เอล คนทะลุมิติ chapter 1

-

เขียนโดย pong43

วันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 เวลา 19.34 น.

  48 ตอน
  0 วิจารณ์
  57.26K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 มีนาคม พ.ศ. 2556 20.29 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

3) เอล คนทะลุมิติ ตอนที่ 3

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

อ่านแล้วช่วย comment ด้วยนะครับ ************************

 

ลีโอ

 

จิตมนุษย์อันซับซ้อนคือสิ่งสำคัญในการดำรงชีวิตอยู่ ร่างกายคือที่อยู่อาศัยของจิต เชื่อมโยงกับจิตอย่างสลับซับซ้อน เมื่อขาดจิตก็จะร่างมนุษย์ก็จะตายและสูญสลายไป

               

บ่ายวันต่อมา

ลีโอนั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามฟุตบอลซึ่งมีตึกพยาบาลบังให้ร่มเงาอยู่ นักโทษสิบกว่าคนทั้งนั่ง ยืนและออกกำลังกายผ่อนคลายอิริยาบถก็ใช้ร่มเงาเดียวกันนี้ มีสองสามคนวิ่งจ้อกกิ้งไปมากลางแดด อีกสิบกว่าคนกำลังเล่นฟุตบอลกันอย่างเมามันส่วนใหญ่จะถอดเสื้อเปลือยกายท่อนบนเหงื่อไหลไคลย้อยอยู่ กิจกรรมเหล่านี้อาจจะทำให้จิตใจของผู้ต้องโทษได้ผ่อนคลายบ้างไม่มากก็น้อย

ลีโอยังคาใจเรื่องผู้คุมยามดึกนั้นไม่คลาย เขาไม่มั่นใจว่าคนๆนั้นจะเป็นมนุษย์เช่นเดียวกับเขาหรือไม่ แต่ทำไมต้องมาหาเขาในเวลานั้นตลอดหลายคืนติดต่อกัน หากไม่ใช่มนุษย์ ก็ต้องเป็นปีศาจชั่วช้าที่ทำลายชีวิตของเขาจนย่อยยับตนนั้น เขาเริ่มมั่นใจว่าปีศาจมีอยู่จริงบนโลกก็หลังจากเกิดเหตุการณ์เลวร้ายกับเขา ก่อนหน้านั้นแค่เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้างเพราะไม่เคยประสบกับตาตนเองมาก่อน เรื่องปีศาจแค่เพียงเกี่ยวข้องกับงานของเขาเท่านั้น มันอยู่ในจินตนาการของมนุษย์มาตลอด และเขาเองที่ไปดึงมันออกมาจากจินตนาการ ทำให้ต้องเจอเรื่องเลวร้ายสุดจะบรรยาย

มันอาจจะดูเลือนรางเหมือนเส้นบางๆ ระหว่างความจริงกับความฝัน

ปีศาจอาจจะไม่ได้มีเพียงตัวเดียว มันอาจจะมีมากกว่าสองตัว มันต้องการอะไรจากเขา.. สิ่งนั้นคืออะไร เขาไม่รู้ สิ่งเดียวที่เขารับรู้ในตอนนี้ก็คือไม่ว่าจะเป็นคนหรือปีศาจ มันได้ทำลายชีวิตเขาจนยับเยินไปแล้ว

มันฆ่าโซเฟียและกำลังผลักไสให้เขารอความตายในคุกนี้

ความตายเขาไม่เคยกลัว แต่จะตายทั้งที่ยังไม่กระจ่างแบบนี้ เขาไม่ยอมเด็ดขาด

เวลานี้ทางเดียวที่จะรอดชีวิตคือหนีจากที่นี่...

.........................................................................................................

 

วันนั้น...

เขาจำไม่ได้ว่าวันนั้นเป็นวันอะไร เดือนอะไร ความทรงจำนั้นเลือนหายไปหมดแล้ว เขานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในบ้าน นั่งจ้องมองไข่ดาวใส้กรอกในจาน แต่กลับไม่สนใจที่จะตักขึ้นมากิน จนโซเฟียซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ แปลกใจ

“เป็นอะไรคะ เครียดอะไรหรือคะ”

“คิดไม่ออกว่าจะเขียนต่อไปยังไงดี..”

“เป็นอีกแล้วหรือ..” โซเฟียขมวดคิ้ว

“สมองของผมตอนนี้มีแต่ความว่างเปล่า คิดอะไรไม่ออกเลย” ลีโอพูดอย่างท้อแท้ เขารู้ว่าความเครียดอาจจะทำให้เขาทำงานต่อไปไม่ได้ เขาไม่อยากให้เธอกลุ้มใจไปด้วย เขามองหน้าเธอและฝืนยิ้ม

“ไม่มีอะไรหรอก คงเป็นๆหายๆ อย่าคิดมาก”

“คุณนั่นแหละอย่าคิดมาก ไปหาหมอดีมั้ย คุณเคยเป็นแบบนี้บ่อยๆ ปล่อยไว้อาจจะแย่นะ”

“ผมคิดอยู่ตลอดว่าเรื่องพล๊อตเมืองดวงจันทร์ทำให้ผมกลายเป็นแบบนี้..ทำไมผมถึงคิดแบบนั้นไม่รู้ ต้นเหตุมาจากเรื่องเมืองดวงจันทร์แน่เลย..”

“เฮเว่นเกตตอนสองนี่ให้เป็นหน้าที่ของฉันเถอะ..ฉันจะเขียนต่อเอง”

“จริงนะ” ลีโอดูสนใจและลุกเดินมาหา "คุณต้องทำได้ดีกว่าผมแน่ ไหนลองเล่าให้ฟังสิ"

โซเฟียลุกขึ้นเดินเข้าห้องนอนและหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมายื่นให้ลีโอ เขายืนอ่านมันด้วยความสนใจ เธอยิ้ม เธอดีใจทุกครั้งที่ลีโอสนใจในพล๊อตเรื่องที่เธอช่วยคิด ลีโอเงยหน้ามองเธอก็พบกับรอยยิ้มซึ่งช่วยให้เขาหายเหนื่อยหายเครียดขึ้นมาในทันที

รอยยิ้มที่เขาจดจำตราตรึงมาจนทุกวันนี้ รอยยิ้มที่ทำให้เขาลืมเธอไม่ลงสักที

 ………………………………………………………..

 

ฉันนี่นะ ฆ่าโซเฟีย..ฉันทำไม่ได้หรอก..ไม่มีใครเชื่อฉันเลยหรือไง.... 

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ลีโอสับสนท้อแท้หมดกำลังใจ และทุกครั้งเขาก็คิดขึ้นได้ว่า จะหมดกำลังใจไม่ได้ ถ้าหมดกำลังใจก็แสดงว่ายอมแพ้ และเขาจะกลายเป็นคนที่ทำผิดไปจริงๆ เขาบอกกับตนเองว่าต้องเข้มแข็งเพื่อพิสูจน์ให้โลกรู้ว่า เราไม่ได้ทำผิด เขาถูกปรักปรำ เขาบริสุทธิ์ นั่นคือความจริง แม้ต้องตาย เราก็ต้องยืนยันความบริสุทธิ์ของเราให้จงได้..เขากำมือทั้งสองข้างแน่นเหมือนจะบีบกระดูกมือให้แหลกกันไปข้างหนึ่ง

“เราจะไม่ยอมตายแบบนี้ เราต้องออกไปพิสูจน์ความจริง”

ลีโอขมวดคิ้วมองผู้คุมคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามสนามฟุตบอล

“เจ้านั่น”

เขาอุทานเพราะรู้สึกว่านั่นคือผู้คุมลึกลับคนนั้น

“แก...”

เขาลุกขึ้นวิ่งตัดสนามฟุตบอลออกไปอย่างรวดเร็ว สายตาจับจ้องอยู่ที่ผู้คุมนั้นไม่สนอะไรรอบข้าง ผู้คุมคนนั้นกำลังเดินเข้าไปในตัวตึกแล้ว เขาจะคลาดสายตาไปไม่ได้ ต้องตามให้ทันไม่งั้นมันจะหายไปอีก

“อย่าเพิ่งไปนะ” เขาร้องตะโกนลั่นสนาม เมื่อวิ่งไปถึงกลางสนาม ฟุตบอลลูกหนึ่งก็อัดเข้าที่หน้าของเขาอย่างแรง ร่างกระเด็นไปตามแรงปะทะล้มคว่ำกลิ้งไปกับพื้นสนาม

“ฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่ะฮ่า”

พวกที่อยู่ในสนามเห็นเช่นนั้นก็พากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน

“เฮ้ย ทำไมอ่อนแอแบบนี้วะไอ้ฆาตกร”

คนหนึ่งพูด อีกคนก็ร้องขึ้น“นักฆ่าเลือดเย็นไม่น่าอ่อนปวกเปียกแบบนี้เลยนี่นา”

ลีโอได้สติก็ยันตัวขึ้นมองหาผู้คุม แต่ก็มองไม่เห็นแล้ว มีนักโทษร่างใหญ่หนวดเครารกครึ้มเดินมาหยุดยืนอยู่เหนือเขาและก้มลงฉุดแขนเขาให้ลุกขึ้นมา

 “เขาให้มาตามนายไปที่ห้องเยี่ยมแน่ะ” พูดจบยักษ์ใหญ่ก็ผลักลีโอจนเซไปสองสามก้าว “..โชคดีนะที่ยังมีคนมาเยี่ยมคนอย่างแก”

พูดจบเจ้ายักษ์ก็เดินไปทางอื่น ปล่อยให้เขาแปลกใจว่าใครกันนะที่มาเยี่ยมเขา

...หรือว่า..เจ้าเด็กมัธยมนั่น....

จู่ๆ เขาคิดว่าคนนั้นคือเด็กมัธยมคนหนึ่งซึ่งเขียนจดหมายมาหาเขาอยู่บ่อยๆ จึงรีบย่ำเท้าเดินไปที่ห้องเยี่ยมอย่างเร่งรีบ เขาลืมเรื่องผู้คุมคนนั้นไปเสียสนิท เขาสงสัยว่าได้อนุญาตให้เด็กมัธยมคนนั้นมาเยี่ยมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ..เขาจำไม่ได้..เขาคิดไปถึงเด็กมัธยมคนหนึ่งซึ่งเพียรอุตส่าห์เขียนจดหมายมาคุยกับเขาอยู่เสมอ แต่เขาจำไม่ได้ว่าได้เขียนจดหมายตอบกลับไปหรือเปล่า ความคิดแว่บหนึ่งเกิดขึ้น เขาสงสัยว่าเมื่อครู่เขาวิ่งตัดสนามฟุตบอลไปทำไมกัน...นั่นมันก่อนที่เจ้ายักษ์มาเรียกเขานี่นา เขาจำเรื่องที่วิ่งไปหาผู้คุมคนนั้นไม่ได้แล้ว เขาสับสนจนต้องยกมือขยี้ผม เขาไม่รู้ตัวว่าอยู่ในโลกแห่งความสับสนจนแยกแยะอะไรไม่ออกเสียแล้ว ที่สุดก็ต้องโพล่งออกมาเสียงดัง

“นี่ฉันเป็นอะไรไป ฉันอยู่ในความฝันหรือความจริงกันแน่นะให้ตายสิ”

                ...............................................................................................................................................

ชายลึกลับ

 

เขามาหยุดยืนนิ่งอยู่ที่หน้าห้องเยี่ยมมองลอดหน้าต่างกระจกที่มีซี่ลูกกรงติดอยู่อีกชั้นหนึ่ง เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวนั่งรออยู่ที่เก้าอี้ในห้อง ห้องนี้มีเก้าอี้สองตัววางไว้ตรงข้ามกันมีโต๊ะตัวใหญ่ตัวหนึ่งวางอยู่กลางห้อง โต๊ะตัวนี้ออกแบบพิเศษให้สามารถยึดข้อมือนักโทษไว้ติดกับโต๊ะได้  

เขารู้ได้ในทันทีว่าชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ในห้องเยี่ยมวัยเกินเด็กมัธยมและคงไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เคยเขียนจดหมายมาหาเขาอยู่บ่อยๆ เด็กหนุ่มคนที่ลีโอคิดถึงคือเอล   

เขาเดินเข้าไปและนั่งลงที่เก้าอี้ ผู้คุมตามมาล๊อคกุญแจมือไว้กับโต๊ะและเดินออกไปจากห้อง

“มีธุระอะไร” ลีโอถามด้วยเสียงห้วนๆ 

ชายหนุ่มหน้าละอ่อนจ้องมองลีโอตาไม่กระพริบ ไม่พูดโต้ตอบสักคำเพียงแต่อมยิ้มเล็กน้อยเท่านั้น

“นายไม่ใช่คนที่ฉันต้องการจะพบนี่นา นายเป็นใครกันแน่..”  

ที่จริงเขาปฏิเสธที่จะพูดคุยกับใครๆ มาโดยตลอด โดยเฉพาะนักข่าว เขาคิดว่าชายหนุ่มหน้าตาดีคนนี้เป็นพวกนักข่าวเป็นแน่ รู้สึกคุ้นหน้าอย่างบอกไม่ถูก เหมือนเคยเห็นที่หน้าจอทีวี

“ถ้าเป็นนักข่าวก็เชิญกลับไป..ฉันไม่ให้สัมภาษณ์”

“ข้าคิดว่าเจ้าคงอยากพบข้ามากกว่าเจ้าเด็กนั่น” ชายหนุ่มพูดขึ้น

ลีโอตาโต เด็กนั่น.. เอล.. ทำไมเจ้านี่ถึงรู้...

“ข้ามีเรื่องที่เจ้าอยากรู้แทบอกแตกตาย”

ลีโอแปลกใจกับคำพูด “ข้า” และสำเนียงพูดแบบโบราณทำให้รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล มันเป็นคำพูดที่เขาใช้ในนิยายย้อนยุคนี่นา โดยเฉพาะเฮเว่นเกต

“เจ้าจะยินดีที่ข้ามาที่นี่ด้วยซ้ำลีโอ ข้านำข่าวดีมาให้กับเจ้า...”

“ข่าวดี..หึหึ..คนใกล้ตายยังมีข่าวดีอะไรได้อีก..” ลีโอประชด “ว่าแต่ว่านายเป็นใครกันแน่ ฉันคุ้นหน้านายแต่นึกไม่ออก..เหมือนเคยเจอที่ไหนมาก่อน...”

หนุ่มน้อยยิ้มกว้าง ยิ้มประหลาดกับดวงตามีเลศนัย  

จู่ๆ ลีโอก็จำได้ว่าเคยเห็นหน้าชายหนุ่มที่ไหน

"นายอยู่ที่ห้องสมุดนั่น” เขาชี้หน้าชายหนุ่ม “ฉันจำได้แล้ว นายคือหลานของแซมบรรณารักษ์นั่น"

เขาร้องขึ้นอย่างดีใจ

"ชื่ออะไรนะ..ชื่อนาห์ม ฉันจำได้แล้ว"

ลีโอเป็นคนความจำดี เขาจำชื่อทุกคนที่เขารู้จักได้เป็นอย่างดี  

"นายมาทำอะไรที่นี่"

เขาเพิ่งคิดว่าคนชื่อนาห์มดูเป็นมิตรกว่านะ คำพูดและสีหน้าไม่เห็นเหมือนเจ้านี่นี่นา  

"ความจำดีนี่ แต่อย่าดีใจนัก ความทรงจำของเจ้าไม่ได้ดีขึ้นเลยสักนิด" ชายหนุ่มพูดเสียงน่ากลัว

ได้ยินแบบนั้น ลีโอก็บันดาลโทสะทันที

“แกคือใครกันแน่ แกไม่ใช่เจ้านั่นนี่นา บอกมานะว่าแกเป็นใคร”

“ข้าคือคนที่เจ้าตามหายังไงเล่า ไม่ดีใจหรือที่ข้ามาพบเจ้าถึงที่นี่”

“ฉันหรือตามหาแก...” ดวงตาของเขาเบิกโพลงด้วยความสงสัย..ใช่สิ เขากำลังตามหาคนๆหนึ่งอยู่ แต่เป็นเจ้านี่หรือนี่

“ข้าคือผู้กุมชะตากรรมของเจ้า หากเจ้ายอมเชื่อฟังข้า เจ้าจะรอดพ้นจากความตายที่พวกมนุษย์หยิบยื่นให้”

“ผู้กุมชะตากรรมบ้าอะไร”

“ข้าสามารถให้อิสรภาพที่คาดไม่ถึงกับเจ้า หากเจ้ายอมศิโรราปต่อข้า”

"ศิโรราป" เขาขมวดคิ้ว 

“แกเกี่ยวอะไรกับเฮเว่นเกตนั่น” ลีโอร้องเสียงดัง เขาเพิ่งนึกออกเดี๋ยวนี้เองว่าคำพูดสำเนียงโบราณนั้นเหมือนตัวละครในเฮเว่นเกต การพบกันครั้งนี้ก็เหมือนกับเหตุการณ์หนึ่งในเฮเว่นเกต เขาอึ้งอยู่ในโลกความคิดอยู่นานสองนาน

แกต้องการอะไรจากฉัน... 

คนที่มาเพื่อเปลี่ยนชะตากรรม....ข้าจะให้อิสรภาพกับเจ้า...ผู้เปิดเฮเว่นเกต..ข้าอมตะ ข้าไม่กลัวความตาย.. ไม่มีใครฆ่าข้าได้...เรื่องราวต่างๆ ในเฮเว่นเกตพรั่งพรูออกมา  ไม่มีใครขัดขวางข้าได้... อำนาจแห่งเฮเว่นเกตต้องเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว...

“อย่ามาล้อเล่นนะ” เขาร้องและลุกขึ้น แต่มือซึ่งถูกล๊อคไว้กับโต๊ะกลับตึงจนเจ็บมือ ทำให้เปลี่ยนใจนั่งลงไปอย่างเดิม

“เจ้าจะเห็นว่าพลังเหนือโลกที่เจ้าเคยวาดฝันเอาไว้นั้นมีอยู่จริง..”

"พลังบ้าอะไรของแก เฮเว่นเกตเป็นแค่จินตนาการของข้า ไม่มีความจริงเลยสักนิด"

"จินตนาการเป็นของผู้อื่น ไม่ใช่ของเจ้า เจ้าได้จินตนาการของผู้อื่นมา"

"พูดอะไรของแก แกรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง เฮเว่นเกตมาจากจินตนาการของฉัน อย่าพูดเพ้อเจ้อ"

"ข้าจะแสดงจินตนาการของข้าให้เจ้าได้ประจักษ์กับสายตา"

ชายหนุ่มจ้องลีโอจนเขารู้สึกเสียวสันหลังวาบ เขารู้ว่านั่นไม่ใช่การจ้องธรรมดา แต่เป็นการใช้จิตแทงทะลุเข้ามาในจิตของเขา อะไรกันนี่... นี่มันบ้าอะไรกันนี่...

ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าบรรยากาศในห้องนั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากห้องแคบๆกลายเป็นสถานที่กว้างขวางขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ความมืดเข้าครอบครองทั่วห้อง นอกประตูซึ่งมีผู้คุมคนหนึ่งยืนอยู่ก็ไม่มีใครอีก ประตูหายไปแล้ว เสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังอยู่ก็เงียบไป โต๊ะเก้าอี้และทุกสิ่งรอบตัวหายไปหมดแม้กระทั่งกุญแจมือที่ล่ามอยู่ก็หายไปเช่นกัน เขาคิดว่าไฟฟ้าดับแต่ไม่ใช่ รู้สึกเหมือนกับว่ายืนอยู่บนโลกอีกโลกหนึ่งซึ่งไม่ใช่โลกมนุษย์

เรากำลังหลุดพ้นแล้วหรือนี่...หลุดพ้นจากทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งพันธนาการเราไว้

มันเงียบเชียบเสียเหลือเกิน เขาคิดว่ามีโลกซึ่งไร้ซึ่งเสียงใดใดอยู่ด้วยหรือนี่

อะไรกัน.. เราอยู่ที่ไหนกัน เหมือนตกอยู่ในภวังค์อันมืดมน ความกลัวเริ่มจับจิตจับใจเขาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เหลียวมองไปมาทั้งซ้ายและขวาก็พบว่าตนเองกำลังอยู่ในโลกอันโดดเดี่ยวซึ่งไร้เสียงหรือสัญญาณชีวิตใดๆ นอกเสียจากชายหนุ่มซึ่งนั่งอยู่ตรงหน้า ใบหน้าของชายหนุ่มกลับน่ากลัวเหมือนปีศาจ หน้าตากำลังเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

เขาสัมผัสได้ว่าบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้นในเวลาอันใกล้จะมาถึง

ความกลัว...รอยยิ้มของชายหนุ่มยิ่งพอกพูนความกลัวให้กับเขามากยิ่งขึ้น

เจ้านี่มีพลังอะไรสักอย่างแน่..พลังอันใดกัน... หรือไม่มันก็เป็นปีศาจ..ปีศาจ....

“จะไปจากที่นี่หรือไม่ ข้าขอถามเป็นครั้งสุดท้าย”

“ไปได้ยังไง ไม่เห็นหรือว่านี่ที่ไหน พูดจาบ้าอะไร ไม่กลัวผู้คุมได้ยินหรือไง..”

“พวกมนุษย์หรือจะได้ยินเสียงของข้า”

“.......”

วินาทีนั้นลีโอไม่ยอมทนอีกต่อไป 

“แกเป็นใครกันแน่ บอกมาเดี๋ยวนี้ ทำไมที่นี่ถึงกลายเป็นแบบนี้”

ใบหน้าและร่างกายของชายหนุ่มลึกลับกลับกลายเป็นอย่างอื่นไปในพริบตา ชายร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่งมานั่งแทนที่ชายหนุ่ม ร่างซึ่งมีผิวเนื้อดำแดงแต่งกายในชุดโบราณไม่ได้ใส่เสื้อผ้าแต่ห่อหุ้มด้วยผ้าบางเบาทั้งผืน ใบหน้านั้นดุดันผมยาวประบ่าที่คอใส่สร้อยสังวาลมีเพชรเม็ดใหญ่ประดับอยู่ที่หว่างอกล้อมรอบด้วยอัญมณีมีค่าซึ่งส่องแสงออกมากระทบตาของลีโอ

ลีโอเห็นเช่นนั้นถึงกับผงะหงายตัวสั่นเทา  

“ข้าคือผู้กุมชะตากรรมของเจ้า พระเจ้าของเจ้ายังไงเล่า”

แล้วลีโอก็เข้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสงสัยมานาน นี่คือปีศาจที่เขาตามหาตัวมาตลอด ผู้ที่อยู่เบื้องหลังชะตากรรมอันเลวร้ายของเขา ปีศาจผู้ซึ่งทำลายชีวิตเขา ปีศาจซึ่งมาจากจินตนาการของเขา

“...ช่วยด้วย......”

ลีโอร้องลั่น แต่เหมือนกับว่าเสียงจะไม่ได้ออกมาจากกล่องเสียงด้วยซ้ำ บางสิ่งบางอย่างกำลังจู่โจมเขาอย่างรุนแรงทำให้เขาร้องไม่ออก

“อั๊คคคคคคคคคคคคคคคค..........”

ที่สุดเขาก็ร้องเสียงหลงลากยาวก่อนที่สติจะดับวูบลงไป 

ณ เวลานี้ชายหนุ่มแปลกหน้าที่เขาเรียกว่า นาห์มกับชายหน้าตาน่ากลัวเหมือนเจ้าชายโบราณผู้นี้ได้เปลี่ยนแปลงชะตากรรมของลีโอจนยากจะแก้ไขได้เสียแล้ว

……………………………………

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา