Just a Dream…หรือแค่ฝันไป
เขียนโดย koala
วันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2556 เวลา 16.59 น.
แก้ไขเมื่อ 17 มกราคม พ.ศ. 2556 00.09 น. โดย เจ้าของนิยายฟิคชั่น
11) ความหวัง
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบางทีความสำเร็จอาจจะไม่ได้อยู่ที่ปลายทาง แต่อาจจะอยู่ในระหว่างทางก็ได้นะ...
หลังจากที่คนป่วยให้คำปรึกษาแพทย์สาวเพื่อนรักเสร็จ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้นเหมือนรู้จังหวะพอดี
“สวัสดีครับคุณหมอ” เสียงชายหนุ่มวัยกลางคนเอ่ยทักทายแพทย์สาวร่างเล็กก่อนหันไปหาลูกน้องคนสำคัญ
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าแก้ว” เขาถามหญิงสาวอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรมากแล้วค่ะ พร้อมกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อ” เธอตอบกลับอย่างแข็งขัน
“เออ แล้วบอสทราบได้ไงคะว่าแก้วไม่สบาย” สาวร่างสูงถามอย่างสงสัย
“ก็เจ้าของบ้านที่คุณทำงานอยู่น่ะ เขาโทรมาบอก ดีแล้วที่ไม่เป็นไรมาก ไม่งั้นผมคงไม่รู้จะหาใครมาทำงานแทนคุณแน่ๆ แต่ก็โชคดีที่เขาให้เลื่อนเวลางานออกไปได้อีก ใจดีเหมือนกันนะคุณโทโมะเนี่ย ตอนแรกนึกว่าจะเคี่ยว โหด ลากเลือดตามข่าวเสียอีก” เจ้านายของเธอตอบกลับอย่างโล่งใจหลังจากทราบว่าอาการคนป่วยไม่หนักนักและไม่มีปัญหาเรื่องเวลาการทำงานต่อ
โธ่บอสไม่รู้อะไรซะแล้ว...ความจริงอีตาขี้เก๊กนั่นโหดสมชื่อน่ะแหละ แต่เพราะแก้วไปต่อรองได้ต่างหากล่ะ
ผู้ใต้บังคับบัญชานึกขำอยู่ในใจ
“นี่คุณหมอให้ออกได้แล้วใช่ไหมครับ” คนมาเยี่ยมหันหน้าไปถามแพทย์สาวร่างเล็กที่ยืนเงียบอยู่ในห้อง
“อ้อ ได้แล้วค่ะ” แพทย์สาวตอบกลับอย่างอารมณ์ดี
“เออ..จริญญา พอดีผมได้ข่าวว่าคุณโทโมะเขาไม่สบายนอนอยู่ที่โรงพยาบาลนี้พอดี ผมว่าคุณน่าจะไปเยี่ยมและก็ขอบคุณเขาหน่อยนะที่ออกค่าใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาลให้คุณแถมเพิ่มเวลางานให้คุณอีกน่ะ” บอสของเธอเสนอแนะเชิงออกคำสั่ง
สาวร่างสูงพยักหน้าแบบปฏิเสธไม่ได้และได้แต่ประท้วงอยู่ในใจ
ทำไมฉันต้องไปหานายนั่นอีกเนี่ย ทั้งที่เมื่อคืนหมอนั่นก็โผล่เข้ามาในห้องฉันได้ยังไงไม่รู้แถม...โอ๊ยไม่อยากจะคิดถึงเลย พับผ่าสิ แล้วฉันก็บอกอีตานั่นไปแล้วด้วยว่าเรื่องค่ารักษาพยาบาลฉันออกเองได้
“งั้นเดี๋ยวผมไปเยี่ยมคุณโทโมะก่อน ถ้าคุณสะดวกแล้วค่อยตามไปก็ได้นะ” ชายผู้สูงวัยกว่ากล่าวก่อนขอตัวไปเยี่ยมคนป่วยอีกคน
“ผมขอตัวก่อนนะครับคุณหมอ ฝากแก้วด้วยละกันนะครับ” เขาหันบอกลาแพทย์สาวก่อนออกจากห้องไป
แพทย์สาวยิ้มรับคำอย่างนอบน้อม
“ไอ้แก้ว” เสียงแพทย์สาวร่างเล็กที่ยืนฟังบทสนทนาเมื่อครู่ถามขึ้นทันทีหลังจากที่ผู้มาเยี่ยมเดินออกจากห้องไป
“อะไร เสียงแบบนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องล่ะสิ” เพื่อนสาวเอ่ยอย่างรู้ทัน
“แกทำงานให้นายโทโมะหรอ” ร่างเล็กถามอย่างใคร่รู้
“ใช่ แกมีอะไรหรือเปล่า” คนตอบเกิดอาการสงสัยคนถามเช่นกัน
“ฉันว่าฉันมีเรื่องให้แกช่วยแล้วล่ะ” คนตัวเล็กทำหน้าเจ้าเล่ห์ก่อนที่เธอจะเล่าเรื่องราวของหนุ่มล่องหนและเจ้านายจอมขี้เก๊กตามสมญานามที่เพื่อนร่างสูงตั้งให้คนทั้งสอง
“ทำไมเรื่องราวมันซับซ้อนจังเลยอ่ะแก ฉันกำลังงงว่าสรุปอีตาขี้เก๊กนี่เป็นคนดีหรือเปล่าเนี่ย” คนตัวสูงออกอาการสับสนในเรื่องราวที่เพื่อนสาวเล่าให้ฟังอย่างกระชับรัดความ
“ถามฉันหรอ ฉันไม่รู้หรอกแก แต่ตามความรู้สึก ฉันว่าเขาน่าจะเป็นคนดีนะ” คนเล่าตอบอย่างไม่มั่นใจ
“ว่าแต่ทำไมฉันต้องช่วยแกด้วยเนี่ย แกอยากรู้แต่ฉันไม่ได้อยากรู้เรื่องนายล่องหนกับอีตาขี้เก๊ก รวมถึงศึกแย่งชิงสมบัติบ้าบอคอแตกอะไรนั่นเสียหน่อย” สาวร่างสูงกล่าวหลังทบทวนไตร่ตรองว่าเธอไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วยเลย
“โธ่...แก้วก็ถือว่าช่วยเพื่อนไง เพื่อนอยากรู้นี่นา ไม่อย่างนั้นมันคาใจ” ร่างเล็กอ้อนต่อ
“แล้วอีกอย่างฉันก็ช่วยแกปิดปากไม่บอกแม่แกตั้งหลายเรื่อง ทั้งเรื่องหนีเรียนไปดูหนังตอนม.3 ต่อยจิ๊กโก๋ข้างห้องตอนม.4 หนีไปเที่ยวชะอำตอนปี1 และก็...” เพื่อนตัวเล็กเริ่มทวงบุญคุณ
“พอๆ ช่วยก็ได้ เล่นขุดมาซะนานขนาดนั้น บางเรื่องฉันยังจำไม่ได้เลยนะเนี่ย” ร่างสูงกล่าวประชด
“ขอบคุณมากค่ะเพื่อนเลิฟ” คนตัวเล็กกระโดดเข้าไปกอดคนที่เพิ่งหายป่วยที่ตอนนี้สีหน้าบอกบุญไม่รับ
เฮ้อ...นี่มันกรรมเวรอะไรของฉันเนี่ย ฟ้าแกล้งแก้วใจชัดๆ ...
............................................................
บรรยากาศบนรถยนต์คันหรูยังคงเงียบสนิท แต่หลังจากอารมณ์ของเจ้าของรถเริ่มสงบลงเขาก็เอ่ยถามสาวสวยข้างๆว่า
“จินนี่ โกรธพี่หรือเปล่าครับ”
“ก็นิดหน่อยค่ะ” คนที่นั่งข้างตอบกลับอย่างไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่
“ดูท่าไม่นิดล่ะมั้ง พี่ขอโทษนะครับที่อารมณ์ร้อนไปหน่อย จะทำโทษพี่ยังไงก็ได้พี่ยอมหมดเลย” เขาใช้ลูกอ้อนง้อแฟนสาวซึ่งดูเหมือนจะได้ผลตามคาดเพราะสาวสวยข้างเริ่มยิ้มออกมาเล็กน้อย
“ยอมทุกอย่างจริงเหรอคะ” คนสวยถามย้ำอีกครั้ง
“ครับ” หนุ่มหน้ายาวพยักหน้า
“จริงๆจินก็ไม่ได้โกรธอะไรพี่เขื่อนหรอก แค่รอให้อารมณ์ดีก่อนจะได้คุยกัน แต่ถ้ายื่นข้อเสนอมาขนาดนี้ งั้นคืนนี้ที่ร้านอาหารที่เราพบกันครั้งแรกเป็นไงคะ” แฟนสาวกล่าวอย่างอารมณ์ดี
“ได้สิจ๊ะ งั้นคืนนี้เจอกันนะครับ” เขาหอมแก้มบอกลาแฟนสาวหลังจากที่รถเคลื่อนตัวมาถึงหน้าบ้านเธอพอดี
ติ๊งหน่อง...เสียงข้อความเรียกเข้าดังขึ้น หนุ่มหน้ายาวหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ก็พบว่าเลขาส่วนตัวของเขาส่งตารางงานที่จะต้องทำในวันรุ่งขึ้นมาให้
ชายหนุ่มถอนหายใจช้าๆกับงานอันมหาศาลที่รออยู่เบื้องหน้า นี่จะไม่ให้พักกันบ้างเลยหรือไง
แต่ก็ต้องทำใจก้มหน้าก้มตายอมรับหน้าที่นี้ต่อไปเพราะเป็นสิ่งที่เขาเลือกที่จะทำมันเอง
หลังจากอ่านข้อความเสร็จ เจ้าของโทรศัพท์ก็ขออัพเดทข้อมูลข่าวสารทั่วไปรวมไปถึงเรื่องราวของญาติมิตรเพื่อนพ้อง
แต่แล้วเขาก็สะดุดกับข้อความหนึ่งใต้ภาพวิวทิวทัศน์เมืองทั่วไป
...ถ้าคิดถึงแล้วไม่ถึงจะไม่คิดเลยแล้วกัน...
แม้ประโยคนี้เจ้าของภาพจะไม่ได้เอ่ยถึงใครเป็นพิเศษ แต่มันก็ทำให้เลือดในร่างกายของชายหนุ่มสูบฉีดไปทั่วร่าง หัวใจเต้นรัวไม่เป็นจังหวะ เพราะภาพนั้นคือร้านโปสการ์ดที่เขาพบกับสาวน้อยแก้มบุ๋มครั้งแรก
เธอคิดถึงใครอยู่เหรอ ผมไม่รู้หรอก แต่ขอเข้าข้างตัวเองหน่อยได้ไหมว่าเธอก็คิดถึงผมเหมือนกัน
...................................................................
เสียงเครื่องช่วยหายใจยังคงดังเป็นจังหวะในห้องที่เงียบสนิท
ร่างของชายหนุ่มที่ยังคงนอนไม่ได้สติกำลังเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เฝ้าคิดถึงเหตุการณ์หลายอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เขาเฝ้าถามตัวเองว่าเขาทำผิดอะไรนักหนาเหรอ เหตุใดสาวหน้าหวานถึงได้หักหาญน้ำใจกันถึงเพียงนี้
ความรู้สึกเจ็บแปลบวิ่งเข้าสู่หน้าอกด้านซ้ายส่งตรงถึงสมองส่วนหน้าก่อนจะสั่งการให้น้ำตาหลั่งรินออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง
ทันใดนั้นร่างของเขาก็มีอาการเหมือนกระแสไฟฟ้าช็อตไปทั่วตัว
โอ๊ย นี่เราเป็นอะไรเนี่ย ชายหนุ่มเริ่มปวดหัวแทบระเบิด เขาเอามือกุมขมับทั้งสองข้าง
บรรยากาศรอบๆกายเริ่มเบาบางลงจนสติดับวูบลงไป
เวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่อาจทราบได้ ร่างหนาค่อยๆลืมตาขึ้นช้าๆพลางมองไปรอบกายก็พบพื้นที่ที่มีแต่ความว่างเปล่า
ที่นี่ที่ไหนกัน แต่จะว่าไปมันก็คุ้นๆเหมือนกันนะ ที่โล่งแบบนี้เหมือนวันนั้นเลย คนที่เพิ่งได้สติเริ่มนึกได้ว่ามันเหมือนกับเหตุการณ์ในวันแรกที่เขาต้องเป็นมนุษย์ล่องหนอยู่ทุกวันนี้
“เจ้าจำไม่ได้หรือนี่ วันนั้นเราก็เจอกันแล้วไง” เสียงดังก้องของต้นเสียงที่มองไม่เห็นเอ่ยขึ้น
“ครับ ผมจำได้แล้ว ว่าแต่ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ครับท่านเกิดอะไรขึ้น” สีหน้าและน้ำเสียงของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความหวาดวิตก
“ไม่ต้องตกใจไป เราแค่จะมาเตือนเจ้าว่าถ้าเจ้าไม่ได้เข้าร่างภายใน 10 วันนี้ อายุขัยของเจ้าจะถือเป็นอันหมดสิ้นในชาติภพนี้” เสียงเดิมพยายามเตือนสติคนฟัง
“หมายถึงตอนนี้ผมเหลือเวลาอยู่แค่ 10 วันหรอครับ” ชายหนุ่มเอ่ยอย่างตกใจหลังจากทราบว่าเขาอาจจะมีลมหายใจได้อีกไม่นาน
“ใช่” ต้นเสียงที่ไร้ตัวตนตอบเสียงห้วนพร้อมอธิบายความต่อ
“แต่ถ้าเจ้าสามารถฟื้นคืนสติได้ เจ้าก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติเหมือนเดิมทุกประการราวกับว่าเรื่องตอนนี้มันเป็นเพียงแค่ความฝันไม่ได้เกิดขึ้นจริง”
ชายหนุ่มนิ่งคิดไปชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “หมายความว่าถ้าผมฟื้นขึ้นมา ความทรงจำในช่วงที่ร่างของผมล่องลอยเป็นวิญญาณไร้ที่อยู่จะหายไป”
“ถูกต้อง ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วนี่ เจ้าจำไม่ได้หรือไงกัน” เสียงเดิมกล่าวย้ำหนุ่มหน้าเข้มเพื่อความเข้าใจอีกครั้ง
“ครับ ผมจำได้ว่าท่านเคยบอกแล้วแต่ไม่คิดว่าความทรงจำจะหายไปหมดเลย” ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกใจหายกับความทรงจำดีๆในช่วงเวลาที่ตกต่ำย่ำแย่ที่สุดในชีวิต แต่บางทีมันคงเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดไว้แล้วก็ได้ หนุ่มหน้าเข้มได้แต่ถอนใจแบบปลงๆ
ให้ตายหรือไม่รู้จักกันเลย ในสถานการณ์แบบนี้มันอาจจะดีกับทั้งคุณและผมก็ได้นะ
แสงวาบบริเวณหน้าอกของชายหนุ่มบังเกิดเป็นระยะๆ จนตัวเขาเองก็เริ่มสงสัยว่าตอนนี้กำลังเกิดอะไรชึ้นกับร่างของเขากันแน่
“ถึงเวลาที่เจ้าต้องกลับไปแล้วล่ะ คนทางโน้นเขาคงยังไม่อยากให้เจ้าสิ้นลมในเวลานี้ แต่อีก 10 วันข้างหน้าข้าคงจะปล่อยตัวเจ้ากลับไปแบบวันนี้ไม่ได้แล้ว” เสียงที่ไร้ตัวตนกล่าวก่อนที่ทุกอย่างจะดับมืดลงอีกครั้ง
ติ๊ด ติ๊ด...เสียงเครื่องวัดชีพจรดังขึ้น หน้าจอแสดงว่าชีพจรของคนป่วยเริ่มกลับมาอีกครั้งหลังจากการนวดปั๊มหัวใจและการช็อคไฟฟ้า
หลังจากที่ผู้ช่วยคนอื่นปฏิบัติหน้าที่เสร็จก็ขอตัวออกจากห้องไปทำหน้าที่อื่นต่อ
สาวร่างเล็กยิ้มอย่างดีใจที่อย่างน้อยเธอก็ยังสามารถต่อลมหายใจของชายหนุ่มนิรนามได้ น้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลอาบแก้มเนียนทั้งสองข้าง รอยยิ้มหวานค่อยเผยออกจากปากเรียวที่เม้มแน่นเมื่อครู่
“ป๊อปปี้ นายต้องไม่เป็นไรนะ ฉันขอโทษที่ผิดสัญญากับนาย” แพทย์สาวร่างเล็กบอกร่างที่ยังคงนอนนิ่งไร้การตอบสนอง
“ต่อจากนี้ฉันสัญญาว่าจะไม่มีวันทิ้งนายไปอีก” หญิงสาวเอ่ยคำสัญญาด้วยเสียงปนสะอื้น
สายตาของชายหนุ่มค่อยๆปรับให้เข้ากับแสงสว่างภายนอก เขามองเห็นสาวร่างเล็กส่งยิ้มมาที่เขา
ร่างหนาค่อยๆชันตัวขึ้นจากพื้นห้องที่เขาล้มลงไปนอนก่อนจะหมดสติ ชายหนุ่มหันมองไปรอบห้อง ก็ไม่พบใครคนอื่นนอกจากเขาและเธอ
“มองหาอะไรหรอป๊อปปี้ ฉันรอจนพวกเขาออกไปหมดแล้ว นายไม่ต้องกลัวไปหรอก” แพทย์สาวพยายามคลายความกังวลของชายหนุ่ม
“เปล่าไม่มีอะไร ป๊อปแค่รู้สึกมึนๆนิดหน่อย” มือหนาแตะบริเวณขมับของตัวเอง
“ป๊อปเป็นอะไรมากหรือเปล่า” แพทย์สาวถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรมากหรอก” เขาตอบเพื่อให้ความสบายใจแก่สาวหน้าหวาน
“ฟาง อย่าทิ้งป๊อปไปอีกได้ไหม” เสียงแหบพร่าของชายหนุ่มกล่าวเชิงขอร้อง น้ำตาเริ่มไหลรินออกจากดวงตาคู่แกร่ง สร้างความแปลกใจให้แพทย์สาว
“ป๊อปอย่าร้องไห้สิ ฟางไม่มีวันทิ้งป๊อปไปไหนอีกแล้วฟางสัญญา” สาวร่างเล็กชูนิ้วก้อยเรียวของเธอคล้องกับนิ้วก้อยของร่างที่ไร้สติของเขา
รอยยิ้มบังเกิดขึ้นบนใบหน้าคมเข้มที่เต็มไปด้วยรอยน้ำตา
“ขอบคุณนะฟาง ป๊อปขอบคุณฟางมากจริงๆ” ร่างหนายังคงสะอื้นต่อ
“ในสายตาของฟาง ป๊อปคงดูอ่อนแอมากเลยสินะ ร้องไห้ต่อหน้าผู้หญิงดูแต๋วชะมัดเลย” เขากล่าวอย่างติดตลกพลางเช็ดน้ำตาตัวเอง
“ไม่หรอก บางทีน้ำตามันก็ช่วยปลดปล่อยเรื่องที่เราไม่อาจจะระบายออกมาได้เหมือนกันนะ ถ้าร้องแล้วรู้สึกดีขึ้น ฟางว่าป๊อปร้องออกมาเถอะ” ร่างเล็กเริ่มปลอบใจก่อนจะถามต่อ “มีเรื่องอะไรเล่าให้ฟางฟังได้ไหม”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเปิดปากเล่าเรื่อง “ป๊อปเหลือเวลาอีกแค่ 10 วัน ถ้าป๊อปยังไม่สามารถเข้าร่างได้ อายุขัยของป๊อปก็จะหมดลง”
คนฟังได้แต่นิ่งอึ้ง ความรู้สึกหน่วงๆเกิดขึ้นในใจของหญิงสาว นี่เราช่วยอะไรเขาไม่ได้จริงๆหรอ...
“ตอนนี้ป๊อปทำใจแล้วล่ะ ขอบคุณฟางนะครับที่คอยดูแลช่วยเหลือ และก็เป็นเพื่อนในยามที่ไม่มีใครแบบนี้ ฟางคือกำลังใจที่ดีที่สุดของป๊อปเลย” ชายหนุ่มยิ้มให้หญิงสาวคนสวยพร้อมบอกความในใจ
“ถ้าถึงวันนั้นที่ป๊อปต้องไปจริงๆ ป๊อปก็รู้สึกดีใจนะที่ป๊อปได้เจอคนดีๆอย่างฟาง”
“นายอย่าพูดแบบนั้นสิป๊อปปี้ จะถอดใจแบบนี้ได้ไง อย่างน้อยมันก็ยังเหลือเวลาอยู่ไม่ใช่หรอ” คนตัวเล็กยังคงยืนกรานที่จะสู้ต่อแม้จะยังไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ก็ตาม
“แล้วเราจะทำยังไงล่ะ ถึงฟางจะเอาคนเก่งแค่ไหนมาช่วยป๊อปมันก็ยากเข้าไปทุกที” หนุ่มหน้าเข้มพูดอย่างท้อใจ
“แต่ฟางว่าถ้าเราลองหาวิธีอื่นๆดูบ้างมันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลยไม่ใช่เหรอ” แพทย์สาวพยายามสร้างกำลังใจให้คนที่กำลังท้อ
“นายเชื่อใจฉันไหมล่ะ ป๊อปปี้” เธอถามเขาอีกครั้ง
ร่างหนามองหน้าสาวหน้าหวานที่กำลังมุ่งมั่น ก็จริงนะ ไม่ลองไม่รู้ ลองสักตั้งจะเป็นไรไป...
เขาพยักหน้าช้าๆเป็นคำตอบ
.......................................................................
เสียงเคาะประตูรอบที่เท่าไหร่ไม่รู้ของวันดังขึ้น คนป่วยจอมเก๊กถอนหายใจเพราะเริ่มเบื่อกับกิจกรรมการรับแขกรายวัน
แต่พลันที่เขาได้พบคนมาเยี่ยมใหม่ก็กลับทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด
“นี่คุณรู้ห้องผมได้ไงเนี่ย” หนุ่มหน้าหวานชิงถามคนมาเยี่ยมก่อน
“ก็หัวหน้าฉันบอกมาว่าคุณอยู่ห้องนี้” สาวร่างสูงโปร่งตอบกลับก่อนเอ่ยอย่างเคืองๆต่อว่า
“แล้วนี่ฉันบอกคุณแล้วไม่ใช่หรอว่าไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้ฉันน่ะ”
“ก็ผมอยากรับผิดชอบนี่ครับ ผมอุตส่าห์เลื่อนวันกำหนดส่งงานของคุณให้ก็ดีแค่ไหนแล้ว เพราะฉะนั้นคุณห้ามปฏิเสธน้ำใจจากผม” หนุ่มหน้าหวานกล่าวอย่างผู้เหนือกว่า
หญิงสาวที่ไม่อาจจะโต้เถียงอะไรได้แต่ทำหน้านิ่งข่มความไม่พึงพอใจเอาไว้
“ว่าแต่คุณจะได้ออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ล่ะคะ คุณโทโมะ” คราวนี้เธอเริ่มถามอาการคนป่วยบ้าง
“อาการดีขึ้นมากแล้วล่ะครับ พรุ่งนี้คงได้ออกแล้ว ขอบคุณนะครับที่เป็นห่วง” ชายหนุ่มหน้าหวานตอบอย่างอารมณ์ดีพร้อมส่งยิ้มหวานมาให้เธอ
“ความจริงน่าจะนอนนานๆนะคะ” สาวร่างสูงเริ่มประชดก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าต้องพูดจาดีๆกับคนป่วยที่มีศักดิ์ถึงลูกค้าคนสำคัญ
“ฉันหมายถึงให้คุณหมอเช็คร่างกายให้ละเอียดก่อนน่ะค่ะ” เธอยิ้มแห้งๆ
“คงไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกมั้งครับ ผมไม่ได้อาการหนักขนาดนั้น ถ้าคุณไม่เชื่อเดี๋ยวลองดูแบบเมื่อคืนก็ได้นะ” คนป่วยยิ้มเจ้าเล่ห์ แต่สาวร่างสูงเริ่มหน้าแดงก่ำเต็มไปด้วยความเขินอาย
“พอเลยคุณโทโมะ ถ้าคุณคิดจะเอาเรื่องนี้เป็นข้อต่อรองกับฉัน คุณคิดผิดแล้วล่ะ เพราะฉันก็จะเอาเรื่องที่คุณบุกเข้ามาในห้องของฉันเมื่อคืนได้เหมือนกัน” สถาปนิกสาวสวนกลับบ้าง
“แหม คุณนี่หัวหมอเหมือนกันนะครับ ผมเป็นลูกผู้ชายพอ แล้วเรื่องเมื่อคืนผมเข้าผิดห้องจริงๆ ไม่ได้คิดจะทำมิดีมิร้ายอะไรคุณเลย ผมบอกไปแล้วไง ว่าคุณน่ะ...ไม่ใช่สเป๊คผม” คนป่วยกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย
“เอาเป็นว่า ถ้าพรุ่งนี้ผมออกจากโรงพยาบาลแล้วจะตามไปตรวจงานคุณละกันนะ” เขาพูดพลางยิ้มมุมปากแบบกวนๆ
“อ้อได้ค่ะ แล้วฉันจะรอ” สถาปนิกสาวเอ่ยอย่างท้าทาย
“ฉันขอตัวก่อนนะคะ จะรีบไปเตรียมงาน ขอให้คุณหายจากโลก เอ้ย...หายจากโรคไวๆนะคะ” เธอกล่าวประชดก่อนจะเดินออกไป
ผู้หญิงอะไรก๋ากั่นชะมัด เถียงได้ทุกเรื่อง แถมหัวหมออีกต่างหาก แต่ทำไมผมรู้สึกดีจังนะที่ได้คุยกับคุณเนี่ย...
คนป่วยเผลอยิ้มออกมาหลังจากที่สาวร่างสูงเดินลับสายตาไป
.............................................................
เสียงดนตรีบรรเลงของเชลโลและแซ็กโซโฟนจากนักดนตรีมืออาชีพขับกล่อมเพิ่มสุนทรียภาพให้แก่ผู้มารับบริการของห้องอาหารสุดหรูสไตล์ตะวันตกที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาของโรงแรมชื่อดัง
หนุ่มนักธุรกิจเจ้าของโรงแรมแห่งนี้นั่งทอดสายตามองแม่น้ำเจ้าพระยาในยามค่ำคืน ปล่อยอารมณ์ไปตามเสียงเพลงที่ขับกล่อม พลันที่หน้าสาวน้อยแก้มบุ๋มลอยเข้าในห้วงความคิดของเขาพร้อมข้อความใต้ภาพนั้นของเธอ
“พี่เขื่อน...พี่เขื่อนคะ” เสียงของจินนี่ปลุกให้เขาตื่นจากภวังค์
“คิดถึงใครอยู่หรือเปล่าคะ” สาวสวยในชุดเดรสสีแดงเข้ารูปกล่าวก่อนจะเดินเข้าไปนั่งอีกฝั่งของโต๊ะอาหาร
“อ้อ จินนี่ ขอโทษครับ พอดีพี่อินกับบรรยากาศไปหน่อย” ชายหนุ่มกลบเกลื่อน
เราควรจะคิดถึงคนที่นั่งตรงหน้าเราสิ ทำไมเราถึงคิดเรื่องอะไรไม่เป็นเรื่องอย่างนี้นะ
คืนนี้เขามีนัดกับแฟนสาวของตนเองตามคำสัญญาที่ให้กับเธอไว้ แต่เหตุใดจึงคิดไปถึงคนที่อยู่ไกลกันกว่าครึ่งโลกได้อย่างนั้น ความรู้สึกผิดกับคนตรงหน้าเริ่มบังเกิดขึ้น
“พี่ว่าเราสั่งอาหารกันเถอะครับ” หนุ่มหล่อเจ้าของโรมแรมเสนอขึ้น
“ดีค่ะ” สาวสวยตรงหน้าฉีกยิ้มก่อนจะเลือกเมนูอาหาร ก่อนจะขอตัวออกไปทำธุระส่วนตัว
แชะ แชะ แชะ...เสียงแฟลชจากกล้องของนักท่องเที่ยวโต๊ะข้างเคียงที่กำลังเก็บภาพบรรยากาศความประทับใจในการเดินทาง เก็บเป็นความทรงจำให้เราได้นึกถึง
ความคิดบางอย่างแล่นเข้ามาในสมองของชายหนุ่ม มือกร้านค่อยๆหยิบโทรศัพท์มือถือจากกระเป๋าเสื้อขึ้นมาถ่ายภาพบรรยากาศริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนจะกดอัพเดทรูปภาพลงในอินสตาแกรม
เคยมีคนบอกผมว่ารูปภาพแค่ 1 ภาพ สามารถสื่ออะไรได้หลายอย่าง...
ข้อความใต้รูปนี้ถ้าคนคนนั้นเข้ามาดูก็คงรู้ว่าผมหมายถึงใคร
======================================================
รู้สึกยิ่งแต่งยิ่งดราม่าไงไม่รู้ อาจจะไม่ได้อัพอีกซักพักนะจ๊ะ
รีดเดอร์:ปกติแกอัพบ่อยที่ไหน
เรา:เค้าขอโต๊ดดดT^T (วิบัติเพื่อความบันเทิง)
ยังไงก็ติชมหรือให้คำแนะนำมาได้นะคะ ขอให้มีความสุขในการอ่าน(เหรอ)
ไปแล้ว บ๊ายบาย ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยายฟิคชั่น
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ