ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)

5.3

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.

  67 ตอน
  3 วิจารณ์
  39.91K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

47) ‘ความทรงจำบนโต๊ะอาหาร’

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“แต่นายยังไม่ได้กินอะไรเลยนะ เมื่อกี๊ก็คายออกมาหมดนี่ อาหารจีนเอย ญี่ปุ่น อิตตาเลี่ยนเป็นไง หรือจะส้มตำลาบก้อย ข้าวมันไก่ที่นายชอบ แล้วก็….” นางฟ้าสาวไล่เรียงเมนูอาหารนานาชนิดให้ผมฟังด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น แต่ผมกลับไม่ได้เห็นดีเห็นงามไปกับเจ้าหล่อนด้วยเลย

 

“เลิกเซ้าซี้ผมซะที ผมกำลังคิดอยู่” ผมปรามด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจแล้วจึงปรับน้ำเสียงอ่อนลง “แล้วนี่คุณรู้ได้ไงว่าผมชอบข้าวมันไก่”              

“คนอะไรกินข้าวมันไก่ร้านเดิมได้เกือบทุกวันมาเป็นปีๆ” เธอแซวอย่างรู้ทันก่อนจะพูดต่อไปว่า “ถ้าไม่ชอบแล้วจะให้เรียกว่าอะไรล่ะ…”

 

“ก็ร้านหน้าปากซอยนั่น มันสะดวกนี่คุณ ความจริงผมก็ไม่ได้…” พอตั้งท่าจะปฏิเสธ เธอก็รีบแทรกขึ้นมาก่อน

 

“ความจริงข้าวมันไก่ร้านนั้นมันก็ไม่ได้อร่อยถูกปากนายนักหรอก เพียงแต่นายสงสารสองแม่ลูกคู่นั้นใช่มั๊ยล่ะ คงกลัวว่าเค้าจะขายไม่ได้ เป็นห่วงเค้าก็เลยต้องแวะทานหลังเลิกงานอยู่เป็นประจำ…นายน่ะมันก็เป็นซะแบบนี้” เธอว่าพลางส่ายศีรษะน้อยๆ เป็นเชิงระอิดระอา

 

“สุดท้ายป้าแกก็ต้องเลิกขายเซ้งร้านไปให้คนอื่นอยู่ดี  ลำพังแค่ตัวนายคนเดียวมันช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ” เธอกล่าวต่อระหว่างที่เราสองคนเดินดุ่มๆ ท่ามกลางสายฝนโปรยพรมไปตามทางแคบๆ ที่เรียงรายไปด้วยบ้านไม้มุงสังกะสีและยังคงมีแสงไฟนีออนส่องสว่างอยู่บ้างประปรายแม้จะเป็นเวลาดึกดื่นแล้วก็ตาม

 

 “จะมีสักกี่คนบนโลกใบนี้ที่คิดและทำอะไรแบบนายกันนะ”

 

“นี่คุณจะว่าผมอีกล่ะสิ” ผมกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา คงเริ่มชินเสียแล้วกับการที่ถูกเจ้าหล่อนตำหนิ หรือบ่นเอา ทว่าคำพูดต่อมาของสาริกากลับทำให้ผมต้องตะแคงหูฟัง

 

“ไม่ใช่แบบนั้นหรอก” เธอบอก ทำให้ผมอดที่จะแปลกใจไม่ได้ “ฉันกำลังคิดว่ามันเป็นเรื่องน่ายินดีที่นายยังคงมีมันอยู่ในขณะที่อีกหลายๆ คนในสังคมนี้กลับทำมันหล่นหายไปในระหว่างทางของชีวิตแล้ว”

 

“นี่คุณกำลังพูดถึง…” ผมเอ่ยพลางช้อนสายตามองเธอเพื่อหวังเอาคำตอบ แต่เจ้าหล่อนกลับเสไปเรื่องอื่น

 

“สองคนนั่นก็คงคิดถึงลูกค้าขาประจำอย่างนายเหมือนกันนะ”

 

“เด็กคนนั้น  คุณป้า” ผมเปรยพลางคิดถึงภาพรอยยิ้มและดวงตาแป๋วแหววไร้เดียงสาของเด็กผู้หญิงผิวขาวมัดแกละวัยเจ็ดแปดขวบสวมชุดเอี๊ยมที่ชื่อ ‘หนูแดง’ ซึ่งมักจะคอยช่วยแม่รับออเดอร์ลูกค้าและเสริฟ์อาหารอย่างขะมักเขม้น

 

‘ป่านนี้สองแม่ลูกคู่นั้นจะเป็นอย่างไรบ้างนะ’ ผมคิดคะนึง

 

“เอาเถอะน่าอย่างน้อยนายก็เคยได้กินหูฉลามน้ำแดงมาแล้วนี่นา” อีกฝ่ายว่าพลางกระทุ้งศอกเบาๆ มาที่สีข้างผมเป็นเชิงเย้าหยอก “เงินเดือนเดือนแรกของนายนั่นไง ตอนม.ปลาย”

 

“ใช่ๆ ผมน่ะอยากกินหูฉลามมาตั้งนานแล้วล่ะคุณ พอได้เงินเดือนมาปั๊บก็รีบส่งให้ที่บ้านแล้วก็บึ่งไปกินหูฉลามทันทีเลย”

 

“แล้วเป็นไง”

 

“ก็อร่อยเหาะไปเลยสิคุณ” ผมตอบยิ้มๆ “นี่จะบอกให้นะว่าผมเนี่ยเคยทำงานในร้านอาหารจีนด้วย…เอ…ตอนช่วงปิดเทอมปีสองละมั้งถ้าจำไม่ผิด แต่อย่าให้พูดถึงเลย”

 

“อืม…ฉันพอรู้ว่านายเจออะไรมาบ้าง” สาริกาเปรยออกมาเบาๆ

 

“นายคงอยากกินมันมากเลยสินะ…ทำไมเหรอ?”       

   

“อืม…นั่นสินะ…ทำไม” ผมตอบแล้วจึงนึกประหวัดไปถึงภาพความทรงจำเมื่อครั้งอดีต…

 

ตอนที่ผมยังเป็นเด็ก

 

จำได้ว่าป๊ากับแม่เคยพาผมกับน้องสาวไปเลี้ยงฉลองที่ร้านขายอาหารทะเลริมฟุตบาทที่ชื่อ ‘ลุงเพ็งซีฟู้ด’ ตรงถนนเอกชัยแม้จะเป็นเพียงแค่ร้านรถเข็นและมีโต๊ะนั่งจัดไว้เพียงไม่กี่ชุด แต่เมื่อถึงเวลาเปิดร้านตอนช่วงหัวค่ำลูกค้ามากมายก็จะแวะเวียนข้ามาอุดหนุนร้านอาหารเล็กๆ แห่งนี้กันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง

 

เนื่องด้วยคุณลุงแกอัธยาศัยดีมีอารมณ์ขันกอปรกับเปิดร้านมาหลายปีดีดักแล้ว ใครๆ ในละแวกนี้ต่างก็รู้ดีว่าฝีมือปรุงรสอาหารแต่ละกระทะแต่ละจานนั้นจัดจ้านและเอร็ดอร่อยไม่เป็นสองรองใคร ราคาก็ไม่ได้สูงเกินคนธรรมดาจะเอื้อมถึง ทว่าสำหรับพวกเราแล้วอาหารทะเลก็ไม่ได้อยู่ในเมนูที่จะทานได้บ่อยนัก

 

ในตอนนั้นครอบครัวของเรายังลำบากยากแค้นด้วยผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ทำมาหากินฝืดเคืองเป็นอันมาก ป๊าต้องทำงานหลายอย่างในเวลาเดียวกันทั้งรับซ่อมรองเท้า งานแบกหาม และรับจ้างทั่วไปในตลาดเพื่อพอให้มีเงินมาจุนเจือครอบครัว

 

ส่วนแม่ก็ต้องรับงานปะชุนผ้ามาทำที่บ้านเป็นรายได้เสริมอีกแรงหนึ่ง ขณะที่ผมเองนอกจากภาระเรื่องการเรียนแล้วก็ต้องอยู่ช่วยท่านดูแลน้องสาวและจัดการงานบ้านจนแทบไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นตามประสาเหมือนเด็กคนอื่นๆ เขา

 

แม้จะเป็นวันที่ผมควรจะมีความสุขอย่างที่สุด แต่ตนเองกลับรู้สึกอึดอัดใจเมื่อเห็นใบหน้าอันขุ่นเครียดของบิดาและสีหน้าหม่นหมองราวกับคนอมทุกข์ของมารดาแทนรอยยิ้มแห่งความสุขสันต์ที่ควรจะพึงมี ผมแทบไม่กล้าเอ่ยถ้อยคำใดออกไปเลยในระหว่างมื้อแห่งการเฉลิมฉลองที่มีขึ้นเพียงเพื่อให้ทุกอย่างนั้นผ่านพ้นไป ผิดกับ ‘หยก’ น้องสาววัยหกขวบซึ่งยกเมนูกระดาษซีนพลาสติกขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลังเล่นไปมาด้วยความซุกซนตามประสาเด็กที่ยังไม่รู้เดียงสา

 

ผมที่อยู่ในชุดเก่ง(หรืออาจจะเรียกได้ว่าชุดเก่าซอมซ่อที่ใส่บ่อย)ได้แต่นั่งก้มหน้า ไหล่ห่อ หลังงอ ฝ่ามือทั้งสองและท่อนขาเล็กๆ เย็นเฉียบ รู้สึกเหมือนอยู่ในห้องของอาจารย์ฝ่ายปกครองที่ควรจะสงบปากสงบคำไว้เป็นดีที่สุด

 

“อาย้งลื้อรีบๆ เจี๊ยะเข้านาเดี๋ยวอาหางจะชืดหมด กินปลานี่หอเจี๊ยะน้า” ป๊าในวัยกลางคนกล่าวติดสำเนียงจีนพลางคีบเนื้อตรงส่วนท้องปลากะพงหรือปลาหลูญวีนึ่งมะนาวในหม้อไฟทรงปลาวางบนชามข้าวสวยร้อนๆ ให้แก่ผม

 

“ท้องปลานี่อาหร่อยอย่าบอกใคร กินของดีๆ ลื้อจะได้ฉลากๆ” ป๊าในชุดเชิ้ตลายตารางสีน้ำเงินอ่อนแขนสั้นกล่าวก่อนจะบ่นเรื่องการเรียนของผมที่ดูจะไม่เอาอ่าวเสียยกใหญ่แล้วจึงทิ้งท้ายประโยค ว่า ‘เจินย่างหว่อซือว่าง’ หรือ ‘ฉันผิดหวังจริงๆ’ พร้อมกับส่ายหน้าอย่างเหนื่อยหน่ายเหมือนเช่นเคย ยิ่งทับถมให้ผมในตอนนั้นรู้สึกแย่ลงไปอีก

 

“ไม่เอาน่าอาเหลียง วันนี้วันเกิดลูกนะคะอย่าว่าแกเลย” แม่ที่นั่งฟังป๊าบ่นอยู่เป็นนานเอ่ยปากปรามพลางใช้ตะเกียบพลาสติกคีบผัดผักบุ้งไฟแดงบนจานอาหารให้แก่ผมแล้วหันไปใช้ช้อนสั้นแบ่งไข่เจียวปูฟูนุ่มให้หยกก่อนจะพูดว่า

 

“กินเยอะๆ นะจ้ะลูก”

 

“ขอบคุณค่ะแม่” น้องสาวคนเล็กกล่าวสั้นๆ แล้วจึงใช้ช้อนตักข้าวสวยร้อนๆ กับไข่เจียวเข้าใส่ปาก ส่วนผมที่ถูกเอ็ดอยู่ได้แต่มองดูเธอเงียบๆ เพราะทานอะไรไม่ลงแม้ว่าจะหิวขึ้นมาบ้างแล้วก็ตาม

 

“สร้อยแก้วลื้อนี่ก็ชอบให้ท้ายลูกดีนัก…อาย้งถึงได้เป็นแบบนี้”

 

ถึงจะถูกตำหนิติเตียนแต่แม่ซึ่งสวมเสื้อคอกลมสีขาวปักลูกไม้ และรวบผมดำขลับเป็นหางม้าต่ำๆ ไว้ด้านหลังด้วยหนังยางมัดผมสีขาวดูเรียบๆ ก็ยิ้มรับด้วยรู้ดีสถานการณ์เช่นนี้เธอควรจะจัดการอย่างไร

 

“ย้งอยากกินอะไรมั๊ยลูกเดี๋ยวแม่สั่งให้” แม่หันมาเอาใจเมื่อเห็นว่าผมนั่งหน้าสลดอยู่ ในตอนนั้นผมได้แต่ทอดสายตาไป ณ อีกฟากฝั่งหนึ่งของถนนสี่เลนซึ่งมี ‘ฮกเลี้ยงโภชนา’ ภัตตาคารจีนอันลือเลื่องขนาดสามคูหาตั้งเยื้องกับร้านลุงเพ็งซีฟู้ดไปเล็กน้อยด้วยความรู้สึกที่อยากจะมีโอกาสลิ้มลองอาหารชั้นเลิศที่ขึ้นป้ายโชว์หรานั้นไม่ว่าจะเป็นหมูหัน เป็ดย่าง หูฉลาม ผัดโหงวก๊วย หอยเป๋าฮื้อ หรือแม้แต่กระทั่งเป็ดย่างตัวละหลายร้อยที่ถูกแขวนเรียงรายอยู่ในตู้กระจกนั่น

 

“พรึ่บ…ฉ่า!”

 

“โหวว” เสียงตื่นใจของผู้คนที่ร้องดังขึ้น พาให้ผมเหลียวมองนึกสงสัยว่าพวกเขาส่งเสียงเอะอะอะไรกัน

 

เปลวไฟแรงร้อนจากเตาแก๊สลุกโพลงท่วมกระทะเหล็กเมื่อผักบุ้งที่ถูกหั่นเตรียมไว้บนจานใบเล็กๆ ถูกหย่อนลงไปอย่างรวดเร็วก่อนที่ลุงเพ็งแกจะลงมือผัดพลิกตะหลิวส่งเสียงกระทบผิวกระทะดังแก๊ง แก๊ง อย่างชำนิชำนาญ เกิดควันลอยคลุ้งจนคนที่นั่งโต๊ะใกล้ๆ ต้องเอามือปัดป่ายไล่ควันกันเสียยกใหญ่ แม้จะดูตื่นตาตื่นใจแต่ในเวลานั้นผมกลับสนใจวิถีของผู้คนที่อยู่ ณ อีกฟากฝั่งหนึ่งของถนนนั้นมากกว่า

 

ภาพของเศรษฐีสูงวัยเชื้อสายจีนในชุดสูทสากลสีดำก้าวลงมาจากรถคันหรูสีเดียวกันโดยมีคนคอยเปิดประตูไว้ให้ก่อนที่บรรดาสมาชิกในครอบครัวทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น อาม่า อากง อาซ้อ อาเฮียและบรรดาลูกหลานทยอยตามกันลงมาจากรถอีกสองคันซึ่งจอดเรียงอยู่ริมฟุตบาทด้วยท่าทางอันสง่าผ่าเผย เครื่องแต่งกายของครอบครัวเศรษฐีดูโก้หรูแตกต่างจากพวกเราโดยสิ้นเชิง

 

 เหล่าพนักงานต้อนรับชายหญิงปรี่เข้ามาประคองลูกค้าระดับวีไอพีของร้าน เสียงประตูรถปิดดังปึงปัง สาวสวยผิวพรรณขาวสะอาดในชุดกี่เพ้าสีชมพูปักลายสองนางที่ยืนรออยู่คนละข้างประตูทรงโค้งเคารพนบไหว้อย่างนอบน้อมอย่างรู้งาน

 

 “แม่ย้งอยากกินหูฉลาม” ผมบอกออกไปลอยๆ ขณะหรี่ตามองพวกเขาเหล่านั้นอย่างสังเกตสังกา แอบน้อยเนื้อต่ำใจกับวาสนาของตนและครอบครัวที่ไม่อาจหลีกพ้นกับความอัตคัดขัดสนไปได้เลย

 

ในนาทีนั้น…ผมเพียงอยากจะลิ้มรสชาติของความมั่งมีดูบ้างสักครั้ง

 

หากครอบครัวของเราได้ไปยืนอยู่ที่นั่นแทนที่พวกเขาเหล่านั้น ได้ทานในสิ่งที่อยากทาน  ได้ทำในสิ่งที่อยากทำ ป๊าไม่ต้องมาลำบาก แม่ไม่ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งเย็บผ้าเป็นกระบุงโกยเช่นนี้พวกเราคงจะมีความสุขขึ้นมามากโขและที่สำคัญผมคงได้ไปเตร็ดเตร่ เปิดหูเปิดตาที่ไหนได้บ้าง

 

 “หึ…อาย้งลื้อนี่เรื่องมากจิง อั๊วจะบอกให้รู้ไว้น้าว่าไอ้ปลานี่ก็อร่อยพอๆ กับหูฉลามนั่นแหละ เอ้ารีบๆ เจี๊ยะเข้า นี่แก้มปลาทานให้หมดอย่าให้เหลือ”

 

พอได้ยินดังนั้นผมก็พลอยทำหน้ามุ่ย ก่อนจะใช้ตะเกียบพุ้ยข้าวสวยในชามแล้วยัดเข้าปากเคี้ยวๆ กลืนเพื่อให้อาหารมื้อนั้นรีบผ่านพ้นไป  เพราะเบื่อฟังเสียงบ่นว่าของแกเต็มทน

 

‘ป๊าไม่เคยมองเห็นผมเลย’

 

ผมนึกด้วยความหงุดหงิดรำคาญใจ พร้อมกับคำถามที่ว่าทำไมตนเองถึงต้องเกิดมาโชคร้ายแบบนี้ด้วย

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

ชอบอ่านนิยายแนวไทยๆ กันมั๊ย

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา