเร็วขึ้น ๆ แล้วผมก็พบว่าด้านข้างทั้งซ้ายขวากลับสว่างขึ้นอย่างผิดสังเกตุ ยิ่งผมวิ่งเร็วขึ้นทางทั้งสองข้างก็ยิ่งสว่างขึ้น กระทั่งผมเห็นบรรยากาศด้านนอก
ผมพบว่ากำลังวิ่งอยู่บนถนนใกล้ๆ บ้าน รถยนต์คันหนึ่งวิ่งสวนเข้าหาผม ผมสะดุ้งด้วยความตกใจแต่รถยนต์นั้นกลับพุ่งทะลุตัวผมไป ผมกระโจนหลบเข้าข้างทางและพบว่าโลกมืดลงอีกครั้ง ผมลุกขึ้นยืนตัวค้างมองไปรอบตัวด้วยความสงสัย ก็พบว่าจุดสว่างเมื่อครู่นั้นอยู่ทางด้านหลังของผม
นี่มันที่ไหนกันนะ..
ผมร้องออกไปเพราะคิดว่าคงจะมีคนได้ยินเสียงของผม แต่ไม่มี ผมเริ่มกลัว ในความมืดความหนาวเย็นเริ่มสัมผัสผิวกายของผม มันเย็นยะเยือกทั้งที่ตอนนี้มันเป็นฤดูร้อนแท้ๆ
ผมมองจุดสว่างและออกเดินตามมันไปเรื่อยๆ เพื่อหาทางออก เกือบชั่วโมงแล้วที่เดินตามจุดสว่างที่ไม่มีวันเดินไปถึง ด้วยความกลัวว่าจะไม่ได้พบทางออกสู่โลกภายนอกอีกแล้ว
“ช่วยด้วยยยยยยยยยยยยย”
จู่ๆผมก็ร้องออกมาด้วยความกลัวสุดขีด ผมคิดว่าที่ซึ่งผมยืนอยู่นี้อาจจะคือแดนนรก เป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางเข้าไปในโลกอีกมิติหนึ่ง แต่ผมกลับคิดว่าตนเองตายไปแล้วและกำลังหลงทางในโลกวิญญาณ
แต่มันคือโลกต่างมิติ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้สัมผัสขอบเขตแห่งโลกต่างมิติ
ตาย…
พอนึกเรื่องความตาย ก็รู้สึกกลัวจนตัวสั่น ที่สุดก็รวบรวมความกล้าร้องออกมาว่า จะกลัวไปทำไมกับความตาย แต่จู่ๆ อะไรบางอย่างก็บอกผมในใจ เมื่อครู่ผมวิ่งด้วยความเร็วมากเกินกว่าทุกครั้งที่เคยวิ่ง หรือว่าความเร็วเกินขีดความสามารถของมนุษย์ทำให้ผมเข้าไปในสถานที่ต้องห้ามได้
อะไรบางอย่างบอกว่าที่นี่คือขอบเขตชั้นแรกของโลกต่างมิติ
เมื่อครู่ตอนที่ผมวิ่งเร็ว โลกสองข้างทางก็สว่างขึ้นมา
สิ่งที่อยู่ในใจบอกผมว่านี่แหละโลกต่างมิติ นี่แหละสถานที่ซึ่งเจ้าสามารถเข้ามาได้ ไม่มีใครเข้ามาที่นี่ได้เหมือนกับเจ้า ผมจึงลองก้าวเท้าวิ่งอีกครั้ง ตอนแรกยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ผมเริ่มเพิ่มความเร็วในการวิ่งขึ้น เร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น สองข้างทางเริ่มสว่างขึ้นจริงๆ ผมมองเห็นตัวตึกข้างทางโผล่ออกมาแล้ว ยิ่งวิ่งเร็วขึ้น โลกที่มืดอยู่นั้นก็ยิ่งสว่างขึ้น ที่สุดผมก็หลุดออกมาจากโลกอันมืดมนนั้น ผมยังคงวิ่งอยู่ ผมวิ่งผ่านผู้คนซึ่งเดินเบียดเสียดบนทางเท้าแห่งหนึ่ง ผมตกใจที่กำลังวิ่งทะลุผ่านร่างคนบนทางเท้านั้นไปอย่างหน้าตาเฉย เหมือนผมเป็นร่างโปร่งใสที่ไม่มีตัวตนบนโลก เมื่อวิ่งช้าลงผมก็เข้าไปในโลกมืดนั้นอีก ผมสนุกกับการวิ่งเร็ววิ่งช้าเช่นนั้นด้วยความมหัศจรรย์ใจ
แล้วผมก็สะดุ้งสุดตัวเมื่อพบกับพวกอันธพาลพวกนั้น ผมอยู่ใกล้พวกมันมาก แต่พวกมันกลับทำเหมือนมองไม่เห็นผม ผมดูพวกมันแล้วกลับฮึกเหิมขึ้น จู่ๆ ผมก็กำหมัดชกไปยังคนซึ่งอยู่ใกล้ที่สุด เพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง แต่ผมกลับเซถลา เพราะชกไปยังความว่างเปล่า ผมกำหมัดอีกครั้งและเข้าชกอีก แต่ก็ไม่ถูกเช่นกัน ไม่ว่าผมจะชกอีกสักกี่ครั้งหมัดของผมก็ผ่านร่างพวกนั้นไปเหมือนทะลุเข้าไปในความว่างเปล่าเหมือนเมื่อครู่ที่วิ่งผ่านผู้คนบนทางเท้า
แล้วผมก็สังเกตเห็นว่าพวกมันทำไมยืนตัวแข็งแบบนั้น ร่างไม่ไหวติง ยืนนิ่งอยู่ บางคนยกมือค้างอยู่เป็นเวลานาน ผมเดินไปดูนาฬิกาที่ข้อมือเจ้าร่างโย่งคนหนึ่ง
ผมนับเวลาบนนาฬิกาซึ่งมีเข็มวินาที เข็มไม่เดิน ผมนิ่งมองเข็มวินาที นับหนึ่งถึงร้อยก็พบว่าเข็มวินาทีเดินช้ากว่าปรกติ นาฬิกาไม่ได้ตาย เพียงแต่ว่ามันเดินช้า เมื่อมองพวกมันก็พบว่าแต่ละคนเปลี่ยนอิริยาบถไปแล้ว แสดงว่าพวกมันไม่ได้หยุดนิ่งอยู่กับที่ นาฬิกาก็ไม่ได้หยุดนิ่งกับที่ มันเพียงแต่สโลว์โมชั่นแบบร้ายกาจเท่านั้น
จู่ๆ ผมกลับรู้ว่าในโลกอันแตกต่างนี้ ทุกสิ่งเป็นไปได้ตามกฎอะไรสักอย่าง ผมไม่ใช่มนุษย์ ดังนั้นผมจึงอยู่เหนือกฎของโลก และสถานที่นี้คือโลกต่างมิติซึ่งมีเพียงผมคนเดียวที่สามารถเข้ามาได้ ผมมีความสามารถในการหลุดพ้นจากความเร็วของโลกซึ่งสัมพันธ์กันด้วยเวลาและความเร็วในการเคลื่อนที่ ความเร็วเหนือขีดจำกัดของผมทำให้ผมหลุดเข้ามายังโลกแห่งนี้ และเวลาในโลกแห่งนี้เร็วกว่าเวลาในโลกหลายร้อยเท่า มันขึ้นอยู่กับการควบคุมความเร็วทางจิตของผม
ผมคิดว่าเวลาในโลกขนานนั้นเร็วกว่าเวลาบนโลกจึงทำให้ผมไม่สามารถแตะต้องสิ่งต่างๆ บนโลกได้เหมือนตอนที่อยู่บนเวลาของโลก นั่นทำให้เด็กน้อยไอคิวอัจฉริยะคิดหาวิธีที่จะสัมผัสหรือแม้กระทั่งการออกสู่โลกภายนอก จะทำเช่นนั้นได้ต้องพึ่ง พลังจิต ผมต้องใช้พลังจิตอย่างแรงกล้าจึงจะทำเช่นนั้นได้
ผมรู้ว่าหากผมสามารถควบคุมเวลาได้ ผมก็จะออกไปได้ นาฬิกาจะเดินเร็วขึ้นหรือช้าลงเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับความเร็วของผม ถ้าผมหยุดวิ่งเวลาจะเดิน ถ้าผมวิ่งเวลาบนโลกจะหยุด แสดงว่าการเคลื่อนที่ของผมประหนึ่งได้หยุดเวลาของโลกไว้และกำลังเดินทางเหนือเวลาของโลก ทั้งหมดนั้นทำได้ด้วยพลังจิตของผม และหากจะแตะต้องวัตถุบนโลกได้จากที่นี่ ผมต้องใช้พลังจิตควบคุมเวลาของโลกไว้ให้ได้
ถ้าจะชกพวกนั้นให้ได้ต้องหาทางลดระดับความเร็วเหนือโลกลง ผมจะลดระดับความเร็วได้อย่างไรกันล่ะ เวลานี้แม้เท้าผมไม่ได้วิ่งแต่จิตของผมต่างหากที่วิ่งอยู่ ถ้าบังคับให้จิตลดระดับความเร็วลงได้ ผมก็จะสัมผัสร่างพวกนั้น สัมผัสโลกได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ผมจึงหลับตาทำสมาธิเพื่อให้จิตปรับระดับความเร็วลง และมันก็เป็นจริงอย่างที่คิด ผมกำหมัดและชกออกไปอีกครั้งอย่างแรงก็ชกถูกเจ้าตัวหัวโจกจนมันกระเด็นไปไกลอย่างช้าๆ
ผมหัวเราะออกมาต้องเอามืออุดปากกลัวพวกมันจะได้ยินเสียง แต่เมื่อจะชกอีกคนหนึ่งก็ชกไม่ถูกอีก หลังจากนั้นผมก็ทำแบบนั้นไม่ได้อีก ที่สุดเมื่อผมอยากออกจากที่นั่นเพียงใช้สมาธิเล็กน้อย ผมก็หยุดพลังความเร็วของตนเองและออกสู่โลกภายนอกได้ในที่สุด
หลังจากนั้นผมก็เพลิดเพลินกับร่างซึ่งโปร่งใสเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์ล่องหนเดินไปมาอยู่บนโลกได้อย่างอิสระโดยไม่มีใครเห็น ไม่ว่าในที่ลับตาคนหรือในที่แจ้ง
“ช่างสุดยอดอะไรเช่นนี้” ผมแผดลั่นด้วยความดีใจ
เราคือใครกันแน่...เราไม่ใช่พวกมนุษย์..จะรู้ไปทำไมกัน...ไม่พอใจ..พอแล้ว...เลิกฟุ้งซ่านได้แล้ว
ตอนนั้นความสับสนกลุ้มรุมผมอีกครั้ง แต่ก็บอกกับตนเองว่าเลิกฟุ้งซ่านได้แล้ว ใช้ชีวิตให้เหมือนคนอื่นก็สิ้นเรื่อง แล้วผมก็เกิดกำลังใจอันแรงกล้าในการตามหาพวกเดียวกัน คนพวกนั้นต้องหลบๆซ่อนๆอยู่ในโลกนี้แบบไม่เปิดเผยตัวเหมือนผมเป็นแน่ ผมสัมผัสได้ว่ามีคนพวกนี้อยู่ แต่ไม่ว่าจะพยายามตามหาเท่าใดก็ไม่พบ
แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกสยอง วันนั้นผมเข้าไปเส้นเขตแดนซึ่งกั้นโลกต่างมิติอีกฝาก ผมยืนมองโลกอีกฝากซึ่งเห็นเป็นเงาลางๆ ไม่แน่ชัดว่าเห็นอะไรอยู่ในโลกอีกฝากนั้น แต่เมื่อหันกลับมา ผมก็มองไม่เห็นทางเดิมที่เข้ามา เวลานั้นเหมือนติดอยู่ในกล่องอะไรสักอย่าง ขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวไม่ได้ พยายามจะออกจากพลังแต่ก็ปลดพลังออกไปไม่ได้ ผมติดอยู่ในนั้นเป็นชั่วโมงร้องลั่นจนเกือบจะประสาทแดก คิดว่าต้องเอาชีวิตมาทิ้งในโลกพิศวงนั้นแล้ว ความรู้สึกสุดท้ายเหมือนกับการขาดอากาศหายใจ ร่างกายอ่อนแรงลงและหัวใจเต้นแรงกว่าปกติ
สุดท้ายผมก็ออกมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปดขณะที่สติใกล้จะขาดผึ๋ง ผมคิดว่าหากออกมาช้ากว่านั้น คงตายอยู่ในนั้นแล้ว มันสถานที่อันตรายหรือว่าผมยังควบคุมพลังไม่ได้ เรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนา
ผมเข็ดขยาดจนแทบไม่กล้าใช้พลังนั้นไปนานทีเดียว
………………………
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ