Path to the God : ลำนำสู่พระเจ้า
-
เขียนโดย NStillRebirth
วันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567 เวลา 05.06 น.
1 ตอน
0 วิจารณ์
341 อ่าน
แก้ไขเมื่อ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2567 05.16 น. โดย เจ้าของนิยาย
1) บทที่ 1 อสุรกาย
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความบทที่1 อสุรกาย(*แนะนำให้อ่านบทนำก่อนครับ*)
แสงแดดอ่อนๆในยามเช้ากระทบเข้ากับใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เป็นสัญญาณให้เขาลืมตาตื่นจากฝันหวาน เด็กหนุ่มผู้นั้นค่อยๆลืมตาขึ้นมา ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับแสงแดดทำให้เขาต้องหลับตาลงอีกครั้ง เขาค่อยๆยันตัวขึ้นจากที่นอนก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้า สังเกตดูคร่าวๆเขาน่าจะอายุประมาณ17-18ปี ใบหน้าของเขาไม่ได้หล่อมากนักแต่กลับมีเสน่ห์อย่างประหลาดจากผมสีดำสนิทยาวปรกหน้าซึ่งดูเรียบและเงางาม
เขาค่อยๆเดินไปล้างหน้าและทำธุระส่วนตัวก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องนอน แววตาที่ยังไม่ตื่นดีนักกลับตื่นตัวขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงเรียกครั้งหนึ่ง
"ตื่นสายนะลูค" ชายหนุ่มอายุประมาณ40กว่าๆกล่าวประโยคนั้นออกมา
"ขอโทษทีครับท่านพ่อ พอดีเมื่อคืนข้ากลับดึกนิดหน่อยน่ะ ฮ่าฮ่า" ลูเคียได้ตอบกลับพ่อของเขาไปทันควัน ก่อนจะยิ้มแห้งๆและเดินไปที่โต๊ะซึ่งเรียงรายไปด้วยอาหารเช้าก่อนที่จะเริ่มลงมือทาน
"ไปทำอะไร ที่ไหนมาล่ะฮึ?" โรเบิร์ทหรือพ่อของลูเคียเป็นคนถาม ในขณะที่เขาเดินเข้ามานั่งอยู่ตรงข้ามกับลูกชายก่อนจะเริ่มลงมือทานอาหารเช้าเช่นกัน
"ไปสำรวจป่าตามที่ท่านบอกนั่นแหละ" ลูเคียตอบโดยไม่ละความสนใจจากอาหารตรงหน้า
"ข้าส่งเจ้าไปตั้งแต่ตอนเที่ยงไม่ใช่เรอะ?แล้วทำไมถึงกลับมาดึกนัก" โรเบิร์ทมองไปที่บุตรของตนอย่างสงสัย
"ข้า..." ลูเคียชะงักไปพักหนึ่ง "ข้าหลงป่า..."
เมื่อสิ้นประโยคนั้นโรเบิร์ทถึงขั้นกุมขมับกับความเซ่อของบุตรชายตน
เมืองที่ลูเคียอาศัยอยู่ถูกเรียกไว้ในนามของเฟเทอร์ดัสท์ เป็นเมืองขนาดกลางในเขตการปกครองของอาณาจักรสตาร์รีช มีรายได้หลักคือการค้าขายส่งออกไปยังเมืองข้างเคียงรวมถึงเมืองหลวง เป็นเมืองที่ค่อนข้างมีทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งโรเบิร์ทพ่อของลูเคียได้เข้ารับราชการเป็นเลขาของเจ้าเมืองเฟเทอร์ดัส ซึ่งกำลังมีแผนในการขยายอาณาเขตของเมือง จึงได้มอบหมายหน้าที่สำรวจพื้นที่ซึ่งจะกลายเป็นเขตใหม่ของเมืองเฟเทอร์ดัสท์ให้แก่โรเบิร์ท
โรเบิร์ตซึ่งจำเป็นต้องหัวหมุนกับโครงการต่างๆและและภาระหน้าที่มากมายที่ตนต้องจัดการ จึงได้ส่งมอบหน้าที่นี้ให้แก่ลูเคียบุตรชายของเขา เนื่องจากบุตรชายของเขานั้นวันๆแทบจะไม่ทำอะไรนอกจากนอนอ่านหนังสือ และออกไปเป็นคู่ซ้อมดาบให้กับเพื่อนสนิทของเขาเพียงเท่านั้น
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ลูเคียได้เดินออกจากบ้านเพื่อที่จะไปสำรวจป่าตามที่พ่อของเขาสั่งอีกอีกครั้งเพียงแต่คราวนี้เขาฉลาดมากพอที่จะหาเพื่อนไป(หลง?!)ด้วยกัน…
"นี่เม็กนัสเจ้าน่ะรู้ทางจริงๆใช่ไหม?" ลูเคียเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหรือแม็กนัส เพื่อนสนิทของเขา เจ้าของผมสีน้ำตาลหยักศกใบหน้าดูเย้ายวนจากนัยตาสีเขียวมรกตที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแตกต่างกับนัยตาสีน้ำตาลของลูเคียที่มีเพียงความกังวลตลอดเวลา อย่างน้อยเจ้านี่ก็ไม่เคยโกหกข้า ลูเคียคิด ถึงแม้มันจะชอบพูดเกินจริงก็ตาม… นั่นเป็นข้อเท็จจริงเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ลูเคียไม่ค่อยมั่นใจในตัวสหายคนนี้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เขาไม่อยากจะหลงป่าอีกครั้งนี่นา!!!
หลังจากลูเคียและแม็กนัสออกเดินสำรวจกันมาประมาณ3-4ชั่วโมงจนแทบหมดแรง ทั้งคู่ก็ยังไม่พบอันตรายใดๆในป่า พวกเขาจึงได้ตัดสินใจหยุดพักเพื่อพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาเพื่อนสนิท
"ลูค…ในอนาคตเจ้าอยากจะเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ?" แม็กนัสถาม
"นั่นเป็นน่าจะเป็นครั้งที่สิบที่เจ้าถามข้าได้แล้วมั้ง”ลูเคียตอบ ก่อนจะล้มตัวลงนอนลงบนพื้นหญ้า "ข้าอยากจะที่ปล่อยให้โชคชะตานำพาข้าไปตามทางของมันในทุกๆวันที่ข้าตื่นขึ้นมา…” ลูเคียมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ ตอนนี้ขอแค่ชีวิตของพวกเราสงบสุขเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ข้าก็มีความสุขแล้วล่ะ" ลูเคียตอบก่อนจะหลับตาลง
"ข้าน่ะอยากจะออกไปผจญภัยในโลกกว้าง..." แม็กนัสตอบกลับสหายของเขาก่อนที่จะล้มตัวลงนอนเช่นเดียวกัน
ลูเคียลืมตาขึ้นมาก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากประหลาดใจกับคำตอบของเพื่อนสนิท ถึงแม้ว่าแม็กนัสมักจะเป็นฝ่ายถามเขาก่อนทุกครั้ง แต่เมื่อลูเคียถามคำถามเดิมกลับ เขากลับไม่เคยได้คำตอบจากแม็กนัสจนกระทั่งครั้งนี้
"เจ้าอยากจะออกเดินทางอย่างนั้นหรือ?" คราวนี้ลูเคียเป็นฝ่ายถามกลับด้วยความสนใจ
"ใช่น่ะสิ ข้าอยากจะออกเดินทางไปอย่างอิสระเสมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดบนโลกใบนี้จะจองจำข้าเอาไว้ได้ ไปพบกับสถานที่ๆไม่มีใครเคยพบมาก่อน แสวงหาเรื่องราวที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้ เพื่อจะบันทึกและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆของข้าให้แก่ผู้คน และได้กลายเป็นตำนาน…"
แววตาอันเปล่งประกายการกฏขึ้นในสายตาของแม็กนัสจนลูเคียสัมผัสได้ เขายิ้มให้กับความฝันของเพื่อนสนิทของเขา แม้จะเขารู้ว่าตลอดทางเดินนั้นไม่มีคำว่าง่ายทั้งอสุรกาย ปีศาจ รวมถึงความปลิ้นปล้อนของมนุษย์ที่พร้อมจะกลายเป็นอุปสรรค แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าแม็กนัสเพื่อนของเขาจะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน
ลูเคียนึกย้อนกลับไปในตอนเด็กๆ พวกเขาทั้งสองเคยฝึกดาบร่วมกันซึ่งแม็กนัสจะเป็นฝ่ายโจนตีเขาเสียส่วนใหญ่ ด้วยฝีมือดาบของแม็กนัส ลูเคียทำได้เพียงหลบการโจมตีนั้นอย่างบ้าคลั่ง จนวันหนึ่งแม้แต่แม็กนัสก็ไม่อาจโจมตีเขาโดนได้อีกต่อไป แม็กนัสจึงได้กลับไปแสวงหากระบวนท่าที่จะทำให้เขาไม่สามารถหลบได้ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงรุ่งสาง ‘หากเป็นเจ้าที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด แม้กระทั่งตนเองจะต้องทำได้แน่’ ลูเคียคิดในใจ
หลังจากเวลาผ่านไปซักพักพวกเขาทั้งสองตัดสินใจลุกขึ้นและเริ่มเดินกลับไปที่เมือง ซึ่งแม็กนัสไม่ได้พูดโอ้อวดแต่อย่างใด เขารู้ทางกลับไปยังเมืองจริงๆ… ถึงแม้มันจะอ้อมหน่อยก็เถอะ
ในระหว่างทางกลับลูเคียรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างก่อนที่จะออกจากป่า เขาหันกลับไปมองที่ป่าอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจเดินตามแม็กนัสกลับไปรายงานผลการสำรวจที่ศาลากลางโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่ามีบางอย่างกำลังจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาอาฆาต…
ณ ถ้ำมืดมิดแห่งหนึ่ง มีเพียงแสงของคบเพลิงสลัวเรียงรายอยู่ตามผนังถ้ำ บางสิ่งกำลังเดินตรงไปยังเบื้องหน้าด้วยสายตาดุร้าย มันสูงราวๆ2เมตร มีนัยตาสีแดงก่ำดุร้าย เบื้องล่างใบหน้าคล้ายสุนัขป่าซึ่งถูกปกคลุมด้วยขนหนาสีแดง สวมเอาไว้ด้วยชุดเกราะเงางามทั่วตัว ข้างกายมีดาบเหน็บไว้สองเล่ม
สิ่งนั้นเดินเข้าไปใจกลางถ้ำซึ่งมีบัลลังก์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางพร้อมอสุรกายลักษณะเดียวกัน หากแต่ต่างเพียงขนสีทองและชุดเกราะที่ดูแน่นหนากว่านั่งอยู่
"การป้องกันของพวกมันเบาบางลงกว่าที่คิดพะยะค่ะ"อสุรกายขนแดงพูด
"เช่นนั้นหมายความว่าพวกมันไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเรา” อสุรกายขนทองพูดแล้วจึงลุกขึ้นจากบังลังก์ "สหายของข้าเอ๋ย มันถึงเวลาแล้วที่ดาบของพวกเราจะได้ลิ้มรสกลิ่นของเลือด อุ้งเท้าของพวกเราจะได้ย่างก้าวผ่านความตาย และชื่อของเผ่าพันธุ์ของเราจะได้เป็นที่ประจักษ์บนโลกใบนี้!" อสุรกายขนทองตะโกนกร้าว "ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะประกาศกร้าวถึงความแข็งแกร่งของ คิงส์โนลด์!" เสียงของอสุรกายดังลั่นราวไม่ต่างจากเสียงกลองปลุกใจในสนามรบ เหล่าอสุรกายหน้าขนหรือคิงส์โนลด์ต่างส่งเสียงคำรามก้องพร้อมกันอย่างฮึกเหิม แววตาของอสุรกายขนทองดูพอใจกับภาพที่เกิดขึ้นก่อนจะล้มตัวลงบนบังลังก์ดังเดิม
สองวันหลังจากการสำรวจ ลูเคียนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ความกังวลใจอย่างแปลกประหลาดทำให้จิตใจของเขาฟุ้งซ่าน เขาลองปรึกษาเรื่องนี้กับแม็กนัสและได้พบว่าแม็กนัสก็รู้สึกเช่นเดียวกันตอนที่อยู่ในป่า พวกเขาลองไปสำรวจป่านั้นอีกรอบ แต่ไม่ว่าจะเดินวนรอบป่าจนกลับมาที่เดิมถึงสองครั้งพวกเขาก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
"ข้ามั่นใจว่าจะต้องเกิดบางอย่างขึ้น" ลูเคียพูด
"ข้าก็มั่นใจเช่นเจ้านั่นแหละ หากแต่เรายังไม่พบจุดผิดปกติใดๆในป่าเลยนะ" แม็กนัสตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พวกเขายังคงเดินสำรวจป่าต่อไปอีกหลายวันจนในที่สุดพวกเขาก็ได้พบเข้ากับบางอย่างคล้ายกับขนสีแดงดุจเปลวเพลิงของสัตว์ชนิดหนึ่ง…
"ไม่น่าจะมีสัตว์ชนิดใดมีขนสีนี้แม้แต่เสือก็ตาม..." ลูเคียมองดูขนสีแดงเพลิงในมือ นี่ไม่ใช่ขนของเสืออย่างแน่นอน แม็กนัสปรายตาไปรอบข้างก่อนจะพบกองเพลิงที่เหลือเพียงเถ้าถ่านกองหนึ่ง พวกเขาเดินเข้าไปหามัน นี่เป็นส่วนลึกของป่าซึ่งพวกเขาไม่เคยได้ทำการสำรวจมาก่อนเนื่องจากการขยายเขตเมืองไม่กินอาณาเขตบริเวณนี้ พวกเขาเดินเข้าไปลึกขึ้นก่อนจะพบเข้ากับถ้ำขนาดใหญ่ พวกเขามองหน้ากันก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจมัน
ภายในถ้ำถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด มีเพียงแสงสว่างจากคบเพลิงของพวกเขาเท่านั้นที่คอยนำทาง พวกเขาค่อยๆย่างก้าวด้วยความระมัดระวังและความกลัว หากลางสังหรณ์ของพวกเขาเป็นจริงหมายความว่าพวกเขาอาจนำชีวิตไปทิ้งได้ในสถานที่แห่งนี้
ทั้งสองเดินเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ แต่ทางข้างหน้ากลับมีเพียงความมืดมิดที่รอคอยอยู่ พวกเขาเดินต่อไปอีกซักพักก็ได้พบเข้ากับใจกลางถ้ำซึ่งมีขนาดใหญ่พอๆกับพระราชวัง หากแต่ไร้เงาของสิ่งมีชีวิตมีเพียงเงาของพวกเขาเอง
“ข้าว่ามันไม่ปกติ” แม็กนัสเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน “ตลอดทางที่เราเดินเข้ามาเป็นทางตรงที่เชื่อมเข้ากับถ้ำนี้เหมือนกับเป็นที่อยู่ของอะไรบางอย่าง” แม็กนัสเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า
“นี่แม็กนัส” ลูเคียเป็นฝ่ายเรียก “ถ้าเกิดเราคิดไปเองจริงๆล่ะ?”
แม็กนัสหันมามองหน้าลูเคียพร้อมทำทีเห็นด้วย
"ถ้ำนี่ไม่มีอะไรผิดปกติไร้เงาของสิ่งมีชีวิตแถมอากาศก็อบอ้าว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้ามาอยู่ในนี้หรอกแม้แต่อสุรกายก็ตาม”แม็กนัสทำท่าทีวางใจพร้อมพูดหักล้างทฤษฎีของตนเมื่อซักครู่
ท้ั้งคู่เดินออกมาจากถ้ำก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองและแยกย้ายกันกลับบ้าน ทิ้งความกังวลใจทั้งหมดเอาไว้เบื้องหลังโดยหารู้ไม่ว่าความหายนะ ที่แท้จริงกำลังจะมาเยือน…
สามวันถัดมา…
ลูเคียยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม ณ ตอนนั้นเป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขายังคงเหม่อมองไปยังผืนป่าที่เคยไปสำรวจก่อนจะพบเข้ากับความผิดปกติบางอย่าง ‘ควันไฟ?’ ลูเคียเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งออกจากบ้านไปยังป่าผืนนั้น
เปลวเพลิงสีแดงฉานกำลังกลืนกินผืนป่า กลิ่นไหม้ที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วเข้าแตะจมูกเหล่าผู้คนที่มามุงดูเหตุการณ์ ลูเคียที่เพิ่งวิ่งมาถึงหันไปถามหญิงแก่คนหนึ่งซึ่งกำลังยืนมองทะเลเพลิงที่มอดไหม้กลางผืนป่าอยู่
“ท่านป้าเออร์เซียเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ป้าเออร์เซียหันมามองหน้าลูเคียด้วยความตื่นตระหนกแล้วจึงรีบตอบ
“มีคนแอบลอบวางเพลิงป่าของเรา!!”
ลูเคียทำหน้าแปลกใจก่อนถามย้ำอีกที
“แน่ใจหรือว่าไม่ใช่ไฟป่า?”
ป้าเออร์เซียตอบ “ป่าผืนนี้กว้างเกินกว่าที่ไฟป่าจะลามไปได้ทั่วในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่นี่กลับไหม้ไปทั่วป่าในเวลาชั่วครู่เท่านั้น ต้องเป็นการวางเพลิงแน่ๆ!!”
ทันใดนั้นเหล่าทหารประจำเมืองก็มาถึงพร้อมกับถังน้ำจำนวนมาก และใช้มันสาดเข้าไปยังทะเลเพลิงตรงหน้า แแต่ในขณะเดียวกันก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นที่อีกฟากของเมืองพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังกึกก้องไปทั่ว เหตุการณ์ในหัวของลูเคียตีกันไปทั่วจนเขาไม่อาจแยกแยะสิ่งใดได้ เขาได้ตัดสินใจที่จะรุดหน้าไปยังต้นตอของเสียงทันที...
ถ้าชอบก็ทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลยครับ หรือถ้าอยากให้ปรับปรุงตรงไหนก็ทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เหมือนกัน ขอบคุณที่สละเวลามาอ่านครับ^^
แสงแดดอ่อนๆในยามเช้ากระทบเข้ากับใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง เป็นสัญญาณให้เขาลืมตาตื่นจากฝันหวาน เด็กหนุ่มผู้นั้นค่อยๆลืมตาขึ้นมา ก่อนสายตาจะปะทะเข้ากับแสงแดดทำให้เขาต้องหลับตาลงอีกครั้ง เขาค่อยๆยันตัวขึ้นจากที่นอนก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้า สังเกตดูคร่าวๆเขาน่าจะอายุประมาณ17-18ปี ใบหน้าของเขาไม่ได้หล่อมากนักแต่กลับมีเสน่ห์อย่างประหลาดจากผมสีดำสนิทยาวปรกหน้าซึ่งดูเรียบและเงางาม
เขาค่อยๆเดินไปล้างหน้าและทำธุระส่วนตัวก่อนที่จะเดินออกมาจากห้องนอน แววตาที่ยังไม่ตื่นดีนักกลับตื่นตัวขึ้นมาหลังจากได้ยินเสียงเรียกครั้งหนึ่ง
"ตื่นสายนะลูค" ชายหนุ่มอายุประมาณ40กว่าๆกล่าวประโยคนั้นออกมา
"ขอโทษทีครับท่านพ่อ พอดีเมื่อคืนข้ากลับดึกนิดหน่อยน่ะ ฮ่าฮ่า" ลูเคียได้ตอบกลับพ่อของเขาไปทันควัน ก่อนจะยิ้มแห้งๆและเดินไปที่โต๊ะซึ่งเรียงรายไปด้วยอาหารเช้าก่อนที่จะเริ่มลงมือทาน
"ไปทำอะไร ที่ไหนมาล่ะฮึ?" โรเบิร์ทหรือพ่อของลูเคียเป็นคนถาม ในขณะที่เขาเดินเข้ามานั่งอยู่ตรงข้ามกับลูกชายก่อนจะเริ่มลงมือทานอาหารเช้าเช่นกัน
"ไปสำรวจป่าตามที่ท่านบอกนั่นแหละ" ลูเคียตอบโดยไม่ละความสนใจจากอาหารตรงหน้า
"ข้าส่งเจ้าไปตั้งแต่ตอนเที่ยงไม่ใช่เรอะ?แล้วทำไมถึงกลับมาดึกนัก" โรเบิร์ทมองไปที่บุตรของตนอย่างสงสัย
"ข้า..." ลูเคียชะงักไปพักหนึ่ง "ข้าหลงป่า..."
เมื่อสิ้นประโยคนั้นโรเบิร์ทถึงขั้นกุมขมับกับความเซ่อของบุตรชายตน
เมืองที่ลูเคียอาศัยอยู่ถูกเรียกไว้ในนามของเฟเทอร์ดัสท์ เป็นเมืองขนาดกลางในเขตการปกครองของอาณาจักรสตาร์รีช มีรายได้หลักคือการค้าขายส่งออกไปยังเมืองข้างเคียงรวมถึงเมืองหลวง เป็นเมืองที่ค่อนข้างมีทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ ซึ่งโรเบิร์ทพ่อของลูเคียได้เข้ารับราชการเป็นเลขาของเจ้าเมืองเฟเทอร์ดัส ซึ่งกำลังมีแผนในการขยายอาณาเขตของเมือง จึงได้มอบหมายหน้าที่สำรวจพื้นที่ซึ่งจะกลายเป็นเขตใหม่ของเมืองเฟเทอร์ดัสท์ให้แก่โรเบิร์ท
โรเบิร์ตซึ่งจำเป็นต้องหัวหมุนกับโครงการต่างๆและและภาระหน้าที่มากมายที่ตนต้องจัดการ จึงได้ส่งมอบหน้าที่นี้ให้แก่ลูเคียบุตรชายของเขา เนื่องจากบุตรชายของเขานั้นวันๆแทบจะไม่ทำอะไรนอกจากนอนอ่านหนังสือ และออกไปเป็นคู่ซ้อมดาบให้กับเพื่อนสนิทของเขาเพียงเท่านั้น
หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้ว ลูเคียได้เดินออกจากบ้านเพื่อที่จะไปสำรวจป่าตามที่พ่อของเขาสั่งอีกอีกครั้งเพียงแต่คราวนี้เขาฉลาดมากพอที่จะหาเพื่อนไป(หลง?!)ด้วยกัน…
"นี่เม็กนัสเจ้าน่ะรู้ทางจริงๆใช่ไหม?" ลูเคียเอ่ยปากถามเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขาหรือแม็กนัส เพื่อนสนิทของเขา เจ้าของผมสีน้ำตาลหยักศกใบหน้าดูเย้ายวนจากนัยตาสีเขียวมรกตที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจแตกต่างกับนัยตาสีน้ำตาลของลูเคียที่มีเพียงความกังวลตลอดเวลา อย่างน้อยเจ้านี่ก็ไม่เคยโกหกข้า ลูเคียคิด ถึงแม้มันจะชอบพูดเกินจริงก็ตาม… นั่นเป็นข้อเท็จจริงเพียงหนึ่งเดียวที่ทำให้ลูเคียไม่ค่อยมั่นใจในตัวสหายคนนี้ แต่จะให้ทำอย่างไรได้ เขาไม่อยากจะหลงป่าอีกครั้งนี่นา!!!
หลังจากลูเคียและแม็กนัสออกเดินสำรวจกันมาประมาณ3-4ชั่วโมงจนแทบหมดแรง ทั้งคู่ก็ยังไม่พบอันตรายใดๆในป่า พวกเขาจึงได้ตัดสินใจหยุดพักเพื่อพูดคุยกันเรื่อยเปื่อยตามประสาเพื่อนสนิท
"ลูค…ในอนาคตเจ้าอยากจะเป็นอะไรอย่างนั้นหรือ?" แม็กนัสถาม
"นั่นเป็นน่าจะเป็นครั้งที่สิบที่เจ้าถามข้าได้แล้วมั้ง”ลูเคียตอบ ก่อนจะล้มตัวลงนอนลงบนพื้นหญ้า "ข้าอยากจะที่ปล่อยให้โชคชะตานำพาข้าไปตามทางของมันในทุกๆวันที่ข้าตื่นขึ้นมา…” ลูเคียมองขึ้นไปบนท้องฟ้า “ ตอนนี้ขอแค่ชีวิตของพวกเราสงบสุขเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ข้าก็มีความสุขแล้วล่ะ" ลูเคียตอบก่อนจะหลับตาลง
"ข้าน่ะอยากจะออกไปผจญภัยในโลกกว้าง..." แม็กนัสตอบกลับสหายของเขาก่อนที่จะล้มตัวลงนอนเช่นเดียวกัน
ลูเคียลืมตาขึ้นมาก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากประหลาดใจกับคำตอบของเพื่อนสนิท ถึงแม้ว่าแม็กนัสมักจะเป็นฝ่ายถามเขาก่อนทุกครั้ง แต่เมื่อลูเคียถามคำถามเดิมกลับ เขากลับไม่เคยได้คำตอบจากแม็กนัสจนกระทั่งครั้งนี้
"เจ้าอยากจะออกเดินทางอย่างนั้นหรือ?" คราวนี้ลูเคียเป็นฝ่ายถามกลับด้วยความสนใจ
"ใช่น่ะสิ ข้าอยากจะออกเดินทางไปอย่างอิสระเสมือนกับว่าไม่มีสิ่งใดบนโลกใบนี้จะจองจำข้าเอาไว้ได้ ไปพบกับสถานที่ๆไม่มีใครเคยพบมาก่อน แสวงหาเรื่องราวที่ไม่เคยมีใครล่วงรู้ เพื่อจะบันทึกและบอกเล่าเรื่องราวต่างๆของข้าให้แก่ผู้คน และได้กลายเป็นตำนาน…"
แววตาอันเปล่งประกายการกฏขึ้นในสายตาของแม็กนัสจนลูเคียสัมผัสได้ เขายิ้มให้กับความฝันของเพื่อนสนิทของเขา แม้จะเขารู้ว่าตลอดทางเดินนั้นไม่มีคำว่าง่ายทั้งอสุรกาย ปีศาจ รวมถึงความปลิ้นปล้อนของมนุษย์ที่พร้อมจะกลายเป็นอุปสรรค แต่เขาก็เชื่อมั่นว่าแม็กนัสเพื่อนของเขาจะผ่านมันไปได้อย่างแน่นอน
ลูเคียนึกย้อนกลับไปในตอนเด็กๆ พวกเขาทั้งสองเคยฝึกดาบร่วมกันซึ่งแม็กนัสจะเป็นฝ่ายโจนตีเขาเสียส่วนใหญ่ ด้วยฝีมือดาบของแม็กนัส ลูเคียทำได้เพียงหลบการโจมตีนั้นอย่างบ้าคลั่ง จนวันหนึ่งแม้แต่แม็กนัสก็ไม่อาจโจมตีเขาโดนได้อีกต่อไป แม็กนัสจึงได้กลับไปแสวงหากระบวนท่าที่จะทำให้เขาไม่สามารถหลบได้ตั้งแต่หัวค่ำจนถึงรุ่งสาง ‘หากเป็นเจ้าที่ไม่เคยยอมแพ้ต่อสิ่งใด แม้กระทั่งตนเองจะต้องทำได้แน่’ ลูเคียคิดในใจ
หลังจากเวลาผ่านไปซักพักพวกเขาทั้งสองตัดสินใจลุกขึ้นและเริ่มเดินกลับไปที่เมือง ซึ่งแม็กนัสไม่ได้พูดโอ้อวดแต่อย่างใด เขารู้ทางกลับไปยังเมืองจริงๆ… ถึงแม้มันจะอ้อมหน่อยก็เถอะ
ในระหว่างทางกลับลูเคียรู้สึกถึงลางสังหรณ์บางอย่างก่อนที่จะออกจากป่า เขาหันกลับไปมองที่ป่าอีกครั้งก่อนที่จะตัดสินใจเดินตามแม็กนัสกลับไปรายงานผลการสำรวจที่ศาลากลางโดยที่พวกเขาไม่รู้เลยว่ามีบางอย่างกำลังจ้องมองพวกเขาด้วยสายตาอาฆาต…
ณ ถ้ำมืดมิดแห่งหนึ่ง มีเพียงแสงของคบเพลิงสลัวเรียงรายอยู่ตามผนังถ้ำ บางสิ่งกำลังเดินตรงไปยังเบื้องหน้าด้วยสายตาดุร้าย มันสูงราวๆ2เมตร มีนัยตาสีแดงก่ำดุร้าย เบื้องล่างใบหน้าคล้ายสุนัขป่าซึ่งถูกปกคลุมด้วยขนหนาสีแดง สวมเอาไว้ด้วยชุดเกราะเงางามทั่วตัว ข้างกายมีดาบเหน็บไว้สองเล่ม
สิ่งนั้นเดินเข้าไปใจกลางถ้ำซึ่งมีบัลลังก์ตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางพร้อมอสุรกายลักษณะเดียวกัน หากแต่ต่างเพียงขนสีทองและชุดเกราะที่ดูแน่นหนากว่านั่งอยู่
"การป้องกันของพวกมันเบาบางลงกว่าที่คิดพะยะค่ะ"อสุรกายขนแดงพูด
"เช่นนั้นหมายความว่าพวกมันไม่รับรู้ถึงการมีตัวตนของพวกเรา” อสุรกายขนทองพูดแล้วจึงลุกขึ้นจากบังลังก์ "สหายของข้าเอ๋ย มันถึงเวลาแล้วที่ดาบของพวกเราจะได้ลิ้มรสกลิ่นของเลือด อุ้งเท้าของพวกเราจะได้ย่างก้าวผ่านความตาย และชื่อของเผ่าพันธุ์ของเราจะได้เป็นที่ประจักษ์บนโลกใบนี้!" อสุรกายขนทองตะโกนกร้าว "ถึงเวลาแล้วที่พวกเราจะประกาศกร้าวถึงความแข็งแกร่งของ คิงส์โนลด์!" เสียงของอสุรกายดังลั่นราวไม่ต่างจากเสียงกลองปลุกใจในสนามรบ เหล่าอสุรกายหน้าขนหรือคิงส์โนลด์ต่างส่งเสียงคำรามก้องพร้อมกันอย่างฮึกเหิม แววตาของอสุรกายขนทองดูพอใจกับภาพที่เกิดขึ้นก่อนจะล้มตัวลงบนบังลังก์ดังเดิม
สองวันหลังจากการสำรวจ ลูเคียนั่งมองออกไปนอกหน้าต่าง ความกังวลใจอย่างแปลกประหลาดทำให้จิตใจของเขาฟุ้งซ่าน เขาลองปรึกษาเรื่องนี้กับแม็กนัสและได้พบว่าแม็กนัสก็รู้สึกเช่นเดียวกันตอนที่อยู่ในป่า พวกเขาลองไปสำรวจป่านั้นอีกรอบ แต่ไม่ว่าจะเดินวนรอบป่าจนกลับมาที่เดิมถึงสองครั้งพวกเขาก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
"ข้ามั่นใจว่าจะต้องเกิดบางอย่างขึ้น" ลูเคียพูด
"ข้าก็มั่นใจเช่นเจ้านั่นแหละ หากแต่เรายังไม่พบจุดผิดปกติใดๆในป่าเลยนะ" แม็กนัสตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
พวกเขายังคงเดินสำรวจป่าต่อไปอีกหลายวันจนในที่สุดพวกเขาก็ได้พบเข้ากับบางอย่างคล้ายกับขนสีแดงดุจเปลวเพลิงของสัตว์ชนิดหนึ่ง…
"ไม่น่าจะมีสัตว์ชนิดใดมีขนสีนี้แม้แต่เสือก็ตาม..." ลูเคียมองดูขนสีแดงเพลิงในมือ นี่ไม่ใช่ขนของเสืออย่างแน่นอน แม็กนัสปรายตาไปรอบข้างก่อนจะพบกองเพลิงที่เหลือเพียงเถ้าถ่านกองหนึ่ง พวกเขาเดินเข้าไปหามัน นี่เป็นส่วนลึกของป่าซึ่งพวกเขาไม่เคยได้ทำการสำรวจมาก่อนเนื่องจากการขยายเขตเมืองไม่กินอาณาเขตบริเวณนี้ พวกเขาเดินเข้าไปลึกขึ้นก่อนจะพบเข้ากับถ้ำขนาดใหญ่ พวกเขามองหน้ากันก่อนจะเดินเข้าไปสำรวจมัน
ภายในถ้ำถูกปกคลุมไปด้วยความมืดมิด มีเพียงแสงสว่างจากคบเพลิงของพวกเขาเท่านั้นที่คอยนำทาง พวกเขาค่อยๆย่างก้าวด้วยความระมัดระวังและความกลัว หากลางสังหรณ์ของพวกเขาเป็นจริงหมายความว่าพวกเขาอาจนำชีวิตไปทิ้งได้ในสถานที่แห่งนี้
ทั้งสองเดินเข้าไปลึกขึ้นเรื่อยๆ แต่ทางข้างหน้ากลับมีเพียงความมืดมิดที่รอคอยอยู่ พวกเขาเดินต่อไปอีกซักพักก็ได้พบเข้ากับใจกลางถ้ำซึ่งมีขนาดใหญ่พอๆกับพระราชวัง หากแต่ไร้เงาของสิ่งมีชีวิตมีเพียงเงาของพวกเขาเอง
“ข้าว่ามันไม่ปกติ” แม็กนัสเป็นฝ่ายเริ่มพูดก่อน “ตลอดทางที่เราเดินเข้ามาเป็นทางตรงที่เชื่อมเข้ากับถ้ำนี้เหมือนกับเป็นที่อยู่ของอะไรบางอย่าง” แม็กนัสเริ่มวิเคราะห์สถานการณ์ตรงหน้า
“นี่แม็กนัส” ลูเคียเป็นฝ่ายเรียก “ถ้าเกิดเราคิดไปเองจริงๆล่ะ?”
แม็กนัสหันมามองหน้าลูเคียพร้อมทำทีเห็นด้วย
"ถ้ำนี่ไม่มีอะไรผิดปกติไร้เงาของสิ่งมีชีวิตแถมอากาศก็อบอ้าว ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดกล้ามาอยู่ในนี้หรอกแม้แต่อสุรกายก็ตาม”แม็กนัสทำท่าทีวางใจพร้อมพูดหักล้างทฤษฎีของตนเมื่อซักครู่
ท้ั้งคู่เดินออกมาจากถ้ำก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปที่เมืองและแยกย้ายกันกลับบ้าน ทิ้งความกังวลใจทั้งหมดเอาไว้เบื้องหลังโดยหารู้ไม่ว่าความหายนะ ที่แท้จริงกำลังจะมาเยือน…
สามวันถัดมา…
ลูเคียยังคงมองออกไปนอกหน้าต่างเช่นเดิม ณ ตอนนั้นเป็นเวลาที่พระอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เขายังคงเหม่อมองไปยังผืนป่าที่เคยไปสำรวจก่อนจะพบเข้ากับความผิดปกติบางอย่าง ‘ควันไฟ?’ ลูเคียเห็นดังนั้นจึงรีบวิ่งออกจากบ้านไปยังป่าผืนนั้น
เปลวเพลิงสีแดงฉานกำลังกลืนกินผืนป่า กลิ่นไหม้ที่ลอยคละคลุ้งไปทั่วเข้าแตะจมูกเหล่าผู้คนที่มามุงดูเหตุการณ์ ลูเคียที่เพิ่งวิ่งมาถึงหันไปถามหญิงแก่คนหนึ่งซึ่งกำลังยืนมองทะเลเพลิงที่มอดไหม้กลางผืนป่าอยู่
“ท่านป้าเออร์เซียเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
ป้าเออร์เซียหันมามองหน้าลูเคียด้วยความตื่นตระหนกแล้วจึงรีบตอบ
“มีคนแอบลอบวางเพลิงป่าของเรา!!”
ลูเคียทำหน้าแปลกใจก่อนถามย้ำอีกที
“แน่ใจหรือว่าไม่ใช่ไฟป่า?”
ป้าเออร์เซียตอบ “ป่าผืนนี้กว้างเกินกว่าที่ไฟป่าจะลามไปได้ทั่วในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง แต่นี่กลับไหม้ไปทั่วป่าในเวลาชั่วครู่เท่านั้น ต้องเป็นการวางเพลิงแน่ๆ!!”
ทันใดนั้นเหล่าทหารประจำเมืองก็มาถึงพร้อมกับถังน้ำจำนวนมาก และใช้มันสาดเข้าไปยังทะเลเพลิงตรงหน้า แแต่ในขณะเดียวกันก็มีเสียงระเบิดดังขึ้นที่อีกฟากของเมืองพร้อมกับเสียงกรีดร้องที่ดังกึกก้องไปทั่ว เหตุการณ์ในหัวของลูเคียตีกันไปทั่วจนเขาไม่อาจแยกแยะสิ่งใดได้ เขาได้ตัดสินใจที่จะรุดหน้าไปยังต้นตอของเสียงทันที...
ถ้าชอบก็ทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เลยครับ หรือถ้าอยากให้ปรับปรุงตรงไหนก็ทิ้งคอมเมนต์ไว้ได้เหมือนกัน ขอบคุณที่สละเวลามาอ่านครับ^^
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ