Just a Dream…หรือแค่ฝันไป
9.4
เขียนโดย koala
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.59 น.
13 chapter
116 วิจารณ์
33.04K อ่าน
แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2556 00.09 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
10) ทะเลาะ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความผมเป็นคนมีความลับ ขอโทษด้วยที่ผมบอกคุณไม่ได้
หนุ่มหน้าหวานตอบตัดบทการซักประวัติของแพทย์สาวร่างเล็ก
“เห็นไหม ป๊อปบอกแล้วว่าจะง้างปากไอ้โมะมันยากยิ่งกว่าอะไรดี” เสียงเพื่อนของหนุ่มหน้าหวานที่ไม่มีใครมองเห็นโพล่งขึ้นหลังจากที่หนุ่มหน้าหวานกล่าวจบ
แพทย์สาวร่างเล็กมองค้อนไปยังต้นเสียงก่อนงัดไม้ตายเพื่อเอาความจริงต่อ
“แต่พอดีว่าฉันรู้ว่าญาติของคุณชื่อ ภาณุ จิระคุณ” เพียงชื่อที่หลุดออกจากปากแพทย์สาวก็ทำให้คนป่วยถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ
เป็นไปไม่ได้ คนที่รู้ว่าป๊อปปี้อยู่ที่นี่มีเพียงแค่เราและผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณลุง
แล้วเธอรู้ชื่อนายป๊อปได้ยังไง เธอต้องการอะไรกัน...
“คุณพูดมาตรงๆดีกว่า ว่าคุณต้องการอะไร เงิน รถ บ้าน ผมให้คุณได้หมด” หนุ่มหน้าหวานเริ่มหยิบยื่นข้อเสนอให้สาวร่างเล็ก
“ฉันแค่ต้องการความจริงจากคุณ” สายตาของสาวร่างเล็กจ้องใบหน้าคนป่วยด้วยแววตาจริงจัง
“คุณหมายความว่ายังไง แล้วคุณรู้ชื่อญาติของผมได้ยังไง” หนุ่มหน้าหวานถามด้วยความสงสัยปนแปลกใจ
“ฉันไม่ขอตอบละกันนะว่ารู้ชื่อญาติคุณได้ยังไง” สาวหน้าหวานตอบเสียงเรียบพลางคิดในใจว่า
ถ้าขืนบอกว่าฉันคุยกับนายภาณุได้ อีตาหน้าหวานนี่จะไม่ช็อคตายไปก่อนหรอ
“แต่ฉันขอยืนยันว่าฉันไม่ได้คิดไม่ดีกับคุณหรือญาติของคุณ เพราะตอนนี้ฉันเป็นคนดูแลญาติของคุณอยู่ ถ้าฉันจะเรียกเงินหรืออะไรฉันคงทำไปนานแล้ว” แพทย์สาวพูดอย่างเปิดใจมากขึ้น
“แล้วผมจะมั่นใจได้ยังไงกันว่าคุณจะไม่ทำร้ายเรา” หนุ่มหน้าหวานกล่าวด้วยความไม่ไว้ใจ
“คุณพูดเหมือนว่ามีคนกำลังจ้องทำร้ายครอบครัวของคุณอย่างนั้นแหละ” แพทย์สาวเอ่ยด้วยความสงสัย
“ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามีใครจะมาทำร้ายเราหรือเปล่า แต่บนโลกธุรกิจสอนให้ผมรู้ว่าเราต้องเผชิญและต่อสู้กับศัตรูที่เรามองเห็นและมองไม่เห็น เราไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู ดังนั้นเราต้องป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นผมถึงจำเป็นต้องเก็บเรื่องภาณุไว้เป็นความลับ เพื่อรักษาความมั่นคงของบริษัทของเราต่อไป แล้วก็ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งเขาจะตื่นขึ้นมารับหน้าที่ที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้ ผมก็แค่อยากได้ความมั่นใจว่าคุณจะมาช่วยเราจริงๆ” หนุ่มหน้าหวานตอบเหตุผลของการกระทำทั้งหมดที่เขาทำให้คนตัวเล็กฟัง
“ฉันคงไม่มีอะไรที่จะสามารถยืนยันกับคุณได้หรอกนะ แต่ถ้าคุณเชื่อใจฉัน ฉันก็จะช่วยคุณ เราจะช่วยกัน ฉันพูดได้แค่นี้ บางทีสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียวไม่ใช่เหรอคะ” คำตอบของแพทย์สาวหน้าหวานอาจจะไม่ได้ให้ความกระจ่างชัดหรือให้ความมั่นใจอะไรได้มากขึ้นนัก แต่มันกลับทำให้คนฟังรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เธอพูดมันเป็นความรู้สึกจากใจจริง
คนป่วยยังคงนั่งนิ่งนึกไตร่ตรองเรื่องที่รับรู้ว่าเขาควรทำอย่างไรต่อไป...แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า
“บางครั้งเรื่องบางเรื่องมันก็โหดร้ายเกินที่คนทั่วไปจะรับรู้จริงไหมครับคุณหมอ” ชายหน้าหวานเริ่มเล่าความในใจ
“ผมยอมรับว่าผมเป็นคนปิดข่าวเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เพราะนอกจากเหตุผลเรื่องธุรกิจแล้วมันยังเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวของผม”
“คนในครอบครัว” สาวร่างเล็กเอ่ยแทรกขึ้นด้วยความสงสัย
“ครับ เพราะเจ้าของรถคันที่เกิดอุบัติเหตุคือแม่ของผมเอง” ประโยคที่ชายหน้าหวานพูดทำเอาคนฟังทั้งสองในห้องเกิดอาการอึ้งกิมกี่ไปชั่วขณะ
คุณอาเนี่ยนะ ไม่จริงใช่ไหมเนี่ย
รถคันนั้นเราเข้าใจมาตลอดว่าเป็นรถของบริษัท ไม่คิดว่าจะเป็นรถของ...คุณอา
หนุ่มที่อีกคนในห้องที่ไม่มีใครมองเห็นเริ่มรู้สึกมึนงงกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับพลันนึกย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ
หนุ่มหน้าเข้มจำได้เพียงว่าวันนั้นเขามีหน้าที่เร่งด่วนในการไปติดต่อกับผู้ที่จะมาร่วมทุนทำกับบริษัท แต่เนื่องจากรถส่วนตัวของเขาเสีย ส่วนรถคันอื่นๆก็มีเหตุที่ไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งประสบอุบัติเหตุบ้าง ถูกนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทบ้าง ตอนนั้นก็อดแปลกใจไม่ได้ว่ารถยนต์ส่วนตัวที่ครอบครัวของเขาถือครองกรรมสิทธิ์นั้นมีตั้งหลายคันทำไมถึงไม่มีคันไหนใช้ได้เลย แต่แล้วก็เห็นกุญแจรถคันหนึ่งวางอยู่ตรงโต๊ะของพนักงานรักษาความปลอดภัย
“ลุงครับอันนี้นี่ผมเอาไปใช้ได้ไหมครับ” เสียงของทายาทเจ้าของบริษัทถามชายสูงอายุที่นั่งประจำการอยู่บริเวณทางเข้าที่จอดรถ
“อ้อ ได้ครับคุณป๊อป” ชายสูงวัยตอบกลับ
“คันไหนหรอครับลุง” หนุ่มร่างหนาถามต่อ
“คันนั้นครับคุณป๊อป” ชายสูงวัยชี้ไปยังรถยนต์คันหนึ่งที่ดูจอดนิ่งสนิทมานานพอควร สังเกตได้จากคราบฝุ่นที่เกาะอยู่บนตัวรถ
“แต่คันนี้ไม่ค่อยมีคนใช้แล้วนะครับคุณป๊อปไม่รู้ว่ายังขับได้อยู่หรือเปล่า เดี๋ยวผมเรียกคนขับรถมาให้ดีกว่าไหมครับ” คนสูงวัยเสนอต่อ
“ไม่เป็นไรครับลุง พอดีผมรีบน่ะ ถ้าสตาร์ทไม่ติดค่อยว่ากันอีกที” ชายหนุ่มรีบเดินไปยังรถคันดังกล่าวก่อนจะบึ่งรถออกไป และไม่นานก็เกิดอุบัติเหตุอย่างที่เห็น...
“แต่ผมยังไม่อยากสรุปความอะไรทั้งนั้น เรายังไม่มีหลักฐาน ผมไม่อยากปรักปรำใคร และผมก็คิดว่าแม่ผมไม่น่าจะใจไม้ไส้ระกำทำร้ายแม้กระทั่งหลานตัวเองได้ลงคอหรอกนะ” เสียงกล่าวต่อหนุ่มหน้าหวานเรียกให้ชายหนุ่มอีกคนในห้องตื่นจากภวังค์
“หรือว่าคุณยังรับความจริงไม่ได้กันแน่คะ” แพทย์สาวกล่าวจี้ใจดำคนป่วย
“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าแม่ของผมจะเป็นคนทำเรื่องนี้ล่ะ” คนป่วยถามอย่างเคืองๆ
“ก็แม่ของคุณอยากให้คุณเป็นผู้บริหารแทนคุณภาณุไม่ใช่หรอคะ” แพทย์สาวหน้าหวานนึกถึงเรื่องราวที่เธอได้ยินเมื่อวันก่อนที่มารดาของคนป่วยพยายามสนับสนุนให้เขาเป็นประธานแห่งพี.ซี.กรุ๊ป
“แม่ผมอยาก แต่ผมไม่นี่ แล้วคุณไปรู้เรื่องนี้มาได้ยังไง” เขายังคงปฏิเสธเหมือนเดิมและยิ่งเพิ่มทวีความสงสัยในตัวหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้นว่าความจริงแล้วเธอดีหรือร้ายกันแน่
สาวหน้าหวานหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะแก้ตัวไปว่า “คือ...ฉันบังเอิญได้ยินคุณคุยกับคุณแม่ ตอนที่ฉันจะเข้ามาถามอาการของคุณพอดีน่ะ”
“พูดง่ายๆว่าคุณแอบฟังผมคุยกับแม่ใช่ไหมล่ะ” คนป่วยเริ่มเป็นฝ่ายซักความแพทย์สาวบ้าง
“ไม่ใช่ก็บอกแล้วไงว่าฉันบังเอิญน่ะ...คุณเข้าใจคำว่าบังเอิญไหม” เธอยังคงแก้ตัวต่อไป
“มันบังเอิญมากไปหรือเปล่าครับคุณหมอ” เขากล่าวอย่างไม่เชื่อ
“ฟาง...พอเถอะ” เสียงของชายอีกคนดังขึ้นทำให้หญิงสาวที่กำลังจะอ้าปากพูดต่อต้องหยุดฟัง
“บางทีการที่เราค้นหาความจริงมันอาจจะทำให้เราเจ็บปวดก็ได้นะ” หนุ่มหน้าเข้มกล่าวด้วยเสียงนิ่ง
“ป๊อปดีใจนะที่ได้รู้ว่าป๊อปเข้าใจผิดเรื่องทั้งหมดมาโดยตลอด อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย เป็นครอบครัวของป๊อป ถ้าเรื่องนี้เกิดกับฟาง ฟางก็คงไม่อยากให้ใครมากล่าวหาคนในครอบครัวของฟางเหมือนกันนั่นแหละ”
สาวหน้าหวานได้แต่ชะงักไปสร้างความแปลกใจให้กับคนป่วยที่เพิ่งเอ่ยถามไปเมื่อครู่
“เพื่อความสบายใจของทุกคน ฉันขอเลิกยุ่งกับเรื่องนี้ละกัน เอาเป็นว่าฉันขอโทษที่แอบฟังละกันนะคะคุณโทโมะ” หญิงสาวกล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความข้องใจ
ทุกคน หมายความว่าไง ทั้งห้องก็มีแค่เธอกับเรานี่นา หรือว่ามีใครอยู่ในห้องนี้อีก...หนุ่มหน้าหวานอดสงสัยคำกล่าวของคนที่เพิ่งออกจากห้องไปไม่ได้ เขาพยายามหันมองรอบๆห้องก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใด
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง บานประตูค่อยๆเปิดออกเผยให้เห็นผู้มาใหม่
“เฮ้ย...เป็นไงแล้วบ้างวะไอ้โมะ” เสียงหนุ่มหน้ายาวเอ่ยทักทายเพื่อนรัก
“ฉันเห็นนะว่ามีคนเพิ่งออกจากห้องแกไปน่ะ อ๊ะๆ เดี๋ยวนี้มีกิ๊กไม่บอกเพื่อนเลยนะ” เขากล่าวแซวต่อ
“ใครหรอคะ” เสียงสาวสวยผู้มาเยี่ยมอีกคนเอ่ยถามแฟนหนุ่ม
“ไม่ใช่ จะบ้าหรอ นั่นหมอที่รักษาฉันต่างหากล่ะ” คนป่วยเถียงกลับ
“โห มีหมอน่ารักขนาดนี้ ไม่น่าถึงไม่ยอมหายซักที” คนมาเยี่ยมแกล้งแซวอีก
“ฉันไม่ใช่แกนะ ไอ้เสือเขื่อน” หนุ่มหน้าหวานได้ทีสวนกลับไปหนึ่งดอกก่อนจะถามต่อด้วยความสงสัย
“ว่าแต่แกรู้ได้ไงว่าฉันป่วย ได้ข่าวว่าเพิ่งไปเมืองนอกมาไม่ใช่หรอ”
“อ้อ จินนี่เป็นคนบอกพี่เขื่อนเองแหละค่ะ พอดีวันเมื่อวานจินเจอคุณแม่พี่โทโมะในงานเลี้ยงรุ่นที่มหาลัยน่ะค่ะ” สาวอีกคนที่มาเยี่ยมตอบคำถามของคนป่วยแต่ยิ่งกลับทำให้คนป่วยสงสัยมากขึ้นว่าเหตุใดมารดาของเขาจึงไปออกงานที่นอกเหนือจากงานสังคมทั่วไปได้
“เอ๊ะ แล้วแม่พี่ไปทำอะไรที่งานเลี้ยงรุ่นล่ะ”
“อ๋อ พอดีท่านมาบริจาคเงินเป็นทุนการศึกษาให้นักศึกษาที่เรียนดีน่ะค่ะ มีพาพี่จองเบมาเป็นตัวอย่างด้วยนะคะ”
สาวสวยคนเดียวในห้องชื่นชมชายหนุ่มที่เธอกล่าวถึงต่อแต่เหมือนคนฟังจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด
เพราะเพียงชื่อคนคนนั้นที่ถูกเอ่ยขึ้นก็ทำให้อารมณ์ของคนป่วยเริ่มเกิดความแปรปรวนอีกครั้ง
“หรอครับ” เขากล่าวเพียงสั้นๆพยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้พลุ่งพล่าน
หนุ่มหน้ายาวที่พอจะรู้เรื่องราวคร่าวๆอยู่บ้างเริ่มจับสังเกตได้ เขาพยายามบอกแฟนสาวให้เปลี่ยนเรื่องไปแต่ก็เหมือนว่าเธอจะยังไม่รู้ตัวจึงตัดสินใจพูดตัดบท
“เออ จินพี่ว่าเดี๋ยววันนี้เรากลับกันก่อนดีไหม ให้ไอ้โมะมันพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนดีกว่าเนอะ พี่เองก็อยากกลับไปพักด้วยเหมือนกัน นั่งเครื่องนานรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวแถมนอนไม่ค่อยหลับอีก”
“ก็ดีเหมือนกันค่ะพี่เขื่อน ให้พี่โมะพักผ่อนดีกว่า งั้นจินกับพี่เขื่อนกลับก่อนนะคะ อย่าลืมพักเยอะๆนะคะ จินเป็นห่วง” สาวสวยพูดพร้อมยิ้มหวานให้คนป่วย
“พักผ่อนเยอะๆนะเว่ย เดี๋ยวไอ้ป๊อปมันจะหาว่าแกอู้งาน” หนุ่มจอมทะเล้นเอ่ยขึ้นเล่นๆพลางจ้องสีหน้าเพื่อนสนิท แต่คนป่วยก็ยังคงไม่แสดงความรู้สึกอะไร เขาโบกมือลาก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ในขณะที่ร่างที่ไม่มีใครมองเห็นที่ยังยืนสังเกตการณ์ในห้องเดิมก็เกิดอาการสงสัยเมื่อเห็นสาวสวยร่างบางที่เพิ่งเดินออกไปกับเพื่อนสนิทจอมกะล่อนของเขา
น้องจินนี่ คนนี้เหรอแฟนไอ้เขื่อน ปกติเห็นแต่ในรูปเพิ่งเคยเห็นตัวจริงก็วันนี้ สวยดีนะ
แต่ทำไมหน้าคุ้นจังแฮะ เหมือนเคยเจอที่ไหน...
เขาแอบอิจฉาความรักของเพื่อนจอมกะล่อนของเขาไม่ได้
ว่าแต่คุณหมอสุดสวยของผมหายไปไหนแล้วเนี่ยป่านนี้สงสัยจะงอนไปกันใหญ่แล้ว...
...........................................................
“จินนี่ครับ พอดีพี่นึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ที่ห้องไอ้โมะ ไปรอพี่ในรถก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามไป” หนุ่มหน้ายาวบอกแฟนสาวก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องของเพื่อนสนิท
“มีเรื่องอะไรเหรอถึงขนาดต้องรีบกลับมาขนาดนี้น่ะ” คนในห้องถามแขกคนเดิมที่เพิ่งจะเข้าห้อง
“มีสิ พอดีฉันลืมของน่ะ” เขาตอบพร้อมชูโทรศัพท์มือถือให้เจ้าของห้องดู
“จงใจลืมก็บอกมาเถอะ” หนุ่มหน้าหวานกล่าวอย่างรู้ทัน
คนมาใหม่ส่ายหน้ากับตัวเองช้าๆก่อนกล่าวประชดว่า “เออ...พ่อคนฉลาดแสนรู้”
“แกมีอะไรว่ามาตรงๆดีกว่าไอ้เขื่อน” คนป่วยถามอย่างตรงประเด็น
“โอเค ดีเหมือนกันไม่ต้องพูดมาก สรุปเรื่องไอ้ป๊อปมันเกิดอะไรขึ้น” หนุ่มหน้ายาวเริ่มกระชับประเด็นมากขึ้น
“แกรู้” สีหน้าของคนพูดเริ่มเต็มไปด้วยความสงสัย
“ต้องบอกว่าเพิ่งรู้มากกว่าสิ นี่แกคิดอะไรอยู่กันแน่ไอ้โมะ” คนป่วยได้แต่หลบสายตากับคำถามที่เกิดขึ้น
“แกเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า” หนุ่มหน้ายาวแทบจะลุกไปกระชากคอเสื้อคนที่นั่งอยู่บนเตียงถ้าไม่ติดว่ายังเป็นคนป่วยอยู่
“แกคิดว่าฉันเชื่อใจไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือไง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“ฉันไม่ได้จะไม่เล่าให้แกฟังนะ แต่มันไม่มีโอกาสเหมาะๆมากกว่า” คนป่วยเริ่มกลบเกลื่อนข้อกล่าวหา
“แล้วเมื่อไหร่โอกาสมันจะเหมาะสำหรับแกล่ะ นี่ถ้าฉันไม่บังเอิญมาได้ยิน แกก็คงไม่บอกฉันใช่ไหม” เพื่อนสนิทกล่าวประชดอีกครั้งทำเอาคนฟังได้แต่นั่งนิ่ง
หนุ่มหน้ายาวยังคงน้อยใจไม่หายกับสิ่งที่เพื่อนสนิทปิดเป็นความลับมาโดยตลอด
“คงจะต้องขอบคุณคุณหมอแสนสวยคนนั้นนะที่ทำให้ฉันฉลาดซักที” เขากล่าวพร้อมหันหลังเดินออกจากห้องทิ้งความรู้สึกผิดให้กับคนในห้องต่อไป
“พี่เขื่อนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมดูเครียดๆ หรืออาการพี่โทโมะแย่ลง” แฟนสาวถามหลังจากเห็นสีหน้าโบว์ผูกของคนที่บอกให้เธอรอ
“เป็นห่วงกันจังเลยนะ มันยังไม่ตายหรอก” เขาตอบกลับอย่างอารมณ์เสีย
“แล้วทำไมต้องประชดจินด้วยล่ะคะ” คนสวยในรถเริ่มไม่สบอารมณ์บ้าง
“พี่ไม่ได้ประชดสักหน่อย พี่พูดความจริง” เจ้าของรถสวนกลับด้วยเสียงเรียบ ไม่มีน้ำเสียงของการง้องอนแต่อย่างใด
หลังจากนั้นบรรยากาศในรถยนต์คันหรูก็ดูตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน...
..........................................................
หลังจากที่สาวร่างเล็กประกาศยุติหน้าที่ในการค้นหาความจริงให้กับผู้ป่วยพิเศษ เธอก็เดินกลับมาปฏิบัติงานตามหน้าที่ประจำต่อตามเดิม แต่ดูเหมือนว่าสติสัมปชัญญะจะลดน้อยลงไปมากพอควรจนผู้ร่วมงานจับสังเกตได้
“คุณหมอ หมอฟาง คุณหมอฟางคะ” สาวสูงวัยเพิ่มเลียงในการเรียกแต่ละครั้งจนทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้ง
“ม..ม..มีอะไรหรือเปล่าคะ พี่แดง” คนถูกเรียกตอบกลับด้วยอาการตกใจ
“พี่น่าจะถามคุณหมอมากกว่านะคะ ไม่สบายหรือมีเรื่องกังวลใจอะไรหรือเปล่า” ผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนชิงถาม
“ไม่หรอกค่ะ พอดีเมื่อคืนเฝ้าเพื่อนดึกไปหน่อย เออ..นี่เคสสุดท้ายแล้วเดี๋ยวฟางไปพักก่อนละกันนะคะ” สาวหน้าหวานรีบบอกปัดก่อนจะเดินจากไป
“เดี๋ยวสิคะ คุณหมอ แล้วเคสในห้อง...” เสียงของพยาบาลสูงวัยกำลังบอกว่าเธอยังไม่ได้ไปดูคนไข้ผู้ยังนอนไม่ได้สติรายเดิม แต่ก็บอกไม่ทัน
“ปกติเห็นออกจะสนใจห้องนี้เป็นพิเศษนี่นา” พยาบาลคนเดิมยังคงสงสัยต่อไป
หนุ่มหน้าเข้มผู้ไม่มีใครเห็นเดินกลับมาที่ห้องของเขาเฝ้ารอการมาตรวจของแพทย์สาวร่างเล็ก แต่รอแล้วรอเล่า รออย่างไรเธอก็ยังไม่ยอมมาเสียที
หรือฟางจะโกรธที่เราบอกให้เลิกตามหาความจริงเรื่องของเรานะ
ร่างหนาคิดได้ดังนั้นจึงเริ่มตามหาคนตัวเล็ก เขาตามหาเธอตามที่ต่างๆในโรงพยาบาลแต่ก็ไม่พบและเกือบจะถอดใจ แต่บังเอิญคนตัวเล็กเดินออกมาจากสวนหย่อมเล็กของโรงพยาบาลพอดี
"ฟาง” ร่างเล็กหันมามองตามเสียงเรียกก็พบหนุ่มร่างหนาฉีกยิ้มให้เธออยู่แต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจและเดินต่อไป
“ฟาง ฟางเป็นอะไร” ต้นเสียงรีบวิ่งมาดักหน้าคนตัวเล็กแต่เธอก็ยังเดินเลี่ยงไป
“ฟางโกรธป๊อปเรื่องเมื่อกี้ใช่เปล่า” เขายังคงพยายามตามเธอต่อ
“ถ้าไม่ตอบแสดงว่าใช่” หนุ่มหน้าเข้มพอจะจับอารมณ์ของร่างเล็กได้
“ที่ป๊อปบอกไม่ให้ฟางตามหาความจริง ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะคุยกันไม่ได้ไม่ใช่หรอ” เขาพยายามง้อเธอและให้เหตุผลต่อ
“ป๊อปรู้นะว่าสิ่งที่ฟางทำให้ป๊อปมันมากมายจนป๊อปไม่มีวันลืมได้ ป๊อปซึ้งใจมากจริงๆ แต่ที่ป๊อปไม่อยากให้ฟางหาความจริงต่อ เพราะบางทีผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกที่เสียไป”
“แล้วป๊อปไม่คิดว่าฟางจะเสียความรู้สึกบ้างหรอ” ในที่สุดเธอก็ตอบกลับอย่างเคืองๆ
ร่างหนารู้สึกอ่อนใจเล็กน้อยแต่ก็พยายามอธิบายต่อ “ฟางบอกป๊อปเองไม่ใช่หรอว่าให้ป๊อปมีสติและมีเหตุผลน่ะ”
“นี่ป๊อปว่าฟางไม่มีเหตุผลหรอ” ร่างเล็กยังคงเถียงอย่างดึงดัน
“เปล่านะ ป๊อปไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ป๊อปแค่จะบอกว่า...” ยังไม่ทันจะพูดจบร่างเล็กก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
“ฟางว่าฟางก็ดูแลป๊อปมานานแล้วนะ แต่อาการของป๊อปก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ฟางเลยไปปรึกษารุ่นพี่ที่เขาเก่งๆมาดูแลป๊อปแทน”
“หมายความว่าไงฟาง” เขาถามอย่างตกใจก่อนจะทวงสัญญา “ไหนฟางบอกว่าฟางจะช่วยป๊อปไง”
“ฟางขอโทษนะป๊อปที่ฟางผิดคำสัญญา” ร่างเล็กกล่าวตัดบทก่อนที่จะเดินหนีออกมา
คนที่ถูกทิ้งยืนนิ่งมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินจากไป เวลานี้เขาไม่เหลือใครจริงๆแล้วใช่ไหม...
.........................................................
สถาปนิกสาวสูงกำลังสาละวนกับการเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน
เอ...ขาดอะไรอีกไหมนะ เธอพยายามมองหาสิ่งของที่อาจจะหลงลืมไว้ในห้อง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายสมาธิในการค้นหาของที่หลงเหลืออยู่
เพื่อนสนิทสาวร่างเล็กผู้ให้สัญญาว่าจะมานอนเป็นเพื่อนเธอเมื่อคืนแต่สุดท้ายก็ปล่อยให้เธอนอนเผชิญกับความกลัวคนเดียวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“นี่แกเป็นอะไรฟาง” คนตัวสูงถามด้วยความเป็นห่วงแต่สิ่งที่กลับมาคือความนิ่งสนิท
สุดท้ายสาวร่างเล็กก็โพล่งขึ้น “แกเคยตั้งใจทำอะไรเพื่อใครสักคนแล้วสุดท้ายสิ่งที่เราทำนั้นกลับเป็นเครื่องมือทำร้ายคนคนนั้นให้เสียใจเองไหม”
เพื่อนร่างสูงได้แต่งงกับคนตัวเล็กเพราะนอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้วยังตั้งคำถามที่เธอไม่เข้าใจอีก
“ฉันไม่เข้าใจเรื่องที่แกพูดหรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันว่ามันขึ้นอยู่กับว่าแกต้องการความสำเร็จแบบไหนมากกว่า”
“ความสำเร็จ” ร่างเล็กทวนคำถามกับตัวเอง
“ใช่ เพราะบางทีความสำเร็จอาจจะไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่อาจจะอยู่ในระหว่างทางก็ได้นะ” ร่างสูงขยายความต่อ
“ว่าแต่คนคนนั้นของแกเนี่ยคือใครหรอ ใช่หนุ่มมนุษย์ล่องหนที่แกเพิ่งแนะนำให้ฉันรู้จักหรือเปล่า” สถาปนิกสาวถามแซวเพื่อนตัวเอง
“ใคร? อะไรยัยแก้ว เก็บของไปเลยไป” ร่างเล็กเริ่มกลบเกลื่อนแต่ใบหน้าเริ่มมีรอยแดงระเรื่อ
คนให้คำตอบยิ้มน้อยๆกับอาการเขินของเพื่อนสาวที่ไม่เคยจะเก็บอาการอยู่ก่อนจะจัดแจงเก็บของต่อ
สาวร่างเล็กเริ่มได้สติจากคำพูดของเพื่อนรัก
ความจริงแล้วเราเองที่งี่เง่ากับหมอนั่นเองสินะ...
=======================================================
รู้สึกยิ่งแต่งยิ่งเบลอ 555 มาอัพต่อแล้วนะคะยังไงก็ฝากติดตามด้วยละกันเนอะ
บางทีเรื่องที่เห็นอาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป...
สุดท้าย..ขอบคุณทุกคน ทุกคอมเม้นท์ที่ติดตามกันเสมอมานะคะ แม้จะอัพช้าไป(มาก)
หนุ่มหน้าหวานตอบตัดบทการซักประวัติของแพทย์สาวร่างเล็ก
“เห็นไหม ป๊อปบอกแล้วว่าจะง้างปากไอ้โมะมันยากยิ่งกว่าอะไรดี” เสียงเพื่อนของหนุ่มหน้าหวานที่ไม่มีใครมองเห็นโพล่งขึ้นหลังจากที่หนุ่มหน้าหวานกล่าวจบ
แพทย์สาวร่างเล็กมองค้อนไปยังต้นเสียงก่อนงัดไม้ตายเพื่อเอาความจริงต่อ
“แต่พอดีว่าฉันรู้ว่าญาติของคุณชื่อ ภาณุ จิระคุณ” เพียงชื่อที่หลุดออกจากปากแพทย์สาวก็ทำให้คนป่วยถึงกับอึ้งไปชั่วขณะ
เป็นไปไม่ได้ คนที่รู้ว่าป๊อปปี้อยู่ที่นี่มีเพียงแค่เราและผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่เป็นเพื่อนสนิทของคุณลุง
แล้วเธอรู้ชื่อนายป๊อปได้ยังไง เธอต้องการอะไรกัน...
“คุณพูดมาตรงๆดีกว่า ว่าคุณต้องการอะไร เงิน รถ บ้าน ผมให้คุณได้หมด” หนุ่มหน้าหวานเริ่มหยิบยื่นข้อเสนอให้สาวร่างเล็ก
“ฉันแค่ต้องการความจริงจากคุณ” สายตาของสาวร่างเล็กจ้องใบหน้าคนป่วยด้วยแววตาจริงจัง
“คุณหมายความว่ายังไง แล้วคุณรู้ชื่อญาติของผมได้ยังไง” หนุ่มหน้าหวานถามด้วยความสงสัยปนแปลกใจ
“ฉันไม่ขอตอบละกันนะว่ารู้ชื่อญาติคุณได้ยังไง” สาวหน้าหวานตอบเสียงเรียบพลางคิดในใจว่า
ถ้าขืนบอกว่าฉันคุยกับนายภาณุได้ อีตาหน้าหวานนี่จะไม่ช็อคตายไปก่อนหรอ
“แต่ฉันขอยืนยันว่าฉันไม่ได้คิดไม่ดีกับคุณหรือญาติของคุณ เพราะตอนนี้ฉันเป็นคนดูแลญาติของคุณอยู่ ถ้าฉันจะเรียกเงินหรืออะไรฉันคงทำไปนานแล้ว” แพทย์สาวพูดอย่างเปิดใจมากขึ้น
“แล้วผมจะมั่นใจได้ยังไงกันว่าคุณจะไม่ทำร้ายเรา” หนุ่มหน้าหวานกล่าวด้วยความไม่ไว้ใจ
“คุณพูดเหมือนว่ามีคนกำลังจ้องทำร้ายครอบครัวของคุณอย่างนั้นแหละ” แพทย์สาวเอ่ยด้วยความสงสัย
“ผมก็ไม่รู้หรอกว่ามีใครจะมาทำร้ายเราหรือเปล่า แต่บนโลกธุรกิจสอนให้ผมรู้ว่าเราต้องเผชิญและต่อสู้กับศัตรูที่เรามองเห็นและมองไม่เห็น เราไม่รู้ว่าใครเป็นมิตรหรือศัตรู ดังนั้นเราต้องป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นผมถึงจำเป็นต้องเก็บเรื่องภาณุไว้เป็นความลับ เพื่อรักษาความมั่นคงของบริษัทของเราต่อไป แล้วก็ได้แต่หวังว่าวันหนึ่งเขาจะตื่นขึ้นมารับหน้าที่ที่พ่อของเขาทิ้งไว้ให้ ผมก็แค่อยากได้ความมั่นใจว่าคุณจะมาช่วยเราจริงๆ” หนุ่มหน้าหวานตอบเหตุผลของการกระทำทั้งหมดที่เขาทำให้คนตัวเล็กฟัง
“ฉันคงไม่มีอะไรที่จะสามารถยืนยันกับคุณได้หรอกนะ แต่ถ้าคุณเชื่อใจฉัน ฉันก็จะช่วยคุณ เราจะช่วยกัน ฉันพูดได้แค่นี้ บางทีสองหัวก็ดีกว่าหัวเดียวไม่ใช่เหรอคะ” คำตอบของแพทย์สาวหน้าหวานอาจจะไม่ได้ให้ความกระจ่างชัดหรือให้ความมั่นใจอะไรได้มากขึ้นนัก แต่มันกลับทำให้คนฟังรู้สึกได้ว่าสิ่งที่เธอพูดมันเป็นความรู้สึกจากใจจริง
คนป่วยยังคงนั่งนิ่งนึกไตร่ตรองเรื่องที่รับรู้ว่าเขาควรทำอย่างไรต่อไป...แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจเอ่ยขึ้นว่า
“บางครั้งเรื่องบางเรื่องมันก็โหดร้ายเกินที่คนทั่วไปจะรับรู้จริงไหมครับคุณหมอ” ชายหน้าหวานเริ่มเล่าความในใจ
“ผมยอมรับว่าผมเป็นคนปิดข่าวเรื่องอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เพราะนอกจากเหตุผลเรื่องธุรกิจแล้วมันยังเกี่ยวข้องกับคนในครอบครัวของผม”
“คนในครอบครัว” สาวร่างเล็กเอ่ยแทรกขึ้นด้วยความสงสัย
“ครับ เพราะเจ้าของรถคันที่เกิดอุบัติเหตุคือแม่ของผมเอง” ประโยคที่ชายหน้าหวานพูดทำเอาคนฟังทั้งสองในห้องเกิดอาการอึ้งกิมกี่ไปชั่วขณะ
คุณอาเนี่ยนะ ไม่จริงใช่ไหมเนี่ย
รถคันนั้นเราเข้าใจมาตลอดว่าเป็นรถของบริษัท ไม่คิดว่าจะเป็นรถของ...คุณอา
หนุ่มที่อีกคนในห้องที่ไม่มีใครมองเห็นเริ่มรู้สึกมึนงงกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับพลันนึกย้อนระลึกถึงเหตุการณ์ในวันเกิดเหตุ
หนุ่มหน้าเข้มจำได้เพียงว่าวันนั้นเขามีหน้าที่เร่งด่วนในการไปติดต่อกับผู้ที่จะมาร่วมทุนทำกับบริษัท แต่เนื่องจากรถส่วนตัวของเขาเสีย ส่วนรถคันอื่นๆก็มีเหตุที่ไม่สามารถใช้งานได้ ทั้งประสบอุบัติเหตุบ้าง ถูกนำไปใช้ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทบ้าง ตอนนั้นก็อดแปลกใจไม่ได้ว่ารถยนต์ส่วนตัวที่ครอบครัวของเขาถือครองกรรมสิทธิ์นั้นมีตั้งหลายคันทำไมถึงไม่มีคันไหนใช้ได้เลย แต่แล้วก็เห็นกุญแจรถคันหนึ่งวางอยู่ตรงโต๊ะของพนักงานรักษาความปลอดภัย
“ลุงครับอันนี้นี่ผมเอาไปใช้ได้ไหมครับ” เสียงของทายาทเจ้าของบริษัทถามชายสูงอายุที่นั่งประจำการอยู่บริเวณทางเข้าที่จอดรถ
“อ้อ ได้ครับคุณป๊อป” ชายสูงวัยตอบกลับ
“คันไหนหรอครับลุง” หนุ่มร่างหนาถามต่อ
“คันนั้นครับคุณป๊อป” ชายสูงวัยชี้ไปยังรถยนต์คันหนึ่งที่ดูจอดนิ่งสนิทมานานพอควร สังเกตได้จากคราบฝุ่นที่เกาะอยู่บนตัวรถ
“แต่คันนี้ไม่ค่อยมีคนใช้แล้วนะครับคุณป๊อปไม่รู้ว่ายังขับได้อยู่หรือเปล่า เดี๋ยวผมเรียกคนขับรถมาให้ดีกว่าไหมครับ” คนสูงวัยเสนอต่อ
“ไม่เป็นไรครับลุง พอดีผมรีบน่ะ ถ้าสตาร์ทไม่ติดค่อยว่ากันอีกที” ชายหนุ่มรีบเดินไปยังรถคันดังกล่าวก่อนจะบึ่งรถออกไป และไม่นานก็เกิดอุบัติเหตุอย่างที่เห็น...
“แต่ผมยังไม่อยากสรุปความอะไรทั้งนั้น เรายังไม่มีหลักฐาน ผมไม่อยากปรักปรำใคร และผมก็คิดว่าแม่ผมไม่น่าจะใจไม้ไส้ระกำทำร้ายแม้กระทั่งหลานตัวเองได้ลงคอหรอกนะ” เสียงกล่าวต่อหนุ่มหน้าหวานเรียกให้ชายหนุ่มอีกคนในห้องตื่นจากภวังค์
“หรือว่าคุณยังรับความจริงไม่ได้กันแน่คะ” แพทย์สาวกล่าวจี้ใจดำคนป่วย
“แล้วทำไมคุณถึงคิดว่าแม่ของผมจะเป็นคนทำเรื่องนี้ล่ะ” คนป่วยถามอย่างเคืองๆ
“ก็แม่ของคุณอยากให้คุณเป็นผู้บริหารแทนคุณภาณุไม่ใช่หรอคะ” แพทย์สาวหน้าหวานนึกถึงเรื่องราวที่เธอได้ยินเมื่อวันก่อนที่มารดาของคนป่วยพยายามสนับสนุนให้เขาเป็นประธานแห่งพี.ซี.กรุ๊ป
“แม่ผมอยาก แต่ผมไม่นี่ แล้วคุณไปรู้เรื่องนี้มาได้ยังไง” เขายังคงปฏิเสธเหมือนเดิมและยิ่งเพิ่มทวีความสงสัยในตัวหญิงสาวตรงหน้ามากขึ้นว่าความจริงแล้วเธอดีหรือร้ายกันแน่
สาวหน้าหวานหัวเราะแห้งๆ ก่อนจะแก้ตัวไปว่า “คือ...ฉันบังเอิญได้ยินคุณคุยกับคุณแม่ ตอนที่ฉันจะเข้ามาถามอาการของคุณพอดีน่ะ”
“พูดง่ายๆว่าคุณแอบฟังผมคุยกับแม่ใช่ไหมล่ะ” คนป่วยเริ่มเป็นฝ่ายซักความแพทย์สาวบ้าง
“ไม่ใช่ก็บอกแล้วไงว่าฉันบังเอิญน่ะ...คุณเข้าใจคำว่าบังเอิญไหม” เธอยังคงแก้ตัวต่อไป
“มันบังเอิญมากไปหรือเปล่าครับคุณหมอ” เขากล่าวอย่างไม่เชื่อ
“ฟาง...พอเถอะ” เสียงของชายอีกคนดังขึ้นทำให้หญิงสาวที่กำลังจะอ้าปากพูดต่อต้องหยุดฟัง
“บางทีการที่เราค้นหาความจริงมันอาจจะทำให้เราเจ็บปวดก็ได้นะ” หนุ่มหน้าเข้มกล่าวด้วยเสียงนิ่ง
“ป๊อปดีใจนะที่ได้รู้ว่าป๊อปเข้าใจผิดเรื่องทั้งหมดมาโดยตลอด อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นเพื่อน เป็นพี่ชาย เป็นครอบครัวของป๊อป ถ้าเรื่องนี้เกิดกับฟาง ฟางก็คงไม่อยากให้ใครมากล่าวหาคนในครอบครัวของฟางเหมือนกันนั่นแหละ”
สาวหน้าหวานได้แต่ชะงักไปสร้างความแปลกใจให้กับคนป่วยที่เพิ่งเอ่ยถามไปเมื่อครู่
“เพื่อความสบายใจของทุกคน ฉันขอเลิกยุ่งกับเรื่องนี้ละกัน เอาเป็นว่าฉันขอโทษที่แอบฟังละกันนะคะคุณโทโมะ” หญิงสาวกล่าวก่อนจะเดินออกจากห้องไปด้วยความข้องใจ
ทุกคน หมายความว่าไง ทั้งห้องก็มีแค่เธอกับเรานี่นา หรือว่ามีใครอยู่ในห้องนี้อีก...หนุ่มหน้าหวานอดสงสัยคำกล่าวของคนที่เพิ่งออกจากห้องไปไม่ได้ เขาพยายามหันมองรอบๆห้องก็ไม่พบสิ่งมีชีวิตอื่นใด
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง บานประตูค่อยๆเปิดออกเผยให้เห็นผู้มาใหม่
“เฮ้ย...เป็นไงแล้วบ้างวะไอ้โมะ” เสียงหนุ่มหน้ายาวเอ่ยทักทายเพื่อนรัก
“ฉันเห็นนะว่ามีคนเพิ่งออกจากห้องแกไปน่ะ อ๊ะๆ เดี๋ยวนี้มีกิ๊กไม่บอกเพื่อนเลยนะ” เขากล่าวแซวต่อ
“ใครหรอคะ” เสียงสาวสวยผู้มาเยี่ยมอีกคนเอ่ยถามแฟนหนุ่ม
“ไม่ใช่ จะบ้าหรอ นั่นหมอที่รักษาฉันต่างหากล่ะ” คนป่วยเถียงกลับ
“โห มีหมอน่ารักขนาดนี้ ไม่น่าถึงไม่ยอมหายซักที” คนมาเยี่ยมแกล้งแซวอีก
“ฉันไม่ใช่แกนะ ไอ้เสือเขื่อน” หนุ่มหน้าหวานได้ทีสวนกลับไปหนึ่งดอกก่อนจะถามต่อด้วยความสงสัย
“ว่าแต่แกรู้ได้ไงว่าฉันป่วย ได้ข่าวว่าเพิ่งไปเมืองนอกมาไม่ใช่หรอ”
“อ้อ จินนี่เป็นคนบอกพี่เขื่อนเองแหละค่ะ พอดีวันเมื่อวานจินเจอคุณแม่พี่โทโมะในงานเลี้ยงรุ่นที่มหาลัยน่ะค่ะ” สาวอีกคนที่มาเยี่ยมตอบคำถามของคนป่วยแต่ยิ่งกลับทำให้คนป่วยสงสัยมากขึ้นว่าเหตุใดมารดาของเขาจึงไปออกงานที่นอกเหนือจากงานสังคมทั่วไปได้
“เอ๊ะ แล้วแม่พี่ไปทำอะไรที่งานเลี้ยงรุ่นล่ะ”
“อ๋อ พอดีท่านมาบริจาคเงินเป็นทุนการศึกษาให้นักศึกษาที่เรียนดีน่ะค่ะ มีพาพี่จองเบมาเป็นตัวอย่างด้วยนะคะ”
สาวสวยคนเดียวในห้องชื่นชมชายหนุ่มที่เธอกล่าวถึงต่อแต่เหมือนคนฟังจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด
เพราะเพียงชื่อคนคนนั้นที่ถูกเอ่ยขึ้นก็ทำให้อารมณ์ของคนป่วยเริ่มเกิดความแปรปรวนอีกครั้ง
“หรอครับ” เขากล่าวเพียงสั้นๆพยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้พลุ่งพล่าน
หนุ่มหน้ายาวที่พอจะรู้เรื่องราวคร่าวๆอยู่บ้างเริ่มจับสังเกตได้ เขาพยายามบอกแฟนสาวให้เปลี่ยนเรื่องไปแต่ก็เหมือนว่าเธอจะยังไม่รู้ตัวจึงตัดสินใจพูดตัดบท
“เออ จินพี่ว่าเดี๋ยววันนี้เรากลับกันก่อนดีไหม ให้ไอ้โมะมันพักผ่อนให้เต็มที่ก่อนดีกว่าเนอะ พี่เองก็อยากกลับไปพักด้วยเหมือนกัน นั่งเครื่องนานรู้สึกเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวแถมนอนไม่ค่อยหลับอีก”
“ก็ดีเหมือนกันค่ะพี่เขื่อน ให้พี่โมะพักผ่อนดีกว่า งั้นจินกับพี่เขื่อนกลับก่อนนะคะ อย่าลืมพักเยอะๆนะคะ จินเป็นห่วง” สาวสวยพูดพร้อมยิ้มหวานให้คนป่วย
“พักผ่อนเยอะๆนะเว่ย เดี๋ยวไอ้ป๊อปมันจะหาว่าแกอู้งาน” หนุ่มจอมทะเล้นเอ่ยขึ้นเล่นๆพลางจ้องสีหน้าเพื่อนสนิท แต่คนป่วยก็ยังคงไม่แสดงความรู้สึกอะไร เขาโบกมือลาก่อนจะเดินออกจากห้องไป
ในขณะที่ร่างที่ไม่มีใครมองเห็นที่ยังยืนสังเกตการณ์ในห้องเดิมก็เกิดอาการสงสัยเมื่อเห็นสาวสวยร่างบางที่เพิ่งเดินออกไปกับเพื่อนสนิทจอมกะล่อนของเขา
น้องจินนี่ คนนี้เหรอแฟนไอ้เขื่อน ปกติเห็นแต่ในรูปเพิ่งเคยเห็นตัวจริงก็วันนี้ สวยดีนะ
แต่ทำไมหน้าคุ้นจังแฮะ เหมือนเคยเจอที่ไหน...
เขาแอบอิจฉาความรักของเพื่อนจอมกะล่อนของเขาไม่ได้
ว่าแต่คุณหมอสุดสวยของผมหายไปไหนแล้วเนี่ยป่านนี้สงสัยจะงอนไปกันใหญ่แล้ว...
...........................................................
“จินนี่ครับ พอดีพี่นึกขึ้นได้ว่าลืมของไว้ที่ห้องไอ้โมะ ไปรอพี่ในรถก่อนนะ เดี๋ยวพี่ตามไป” หนุ่มหน้ายาวบอกแฟนสาวก่อนจะเดินกลับมาที่ห้องของเพื่อนสนิท
“มีเรื่องอะไรเหรอถึงขนาดต้องรีบกลับมาขนาดนี้น่ะ” คนในห้องถามแขกคนเดิมที่เพิ่งจะเข้าห้อง
“มีสิ พอดีฉันลืมของน่ะ” เขาตอบพร้อมชูโทรศัพท์มือถือให้เจ้าของห้องดู
“จงใจลืมก็บอกมาเถอะ” หนุ่มหน้าหวานกล่าวอย่างรู้ทัน
คนมาใหม่ส่ายหน้ากับตัวเองช้าๆก่อนกล่าวประชดว่า “เออ...พ่อคนฉลาดแสนรู้”
“แกมีอะไรว่ามาตรงๆดีกว่าไอ้เขื่อน” คนป่วยถามอย่างตรงประเด็น
“โอเค ดีเหมือนกันไม่ต้องพูดมาก สรุปเรื่องไอ้ป๊อปมันเกิดอะไรขึ้น” หนุ่มหน้ายาวเริ่มกระชับประเด็นมากขึ้น
“แกรู้” สีหน้าของคนพูดเริ่มเต็มไปด้วยความสงสัย
“ต้องบอกว่าเพิ่งรู้มากกว่าสิ นี่แกคิดอะไรอยู่กันแน่ไอ้โมะ” คนป่วยได้แต่หลบสายตากับคำถามที่เกิดขึ้น
“แกเห็นฉันเป็นเพื่อนอยู่หรือเปล่า” หนุ่มหน้ายาวแทบจะลุกไปกระชากคอเสื้อคนที่นั่งอยู่บนเตียงถ้าไม่ติดว่ายังเป็นคนป่วยอยู่
“แกคิดว่าฉันเชื่อใจไม่ได้ขนาดนั้นเลยหรือไง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
“ฉันไม่ได้จะไม่เล่าให้แกฟังนะ แต่มันไม่มีโอกาสเหมาะๆมากกว่า” คนป่วยเริ่มกลบเกลื่อนข้อกล่าวหา
“แล้วเมื่อไหร่โอกาสมันจะเหมาะสำหรับแกล่ะ นี่ถ้าฉันไม่บังเอิญมาได้ยิน แกก็คงไม่บอกฉันใช่ไหม” เพื่อนสนิทกล่าวประชดอีกครั้งทำเอาคนฟังได้แต่นั่งนิ่ง
หนุ่มหน้ายาวยังคงน้อยใจไม่หายกับสิ่งที่เพื่อนสนิทปิดเป็นความลับมาโดยตลอด
“คงจะต้องขอบคุณคุณหมอแสนสวยคนนั้นนะที่ทำให้ฉันฉลาดซักที” เขากล่าวพร้อมหันหลังเดินออกจากห้องทิ้งความรู้สึกผิดให้กับคนในห้องต่อไป
“พี่เขื่อนเป็นอะไรหรือเปล่าคะ ทำไมดูเครียดๆ หรืออาการพี่โทโมะแย่ลง” แฟนสาวถามหลังจากเห็นสีหน้าโบว์ผูกของคนที่บอกให้เธอรอ
“เป็นห่วงกันจังเลยนะ มันยังไม่ตายหรอก” เขาตอบกลับอย่างอารมณ์เสีย
“แล้วทำไมต้องประชดจินด้วยล่ะคะ” คนสวยในรถเริ่มไม่สบอารมณ์บ้าง
“พี่ไม่ได้ประชดสักหน่อย พี่พูดความจริง” เจ้าของรถสวนกลับด้วยเสียงเรียบ ไม่มีน้ำเสียงของการง้องอนแต่อย่างใด
หลังจากนั้นบรรยากาศในรถยนต์คันหรูก็ดูตึงเครียดขึ้นมาโดยพลัน...
..........................................................
หลังจากที่สาวร่างเล็กประกาศยุติหน้าที่ในการค้นหาความจริงให้กับผู้ป่วยพิเศษ เธอก็เดินกลับมาปฏิบัติงานตามหน้าที่ประจำต่อตามเดิม แต่ดูเหมือนว่าสติสัมปชัญญะจะลดน้อยลงไปมากพอควรจนผู้ร่วมงานจับสังเกตได้
“คุณหมอ หมอฟาง คุณหมอฟางคะ” สาวสูงวัยเพิ่มเลียงในการเรียกแต่ละครั้งจนทำให้เจ้าของชื่อสะดุ้ง
“ม..ม..มีอะไรหรือเปล่าคะ พี่แดง” คนถูกเรียกตอบกลับด้วยอาการตกใจ
“พี่น่าจะถามคุณหมอมากกว่านะคะ ไม่สบายหรือมีเรื่องกังวลใจอะไรหรือเปล่า” ผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนชิงถาม
“ไม่หรอกค่ะ พอดีเมื่อคืนเฝ้าเพื่อนดึกไปหน่อย เออ..นี่เคสสุดท้ายแล้วเดี๋ยวฟางไปพักก่อนละกันนะคะ” สาวหน้าหวานรีบบอกปัดก่อนจะเดินจากไป
“เดี๋ยวสิคะ คุณหมอ แล้วเคสในห้อง...” เสียงของพยาบาลสูงวัยกำลังบอกว่าเธอยังไม่ได้ไปดูคนไข้ผู้ยังนอนไม่ได้สติรายเดิม แต่ก็บอกไม่ทัน
“ปกติเห็นออกจะสนใจห้องนี้เป็นพิเศษนี่นา” พยาบาลคนเดิมยังคงสงสัยต่อไป
หนุ่มหน้าเข้มผู้ไม่มีใครเห็นเดินกลับมาที่ห้องของเขาเฝ้ารอการมาตรวจของแพทย์สาวร่างเล็ก แต่รอแล้วรอเล่า รออย่างไรเธอก็ยังไม่ยอมมาเสียที
หรือฟางจะโกรธที่เราบอกให้เลิกตามหาความจริงเรื่องของเรานะ
ร่างหนาคิดได้ดังนั้นจึงเริ่มตามหาคนตัวเล็ก เขาตามหาเธอตามที่ต่างๆในโรงพยาบาลแต่ก็ไม่พบและเกือบจะถอดใจ แต่บังเอิญคนตัวเล็กเดินออกมาจากสวนหย่อมเล็กของโรงพยาบาลพอดี
"ฟาง” ร่างเล็กหันมามองตามเสียงเรียกก็พบหนุ่มร่างหนาฉีกยิ้มให้เธออยู่แต่เธอก็ทำเป็นไม่สนใจและเดินต่อไป
“ฟาง ฟางเป็นอะไร” ต้นเสียงรีบวิ่งมาดักหน้าคนตัวเล็กแต่เธอก็ยังเดินเลี่ยงไป
“ฟางโกรธป๊อปเรื่องเมื่อกี้ใช่เปล่า” เขายังคงพยายามตามเธอต่อ
“ถ้าไม่ตอบแสดงว่าใช่” หนุ่มหน้าเข้มพอจะจับอารมณ์ของร่างเล็กได้
“ที่ป๊อปบอกไม่ให้ฟางตามหาความจริง ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะคุยกันไม่ได้ไม่ใช่หรอ” เขาพยายามง้อเธอและให้เหตุผลต่อ
“ป๊อปรู้นะว่าสิ่งที่ฟางทำให้ป๊อปมันมากมายจนป๊อปไม่มีวันลืมได้ ป๊อปซึ้งใจมากจริงๆ แต่ที่ป๊อปไม่อยากให้ฟางหาความจริงต่อ เพราะบางทีผลลัพธ์ที่ได้อาจจะไม่สำคัญเท่ากับความรู้สึกที่เสียไป”
“แล้วป๊อปไม่คิดว่าฟางจะเสียความรู้สึกบ้างหรอ” ในที่สุดเธอก็ตอบกลับอย่างเคืองๆ
ร่างหนารู้สึกอ่อนใจเล็กน้อยแต่ก็พยายามอธิบายต่อ “ฟางบอกป๊อปเองไม่ใช่หรอว่าให้ป๊อปมีสติและมีเหตุผลน่ะ”
“นี่ป๊อปว่าฟางไม่มีเหตุผลหรอ” ร่างเล็กยังคงเถียงอย่างดึงดัน
“เปล่านะ ป๊อปไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ป๊อปแค่จะบอกว่า...” ยังไม่ทันจะพูดจบร่างเล็กก็เอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
“ฟางว่าฟางก็ดูแลป๊อปมานานแล้วนะ แต่อาการของป๊อปก็ยังไม่ดีขึ้นเลย ฟางเลยไปปรึกษารุ่นพี่ที่เขาเก่งๆมาดูแลป๊อปแทน”
“หมายความว่าไงฟาง” เขาถามอย่างตกใจก่อนจะทวงสัญญา “ไหนฟางบอกว่าฟางจะช่วยป๊อปไง”
“ฟางขอโทษนะป๊อปที่ฟางผิดคำสัญญา” ร่างเล็กกล่าวตัดบทก่อนที่จะเดินหนีออกมา
คนที่ถูกทิ้งยืนนิ่งมองแผ่นหลังของหญิงสาวที่เดินจากไป เวลานี้เขาไม่เหลือใครจริงๆแล้วใช่ไหม...
.........................................................
สถาปนิกสาวสูงกำลังสาละวนกับการเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ส่วนตัวเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน
เอ...ขาดอะไรอีกไหมนะ เธอพยายามมองหาสิ่งของที่อาจจะหลงลืมไว้ในห้อง
เสียงเคาะประตูดังขึ้นทำลายสมาธิในการค้นหาของที่หลงเหลืออยู่
เพื่อนสนิทสาวร่างเล็กผู้ให้สัญญาว่าจะมานอนเป็นเพื่อนเธอเมื่อคืนแต่สุดท้ายก็ปล่อยให้เธอนอนเผชิญกับความกลัวคนเดียวเดินเข้ามาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ
“นี่แกเป็นอะไรฟาง” คนตัวสูงถามด้วยความเป็นห่วงแต่สิ่งที่กลับมาคือความนิ่งสนิท
สุดท้ายสาวร่างเล็กก็โพล่งขึ้น “แกเคยตั้งใจทำอะไรเพื่อใครสักคนแล้วสุดท้ายสิ่งที่เราทำนั้นกลับเป็นเครื่องมือทำร้ายคนคนนั้นให้เสียใจเองไหม”
เพื่อนร่างสูงได้แต่งงกับคนตัวเล็กเพราะนอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้วยังตั้งคำถามที่เธอไม่เข้าใจอีก
“ฉันไม่เข้าใจเรื่องที่แกพูดหรอกนะว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ฉันว่ามันขึ้นอยู่กับว่าแกต้องการความสำเร็จแบบไหนมากกว่า”
“ความสำเร็จ” ร่างเล็กทวนคำถามกับตัวเอง
“ใช่ เพราะบางทีความสำเร็จอาจจะไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่อาจจะอยู่ในระหว่างทางก็ได้นะ” ร่างสูงขยายความต่อ
“ว่าแต่คนคนนั้นของแกเนี่ยคือใครหรอ ใช่หนุ่มมนุษย์ล่องหนที่แกเพิ่งแนะนำให้ฉันรู้จักหรือเปล่า” สถาปนิกสาวถามแซวเพื่อนตัวเอง
“ใคร? อะไรยัยแก้ว เก็บของไปเลยไป” ร่างเล็กเริ่มกลบเกลื่อนแต่ใบหน้าเริ่มมีรอยแดงระเรื่อ
คนให้คำตอบยิ้มน้อยๆกับอาการเขินของเพื่อนสาวที่ไม่เคยจะเก็บอาการอยู่ก่อนจะจัดแจงเก็บของต่อ
สาวร่างเล็กเริ่มได้สติจากคำพูดของเพื่อนรัก
ความจริงแล้วเราเองที่งี่เง่ากับหมอนั่นเองสินะ...
=======================================================
รู้สึกยิ่งแต่งยิ่งเบลอ 555 มาอัพต่อแล้วนะคะยังไงก็ฝากติดตามด้วยละกันเนอะ
บางทีเรื่องที่เห็นอาจจะไม่เป็นจริงเสมอไป...
สุดท้าย..ขอบคุณทุกคน ทุกคอมเม้นท์ที่ติดตามกันเสมอมานะคะ แม้จะอัพช้าไป(มาก)
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9.6 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9.3 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ