ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)

5.3

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.

  67 ตอน
  3 วิจารณ์
  39.91K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

46) ‘มื้อนี้จากผลบุญ’

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ผมคิดว่าในช่วงชีวิตของใครคนหนึ่ง คงจะมีอย่างน้อยสักครั้งที่เราเคยได้ทำเรื่องอะไรที่แปลกประหลาด หรือพิลึกพิลั่นเกินกว่าที่ตนเองจะคาดคิด ทว่าใครจะไปนึกไปฝันเล่าว่าคนที่มีชีวิตอันแสนราบเรียบเสียจนเกือบเรียกได้ว่าน่าเบื่ออย่างผมจะต้องมาเจอกับสิ่งเหล่านี้ก็เมื่อตอนตายไปแล้ว อย่างการเสกอาหารนี่มันก็ดูไม่ง่ายเหมือนการเลือกซื้อโบโลน่าแซนด์วิชในร้านสะดวกซื้อเลยแม้แต่น้อย  แต่ก็เอาเถอะ…

 

“ได้…ผมจะลองดู” ใช่ผมพูดไปแบบนั้น พร้อมกับตั้งท่าประหนึ่งผู้เชี่ยวชาญการเสกอาหาร  (คล้ายๆ กับกำลังร่ายเวทย์มนต์) ทั้งๆ ที่ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมด ผมจะทำมันได้อย่างไร  แล้วไอ้อาหารที่ว่านั่นมีหน้าตาอย่างไรกันเล่า ต้องท่อคาถารึเปล่า ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าตนเองจะสามารถทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์นั้นได้จริงๆ

 

พอเหลือบไปทางนางฟ้าสาวก็เห็นว่าเธอกำลังเฝ้ามองดูอยู่ ประหนึ่งลองเชิงว่าผมจะทำได้หรือเปล่า ก็ยิ่งทำให้ตะขิดตะขวงใจเข้าไปใหญ่

 

“อาหารเอ๋ย จงปรากฏขึ้นมา ณ บัดนี้”  ผมพูดมันออกไปอย่างจนปัญญา และแน่นอนว่าผมเองก็ไม่ใช่พวกนางฟ้าเทวดาที่จะมีอิทธิฤทธิ์เวทย์มนต์เสกอะไรต่อมิอะไรได้ในพริบตาแต่จะทำอย่างไรได้ล่ะ…ก็มันหิวนี่นา

 

 “คุณ ไม่เห็นมันจะได้ผลเลยเนี่ย” ผมเริ่มบ่นและชักสีหน้าหงิกงอด้วยความหงุดหงิด “ผมจะต้องท่องหรือร่ายคาถาอะไรรึเปล่าคุณบอกผมหน่อยสิ”

 

“ถ้านายอยากจะทำแบบนั้นก็ได้นะ” อีกฝ่ายบอกพลางยักไหล่เอียงคอเป็นเชิงเชื้อเชิญพร้อมกับทำปากยื่นหน่อยๆ เหมือนเด็กๆ

 

“โอเค เข้าใจล่ะ” ผมบอกพร้อมกับพยักหน้าหงึก แล้วจึงเปล่งคาถาที่ตนเองจดจำขึ้นใจได้มากที่สุดออกไป

 

“วิงการ์เดียม  เลวีโอซ่า”

 

ทันใดนั้นสาริกาก็ปิดปากหัวเราะคิกคักขึ้นมาก่อนจะสัพยอกแบบทีเล่นทีจริง

 

“ซ่า บ้านป้านายเหรอยะ นั่นมันแฮรี่พอตเตอร์!”

 

พอถูกว่าเข้าให้ก็ทำเอาผมขาดความมั่นใจหน้าหดเล็กลงเหลือสองนิ้ว เกิดมาพึ่งเคยถูกนางฟ้าหัวเราะเยาะใส่ก็คราวนี้เอง

 

“โถ่คุณ ผมจะไปรู้ได้ยังไงเล่า” ผมตวัดเสียงตอบกลับไป

 

“มันก็ไม่ได้ยากตรงไหนเลยนะ” เธอเปรยอย่างตัดความรำคาญแล้วจึงจับมือผมทั้งสองข้างมาประกบกันเหมือนตอนที่เรากำลังขอ หรือรองน้ำฝนจากนั้นจึงกล่าวต่อไปว่า

 

“ลองตั้งจิตอธิษฐานถึงสิ่งที่นายอยากจะกินในตอนนี้ดูสิ”

 

“เอ่อ…คือมันง่ายขนาดนั้นเลยเหรอคุณ” ผมถามด้วยท่าทีงงงัน ในหัวผุดภาพอาหารนานาชนิดล่องลอยอยู่เต็มไปหมด ทั้งพิซซ่าถาดใหญ่ ข้าวมันไก่ไหหลำ แกงเผ็ดเป็ดย่าง หูฉลามน้ำแดง ไอศกรีมข้าวเหนียวมะม่วง บัวลอยไขหวาน ฯลฯ มีแต่ของน่าทานทั้งนั้น

 

“อืม…” เธอบอกพลางหยุดยืนตรงโคนสะพานแล้ววางท่ากอดอกอธิบาย “นายสามารถเสกอาหารทุกอย่างได้ตราบเท่าที่นายจะนึกออกโดยใช้มูลค่าความดีที่นายเคยได้กระทำไว้เมื่อตอนยังมีชีวิตแลกมา”

 

“แล้วมูลค่าความดีที่ว่านี่มันเท่าไหร่กันคุณ” ผมถามต่อด้วยนึกสงสัยว่าความดีนั้นมันมีมูลค่าด้วยหรือ

 

“ไม่มากนักหรอก ถ้าเปรียบเป็นเงินก็คงไม่กี่บาท แค่เศษเสี้ยวความดีของนาย” หญิงสาวตอบเสียงเรียบ

 

ผมหยักหน้ารับฟัง แล้วจึงถามคำถามสำคัญออกไป

 

“นี่คุณหมายความว่า ผมสามารถกินหูฉลาม กุ้งล็อบสเตอร์ หรือ คาร์เวียร์ก็ได้งั้นเหรอ”

 

อืม…ใช่สิ” เธอบอก “มันก็คงคล้ายๆ กับโลกมนุษย์นี่ละมั้งที่บรรดาอาหารจะมีป้ายราคาติดไว้ และต้องใช้เงินจ่ายเพื่อแลกมาเพียงแต่ในภพแดนหลังความตายเนี่ยเราใช้จ่ายสิ่งต่างๆ ได้ด้วยผลบุญหรือ ค่าความดีที่เราได้เคยทำไว้เมื่อตอนที่ยังมีชีวิตแทน”

 

“แล้วถ้าผมเกิดมาแล้วตายเลยล่ะ อย่างนี้ผมจะมีค่าความดีได้ยังไง”

 

“มีสิ…ก็จากในชาติก่อนๆ ของนายยังไงล่ะ”

 

“ชาติก่อนอย่างนั้นเหรอ…” ผมทวนคำพลางนึกสงสัยอยู่ข้างในลึกๆ ว่าถ้าเช่นนั้นในชาติก่อนนั้นตนเองได้เกิดเป็นใคร หรืออะไรกัน ผมไปทำอะไรไว้หรือถึงต้องมาตกระกำลำบากเหลือเกินในภพปางนี้

 

  “นี่…แล้วผมต้องใช้ค่าความดีเท่าไหร่กันล่ะคุณ”ผมรีบยิงคำถามต่อในทันทีเนื่องเพราะยังค้างคาใจกับรูปแบบของค่าผลบุญหรือความดีที่ตนเองเพิ่งจะได้ยินและรู้จักเป็นครั้งแรก

 

“ฉันกำลังจะอธิบายต่ออยู่พอดี…” เจ้าหล่อนบอก “ที่นี่น่ะมันก็ต่างจากโลกมนุษย์ก็ตรงที่ไม่ว่านายจะเสกอะไรมาทุกอย่างราคาค่างวดก็เท่ากันหมดนั่นแหละไม่มีสิ่งใดที่ต้องจ่ายมากกว่า หรือน้อยกว่า และถึงแม้ว่านายจะไม่ได้ทานอะไรเลยนายก็ไม่ตายหรอก อย่างมากก็แค่รู้สึกหิวโหย และทรมานหมดเรี่ยวหมดแรงเหมือนเมื่อตอนเป็นมนุษย์ก็เท่านั้นเอง…แต่นายคงรู้ดีว่าตอนที่หิวมากๆ น่ะมันแย่แค่ไหน” หญิงสาวสาธยายยืดยาวเป็นคำตอบ

 

ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของสาริกา รู้สึกลิงโลดดีใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้ทานอาหารเลิศหรูเมนูภัตตาคารได้ง่ายดายโดยไม่ต้องจ่ายสักสตางค์แดงเดียว ก่อนจะถูฝ่ามือไปมาแล้วตั้งสมาธิเอาฝ่ามือซ้ายขวาประกบกัน นึกถึงกุ้งล็อบสเตอร์ตัวขาวๆ อวบๆ เนื้อแน่นในจานใบสวยที่ราดด้วยซุปหูฉลามชิ้นโต โรยด้วยคาร์เวียร์เม็ดเล็กๆ สีออกดำๆ เทาๆ ดูน่าทานอย่างที่สุด ความหิวโหยถาโถมเข้ามาทำให้ผมอยากจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างพร้อมกันในคราวเดียว

 

และทันใดนั้นความปรารถนาของผมก็กลายเป็นจริงเมื่ออาหารจานเด่นปรากฏขึ้นบนสองฝ่ามือของผม

 

“ว้าวว สุดยอดเลย!”

 

ผมร้องอุทานตาโต เมื่ออาหารมื้อนี้สั่งได้ดั่งใจ ตรงกับมโนภาพในหัวที่คิดไว้เป๊ะ

 

‘อย่างน้อยโลกวิญญาณนี่ก็มีเรื่องดีๆ กับเขาบ้างเหมือนกันนะ’ ผมกระหยิ่มยิ้มย่องจากนั้นจึงใช้มือขวาคว้าหางกุ้งที่ติดเปลือกสีส้มขึ้นมาจากจานใบรียาวก้นลึกแล้วยัดเนื้อขาวสดซึ่งมีไข่ปลาคาร์เวียร์และซุปหูฉลามข้นเหนียวเข้าใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ เพื่อลิ้มรสโอชาอย่างกระหายหิว รู้สึกถึงความฉ่ำหวานของตัวเนื้อกุ้ง รสเค็มปะแล่มๆ ของไข่ปลาราคาแพง และชิ้นหูฉลามที่คลุกเคล้าอยู่ในปาก

 

“อร่อยมั๊ยนาย” สาริกาถามเสียงใส

 

ผมยิ้มขณะกำลังบดเคี้ยวเนื้อกุ้งอย่างเอร็ดอร่อย น้ำตาเล็ดรื้นปานจะไหลด้วยความตื้นตันดีใจกับอาหารคำแรกในชีวิตหลังความตาย

 

“รสชาติเป็นยังไงบ้าง” อีกฝ่ายถามไถ่

 

“อหย่อยมากเลยอุน” ผมตอบขณะที่มีอาหารอยู่ต็มปากจนเนื้อกุ้งแทบพุ่งออกมาถูกใบหน้าสะสวยของนางฟ้าสาวเข้า

 

 “ฉันก็นึกว่ามันจะเหมือนแป้งซะอีกนะ” เธอเปรย

 

‘เอ๋…แป้งงั้นเหรอ’ พอคิดตามนั้น จู่ๆ รสชาติในปากก็เปลี่ยนแปรไปเป็นฝืดเฝื่อนซึมแทรกเข้ามาแทนที่เนื้อกุ้งอันหวานฉ่ำ และเละเหลวในบัดดล

 

“แหวะ…” ผมรีบคายมันลงพื้นและเห็นเป็นก้อนแป้งขาวขุ่นผสมน้ำลายดูแหยะๆ

 

“นะนะนี่มันอะไรกันคุณ” ผมร้องถามด้วยสีหน้าตระหนก แล้วจึงยกหลังมือขึ้นมาเช็ดปาก

 

“แล้วนายกินอะไรเข้าไปล่ะ” เธอตอบกวนๆ

 

“ไม่ใช่ผมหมายถึงทำไมจู่ๆ เนื้อกุ้งถึงกลายเป็นแป้งได้ล่ะ” ผมกล่าวแล้วพยายามขย้อนเอาเศษแป้งที่ติดอยู่ตรงโคนลิ้นออกมา

 

“ถุ้ย ถุ้ย ถุ้ย” ทว่าน้ำลายหนืดเหนียวกลับย้อยยืดออกมาจนตนเองจำต้องใช้หลังแขนปาดมันทิ้ง จานในมือหายวับไปในพริบตา

 

“มันก็แค่ภาพมายาที่ถูกปรุงแต่งจากความคุ้นเคยของนายเมื่อตอนมีชีวิต” สาริกากล่าว “แต่อย่าลืมว่าตอนนี้นายตายไปแล้ว ‘อาหาร’ ก็เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่ทำให้วิญญาณอย่างนายรู้สึกอิ่มท้อง และมีเรี่ยวมีแรงต่อไปเท่านั้นไม่ได้มีความหมายอื่นใด รูป รส กลิ่น เสียง มันก็แค่ภาพลวงตาที่สะท้อนสิ่งที่นายอยากจะเห็น หรือคาดหวังให้มันเป็น เมื่อจิตไม่นิ่งก็ย่อมเลื่อนไหลไปตามความคิดไม่ใช่ความเป็นจริงและสลักสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว”

 

 “ภาพลวงตา อย่างนั้นเหรอ” ผมสำทับออกมา รู้สึกจุกในใจจนพูดไม่ออกก่อนจะก้าวเดินต่อ

 

“นายจะเสกมันมากินอีกก็ได้นะถ้านายต้องการ”  

 

ผมส่ายศีรษะก่อนจะตอบปฏิเสธด้วยความผิดหวัง

 

“ไม่อ่ะ…”ผมกล่าวแล้วจึงถามต่อ “แล้วคุณล่ะ พวกเทวดานางฟ้าบนสวรรค์นั่นเค้าจะรู้สึกหิวเหมือนกันมั๊ย”

 

 “พวกเราก็หิวได้เหมือนกันนะแต่พอตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็หายหิวได้ทันทีซึ่งก็เหมือนกับไม่หิวนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องกินก็อยู่ได้นายคงเคยได้ยินคำว่าอิ่มทิพย์บ้างละมั้ง”

 

“อ่อใช่ อย่างนี้นี่เอง”

 

 “พวกเทวดานางฟ้าน่ะอยู่เบื้องบนนั่นก็เพื่อเสวยสุขกับผลบุญที่เคยทำมา พอหมดบุญแล้วก็ลงมาเกิดใหม่แต่จะเป็นมนุษย์หรือตัวอะไรนั้น ก็แล้วแต่ท่านพญายมราชจะตัดสินความ”

 

 “อืม…ผมเข้าใจแล้ว” ผมเปรยก่อนจะเดินคอตกตามหญิงสาวไป   

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

ชอบอ่านนิยายแนวไทยๆ กันมั๊ย

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา