i'm not&you don't [Yaoi NC18+] END หนังสือถามได้คะ

9.2

เขียนโดย Pierre

วันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555 เวลา 02.28 น.

  49 chapter
  69 วิจารณ์
  260.02K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559 22.56 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น

แชร์นิยายฟิคชั่น Share Share Share

 

8) 8 - GEAR Day & GEAR Night

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
 
 
8 - GEAR Day & GEAR Night
 
 
เมื่อคืนผมหลับคาโซฟา เพราะไอ้พี่วอร์มแม่งว่าวนานสัดๆ ตื่นมาอีกทีผมก็อยู่บนเตียง เสื้อผ้าเรียบร้อย ส่วนไอ้พี่วอร์มมันตื่นนานแล้ว (หรือยังไม่ได้นอนอันนี้ก็ไม่ทราบ) มองดูนาฬิกา...อีก15นาทีเข้าเรียน ชิบหายยยยยยย  ผมรีบอาบน้ำแต่งตัวโดยใส่เสื้อนักศึกษาของพี่วอร์มแต่กางเกงของผม ไม่ถึง20นาทีผมก็ได้มายืนอยู่ที่หน้าตึกเรียนโดยมีสารถีเป็นพี่รหัสตัวเอง  รถแรงก็เงี้ยยยย ฮ่าๆ
 
หากคุณคิดว่าผมกับพี่รหัสตัวเองจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงแล้วละก็..คุณคิดผิดครับ ผมยังทำตัวเหมือนเดิม ไอ้พี่วอร์มก็เหมือนกัน ผู้ชายทั้งคู่นะครับ ว่าวให้กันแค่นี้ .. เคลิ้มไปบ้างก็จริง แต่มันก็เหมือนสำเร็จความใคร่นั่นด้วยตัวเองนั่นแหละครับ ไม่มีใครเสีย มีแต่ได้กับได้ วินวินทั้งคู่
 
ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับไอ้พี่วอร์มมากนัก ไม่รู้ว่ามันมีแฟนมั้ย นิสัยเรื่องผู้หญิงเป็นยังไง รู้แต่ว่าบ้านมันรวยมาก สังเกตได้จากรถและคอนโดเริ่ดหรูอลังการ เป็นที่รู้จักไปทั่วด้วยมาดหล่อรวยและเสียงโหดที่เป็นเอกลักษณ์
 
เอ..เมื่อคืนนี้ตอนพี่วอร์มทำให้ผม รู้สึกเหมือนพี่เค้าจะไม่พูดอะไรเลย...สงสัยกลัวพูดออกมาแล้วผมหมดอารมณ์มั้ง 55555+
 
 
“อ่าวไอ้แกน กูนึกว่ามึงจะไม่มาซะแล้ว” ไอ้ทัชส่งเสียงทักทายผมทักทีที่เข้ามาในห้อง
“กูว่ากูควรถามมึงมากกว่านะ เมื่อคืนเมาเป็นหมาเลยสัด” ผมด่ามันกลับ
“อะไร ใครเมา?” แม่งทำหน้าเหลอหลาได้กวนตีนมากครับ
“มานั่งได้ละ ยืนเตี้ยอยู่ได้” ผมหันขวับไปทางไอ้คนที่พูดทันที
“กูสูงกว่าพ่อมึงละกันเหี้ยแทน”
“ลามปามนะมึง ปากหมาเหมือนเดิม” ถึงผมจะด่าพ่อมันแต่มันก็ไม่ติดใจอะไรครับ
แค่สูงกว่าผมนิดหน่อย (12เซนต์) เสือกเบ่งอยู่ได้
“เลิกกัดกัน แล้วนั่งลงได้ละแกรนด์” กิ๊งบอกผมหน่ายๆเพราะอาจารย์เริ่มทำการเปิดพาวเวอร์พ้อยและเล่านิทานให้ฟังจนหมดชั่วโมง กล่อมเด็กให้หลับกันไปเป็นแถวรวมถึงผมด้วย
 
 
“ตื่นๆๆ ไปหาไรแดกกัน” ไอ้แทนปลุกผม เดินนำออกไปนอกห้อง
“เอ่อ..แกรนด์..” ไอ้เมฆเรียกผมอย่างกล้าๆกลัว
“มีไร”
“เมื่อกี้อาจารย์สั่งงานด้วยนะครับ”
“เออ ไว้ก่อน” ผมรู้แหละว่ามันต้องทำแน่ๆ แล้วเมื่อถึงเวลาส่ง ผมจะลอกมัน ฮ่าๆ
โรงอาหารที่พวกผมเลือกมากินก็คือโรงอาหารคณะตัวเองเนี้ยแหละครับ สาเหตุเพราะคุณนายกิ๊งบอกว่าขี้เกียจเดินไกล โห่ยย เซ็งเลย ผม ไอ้แทน ไอ้ทัชกะว่าจะไปส่องสาวๆคณะมนุษย์สักหน่อย
เมื่อหาอาหารรับประทานกันเสร็จก็มาอยู่ที่ซุ้มเจอร์ครับเพื่อรอเรียนช่วงบ่าย เพื่อนๆหลายคนที่อยู่ก่อนแล้วก็เหมือนกำลังประชุมอะไรกันอยู่
 
“เห้ยคุยไรกันวะ หน้าเครียดเชียว” ไอ้แทนตะโกนถามทั่ว หวังให้ใครสักคนตอบ
“เรื่องการแสดงงานเกียร์ไนท์ไงมึง” ถ้าผมจำไม่ผิด ไอ้นี่น่าจะชื่อ โย ที่ไอ้ทัชเคยแนะนำให้ผมรู้จักวันแรกๆ “พี่เค้าบอกว่าแต่ละเจอร์ต้องมีการแสดงให้รุ่นพี่ไม่เกิน 20 นาที”
 
ผมว่าผมควรหลีกเลี่ยงออกจากการสนทนานี้ให้ไวที่สุด.. .
 
“จะไปไหนค่ะแกรนด์” เสียงหวาน..แต่ทำไมผมรู้สึกเสียวสันหลังยังไงก็ไม่รู้
“เอ่อ..เข้าห้องน้ำจ้า”
“เมื่อกี้เพิ่งเข้าไม่ใช่เหรอ ก่อนออกมาจากโรงอาหารน่ะ” ไอ้ทัชขัด
 
ไอ้เพื่อนเชี่ยยยยยยยยยยยย
 
“เอ่อ..”
“ไม่ต้องเลย มาช่วยกันคิดเร็วๆ”
 
จ้ะแม่ T^T .. ผมรู้ซึ้งในสัจธรรมที่ว่าอย่าหาผู้หญิงหวานในคณะวิศวกรรมศาสตร์แล้วละครับ หน้าตาน่ารักใช่ว่านิสัยและคำพูดจะเหมือนหน้าตานะเออ
.
.
 
.
 
 
.
เช้าวันเสาร์ ณ คณะวิศวกรรมศาสตร์
 
เวทีใหญ่ถูกสร้างขึ้นเพียงค่ำคืนเดียว ตั้งอยู่ที่ลานกว้าง ด้านหลังมีตัวอักษรแปะว่า
 
‘GEAR day & GEAR night’
 
บริเวณโดยรอบถูกกั้น มีการตกแต่งคัทเอ้า ฉาก ป้ายผ้าต่างๆนานา ดูแปลกตาแต่ก็น่ารักดี น้องๆปี1ถูกนัดมาตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อมาทำบุญตักบาตรร่วมกัน จากนั้นก็เป็นกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ กวาดลาน ถางหญ้า เช็ดโต๊ะ จนถึงสายๆ ก็ให้พักกินข้าวกินน้ำ  งานนี้นอกจากจะมีน้องปี1กับพี่สโมแล้ว พวกพี่ว๊ากทุกคนก็มาช่วยด้วย ซึ่งปีอื่นไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ทุกคนดูเป็นกันเอง ใจดี ไม่เหลือมาดตอนประชุมเชียร์เลย
 
ผมมองไปทั่วงาน
 
ก็เป็นที่รู้ๆกันนะครับว่าผู้หญิงแท้ๆในคณะวิศวะป่าเถื่อนเนี้ยมันหายากขนาดไหน แต่ตอนนี้ผมอยากจะค้านประโยคนั่นจัง เพราะรอบตัวไอ้เหี้ยพอสมีแต่สาวๆ แถมน่ารักๆทั้งนั้น กิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ตอนเช้าล้วนแต่ใช้แรงงานทั้งสิ้น คุณผู้หญิงทั้งหลายแหล่จึงสบายแฮ คอยส่งน้ำ เช็ดเหงื่อให้เหล่าชายชาติทหาร แต่รู้สึกผู้หญิงคณะผมจะไม่มีความพอดี พวกเธอเล่นป้วนเปี้ยนอยู่แต่รอบตัวไอ้เหี้ยพอส
 
แม่งน่าหมั่นไส้วุ้ย!
 
ผมนั่งกินข้าวกะเพราไก่ไข่ดาวบรรจุกล่องโฟมที่ถูกส่งต่อๆกันมา ด้วยความซุ่มซ่ามหรืออะไรไม่รู้ ข้าวผมดันหกทั้งกล่อง..
 
เวรเอ๊ยยยย แดกก็ไม่ได้แดก ยังต้องมานั่งเก็บซากอีก
 
 
“เอ่อ...ผมอิ่มแล้วครับ แต่เหลือเยอะ แกรนด์กินมั้ย?” เมฆยื่นข้าวกล่องที่พร่องไปนิดเดียว
“ไม่เป็นไร นายกินเหอะ”
 
พอเอาข้าวไปทิ้งเสร็จ กลับมานั่งที่ ผมหงุดหงิด นั่งเงียบ ไม่พูดกับใคร
 
ไอ้แทนที่พยายามหาเรื่องด่าผม แต่ก็ไม่เป็นผล ส่วนไอ้ทัชเลือกที่จะสังเกตอาการมากกว่า
 
 
“น้องๆอิ่มกันแล้วใช่มั้ยค้า?...งั้นกลับมานั่งที่ด้วยนะจ้ะ เดี๋ยวพี่จะแจ้งกิจกรรมตอนบ่ายจ้า”
 
ทุกคนอิ่ม แต่กูไม่อิ่มโว้ยยยยยยยยยยยยย
 ผมพาลครับพาลลลลลลลลลลลลลลล
 
 
“ตอนบ่ายนี้จะมีกิจกรรมชื่อว่า ‘วิ่งประเพณี’ นะจ้ะ ก็ไม่มีอะไรมากแค่วิ่ง วิ่งให้รุ่นพี่แต่ละรุ่น เพื่อเป็นการพิสูจน์ตัวเอง ความสามัคคี ความอดทน ความเคารพที่น้องๆมีให้พวกพี่ .. น้องคนไหนคิดว่าไม่ไหวลุกออกมาเลยค่ะ”
 
วิ่งเหี้ยไรอีกเนี่ย?
 
ผมได้แต่คิดในใจ เพราะตอนนี้ผมลุกไปเตรียมตัวเพื่อที่จะวิ่งแล้ว แดดยามบ่ายเป็นอะไรที่ทำร้ายมาก ไม่มีเมฆบดบัง ไม่มีเค้าฝน ลมที่พัดผ่านเป็นลมร้อน ข้าวไม่ได้กิน แล้วนี่ผมต้องมาวิ่งรอบตึกคณะ มีอะไรแย่กว่านี้อีกไหม?
 
อันที่จริงจะแกล้งว่าไม่ไหวก็ได้
แต่ไอ้คำว่าสปิริตที่พวกผมยกมือทุกครั้ง .. .
นึกถึงตอนที่เพื่อนยอมมาลุกนั่ง โดนทำโทษเหมือนผม ทั้งๆที่ไม่ผิด .. .
สิ่งเหล่านี้มันค้ำคอผมอยู่
 
ผมหันไปมองพวกผู้หญิงที่สบายอีกแล้ว ครับ พวกเธอไม่ต้องวิ่ง คอยนั่งให้กำลังใจก็พอ
 
รู้สึกอยากเกิดมาเป็นผู้หญิงตะหงิดๆ
 
.
.
 
.
 
 
.
 
เมื่อเวียนรอบตึกครบ1รอบ...
 
“รอบนี้วิ่งให้พี่E01!!”
 
อีก1รอบ
 
“รอบนี้วิ่งให้พี่E02!!”
อีก1รอบ
“รอบนี้วิ่งให้พี่E02!!”
อีก1รอบ ไปเรื่อยๆ .. .
“รอบนี้วิ่งให้พี่E03!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E03!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E03!!”
 
เข้าใจใช่มั้ยครับ ผมต้องวิ่งรอบตึกคณะเป็นรุ่นที่พวกผมวิ่งให้
.
.
 
.
 
 
.
“รอบนี้วิ่งให้พี่E13!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E13!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E13!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E14!!”
 
มีคนบางส่วนเริ่มเดิน
...
ผมยังไหว . . E14 แล้ว
 
.
.
 
.
 
 
.
“รอบนี้วิ่งให้พี่E21!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E21!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E21!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E21!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E21!!”
 
ตุบ!
 
ผมหันกลับไปมอง เพื่อนข้างหลังเป็นลมไปแล้ว
 
“รอบนี้วิ่งให้พี่E21!!”
 
แต่พวกผมก็ยังคงต้องวิ่งต่อไป
 
ต้องเหลือรอดไปจนถึง E84 ให้ได้
คนเดียวก็ยังดี...
 
.
.
 
.
 
 
.
“รอบนี้วิ่งให้พี่E29!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E29!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E29!!”
“รอบนี้วิ่งให้พี่E29!!”
 
พอวิ่งผ่านหน้าเวที ซึ่งมีพี่ๆคอยปฐมพยาบาลกับพวกผู้หญิงนั่งอยู่ สายตาผมเหลือบไปเห็นไอ้เหี้ยพอส
 
มันมองผมอยู่
 
คงจะคิดละซิว่ากูจะเป็นลมล้มพับไปเมื่อไหร่? หึหึ
ฝันไปเถอะไอน้องงงงงง พี่ถึกโว้ยยยยยยยยยยยยยยยยย
 
“รอบนี้วิ่งให้พี่E29!!”
 
 
“สู้เค้านะค่ะแกรนด์!”
 
หืม? ผมฟังผิดไปรึเปล่า มีผู้หญิงส่งเสียงให้กำลังใจผมด้วยอะ!!
เพื่อความมั่นใจ เดี๋ยวพอวิ่งวนมาอีกรอบ ลองมองหาดูดีกว่า
 
“รอบนี้วิ่งให้พี่E29!!”
 
อ่า...ใช่จริงๆด้วย หน้าตาน่ารักใช้ได้เลยวุ้ย
ได้ยินงี้แล้วมีกำลังใจ
ฮึดๆ สู้ตายไว้ลายสู้ๆ
 
 
“ระ รอบนี้ แฮ่ก วิ่งให้พี่E31”
“รอบนี้วิ่งให้ แฮ่ก แฮ่กๆพี่E31”
 
เพิ่งจะE31เหรอวะ ทำไมหนทางมันช่างยาวไกลแบบนี้ .. .
 
ใครก็ได้เอาพระอาทิตย์ไปเก็บที ร้อนเกินไป ผมใกล้สุกแล้วนะ
ตาผมเริ่มลาย เหงื่อไหลท่วมตัว ยิ่งกว่าอาบน้ำอีก
 
ขาหมดแรงแล้ว...ปวดไปหมด...ผมเริ่มวิ่งช้าลง จนกลายเป็นเดิน ..
 
ไอ้พอสยังมองผมเหมือนเดิม ทุกรอบที่วิ่งผ่านหน้าเวที จะมีสายตาของมันจับจ้องมาที่ผมตลอด
 
แม่งจะมองกูทำเหี้ยไรเนี่ย? อึดอัดชิบหาย
 
 
 
สุดท้ายก็ไม่ไหว สิ้นสุดที่E31สำหรับผม ตัดสินใจเดินมานั่งกับไอ้ทัชที่มันเลิกวิ่งไปตั้งแต่E24แล้ว เมฆวิ่ง แต่วิ่งถึงแค่E17 ไอ้แทนยังวิ่งอยู่ แต่มันแอบมาพักแล้ว2รอบ แล้วกลับไปวิ่งใหม่
 
ทัชยื่นน้ำมาให้ผม น้ำเย็นจัด ผมกินอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ค่อยๆ เดี๋ยวก็สำลักตายหรอก”
 
ผมเทน้ำล้างหน้า
ฮ้า..สดชื่น...
 
“มึงไปล้างหน้าดีกว่าปะ ? แม่งกระเด็นใส่กู” ไอ้ทัชเขยิบตัวหนี ผมเลยแกล้งมันโดยสะบัดน้ำใส่ซะเลย ฮ่าๆ “เชี่ยยยย เล่นไรเนี่ย กูเปียกหมดละห่า”
“ฮ่าๆ เปียกเป็นเพื่อนกูไง”
 
โยนขวดน้ำลงถังแล้วนั่งลงข้างมัน มองดูเพื่อนที่เหลือรอดไม่ถึง100นายยังคงวิ่งกันอยู่
 
 
 
แม่งจะจ้องกูทำไมนักหนาวะ? ว่าจะไม่สนแล้วนะ แต่มันอึดอัดโว้ยยยยยยยย
ลองคุณโดนมองแบบไม่ให้คลาดสายตาสิครับ แล้วจะรู้สึกแบบผมตอนนี้
 
ผมอยากลุกขึ้นไปถามมันให้รู้เรื่องจริงๆ ถ้าไม่ติดว่ามีเพื่อนกับรุ่นพี่เยอะแยะนะมึง...
 
ทนสายตามันไม่ไหว ต้องลุกไป...
.
.
.
...วิ่งต่อ
 
“ระ..รอบนี้ แฮ่ก แฮ่กๆ วิ่งให้พี่E38”
“รอบนี้ แฮ่ก วิ่งให้พี่E38!!”
 
เสียงผมเริ่มแผ่วลงเรื่อยๆ
 
จะE40แล้ว สู้!
ผมบอกตัวเองแบบนั้น
 
 
ใจสู้แต่ร่างกายมันประท้วงว่าไม่ไหว
 
 
ทำไมโลกมันมืดๆนะ...
.
.
 
.
 
 
.
 
เสียงดังโหวกเหวกรอบตัวทำให้ผมรู้สึกตัว ค่อยๆปรือตาขึ้น ปรับแสงให้ชินกับนัยน์ตา ค่อยๆพยุงตัวลุกขึ้นนั่งโดยมีไอ้ทัชช่วย มองไปรอบๆก็พบว่านี่เป็นห้องอเนกประสงค์
 
“เป็นไงมึง ทำเก่ง ลุกไปวิ่งต่อ .. เป็นลมจนได้สิห่าราก” มันจ่อยาดมให้ผมดม
 
เอ่อ..คำพูดกับการกระทำขัดกันแปลกๆนะ
 
“แล้วกูมาอยู่ห้องนี้ได้ไง”
คำถามจริงๆคือ...กูตัวควายขนาดนี้ใครแบกกูมา .. นั่นเอง
“พี่พอสอุ้มมา”
“ห๊ะ!!!???”
 
ผมคงฟังผิดไป เพิ่งตื่น จะมึนเบลอบ้างไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ไอ้ทัชดูท่าจะเดาปฏิกิริยาผมถูก สีหน้ามันเลยดูขำๆแกมล้อเลียน
 
“พอมึงล้มปุ๊ป หลายคนก็วิ่งกรูเข้าไปจะช่วยเลยนะ แต่..ไม่มีใครทันพี่พอสสักคน...” ทัชเหลือบมองผมเล็กน้อย “พี่แกโคตรแมนเลยนะเว่ย อุ้มมึงให้มานอนในนี้ แถมยังหายาดมมาให้ด้วย” คนพูดชูยาดมที่เพิ่งจ่อจมูกผมอยู่เมื่อกี้ แล้วหันไปหยิบกล่องโฟมมาให้ “ส่วนนี่ข้าว...พี่พอสเก็บไว้ให้มึง”
 
ไม่มันก็ผมเนี่ยละที่บ้า
 
“มึงพูดผิดพูดใหม่ได้นะสัด .. เอาดีๆ อย่าแกล้ง .. ใครช่วยกู” ผมถามมันเน้นๆ มาโกหกแบบนี้ไม่ตลกนะไอ้ทัช
 
“พี่พอส”
 
ทำไมมันยังตอบแบบเดิมวะ?
 
“กูพูดจริง .. ข้าวนี่ก็ด้วย แดกซะ เดี๋ยวกูออกไปดูการแสดงข้างนอกก่อน เฝ้ามึงมาเป็นชั่วโมงละ มีไรก็โทรหากูแล้วกัน กูไปละ” ทัชลุกขึ้น แต่ก็ไม่วายกำชับให้ผมกินข้าว “แดกๆเข้าไป อย่ากูรู้นะว่ามึงไม่กินอีก .. ลดทิฐิแล้วห่วงตัวเองก่อนเถอะ”
 
 
ไอ้ทัชจะรู้ใจผมมากเกินไปแล้ว...
 
ผมก้มลงมองข้าวที่อยู่ในมือ...กะเพราะไก่ไข่ดาวเหมือนเดิม...
 
 
...แต่รสชาติจืดสนิท คงเพราะมันผ่านมาหลายชั่วโมงแล้ว ถึงอย่างนั้นผมก็ยังตักข้าวใส่ปากเรื่อยๆ
 
พลางนึกถึงเรื่องที่ผมเป็นลม...ไอ้พอสช่วยผมจริงเหรอ? เพราะอะไร ? ทำไมมันต้องช่วย? อยากเป็นฮีโร่? อยากดูดีในสายตาสาวๆ?
 
คิดยังไงๆผมก็นึกไม่ออกจริงๆว่ามันช่วยผมเพราะอะไร ถ้าเป็นคนอื่นคงดีกว่านี้ มันไม่ใช่สำหรับคนที่เพิ่งต่อยกันไปเมื่อวันก่อน...คำถามนี้คงไม่ได้รับคำตอบ ถ้าหากผมไม่ไปถามเจ้าตัวตรงๆ…
 
ผมตักข้าวเข้าปากคำสุดท้าย กล้ำกลืนลงคอ ไม่มีพริกน้ำปลาให้ปรุง ไม่มีความอร่อย แต่ผมก็กินจนหมด ปิดฝากล่อง วางไว้ข้างๆ ดื่มน้ำตาม
 
ที่ผมกินหมดเพราะผมหิวบวกกับไอ้ทัชสั่งไว้หรอก...ไม่ใช่เพราะกลัวคนเก็บไว้ให้เสียใจจริงๆนะ อย่ามองผมแบบนั้นซิ...
.
.
 
.
 
 
.
บนเวทีที่ถูกสร้างขึ้นชั่วคราวกำลังมีการแสดงจากภาควิชาอะไรก็ไม่รู้ ด้านล่างมีปี1เป็นคนดูซึ่งได้นั่งพื้น เนื่องจากงบไม่พอ เอาไปสร้างเวทีกับตกแต่งสถานที่หมดแล้ว การแสดงบนเวทีนั้นเรียกเสียงหัวเราะจากเพื่อนๆได้เป็นอย่างดี มุขตลกบ้างแป๊กบ้างก็ขำๆช่วยๆกันไป ไอ้พวกใจกล้าหน้าด้านก็ยังคงไม่อายชาวบ้าน แสดงอะไรแปลกๆ แต่ก็สามารถจับผู้ชมได้อยู่หมัดแหละครับ
 
ผมเห็นพวกเพื่อนๆนั่งอยู่ไกลๆจึงเดินเข้าไปหา
 
“อ้าวแกรนด์ ฟื้นแล้วเหรอ?” กิ๊งที่เห็นผมคนแรกถามขึ้น
“อื้อ ก็ดีขึ้นแล้วอะ” ผมตอบพลางนั่งลงข้างไอ้ทัช
“โหยย โตจนป่านนี้ยังจะเป็นลมอีกเร๊อะ” เสียงหมาที่ไหนก็ไม่รู้ครับ...ปล่อยมันเห่าหอนไป
“การแสดงเจอร์เราผ่านไปยัง?”
“แล้ว .. ก็เพราะมึงเอาแต่นอนไง”
“กูถามทัช”
“แต่กูอยากตอบ มีปัญหาไรม๊ะ?” ไอ้แทนตอบอย่างกวนตีน ยกคิ้วขึ้นข้างนึง .. คิดว่าเท่ห์เหรอสัด .. กูไม่สนมึงหรอก
“จบนี่ต้องทำไรอีกมั้ย?”
“เห็นพี่ๆเค้าบอกว่าจะมีคอนเสิร์ตเล็กๆน้อยๆอะ ถ้าอยู่ได้ก็ควรจะอยู่ก่อน” กิ๊งเป็นคนตอบ
แล้วผมก็ไม่ได้ถามอะไรอีก หันไปสนใจการแสดงบนเวทีแทน จนสิ้นสุดลงครบทุกภาควิชา ก็หัวค่ำพอดี พี่ที่เป็นพิธีกรชายหญิง2คนขึ้นมาดำเนินรายการต่อ
 
“ต่อไปนะคะ จะเป็นการประกาศรายชื่อตัวแทนเฟรชชี่ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงของคณะเราค่ะ”
“อ้าว...จะประกาศชื่อพี่ทำไมละครับ” พี่ผู้ชายอีกคนหันไปถามพิธีกรหญิงอย่างขี้เล่น
“แหม..ตัวแทนเฟรชชี่นะคะ ไม่ใช่ตัวแทนบัณฑิต..” พี่ผู้หญิงตอบแบบจิกกัด ซึ่งเรียกเสียงหัวเราะให้กับผู้ชม
“ฮ่าๆ เอาละครับๆเข้าเรื่อง..ผมขอประกาศตัวแทนเฟรชชี่ฝ่ายหญิงที่มีอยู่น้อยนิดเลยละกันนะครับ...ซึ่งนั่นได้แก่น้อง...”
 
 
“น้องทิวา จากภาควิชาวิศวกรรมเคมีคร้าบบบบบบบบ ..”
 
“เฮ้ ! เยเย้ !! วิดวิ้วววววว” เสียงแซวจากเหล่าชายไทยดังขึ้นรวมไปถึงไอ้ทัชด้วย
 
หญิงสาวที่เป็นตัวแทนเฟรชชี่คณะกำลังเดินขึ้นไปบนเวที นั่นทำให้ผมเห็นเต็มตาว่า ทิวานั้นสวยหยาดเยิ้มขนาดไหน ..หลงสเน่ห์ไปชั่วขณะ อยากจะเข้าไปทำความรู้จัก แต่ก็ต้องเบรก หยุดความคิดไว้แค่นั้น เพราะไอ้ทัชมันสะกิดผมยิกๆ ประมาณว่า ‘มึงอย่า คนนี้กูขอ’
 
“และ...ตัวแทนเฟรชชี่ฝ่ายชายได้แก่...”
 
...
 
.......
 
“น้องแทน จากภาควิชาวิศวกรรมเครื่องกลค้า !! ...”
 
 
“เห้ยย”
“จริงดิ”
“แม่งเส้นปะวะ?”
 
คำวิจารณ์เล่นๆปนรอยยิ้ม แสดงความดีใจไปกับเพื่อนที่ฝ่าฝันชายในคณะนับร้อยจนได้เป็นตัวแทน
 
ผมหันไปมองตัวแทนเฟรชชี่คณะฝ่ายชายแบบเหยียดๆ
 
“ถ้ากูลงด้วยมึงก็ไม่ได้หรอกไอ้แทน”
ตัวแทนเฟรชชี่คณะ...ไม่มีการจัดประกวดอย่างเป็นทางการอะไรหรอกครับ พี่ๆเค้าเห็นว่าใครหล่อสวยก็เอามาคัดๆหมดนั่นแหละ (รุ่นพี่ยังฝากไอ้แทนมาถามผมเลย) ส่วนไอ้เรื่องความสามารถพิเศษ ของแบบนี้มันฝึกกันได้
 
“ใช่ กูด้วย” ไอ้ทัชสมทบ
“กูก็เหมือนกันแหละ กูกลัวว่าถ้าออกไปโชว์ตัวแล้วเดี๋ยวสาวๆจะละลายซะก่อน” ไอ้โยครับ -*-
 
 
“โธ่ กูรู้หรอกว่าพวกมึงอิจฉากู ฮ่าๆ” ไอ้แทนพูดแล้วมันก็เดินไปบนเวที
 
คือมองไกลๆมันก็หล่อนะครับ เพราะมันหุ่นดีอะ (อิจฉานิดๆ) แต่ถ้ามองใกล้ๆก็ธรรมดาแหละ สู้ผมไม่ได้หรอก หุหุ
 
พิธีกรทั้ง2บอกให้ทิวากับไอ้แทนกล่าวความรู้สึกเล็กน้อยที่ได้รับเกียรติเป็นตัวแทน แล้วก็ลงมาจากเวที ไอ้แทนเดินมายังกลุ่มพวกผมแล้วบอกว่ารุ่นพี่นัดคุยเรื่องการประกวดเฟรชชี่มหาลัย ถ้าเสร็จแล้วเดี๋ยวจะโทรหา
 
 
“ต่อไป..จะเป็นคอนเสิร์ตเล็กๆน้อยๆจากรุ่นพี่นะครับ”
“ไม่รอช้า ไปมันส์กันเลยดีกว่าค้า!!”
 
 
นักมือ มือเบส กีต้าร์ มือกลอง .. ล้วนแต่เป็นคนที่คุ้นหน้าทั้งสิ้น...ก็ไอ้พวกพี่ว๊ากนั่นแหละครับ สาวๆกรี๊ดใหญ่เลย เห้อออ แค่เล่นดนตรีเป็นหน่อยเดียวแต่กลับบวกความหล่อเข้าไป10คูณความเท่ห์เข้าไปอีก100
 
 
อ๊ะๆ ผมรู้ว่าคุณสงสัยอะไร ไอ้เหี้ยพอส ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวงเฉพาะกิจนี้ครับ...ซึ่งตัวมันไปไหนก็ไม่รู้เพราะผมไม่เห็นมันเลยตั้งแต่ฟื้นมา
 
ผมไม่ได้มองหามันนะ!! หึ่ยยย
 
 
“ทำหน้าให้มันดีๆหน่อย หน้าตาก็แย่อยู่แล้ว เสือกทำหน้าบูดเป็นตูดลิงอีก”
“ยุ่งวะ”
“เอ้า ก็คนเค้ากำลังมันส์ เต้นกันโหยงเหยงๆ แต่มึงเสือกนิ่ง มีอารมณ์ร่วมหน่อยดิวะ ไม่งั้นก็ออกไปรอข้างนอก กูจะแด๊นส์ ฮ่าๆ” ไอ้ทัชไม่ว่าเปล่า หัวโยก มือชูขึ้นฟ้า ก่อนจะแหกปากร้องตามเพลงอย่างไม่เหลือความหล่อ
 
ผมเห็นดังนั้นก็เลย...เอาบ้าง
 
ไม่สนละไอ้ภาพพจน์ที่สร้างมา ตอนนี้กูขอมันส์ก่อนโว้ยยยยยยย
 
 
 
พวกผมเต้นอย่างไม่ลืมหูลืมตา กระโดดตามจังหวะหย๋องแหย๋งๆ มือไม้ขาแข้งไปโดนใครบ้างก็ไม่รู้
 
“โอ๊ย! ไอ้เชี่ย เหยียบตีนกูรอบที่3แล้วนะ” ไอ้คนที่อยู่ข้างๆหันมาด่าผม
“โทษที...แต่ใครใช้ให้มึงเอาตีนมาอยู่ใต้ตีนกูละ”
 
ที่ตั้งเยอะแยะ มาเบียดไรกูวะ? จะโดนกูเหยียบเท้าบ้างก็ไม่แปลก ... อันที่จริงผมก็รู้สึกแหละครับว่าเหมือนจะไปเหยียบเท้าใครเลยขอโทษแบบส่งๆไป ก็คนมันไม่ได้ตั้งใจนี่หว่า
 
“ปากดีนะมึง” มันหันมาประจันหน้ากับผมแล้วครับ ไม่ตงไม่เต้นแม่งแล้ว
“กูขอโทษมึงแล้ว จะเอาไรอีก?” ผมพูดแบบปลงๆ
 
เห้อออออ .. . คนกำลังมันส์ดันมีมารมาขัดซะได้
 
“ออกไปคุยกันข้างนอก”
“หึ กูไม่ขัดศรัทธาอยู่แล้ว”
 
ดูก็รู้ว่าแม่งอยากมีเรื่อง .. .
 
ผมจะหันไปบอกไอ้ทัช แต่..อะ อ้าว แม่งไปอยู่กับกลุ่มผู้หญิงตรงโน้นได้ไงวะ?
แล้วคำตอบก็กระจ่างเมื่อผู้หญิงที่ยืนข้างๆมันหันมา  .. ทิวา ... หึหึ เอาจนได้นะมึง
 
จะบอกไอ้แทนก็ไม่ได้เพราะมันยังไม่โผล่หัวมาตั้งแต่ที่บอกว่ารุ่นพี่เรียกเลย ส่วนกิ๊งกับเมฆไปนั่งพัก
ผมหันไปมองเพื่อนคนอื่นในเจอร์ที่ไม่ค่อยสนิทเท่าไหร่ คุยบ้างตามประสา แต่เต้นอยู่ใกล้ๆกัน
 
“เห้ย พวกมึง เดี๋ยวกูมานะ” ผมบอกลอยๆไม่ได้เจาะจง แต่คงไม่มีใครสนใจผมหรอก ณ เวลานี้
 
 
ไอ้คนที่ผมเหยียบตีนเดินนำออกไปด้านหลังเวทีเพียงคนเดียว ผมเลยได้โอกาสพิมเล่าเหตุการณ์แล้วส่งไปทางLineไอ้ทัช ผมว่าผมพิมนานแล้วนะ...แต่ไอ้คนข้างหน้ายังไม่หยุดเดิน มันไกลเกินไปรึเปล่า? ขณะที่ผมกำลังจะอ้าปากถาม มันก็หยุดเดินแล้วหันหลังมาพอดี
 
ที่ที่มันพามาเหมือนข้างตึกเรียนเก่าๆ มีต้นไม้ใหญ่เต็มไปหมด แสงไฟที่เปิดไม่ได้ช่วยอะไรเพราะว่ามันมืดมาก เสียงลมพัดยิ่งทำให้บรรยากาศดูหลอนเป็น2เท่า
 
“มีไรก็ว่ามา” ผมไม่รอช้า เข้าเรื่องทันที
“มึงเหยียบตีนกู”
 
ถ้าเรื่องแค่นั้นจะถ่อพากูมาถึงนี่ทำไม ?
 
ผู้ชายด้วยกันดูออกครับ ว่ามันอยากซัดกับผมซักตั้ง แน่นอนว่าผมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วเลยเดินตามมันมาแบบโง่ๆ แต่ถึงยังไงมันก็มาคนเดียว เพื่อนๆมันยังอยู่ที่เวที
 
มันเป็นคนรูปร่างไม่ใหญ่มาก เตี้ยกว่าผมเล็กน้อย ..
 
หากตัวต่อตัวผมว่าผมเอามันอยู่
 
“มึงจำแฟงได้มะ? ฟักแฟง...”
 
คิ้วผมขมวดเข้าหากันทันที...ฟักแฟงไหนวะ?
 
“ที่มึงเจอที่ผับPQRS เมื่อเดือนที่แล้ว .. แล้วมึงก็นอนกับเค้าไง...”
 
ผมนึกย้อนตามที่มันพูด ... อ้อออออออออออออออ
 
“ว่าไง...นึกออกรึยัง? หรือสมองมึงมันมีแต่เรื่องชั่วๆ ดีแต่ปาก ... งั้นกูจะช่วยฟื้นความจำมึงเอง!!!”
 
ผลั่วะ!!!!
 
ไอ้เหี้ยนั่นมันชกผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัวจนผมล้มลงไปกับพื้น...มันนั่งคร่อมตัวผมไว้ ซัดหมัดลงมาไม่ยั้งมือ
 
นี้สินะ ... เปิดก่อนได้เปรียบ ... ผมพลาดเองที่อยู่ใกล้ ในระยะของมันมากเกินไป
 
“ฟักแฟงเป็นเมียมึง?”
 
มันชะงัก ค้างหมัดไว้บนอากาศ
 
“ไอ้สัด แฟงเป็นแฟนกู เป็นผู้หญิงที่มีค่า มึงไม่สมควรแตะต้องด้วยซ้ำ!!!” มันตะคอกใส่ผม
“อ้อ แสดงว่ามึงยังไม่ได้สินะ หึ!”
“หุบปากไปเลยไอ้สัด!!!!”
ผลั่วะ!!
มันชกผมอีกหมัด
ผมรู้ว่าตอนนี้ไอ้เหี้ยนี่โกรธ โมโห อยากจะฆ่าผมให้ตาย และ ... เสียใจที่คนรักดันไปมีสัมพันธ์แบบวันไนท์สแตนกับใครก็ไม่รู้....
 
แต่มันเสือกโง่ เพราะผู้หญิงที่ชื่อฟักแฟงไรนั่นก็ไม่ได้ขาวสะอาดแบบที่มันเทิดทูนหรอก
 
“ของแบบนี้มันต้องสมยอมทั้ง2ฝ่าย...แล้วแฟนมึงก็เสือกเข้ามาหากูก่อนเอง”
 
“ไอ้เหี้ย!!!!!!!!!!!!”
 
ผมอาศัยจังหวะนี้ถีบมันกระเด็น รีบลุกก่อนที่มันจะตั้งตัวทันและเข้ามาซ้ำอีกรอบ แต่แปลกตรงที่ไอ้เหี้ยนั่นกลับยิ้ม ไม่มีทีท่าว่าจะตามผมแต่อย่างใด
 
“มึงคิดว่ามึงจะหนีพ้นเหรอไง ไอ้เหี้ยแกรนด์...” มันแสยะยิ้ม
 
พลั่ก!!!
 
จู่ๆผมก็ถูกล๊อคตัวด้วยคน2คน ...
 
“เหี้ย!! ปล่อยกู!!!!!!” ผมดิ้นพล่าน พยายามให้หลุดจากการจับกุม
ไอ้เหี้ยนั่นเดินตรงมายังผมแบบช้าๆ ไม่เร่งรีบ
“หน้าหล่อๆใสๆแบบนี้สินะที่หลอกฟันแฟนกู” มันเอามือลูบไล้ไปทั่วใบหน้าผมราวกับชื่นชม “มึงรู้มั้ยว่าแฟงรู้สึกยังไง..?”
 
“เสียวไงไอ้สัด”
 
มันเปลี่ยนจากลูบไล้มาบีบคางผมทันที สร้างความเจ็บปวดให้ผมขึ้นไปอีกเพราะบาดแผลฟกช้ำจากที่มันต่อยผมเมื่อกี้
 
“ขนาดนี้แล้วยังปากดีอีกนะมึง!....” มันจ้องตาผมอย่างดุดันราวกับราชสีห์จ้องตะครุบเหยื่อ “ได้...เดี๋ยวกูจะทำให้มึงเสียวแบบที่ทำกับแฟงบ้าง!!!....เห้ย! จับมันนอนคว่ำ”
 
!!!!!
 
 
ไอ้2ตัวที่ล๊อคผมก็ทำตามทันที แถมยังกดขาทั้ง2ข้างไว้ กดหัวผมให้แก้มแนบสนิทกับพื้นปูนเย็นๆ
 
 
 
“กูจะทำให้มึงเสียวจนร้อง ‘ผัวขาๆ’ เดินขาถ่างกลับไม่ถูกเลยสัด!!!”
 
 
มันถกเสื้อผมขึ้นและพยายามที่จะถอดกางเกง
 
บรื้นนนนนนนนนนนน
 
เสียงมอเตอร์ไซค์และแสงไฟสว่างวาบทำให้ไอ้คนที่พยายามจะถอดกางเกงผมหยุดชะงักลง
 
“เหี้ย ใครวะ” มันสบถเบาๆ “เงียบๆนะมึง ไม่งั้นเจอดีแน่!” ตบท้ายด้วยการขู่กระซิบผม
 
ผมรู้สึกได้ว่าไอ้เหี้ยนั่นมันลุกจากตัวผมแล้ว และกางเกงยังคงอยู่ดี เสียงมอเตอร์ไซค์ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมได้แต่ภาวนาให้คนขับนั้นเอะใจบ้าง สักนิดก็ยังดี ... ขอให้ผมมีเวลาตั้งตัวหน่อย
 
 
 
“มีไรกันรึเปล่า?” ทำไม...เสียงคุ้นๆวะ?
ผมได้แต่สงสัย เพราะเงยหน้าขึ้นไปมองไม่ได้ เห็นแค่ว่าผู้ผ่านทางมามีด้วยกัน2คนและได้ทำการจอดมอไซค์แล้ว
 
“เปล่าไม่มีไร...แค่คนเป็นลมล้มไปน่ะ” เสียงไอ้เหี้ยนั่นตอบ ผมอยากจะตะโกนบอกความจริงไปเหลือเกิน ถ้าไม่ติดไอ้ลูกน้อง2ตัวล๊อคผมอยู่น่ะนะ
 
 
“มีไรให้ช่วยมั้ย?....ไหนขอดูหน่อย” คราวนี้อีกเสียงถามขึ้น...คุ้นๆเหมือนกันวุ้ย
“ไม่ต้อง”
“แต่กูอยากช่วยวะ”
 
ผลั่วะ!!!
 กึก!
 
เสียงกำปั้นกระแทกอย่างจัง ฟังดูน่ากลัวยิ่งขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกระดูกอ่อนของใบหน้าเคลื่อนที่ ไอ้2ตัวที่จับผมรีบปล่อยตัวผมและหันไปช่วย ผมได้ทีจึงพยายามลุกขึ้นแต่ก็ต้องตะลึงเป็นครั้งที่2ในรอบวัน...
 
.
.
.
 
 
ไอ้เหี้ยพอส...กับไอ้แทน
 
 
 
มันทั้งคู่กำลังชกต่อยอย่างสนุกสนาน ออกหมัดแต่ละครั้งทำเอาไอ้ลูกน้อง2คนนั่นถึงกับเซ เหี้ยพอสกับไอ้แทนไม่มีใครพลาดท่าเสียที ไม่นานนักคู่ต่อสู้มันก็ไหว้ขอชีวิตพยายามพูดขอร้องด้วยเลือดกลบปากแล้ววิ่งหนีป่าราบไป ทิ้งไว้แต่ไอ้ตัวต้นเรื่องที่นอนพลางกุมจมูกอยู่เพราะจุกกับบาทาที่ผมประเคนให้อย่างเต็มใจไป1ฝ่าตีน
 
 
ผมหันไปมองหน้าไอ้เหี้ยพอสสลับกับไอ้แทน...แม่งมาด้วยกันได้ไงวะ??
 
ดูเหมือนจะไม่มีใครตอบคำถามในใจผม เพราะไอ้เหี้ยพอสเดินเอาตีนไปวางบนน้องชายสุดที่รักของคนที่คิดจะ..ข่มขืนผม
 
แววตาไอ้เหี้ยพอสวาวโรจน์ .. ผมยังไม่เคยเห็นมันใช้สายตาแบบนี้
 
 
 
“จมูกหักไปแล้ว...อยากให้น้องชายมึงขาดด้วยมั้ย?” คนเหยียบถาม ใช้สายตาเหล่มอง ส่วนคนถูกเหยียบก็ได้แต่สะบัดหัวแรงๆ “แล้วมึงจะออกจากมหาลัยนี้เอง หรือต้องให้กูช่วยทำเรื่องให้?...”
 
“อะ..ออก เอง คะ ครับ พี่ พะ พอส”
 
“กูไม่เคยมีน้องเหี้ยๆแบบมึง”
 
ไอ้พอสเอาเท้าออก กลับมายืนตรงๆเหมือนเดิม
 
“อ้อ แล้วกูจะบอกไรให้นะ แฟนมึง...ชื่อแฟงใช่มั้ย?” มันพยักหน้าเร็วๆ...เหมือนกับคาดหวังอะไรสักอย่าง แต่มันก็ต้องผิดหวังเพราะ... “ใช้ได้นะ แต่ตาสว่างซักทีเถอะ กูเห็นแล้วสมเพชแทนวะ ตามอ่อยกูที่ร้านเหล้าทุกที่ที่กูไปตลอด หึ แต่สบายใจได้...กูยังไม่ได้เอา...” พอพูดจบ ก็เดินไปสตาร์ทมอไซค์
 
ผมบอกแล้วว่าคนชื่อแฟงนั่นก็ไม่ได้ดีสักเท่าไหร่หรอก...ดูก็รู้แล้ว ไม่รู้ว่าไอ้นี่มันหลงเชื่อเข้าไปได้ยังไง
 
 
“ยืนบื้อไรวะ ขึ้นรถดิ” ไอ้แทนหันมาบอกผม ผมมองไปยังมอไซค์ฟีโน่ลายดอกไม้สีฟ้า...ไอ้พอสเป็นคนขี่ แล้วไอ้แทนไล่ผมให้ขึ้นซ้อน...
 
“อ่าวแล้วมึงอะ?” อูยยยย...เจ็บปาก
“ซ้อน3ดิวะ อย่าควาย ในม.นี้ไม่มีตำรวจ มีแต่ยามโว้ย”
 
 
ไม่ใช่อะไรหรอกครับคือผมไม่อยากนั่งกลางอะ...มันเหมือนแซนวิชยังไงก็ไม่รู้ ถูกอัดอยู่ตรงกลาง เห้ออออ แต่ผมก็ไม่มีสิทธิต่อรองอะไรทั้งสิ้นเพราะไอ้พอสเร่งเครื่องจนนึกว่าแว๊นที่ไหนมาอยู่ในนี้ แถมไอ้แทนยังส่งสายตากดดันมาอีก...เออ กูกลางก็ได้
 
ตลอดทางผมได้แต่เจี๋ยมเจี๊ยม พูดไรไม่ได้เพราะเจ็บปาก ไม่งั้นป่านนี้ผมได้ปล่อยหมาคงเห่าตลอดทางแล้วละ
.
.
 
.
 
 
.
 
งานเลิกแล้ว..พวกพี่ๆกำลังช่วยกันเก็บของ ส่วนน้องๆปี1ก็ทยอยกลับ (หรือตกลงว่าจะไปไหนต่อ) ผมรีบลงจากมอไซค์ ไอ้พอสก็ขับออกไปทันที
 
“มึงจะไม่ขอบคุณพี่เค้ากับกูหน่อยเหรอไง?”
“เออ กูขอบคุณมึงมากที่มาช่วยกูทัน ฝากบอกไอ้พี่พอสด้วยละกัน”
“ไปบอกเองเถอะ” ไอ้แทนเดินไปช่วยพี่ๆเก็บกวาด ผมอยากจะถามมันต่อว่าไปรู้จักกับพี่พอสตอนไหน แต่ดูท่าแล้วมันคงไม่อยากให้ผมเซ้าซี้ขณะที่มันกำลังทำงาน แต่ผมยืนดูหรอกมั้ง
 
ผมใช้สายตาสอดส่องหาไอ้ทัช ซึ่งมันก็หันมาเห็นผมพอดีเลยเดินตรงเข้ามาหา
 
“หึ หน้าดูไม่จืดเลยนะมึง”
“สัด เพราะมึงแหละ มัวแต่ติดหญิง เพื่อนฝูงไม่สำคัญเลยดิ”
“เหรอออออออ ไม่ใช่ว่ามีอัศวินขี่ม้าขาวไปช่วยแล้วเหรอไงห๊ะ?” เอาอีกละ..มันทำน้ำเสียงล้อเลียนเหมือนตอนที่ผมฟื้นจากการเป็นลมเลย
“มีแต่ไอ้เหี้ยพอสกับไอ้แทนขี่ฟีโน่ที่แต่งได้เลดี๊เลดี้เหอะ ไม่คิดว่าหน้าอย่างมันจะขี่ฟีโน่แบบนี้...”
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” ไอ้ทัชระเบิดหัวเราะเลยครับ “ฮ่าๆๆๆ...มึงก็คิดได้เนอะ”
“พอๆ หยุดหัวเราะแล้วไปช่วยกูทำแผลได้ละ ไม่งั้นกูหมดหล่อพอดี เซ็ง”
“แต่เผอิญว่ากูอยากให้มึงหมดหล่อ ดังนั้น...ทำแผลเองไปก่อนนะค่ะพี่แกรนด์ พอดีว่าน้องทัชคนนี้มีนัดกับทิวาสุดสวยอะ...โชคดีมีชัย ไปละบ๊ายบายเพื่อนเลิฟฟฟฟฟ” มันรีบสะบัดตูดหนีผมก่อนที่ผมจะประเคนฝ่าเท้างามๆให้มัน
“พ่อมึงตายยยยยยยย เห็นหญิงดีกว่าเพื่อน ไอ้สาดดดดดดดดดดดดดด” ผมได้แต่ตะโกนตามหลังไป....โอ๊ยยย เจ็บปากโว้ยย ไม่ช่วยกูทำแผลแล้วยังเสือกหลอกให้กูพูดมากจนเจ็บแผลอีกนะไอ้ทัช เลวได้ใจจริงๆ
 
ขอให้น้องทิวาเป็นดี้แบบบอร์นทูบี ชาตินี้ไม่ขอเอี่ยวกับชายหน้าไหน สาธุ!
 
ในเมื่อมึงไม่ช่วยกู กูก็จะแช่งไม่ให้มึงสมหวัง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ .. คำแช่งผมแรงนะครับ อย่าดูถูกไป หึหึ
 
 
ผมโทรไปหาเต็งหนึ่ง เผื่อว่ามันจะช่วยรักษาหน้าผมได้บ้าง แถมมันก็อยู่หอแถวนี้ ถึงจะเป็นหมอหมาก็ช่าง ตอนนี้ขอใบหน้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมก็ยอมหมดแหละครับ ไอ้ตอนมีเรื่องก็ซ่าห์ คิดว่าตัวเองเก่ง เจ๋ง อยากเข้าก็เข้ามา...แต่พอหมดเรื่องปุ๊ปก็มาโอดโอยเรื่องแผลฟกช้ำบนใบหน้า เป็นประจำอะผม...คือก่อนมีเรื่องอยากจะบอกไอ้พวกศัตรูเหลือเกินว่าต่อยได้เต็มที่ยกเว้นใบหน้าได้มั้ย มันเป็นสิ่งเดียวที่กูใช้ทำมาหากินและภูมิใจนำเสนอ T^T
 
ปรากฏว่าโทรไปแล้วไอ้เต็งมันไปต่างจังหวัดกับครอบครัวอีก..
เวรเอ๊ยยยย ผมด่าตัวเองในใจพร้อมผมตบหน้าผากตัวเอง ซวยได้ซวยดีนะกูเนี่ย
 
จะแบกหน้าอัน...หล่อเหลา มีประติมากรรมป้ายสีเป็นหย่อมๆไปหาไอ้บิ๊กกับไอ้แต๊งที่อยู่ไกลแสนไกลก็ไม่ใช่....
 
ไม่เหลือที่พึ่งละกู...
 
สุดท้ายผมก็ต้องกลับหอไปทำแผลคนเดียว ระหว่างทางมีรุ่นพี่หลายคนเข้ามาถาม อยากช่วยทำแผล แต่คือผมไม่อยากให้มันวุ่นวายอะ พี่ๆเค้าเหนื่อยกันมาทั้งวันแล้ว...ถ้ายังต้องมาดูแลผมอีกก็ใช่เรื่อง
 
แบกหน้าเละๆเดินกลับหอเป็นอะไรที่ทำให้ผมไม่มั่นใจเลย จากที่หล่อดูดีตลอดเวลา เชิดหน้ามองตรง แต่บัดนี้กลับก้มหน้า มองเท้าทั้ง2ข้างก้าวยาวๆ เพื่อให้ถึงที่หมายเร็วๆ
 
 
ปรี๊นนนนนนนนนนนนนนนนนนนน
ปรี๊นนน ปรี๊นนนนน
ใครบีบแตรกวนประสาทแบบนี้วะ บีบให้แม่มึงมาเต้นแซมบ้าเหรอ?
เพราะเสียงบีบแตรดังลั่นทำให้ผมหันไปมองรถที่กำลังเคลื่อนช้าๆขนาบข้างฟุตบาทที่ผมกำลังเดินอยู่
 
ออดี้สีขาว....อื้อหือ รวยแต่บีบแตรแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้คนชื่นชมรถแต่กลับด่าทอไอ้คนที่กำลังขับมากกว่านะ
 
เหมือนไอ้คนขับจะรู้ว่าผมด่ามันในใจเลยเลื่อนกระจกลง...
 
“ไอ้แกน ขึ้นรถ!!” อ่า...เสียงนี้
 
 
แน่นอนครับว่า...ไอ้เหี้ยพอสมันประจำตำแหน่งที่นั่งคนขับรถนั่นเอง...
 
ผมเดินต่อแบบเร่งสปีดเต็มที่...ว่าแต่ฟีโน่สีฟ้าลายดอกหายไปไหนซะละ?
 
“อย่าให้กูต้องก้าวลงจากรถนะสัด...”
 “งั้นบอกเหตุผลที่กูจำเป็นต้องขึ้นรถมึงหน่อย” ผมยียวนกวนส้นตีนมันเล่น...เพราะถ้าหากจู่ๆขึ้นรถเลยมันก็หาว่าผมใจง่ายสิคร้าบบบบบบ
 
“หนึ่ง มึงเป็นรุ่นน้องกู รุ่นน้องต้องเชื่อฟังรุ่นพี่ ... SOTUS มึงก็ท่องได้นิ ...
สอง นี่เป็นประโยคคำสั่ง ที่ต้องทำเพราะกูเป็นเฮดว๊าก .. หรืออยากจะโดนลงโทษ?
สาม กูไปช่วยมึงให้รอดพ้นจากการโดนตุ๋ยตูด ดังนั้นมึงติดหนี้บุญคุณกู
สี่ เพื่อนมึงฝากให้กูช่วยดูแลมึง และเผอิญว่ากูใจดีเลยจะช่วยดูแลเด็กปากหมาตาดำๆอย่างมึง
ห้า มึงต่อยกู กัดลิ้นกู บีบหัวนมกู...”
 
“เออ พอได้ละ ร่ายยาวเป็นบทสวดเลยนะมึง กูถามนิดเดียว” อันที่จริงผมจะยอมขึ้นตั้งแต่ข้อสามแล้วครับ แต่มันดันไม่ยอมหยุด .. กะใช้สิทธิทุกทางเลยว่างั้น
 
ผมอ้อมเดินมานั่งข้างคนขับ...
รถหรู แอร์เย็น เบาะนิ่มกาย สบายใจแฮ...ซะที่ไหนเล่า!!
 
บรรยากาศอึดอัด เพราะไม่มีใครพูดอะไรเลย
ไอ้พอสมันขับรถ ซึ่งต้องใช้สมาธิ ผมเลยไม่อยากกวนตีนไรมาก เดี๋ยวมันเกิดโมโหผมขึ้นมาแล้วศพจะไม่สวย ทั้งๆที่ในใจผมมีคำพูดและคำถามมากมายผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด สำคัญสุดนี่คืออยากถามเหลือเกินว่าจะพาผมไปไหน เพราะหอผมมันเลยมาตั้งแต่3กิโลเมตรที่แล้วโน่นนนนน
 
RRRRRRRRRRRRRRRRR
ผมหยิบไอ้โฟนขึ้นมา หน้าจอดำสนิท .. อ่าว ไม่ใช่ของกูรึ?
 
 
“ครับน้องบลู...อ๋อ พอดีพี่ต้องไปส่งรุ่นน้องอะครับ...รุ่นน้องผู้ชายครับ จะคุยมั้ย?....คงไม่สะดวกครับ เพราะพี่เหนื่อยมาก...ทั้งจากงานวันนี้แล้วก็เมื่อวานตอนกลางคืนด้วยครับ หึหึ...ครับ ไว้พรุ่งนี้จะทบต้นทบดอกให้เลยนะ....ครับผม บาย”
 
ผมไม่ได้แอบฟังนะ แต่เสียงมันดังเข้ารูหูผมเอง
 
“หอมึงอยู่ไหนเนี่ย ชักไกลแล้วนะสัด”
 
อ้าวเหี้ย กูนึกว่ามึงรู้...สรุปว่าคือจะไปหอกูแต่กูไม่รู้ว่ามันจะพาไปไหน ไอ้ที่ขับๆมาคือ..? ทำไมมันไม่ฉุกคิดมั่งวะว่าถ้ากูอยู่หอมันก็ต้องใกล้ๆม.ดิ ถ้าระยะทางหอผมกับม.มันจะไกลขนาดนี้ กูว่ากูอยู่บ้านดีกว่านะ -*-
“เลยมาตั้ง4โลแล้วเหอะ”
“แล้วทำไมไม่บอก นั่งเงียบแบบนี้กูจะไปตรัสรู้ไหมวะ?”
 
สรุปว่าผมผิด..?
เออ ผมผิดเองอะที่โง่ขึ้นรถมันมา แถมยังไม่บอกทางมันอีก เอาเข้าไป
 
แต่แล้วจู่ๆมันก็จอดข้างทางครับ
ผมมองหน้ามัน..อย่าบอกนะว่าจะทิ้งกูให้กลับเอง...
 
“อะไร มองหน้ากูไม? .. ลงไปสิวะ ...”
 
นั่นไง...แม่งเอ๊ยยยยยยยยยย!!! หลงนึกว่ามันจะเป็นคนดี ดีแตกอีก...สุดท้ายเหี้ยอย่างที่คิดแหละวะ
 
 
 
 
“กูอยากแดกชายสี่หมี่เกี๊ยว”
 
เพล้งงงงง
 
ได้ยินเสียงอะไรมั้ยครับ?...หน้าผมเองแหละ ฮ่าๆๆๆๆๆ
 
.
.
 
.
 
 
.
ออดี้สีขาวที่ใครๆก็ต่างใฝ่ฝันอยากเป็นเจ้าของแต่ก็ได้แต่ฝันเพราะราคาของมันจอดริมข้างทางฟุตบาท หลายคนที่เดินผ่านไปผ่านมาก็ได้แต่มองอย่างชื่นชมในความงามรถไปพร้อมๆกับงงงวยว่า เหตุไฉนรถราคาแพงถึงมาจอดตรงนี้ที่เยื้องๆกับร้านบะหมี่ที่มีแฟรนไชส์ไปทั่วประเทศ
 
แต่ไอ้เจ้าของรถ..กลับไม่ได้รู้สึกรู้สาของความไม่เข้ากันของรถกับสถานที่จอดเล้ยยยยย มันเอาแต่โซ๊ยบะหมี่เหลืองในชามซึ่งเป็นชามที่2สำหรับมันแล้วครับ
 
ส่วนผม...ผู้ซึ่งโดนบังคับให้ขึ้นรถมา หวังจะไปรักษาใบหน้า กลับต้องมานั่งมองไอ้เจ้าของรถที่นั่งตรงข้ามแดกอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งๆที่ในใจอยากกินใจจะขาด แต่สภาพปากไม่เอื้ออำนวยจริงๆ ไว้วันหลังนะไอ้น้องหมี่เหลือง T^T
 
มายั่วให้ผมน้ำลายสอไม่พอ...มีหน้ามาถามอีกว่า...
 
“ทำไมไม่แดกวะ? ไม่ต้องห่วงหรอกกูเลี้ยง”
 
หน้าอย่างกูมีปัญญาจ่ายค่าบะหมี่ชามละ35บาทโว๊ยยยยยย นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะตอบ แต่...
 
“กูเจ็บปาก”
 
นั่นละคำตอบผม สั้นๆ กระชับ ได้ใจความ อย่ายืดเยื้อ ไม่งั้นมี(ปาก)เจ็บ
T______________T
 
“อ้ออ กูลืมไป...งั้นเดี๋ยวกูกินแทนมึงเอง” แล้วมันก็คว้าชามบะหมี่ผมไปทันที
 
 
กินไปได้สักพักมันก็ถามอีก
 
“แล้วไม่หิวไง๊?”
 
จะยุ่งวุ่นวายไรกับกูละครับไอ้เหี้ยพอส? บอกไปแล้วว่าปากเจ็บ ต่อให้หิวยังไงก็ต้องทน มึงแดกของมึงไปเงียบๆเถ้อออออออ อย่าถามไรกูมากเลย
 
“กูอิ่มทิพย์”
 
 
 
“ทิพย์มันเป็นอาหารหน้าตายังไงวะ? กูไม่เคยได้ยิน” มันทำหน้าสงสัยได้เข้ากับสถานการณ์มากๆ...นี่มึงแกล้งโง่หรือโง่จริงวะ?
“....” ตอบไม่ถูกเลยกู “ช่างมัน กูขี้เกียจอธิบาย”
 
“โหยยย งกวะ แค่นี้ก็บอกไม่ได้นะมึง”
 
คือกูเจ็บปากเพราะโดนต่อยมา...มึงก็ช่วยเข้าใจกูบ้าง อย่าให้กูต้องพูดหรืออธิบายอะไรยาวๆเลย ขอร้องละ
 
ผมเลือกที่จะจบบทสนทนาเพียงแค่นั้น รอเวลาที่ไอ้เหี้ยพอสกินหมด จะได้กลับไปทายาซะที
 
 
อีก5นาทีต่อมามันก็กินหมด เรียกคิดตังค์ ได้เวลากลับหอจริงๆจังๆสักที...นั่นคือที่ผมคิด แต่ความเป็นจริงคือ ไอ้เหี้ยนี่เหมือนจงใจแกล้งผม มันสั่งผัดไทกุ้งสดที่ขายติดกันมาแดกอีกจาน (ของโปรดโผ้มมมมมมมมมม) แล้วค่อยเก็บเงิน และพาผมมายัง...
 
 
หากคุณคิดว่ามันเป็นพระเอกในอุดมคติ...ที่จะพาไปห้องมันหรือห้องผมแล้วทำแผลให้กับมือ....คุณคิดผิดครับ
 
เพราะมันพาผมที่...
 
 
 
 
โรงพยาบาลJKL
 
 
 
ซึ่งเป็นโรงพยาบาลเอกชนสุดหรู แพงมาก และเครื่องมือแพทย์ทันสมัยเว่อร์ๆ
 
และอันนี้แหละ...ที่ผมจะไม่มีปัญญาจ่ายเข้าให้จริงๆ...
 
 
 
ไอ้คนพามาไม่พูดพร่ำทำเพลง จับผมนั่งลงกรอกประวัติคนไข้ ..
 
เอ่อ คือกูแค่โดนต่อยมา ฟกช้ำเล็กน้อย ไม่กี่วันก็หาย ไปคลินิกก็ได้ กูไม่ได้โดนรถชน ขาหัก แขนเดี้ยงหรือพิการอะไรนะ จะพากูมาโรงพยาบาลทำซากอ้อยไรวะ? .. ผมได้แต่คิด มือเขียนประวัติลงในกระดาษแบบเซ็งๆ มีสายตามันจ้องผมตลอดเวลา                                                                                                                                                                         
 
พอกรอกเสร็จก็มีนางพยาบาล (ยิ้มตลอดเวลาเลย น่ารักอะ) พาผมไปยังชั้น 3 แผนกไรไม่รู้ โดยบอกให้ไอ้พอสนั่งรอที่ลอบบี้ก่อน ผมเข้าพบแพทย์ที่มีอายุหน่อย สัก40ปลายๆได้ หมอก็ซักถามผมไปตามระเบียบแหละครับว่าไปโดนอะไรมา ไอ้ผมมันก็คนตรงๆเลยตอบไปตามความจริง
 
“โดนต่อยครับ”
 
แล้วหมอก็บ่นบวกเทศนาเรื่องวัยรุ่นชายเลือดร้อนสมัยนี้ให้ฟังพลางทายาไปด้วย แปะสำลี พลาสเตอร์ เป็นอันเสร็จเรียบร้อย...
 
“เดี๋ยวไปที่ชั้น5กันต่อนะคะ”
 
ห๊ะ! ไปทำไรอะ? แค่นี้ก็เสร็จแล่ว ผมมองพยาบาลที่น่ารักแบบงงๆ และเพราะพยาบาลเค้ารู้ใจผม เธอพูดต่อว่า
 
“ไปเอ็กซเรย์กระดูกค่ะ”
 
“อ่อครับ”
 
พอเอ็กซเรย์ตั้งแต่หัวจรดตีนเสร็จ รอผลฟิล์ม ก็ต้องกลับไปหาหมอคนเดิมต่อ - -“ เพื่ออ่านฟิล์มให้ฟัง
 
“ไม่มีกระดูกส่วนไหนร้าวหรือหักนะครับ กระดูกอ่อนยังเป็นปกติดี จะมีปัญหาก็แค่เรื่องตับกับปอด...” นอกเรื่องแล้วเถอะหมอ...ผมมาแค่ทายาให้แผลฟกช้ำมันหายคร้าบบบบบบ แต่นี่ล่อไปเรื่องตับกับปอดของผมแล้ววววว
 
ผมทนนั่งฟังหมอเทศนาเรื่องศีลข้อ5ว่าด้วยการละเว้นอบายมุข...ก่อนที่หมอจะปล่อยตัวผมจริงๆจังๆซักที...นี่กูมาหาหมอหรือมาฟังพระเทศน์วะ?
 
พยาบาลสุดน่ารักพาผมลงมาที่ลอบบี้ซึ่งมีไอ้พอสนั่งหล่อ ปล่อยฟรีโมโมนอยู่ หมอ พยาบาล คนไข้ ต่างก็หันมามองที่มันแล้วซุบซิบกัน
 
“ปะ เอายา จ่ายตังค์” มันลุกขึ้น
 
ผมเดินตามมันทั้งๆที่หัวในยังคิดไม่ตก
ชิบหายละ...ผมมีแค่600กว่าบาทที่ติดตัวตอนนี้ จะพอมั้ยเนี่ย? ถ้าไม่พอก็คงต้องไปกด..แล้วจะบอกเค้าว่ายังไงวะ - -*
 
 
พอมาถึงเคาเตอร์จ่ายเงิน ประกาศเรียกชื่อผมให้ไปที่ช่อง3เพื่อทำการแคสติ้ง...เอ๊ย ไม่ใช่ละ โธ่...แป้กเหรอ? ขำหน่อยดิ ช่วยกันทำมาหากิน นิยายเรื่องนี้จะได้หนุกๆ นะนะ
 
เอาใหม่ๆ 5 4 3 .. แอ๊คชั่น!
 
พอมาถึงเคาเตอร์จ่ายเงิน ประกาศเรียกชื่อผมให้ไปที่ช่อง3เพื่อจ่ายเงิน ผมก็เริ่มมีอาการเหงื่อตก ตัวเย็น ขาก้าวไม่ออก ไอ้คนไข้ผู้ที่ต้องจ่ายเงินยังเดินไปไม่ถึง แต่ไอ้คนพามามันกลับถึงเคาเตอร์เรียบร้อยแล้ว ไม่ถึง 2 นาทีมันก็เดินกลับมา
 
“ทำไมไม่เดินมา?...มาฟังพี่เค้าอธิบายเรื่องการกินยาดิวะ”
“เอ่อ..คือกู..คะ คือค่ายา...”
“ชั่งมัน มานี่” แล้วมันก็จับข้อมือผมลากไปยังเคาเตอร์ช่องที่3 
 
มันจับข้อมือผม
 
มันจับข้อมือผม...
 
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!! ผมสติหลุดแล้วครับ
 
ผมรีบสะบัดออกราวกับน้ำร้อนลวกทันที
มันหันมามองผม
“โทษที..เดินเหอะ พี่เค้ารอ”
 
แล้วผมก็เดินไปฟังพี่เค้าอธิบายเรื่องการทานยากับยาทาแก้ฟกช้ำ...ฟังไปงั้นๆแหละครับ แต่ในใจนี่...ลอยไปไหนก็ไม่รู้
 
คืออันที่จริงผมก็ไม่ได้รังเกียจที่มันจับข้อมือผมหรอกนะ...เพียงแต่ว่ามันแปลกๆอะ ไม่ชิน จะว่างั้นก็ได้
 
ขณะที่ผมใจลอยอยู่นั้น ก็มีเสียงเล็กๆที่ดึงสติให้กลับมาอยู่กับตัว
 
“ทั้งหมด 3,750 บาทค่ะ”
 
เหยดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
 
มีลูกบอกลูกมีหลานบอกหลานนะครับว่าอย่าพาเข้าโรงพยาบาลเอกชน หากคุณไม่มีทุนทรัพย์หรือรู้รายละเอียดในการรักษามาก่อน แม่งงงง ขูดเลือดขูดเนื้อกันนี่หว่า T^T ผมแค่ต้องการทำแผล แต่เสือกมีแถมโดยการพาไปเอ็กซเรย์ซะงั้น? ไอ้ยาพวกนี้ก็เหมือนกัน ให้ทำไมมาเยอะแยะวะ กินได้2-3วันก็ทิ้งละ หมอก็มาเทศนากูอีก นี่สงสัยเรียกเก็บค่าเทศนาด้วยละมั้งถึงแพง
 
แต่พอผมหันมามองพี่ที่จ่ายยาและคิดเงินก็พบกับรอยยิ้มที่ทำให้โลกสว่างไสว...
 
บางทีผมว่าการเข้าโรงพยาบาลเอกชนก็ดีนะครับ นอกจากจะสะดวกสบาย รวดเร็ว ไม่ต้องจองคิว นั่งรอเป็นวันๆ มาตั้งแต่ตี5แต่ได้เข้าพบหมอจริงๆบ่าย3แล้ว พยาบาลก็ยังน่ารัก (สงสัยคัดหน้าตาในการรับเข้าทำงาน) แพทย์ก็เอาใจใส่คนไข้เป็นอย่างดี ตรวจละเอียดด้วยเครื่องมือที่ทันสมัย กันไว้ดีกว่ามารู้ทีหลังว่าตนเองเป็นอะไร ไม่มีงกยา บริการเป็นเลิศ คุ้มกับเงินที่เสียไปครับ
 
 
“นี่ครับ” ไอ้พอสยื่นบัตรอะไรไม่รู้ให้ สักพักก็ได้ยามาถือไว้ในมือ มันยิ้มให้พี่เค้าเล็กน้อยก่อนจะพากันเดินไปยังลานจอดรถ เมื่ออยู่ในตัวรถที่กำลังวิ่งบนท้องถนนแล้วผมก็ปริปากพูด
 
“เดี๋ยวพรุ่งนี้กูไปกดเงินมาคืนมึง” ผมไม่อยากติดหนี้ใคร
“ไม่ต้อง”
“แต่กูจะคืน”
“เรื่องของมึง .. ถึงหอมึงละ ลงไปได้แล้ว” มันไล่ผมลงจากรถครับ ผมไม่รอช้ารีบลงตามที่มันสั่ง แล้วมันก็ออกรถไปทันทีที่ประตูรถปิดลง
 
 
ผมเงยหน้ามองป้ายชื่อหอ เออวะ ถึงแล้วจริงๆ
ว่าแต่...ไหนบอกว่าไม่รู้ว่าหอกูอยู่ไหนไงวะ?
 
 
สรุปนี่กูโดนหลอกมาตลอดเลยสินะ...ทั้งโดนหลอกให้ไปนั่งมองมันกินยั่ว พาไปโรงบาลแพงๆเพื่อให้ผมติดหนี้มัน ให้ผมตายใจว่ามันดีกับผมแล้ว...
 
อะ อะ อะ ไอ้ หะ เรี่ย พะ รอสสสสสสสสสสสสสสสสสสสส !!!
 
 
 
 
 
Talk
ขอบคุณทุกคำวิจารณ์มากเลยคะ รู้สึกมีกำลังใจขึ้นเยอะ ^^

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา