เอล คนทะลุมิติ chapter 1
-
เขียนโดย pong43
วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.34 น.
48 ตอน
0 วิจารณ์
56.27K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 20.29 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
4) เอล คนทะลุมิติ ตอนที่ 4
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเอล
สองทุ่มเศษแล้ว
เอลยังไม่เข้านอน เขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานให้ห้องพักอันแสนคับแคบของเขา เขาไม่ชอบห้องนี้เลยเพราะมันเล็กเกินไป แต่พ่อก็มีเงินค่าเช่าให้เพียงห้องแค่นี้ เขากำลังปิดซองจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเพิ่งเขียนเสร็จเมื่อสักครู่ ปิดเสร็จก็พลิกด้านหน้าของซองขึ้นวางไว้บนโต๊ะ หน้าซองจ่าถึง
ลีโอ บัสโซ่
ระเบียบของเรือนจำก็คือให้รับได้เพียงจดหมายเท่านั้น ในเรือนจำย่อมไม่มีเครื่องคอมให้ใช้
นายไม่ยอมตอบจดหมายฉันเลยนะ... เขาบ่นพึมพำในใจ เพราะลีโอไม่เคยตอบจดหมายของเขาที่เขียนไปหาเลย สักฉบับยังไม่มี แม้จะบอกอีเมล์ไปก็ไม่เคยได้เห็นว่าลีโอจะส่งอีเมล์มา เรือนจำคงไม่อนุญาต เขาคิดเช่นนั้น
ไม่มีน้ำใจเอาซะเลย.....เอลมองจดหมายด้วยความรู้สึกโมโหเล็กน้อย แต่เมื่อคิดอีกที คนที่เป็นนักโทษประหารใกล้ตายเสียอย่างนั้นย่อมไม่มีอารมณ์ตอบจดหมายของเขาหรอก
ส่งหรือไม่ส่งดี....
หรือว่าเป็นเพราะจดหมายถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำตรวจสอบก่อนถึงมือผู้รับทุกครั้ง พออ่านแล้วไม่น่าส่งต่อก็เลยทิ้งขยะไป ถ้าทำแบบนี้ก็ไม่ได้ความสิ... เสียมารยาทเป็นที่สุด
เอลหันกลับไปยังคอมพิวเตอร์ที่เปิดอยู่ คลิกเม้าท์เปิดแฟ้มเอกสารขึ้นมา
‘รายงานการติดตามชีวิตช่วงสุดท้ายของลีโอ บัสโซ่ก่อนวันประหารชีวิต’
เขากำลังคิดว่าเขาติดตามข่าวของลีโอมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ...
คงตั้งแต่วันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของลีโอกระมัง วันที่ชายหนุ่มถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรมภรรยาและชายอีกคนซึ่งคาดว่าเป็นชายชู้อย่างเหี้ยมโหดในอพาร์ตเม้นท์ในนีโอทาวน์ เมื่อปีที่แล้ว นับเป็นข่าวช๊อคคนในแวดวงนักเขียนอย่างแรง และเมื่อหลายเดือนก่อนศาลได้ตัดสินโทษประหารชีวิตลีโอด้วยการฉีดสารพิษเข้าเส้นเลือดแต่คำสั่งประหารยังไม่ส่งมายังเรือนจำ ไม่ทราบด้วยเหตุผลอันใด
เอลตัดสินใจเมื่อไม่นานนี้ว่าจะทำรายงานชิ้นนี้เพื่อเป็นรายงานนิพนธ์ก่อนจบการศึกษาในปลายปีนี้
ค้วยความคิดที่ว่าลีโอเป็นคนมืชื่อเสียงคนหนึ่งที่ได้พบกับโศกนาฏกรรมคาดไม่ถึง และคดีของเขายังคงเป็นปริศนาคาใจบรรดาแฟนหนังสือของเขา และรายงานนี้น่าจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจของบรรดาอาจารย์และเพื่อนๆ ของเขา เขาคิดเช่นนั้นเพราะไม่รู้ว่าจะทำรายงานเรื่องใดดี เรื่องนี้ดีที่สุดแล้วล่ะ...
เขานั่งพิมพ์ข้อมูลบางอย่างลงไปในรายงาน
เขาย่อมไม่รู้ว่าลีโอได้อ่านจดหมายของเขาทุกฉบับ เขาเป็นนักเรียนมัธยมปลายคนเดียวกับที่ลีโอคิดว่าจะมาเยี่ยมคนนั้น ชะตากรรมของลีโออาจจะเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืนที่เขาได้พบกับชายหนุ่มลึกลับคนนั้น
ลีโออาจจะจำไม่ได้ว่าได้ตอบจดหมายเอลสักฉบับหรือเปล่า
เอลรู้ดีว่ารายงานฉบับนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อลีโอยอมให้เขาสัมภาษณ์เท่านั้น แต่ถ้าไม่ได้รับการตอบกลับเช่นนี้ก็อย่าได้หวังว่ารายงานจะสำเร็จลงได้ และอย่าหวังว่าจะแต่งเรื่องเอาเองเด็ดขาด แต่เขาก็คงต้องหาทางปิดรายงานด้วยวีธีอื่น แต่นั่นจะทำให้รายงานของเขาดูกร่อยไปทันที
เขาไม่แน่ใจว่าจะมีคนที่เขียนจดหมายไปหาลีโอสักกี่คน คนดังน่าจะมีคนเอาใจช่วย คงมีคนเขียนไปมากโข...ลีโออาจจะหมดกำลังใจที่จะตอบ จำนวนจดหมายที่เขาเขียนถึงลีโอนั้นมียี่สิบกว่าฉบับ หรือไม่ก็อาจสามสิบ เขาจำไม่ได้ จดหมายฉบับสุดท้ายพยายามอธิบายเหตุผลเรื่องรายงานว่าถ้าไม่ให้เขาสัมภาษณ์ รายงานของเขาคงต้องพังพินาศเป็นแน่
ไม่น่าเขียนไปอย่างนั้นเลยเรา....
“ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้...”
เสียงรายงานข่าวจากทีวีเครื่องเล็กๆบนโต๊ะซึ่งเปิดอยู่ก็ทำให้เอลต้องหันหน้าไปดู ผู้สื่อข่าวชายกำลังรายงานข่าวหนึ่งอยู่
“ยังไม่มีข่าวความคืบหน้าของฮีโร่ลึกลับผู้สยบวายร้ายปล้นมินิมาร์ทครับ..”
“นี่ก็ผ่านไปได้หนึ่งอาทิตย์แล้วครับที่ฮีโร่ลึกลับยังไม่ยอมเปิดเผยตัวออกมา ฮีโร่ลึกลับได้จัดการกับวัยรุ่นอันธพาลสองคนซึ่งเข้าปล้นมินิมาร์ทที่ถนนอันวาเขตสอง ฮีโร่ลึกลับมัดพวกเขาไว้ด้วยเชือกไนล่อน หลังจากที่ทั้งสองคนพยายามปล้นเงินจากพนักงานร้านสะดวกซื้อ ซึ่งพนักงานคนดังกล่าวยืนยันว่าไม่เห็นหน้าฮีโร่ลึกลับ ไม่เห็นแม้แต่เงา ที่สำคัญวายร้ายทั้งสองก็ให้การตรงกันว่าไม่เห็นทั้งใบหน้าและตัวตนของผู้ที่จัดการกับเขาเช่นกัน”
แล้วภาพข่าวก็ตัดไปยังการสัมภาษณ์ของผู้สื่อข่าวอีกคนที่ยื่นไมค์สัมภาษณ์ลิมเด็กหนุ่มพนักงานร้านซึ่งยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่ศีรษะของเขาพันด้วยผ้าพันแผลรอบศีรษะเพราะถูกฟาดเข้าด้วยปืนพกของวายร้าย
“ฮีโร่บ้าอะไรกัน”
เอลร้องออกมาอย่างไม่พอใจ สีหน้าเครียด
“ผมไม่เห็นใครเลยในร้านจริงๆนะครับ” ลิมยังคงยืนยันเช่นนั้น
“คุณไม่เห็นฮีโร่คนนั้นแน่นะ”
“ถ้าเขามีตัวตนจริงก็ต้องเป็นมนุษย์ล่องหนหรือไม่ก็ผีล่ะครับ เพราะผมเห็นกับตาว่าโจรนั่นเหมือนกับถูกสิ่งลึกลับเล่นงานจนน่วมไปทั้งตัว เหมือนโดนคนชกและเตะอย่างนั้นแหละครับ”
นายลิมพนักงานในร้านยังคงยืนยันเช่นนั้นมาตลอดตั้งแต่เกิดเหตุ
ตอนที่เขาถูกวายร้ายฟาดด้วยปืนก็ล้มฟุบลงกับเคาน์เตอร์รับเงินแต่ยังไม่ถึงกลับสลบ ตาพร่ามัวมองไปที่วายร้ายทั้งสองคนและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นั่นทำให้คำพูดของเขาดูไม่น่าเชื่อถือ จึงมีข่าวบางกระแสออกมาว่าสมองของเขาอาจกระทบกระเทือนก็เป็นได้ ทำให้พูดเพ้อเจ้อออกมา แต่ลิมก็ยังยืนยันว่าเวลานั้นเขายังมีสติดีอยู่
“ผมไม่ได้ฝันไปนะ ผมเห็นเหมือนมีคนกำลังมัดทั้งสองด้วยเชือกไนล่อนติดกันไว้จนดิ้นไม่หลุดแต่ไม่มีตัวตนจริงๆ”
เขายืนยันว่ามีฮีโร่ลึกลับที่เขามองไม่เห็นคนนั้นอยู่จริงบนโลกมนุษย์ใบนี้
“เขาอาจจะมีพลังพิเศษ พวกเหนือมนุษย์อะไรทำนองนั้นครับ”
เอลกอดอกขมวดคิ้ว สีหน้าไม่พอใจอย่างมากและโพล่งออกมา
“ปากดีนะลิม พูดมากไปแล้ว”
เอลรู้จักลิมดี เพราะเขาซื้อของที่ร้านของลิมเป็นประจำ
ภาพในโทรทัศน์นั้นตัดกลับไปที่ห้องส่ง ผู้สื่อข่าวคนเดิมรายงานต่อ
“ทั้งนี้จากปากคำที่คลุมเครือของสองวายร้ายซึ่งก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เห็นตัวตนของฮีโร่ลึกลับผู้นั้น พวกเขาบอกว่าคนที่ลงมือน่าจะเป็นผีหรือไม่ก็ปีศาจ เสียดายนะครับที่กล้องวงจรปิดในร้านนั้นขัดข้องจึงไม่สามารถบันทึกภาพของฮีโร่ลึกลับนั้นไว้ได้ มีโพลสำรวจพบว่า 90 เปอร์เซนต์เชื่อว่าเรื่องนี้เกิดจากฝีมือของฮีโร่สักคนที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้เกิดกระแสข่าวจากกลุ่มคลั่งฮีโร่ซึ่งได้รวมตัวกันขึ้นและออกติดตามหาตัวฮีโร่ผู้นี้ตลอดหลายวันนี้ และได้ขนานนามฮีโร่ลึกลับผู้นี้ว่า มิสเตอร์ล่องหน…”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า…”
ถึงตอนนี้เอลก็หัวเราะลั่นออกมา
“...เรียกเสียเก๋ มิสเตอร์ล่องหนเรอะ อย่าหวังว่าจะได้เจอตัวเลย เขาไม่โผล่ออกมาให้พวกแกเห็นหรอก”
เอลพูดเหมือนกับรู้จักมิสเตอร์ล่องหนที่ว่านั่น
“มิสเตอร์ล่องหน”
เอลกำลังคิดถึงเหตุการณ์วันหนึ่งที่ร้านมินิมาร์ทของลิมนั้น
เมื่อประมาณสิบห้าวันที่แล้ว เขายืนคุยกับลิมที่หน้าเคาน์เตอร์รับเงิน เขารู้จักลิมดี
“ทำไมนายไม่ซ่อมกล้องนั่นสักทีนะลิม..”เอลชี้และมองไปที่กล้องวงจรปิดซึ่งติดอยู่ที่มุมร้าน
“ไม่มีเงิน พ่อบอกว่าไว้เดือนหน้าค่อยซ่อม”
“ไม่กลัวโดนปล้นเหรอไง” เอลยื่นหน้าเข้าไปหาลิม
ลิมยื่นมือออกมาผลักอกเอลออก “ปากไม่ดี ฉันไม่ขายของให้นายแล้ว ไปได้แล้วฉันจะทำงาน....”
ลิมวัยยี่สิบเศษรู้จักกับเอลมาหลายปี ตั้งแต่เอลย้ายมาอยู่ที่นี่ เขาทำร้านมินิมาร์ทนี้กับพ่อของเขา เอลรู้ดีว่ากล้องวงจรปิดตัวนั้นเสียมาหลายอาทิตย์แล้ว เพราะลิมเล่าให้ฟังว่าพ่อของลิมขี้เหนียวไม่ยอมซ่อมกล้องตัวนั้นเพราะคิดว่ากล้องอีกตัวที่อยู่ด้านหลังยังใช้ได้อยู่
“ไว้ฉันจะมาซ่อมให้ไม่คิดเงิน”
เอลมองกล้องนั้นและถามขึ้นอีก
“รุ่นอะไรนะ อะไหล่คงไม่แพงมั้ง”
“งั้นแกก็ไปซื้ออะไหล่มาซ่อมให้ฉันหน่อยสิ”
“ได้สิ”
เอลรับปากแต่ก็ยังไม่ได้ซื้ออะไหล่ไปซ่อมให้เสียที
.......................................................................................................................................................
สองทุ่มเศษแล้ว
เอลยังไม่เข้านอน เขานั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานให้ห้องพักอันแสนคับแคบของเขา เขาไม่ชอบห้องนี้เลยเพราะมันเล็กเกินไป แต่พ่อก็มีเงินค่าเช่าให้เพียงห้องแค่นี้ เขากำลังปิดซองจดหมายฉบับหนึ่งซึ่งเพิ่งเขียนเสร็จเมื่อสักครู่ ปิดเสร็จก็พลิกด้านหน้าของซองขึ้นวางไว้บนโต๊ะ หน้าซองจ่าถึง
ลีโอ บัสโซ่
ระเบียบของเรือนจำก็คือให้รับได้เพียงจดหมายเท่านั้น ในเรือนจำย่อมไม่มีเครื่องคอมให้ใช้
นายไม่ยอมตอบจดหมายฉันเลยนะ... เขาบ่นพึมพำในใจ เพราะลีโอไม่เคยตอบจดหมายของเขาที่เขียนไปหาเลย สักฉบับยังไม่มี แม้จะบอกอีเมล์ไปก็ไม่เคยได้เห็นว่าลีโอจะส่งอีเมล์มา เรือนจำคงไม่อนุญาต เขาคิดเช่นนั้น
ไม่มีน้ำใจเอาซะเลย.....เอลมองจดหมายด้วยความรู้สึกโมโหเล็กน้อย แต่เมื่อคิดอีกที คนที่เป็นนักโทษประหารใกล้ตายเสียอย่างนั้นย่อมไม่มีอารมณ์ตอบจดหมายของเขาหรอก
ส่งหรือไม่ส่งดี....
หรือว่าเป็นเพราะจดหมายถูกเจ้าหน้าที่เรือนจำตรวจสอบก่อนถึงมือผู้รับทุกครั้ง พออ่านแล้วไม่น่าส่งต่อก็เลยทิ้งขยะไป ถ้าทำแบบนี้ก็ไม่ได้ความสิ... เสียมารยาทเป็นที่สุด
เอลหันกลับไปยังคอมพิวเตอร์ที่เปิดอยู่ คลิกเม้าท์เปิดแฟ้มเอกสารขึ้นมา
‘รายงานการติดตามชีวิตช่วงสุดท้ายของลีโอ บัสโซ่ก่อนวันประหารชีวิต’
เขากำลังคิดว่าเขาติดตามข่าวของลีโอมาตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ...
คงตั้งแต่วันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของลีโอกระมัง วันที่ชายหนุ่มถูกจับกุมในข้อหาฆาตกรรมภรรยาและชายอีกคนซึ่งคาดว่าเป็นชายชู้อย่างเหี้ยมโหดในอพาร์ตเม้นท์ในนีโอทาวน์ เมื่อปีที่แล้ว นับเป็นข่าวช๊อคคนในแวดวงนักเขียนอย่างแรง และเมื่อหลายเดือนก่อนศาลได้ตัดสินโทษประหารชีวิตลีโอด้วยการฉีดสารพิษเข้าเส้นเลือดแต่คำสั่งประหารยังไม่ส่งมายังเรือนจำ ไม่ทราบด้วยเหตุผลอันใด
เอลตัดสินใจเมื่อไม่นานนี้ว่าจะทำรายงานชิ้นนี้เพื่อเป็นรายงานนิพนธ์ก่อนจบการศึกษาในปลายปีนี้
ค้วยความคิดที่ว่าลีโอเป็นคนมืชื่อเสียงคนหนึ่งที่ได้พบกับโศกนาฏกรรมคาดไม่ถึง และคดีของเขายังคงเป็นปริศนาคาใจบรรดาแฟนหนังสือของเขา และรายงานนี้น่าจะเป็นเรื่องที่น่าสนใจของบรรดาอาจารย์และเพื่อนๆ ของเขา เขาคิดเช่นนั้นเพราะไม่รู้ว่าจะทำรายงานเรื่องใดดี เรื่องนี้ดีที่สุดแล้วล่ะ...
เขานั่งพิมพ์ข้อมูลบางอย่างลงไปในรายงาน
เขาย่อมไม่รู้ว่าลีโอได้อ่านจดหมายของเขาทุกฉบับ เขาเป็นนักเรียนมัธยมปลายคนเดียวกับที่ลีโอคิดว่าจะมาเยี่ยมคนนั้น ชะตากรรมของลีโออาจจะเปลี่ยนไปในชั่วข้ามคืนที่เขาได้พบกับชายหนุ่มลึกลับคนนั้น
ลีโออาจจะจำไม่ได้ว่าได้ตอบจดหมายเอลสักฉบับหรือเปล่า
เอลรู้ดีว่ารายงานฉบับนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อลีโอยอมให้เขาสัมภาษณ์เท่านั้น แต่ถ้าไม่ได้รับการตอบกลับเช่นนี้ก็อย่าได้หวังว่ารายงานจะสำเร็จลงได้ และอย่าหวังว่าจะแต่งเรื่องเอาเองเด็ดขาด แต่เขาก็คงต้องหาทางปิดรายงานด้วยวีธีอื่น แต่นั่นจะทำให้รายงานของเขาดูกร่อยไปทันที
เขาไม่แน่ใจว่าจะมีคนที่เขียนจดหมายไปหาลีโอสักกี่คน คนดังน่าจะมีคนเอาใจช่วย คงมีคนเขียนไปมากโข...ลีโออาจจะหมดกำลังใจที่จะตอบ จำนวนจดหมายที่เขาเขียนถึงลีโอนั้นมียี่สิบกว่าฉบับ หรือไม่ก็อาจสามสิบ เขาจำไม่ได้ จดหมายฉบับสุดท้ายพยายามอธิบายเหตุผลเรื่องรายงานว่าถ้าไม่ให้เขาสัมภาษณ์ รายงานของเขาคงต้องพังพินาศเป็นแน่
ไม่น่าเขียนไปอย่างนั้นเลยเรา....
“ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้...”
เสียงรายงานข่าวจากทีวีเครื่องเล็กๆบนโต๊ะซึ่งเปิดอยู่ก็ทำให้เอลต้องหันหน้าไปดู ผู้สื่อข่าวชายกำลังรายงานข่าวหนึ่งอยู่
“ยังไม่มีข่าวความคืบหน้าของฮีโร่ลึกลับผู้สยบวายร้ายปล้นมินิมาร์ทครับ..”
“นี่ก็ผ่านไปได้หนึ่งอาทิตย์แล้วครับที่ฮีโร่ลึกลับยังไม่ยอมเปิดเผยตัวออกมา ฮีโร่ลึกลับได้จัดการกับวัยรุ่นอันธพาลสองคนซึ่งเข้าปล้นมินิมาร์ทที่ถนนอันวาเขตสอง ฮีโร่ลึกลับมัดพวกเขาไว้ด้วยเชือกไนล่อน หลังจากที่ทั้งสองคนพยายามปล้นเงินจากพนักงานร้านสะดวกซื้อ ซึ่งพนักงานคนดังกล่าวยืนยันว่าไม่เห็นหน้าฮีโร่ลึกลับ ไม่เห็นแม้แต่เงา ที่สำคัญวายร้ายทั้งสองก็ให้การตรงกันว่าไม่เห็นทั้งใบหน้าและตัวตนของผู้ที่จัดการกับเขาเช่นกัน”
แล้วภาพข่าวก็ตัดไปยังการสัมภาษณ์ของผู้สื่อข่าวอีกคนที่ยื่นไมค์สัมภาษณ์ลิมเด็กหนุ่มพนักงานร้านซึ่งยังคงนอนพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ที่ศีรษะของเขาพันด้วยผ้าพันแผลรอบศีรษะเพราะถูกฟาดเข้าด้วยปืนพกของวายร้าย
“ฮีโร่บ้าอะไรกัน”
เอลร้องออกมาอย่างไม่พอใจ สีหน้าเครียด
“ผมไม่เห็นใครเลยในร้านจริงๆนะครับ” ลิมยังคงยืนยันเช่นนั้น
“คุณไม่เห็นฮีโร่คนนั้นแน่นะ”
“ถ้าเขามีตัวตนจริงก็ต้องเป็นมนุษย์ล่องหนหรือไม่ก็ผีล่ะครับ เพราะผมเห็นกับตาว่าโจรนั่นเหมือนกับถูกสิ่งลึกลับเล่นงานจนน่วมไปทั้งตัว เหมือนโดนคนชกและเตะอย่างนั้นแหละครับ”
นายลิมพนักงานในร้านยังคงยืนยันเช่นนั้นมาตลอดตั้งแต่เกิดเหตุ
ตอนที่เขาถูกวายร้ายฟาดด้วยปืนก็ล้มฟุบลงกับเคาน์เตอร์รับเงินแต่ยังไม่ถึงกลับสลบ ตาพร่ามัวมองไปที่วายร้ายทั้งสองคนและเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นั่นทำให้คำพูดของเขาดูไม่น่าเชื่อถือ จึงมีข่าวบางกระแสออกมาว่าสมองของเขาอาจกระทบกระเทือนก็เป็นได้ ทำให้พูดเพ้อเจ้อออกมา แต่ลิมก็ยังยืนยันว่าเวลานั้นเขายังมีสติดีอยู่
“ผมไม่ได้ฝันไปนะ ผมเห็นเหมือนมีคนกำลังมัดทั้งสองด้วยเชือกไนล่อนติดกันไว้จนดิ้นไม่หลุดแต่ไม่มีตัวตนจริงๆ”
เขายืนยันว่ามีฮีโร่ลึกลับที่เขามองไม่เห็นคนนั้นอยู่จริงบนโลกมนุษย์ใบนี้
“เขาอาจจะมีพลังพิเศษ พวกเหนือมนุษย์อะไรทำนองนั้นครับ”
เอลกอดอกขมวดคิ้ว สีหน้าไม่พอใจอย่างมากและโพล่งออกมา
“ปากดีนะลิม พูดมากไปแล้ว”
เอลรู้จักลิมดี เพราะเขาซื้อของที่ร้านของลิมเป็นประจำ
ภาพในโทรทัศน์นั้นตัดกลับไปที่ห้องส่ง ผู้สื่อข่าวคนเดิมรายงานต่อ
“ทั้งนี้จากปากคำที่คลุมเครือของสองวายร้ายซึ่งก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เห็นตัวตนของฮีโร่ลึกลับผู้นั้น พวกเขาบอกว่าคนที่ลงมือน่าจะเป็นผีหรือไม่ก็ปีศาจ เสียดายนะครับที่กล้องวงจรปิดในร้านนั้นขัดข้องจึงไม่สามารถบันทึกภาพของฮีโร่ลึกลับนั้นไว้ได้ มีโพลสำรวจพบว่า 90 เปอร์เซนต์เชื่อว่าเรื่องนี้เกิดจากฝีมือของฮีโร่สักคนที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ทำให้เกิดกระแสข่าวจากกลุ่มคลั่งฮีโร่ซึ่งได้รวมตัวกันขึ้นและออกติดตามหาตัวฮีโร่ผู้นี้ตลอดหลายวันนี้ และได้ขนานนามฮีโร่ลึกลับผู้นี้ว่า มิสเตอร์ล่องหน…”
“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า…”
ถึงตอนนี้เอลก็หัวเราะลั่นออกมา
“...เรียกเสียเก๋ มิสเตอร์ล่องหนเรอะ อย่าหวังว่าจะได้เจอตัวเลย เขาไม่โผล่ออกมาให้พวกแกเห็นหรอก”
เอลพูดเหมือนกับรู้จักมิสเตอร์ล่องหนที่ว่านั่น
“มิสเตอร์ล่องหน”
เอลกำลังคิดถึงเหตุการณ์วันหนึ่งที่ร้านมินิมาร์ทของลิมนั้น
เมื่อประมาณสิบห้าวันที่แล้ว เขายืนคุยกับลิมที่หน้าเคาน์เตอร์รับเงิน เขารู้จักลิมดี
“ทำไมนายไม่ซ่อมกล้องนั่นสักทีนะลิม..”เอลชี้และมองไปที่กล้องวงจรปิดซึ่งติดอยู่ที่มุมร้าน
“ไม่มีเงิน พ่อบอกว่าไว้เดือนหน้าค่อยซ่อม”
“ไม่กลัวโดนปล้นเหรอไง” เอลยื่นหน้าเข้าไปหาลิม
ลิมยื่นมือออกมาผลักอกเอลออก “ปากไม่ดี ฉันไม่ขายของให้นายแล้ว ไปได้แล้วฉันจะทำงาน....”
ลิมวัยยี่สิบเศษรู้จักกับเอลมาหลายปี ตั้งแต่เอลย้ายมาอยู่ที่นี่ เขาทำร้านมินิมาร์ทนี้กับพ่อของเขา เอลรู้ดีว่ากล้องวงจรปิดตัวนั้นเสียมาหลายอาทิตย์แล้ว เพราะลิมเล่าให้ฟังว่าพ่อของลิมขี้เหนียวไม่ยอมซ่อมกล้องตัวนั้นเพราะคิดว่ากล้องอีกตัวที่อยู่ด้านหลังยังใช้ได้อยู่
“ไว้ฉันจะมาซ่อมให้ไม่คิดเงิน”
เอลมองกล้องนั้นและถามขึ้นอีก
“รุ่นอะไรนะ อะไหล่คงไม่แพงมั้ง”
“งั้นแกก็ไปซื้ออะไหล่มาซ่อมให้ฉันหน่อยสิ”
“ได้สิ”
เอลรับปากแต่ก็ยังไม่ได้ซื้ออะไหล่ไปซ่อมให้เสียที
.......................................................................................................................................................
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ