ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)

5.3

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.

  67 ตอน
  3 วิจารณ์
  39.91K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

45) กำเริบ

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ว๊าก…ผีหลอก!!!” ผมตะโกนร้องลั่น ตาเบิกโพลง ขณะเดียวกันก็รีบคว้ามือนางฟ้าสาวเผ่นป่าราบ เราสองคนวิ่งลัดเลาะไปตามทางเดินที่ดูคดเคี้ยวราวกับเขาวงกต ผ่านตรอกซอกซอยนับไม่ถ้วนจนมาหยุดอยู่ตรงกลางสะพานไม้ข้ามคูน้ำครำเล็กๆ  ในสลัมหลังจากที่พวกเราเตลิดกันมาไกลแล้ว

 

“นายเป็นอะไรห๊ะย้งอยู่ดีๆ ก็ลากฉันวิ่งมาแบบนี้เนี่ย” สาริกาทักท้วงพลางขืนตัวเธอไว้

 

“ผะผะผี ผี ผี” ผมซึ่งแตะเบรกจนแทบหัวทิ่มหัวตำบอกเสียงตะกุกตะกักลิ้นพันกันไปหมด

 

“นายก็เป็นผีจะไปกลัวทำไมเล่า” อีกฝ่ายที่สะบัดข้อมือซ้ายหลุดจากมือผมบอกก่อนจะยกหลังมือขวาขึ้นมาอังจมูกคงเพราะได้กลิ่นน้ำเน่าโชยมา

 

 “ช่างเถอะ ว่าแต่เราคงหนีมันมาพ้นแล้วนะ” ผมพูดพลางหันมองรอบตัวอย่างระแวดระวัง ด้วยความที่กลัวผีเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอจังๆ เต็มสองลูกตาแบบนี้ก็ทำเอาแทบบ้าไปเหมือนกัน

 

“ก็คงงั้นแหละ…ฉันว่า” ร่างเพรียวกล่าว “คุณตาแกคงเป็นพวกสัมภเวสี ไม่ก็ผีตายโหงแถวนี้ล่ะมั้งดูลักษณะท่าทางแล้วคงไม่ใช่พวกภุมเทวาหรอก”

 

“คุณอย่าพูดดิ แค่นี้ผมก็กลัวจะแย่แล้ว” ผมออกปากปราม ภาพสยองนั้นยังคงติดตาไม่หาย

 

“ฮึก…”

 

ทันใดนั้นโรคประจำตัวก็กำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง

 

“ฮื้ดดด”  ผมอ้าปากกว้างเพื่อหวังจะตักตวงเอาอากาศเข้าไป เมื่อจู่ๆ ก็เกิดอาการแน่นหน้าอกหายใจติดขัดหรือจะเป็นเพราะเราออกแรงวิ่งมากเกินไป

 

 “รู้มั๊ยว่า พออยู่ในโลกของวิญญาณแล้วนายจะได้เจออะไรที่น่ากลัวๆ กว่านี้อีกเยอะเลย” พูดแล้วร่างเพรียวที่กำลังเดินอยู่ข้างๆ ก็หัวเราะคิก “เดี๋ยวนายก็จะชินไปเองล่ะน่า”

 

เธอบอกก่อนจะสังเกตเห็นผมที่มีท่าทางแปลกไป

 

“…ย้งนายเป็นอะไรน่ะ!?”

 

“ผะผะผมหายใจไม่ออก…ฮื้ดดด” ผมตอบพร้อมกับค้อมหลังลง อ้าปากหอบพลางจิกเล็บลงบนต้นขาทั้งสองด้วยความทรมาน “ยา…ผมต้องการยา”

 

ผมพูดออกมาด้วยความยากลำบากแล้วจึงเลื่อนสองมือสอดล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกง พยายามควานหาหลอดยาพ่นที่คอยพกติดกายไว้ตลอดแต่ก็ไม่พบ

 

‘เวรแล้วไง!!!’

 

“ยาผมล่ะ ยาผมหายไปไหน…เวนโทลิน  ผมต้องการเวนโทลิน” เสียงร้องถามด้วยอารามตกใจและฉุนเฉียวทำให้สาวเจ้าถึงกับออกอาการงกๆ เงิ่นๆ ทำอะไรไม่ถูก

 

“ย้ง นายอย่าเป็นอะไรนะ” เธอพูดปากคอสั่นขณะที่ผมยังคงหอบเสียงดังน่ากลัว “ยะยะยาอะไร…นี่นายยังเป็นหอบหืดอยู่อีกเหรอ  จะเป็นไปได้ยังไงกัน…ก็ในเมื่อ”

 

“ฮื้ดดด…ฮื้ดดด”

 

‘บ้าเอ้ย ผมลืมไปซะสนิทว่าไม่ได้หยิบยายัดใส่กระเป๋ามาด้วย โธ่เราคงไม่รอดแน่’ ผมคิดด้วยนึกสมเพชเวทนาตัวเองที่นอกจากจะตายอย่างน่าอนาถแบบนั้นแล้ว ยังต้องมาตายซ้ำตายซากเป็นหนที่สองอีกหรือนี่

 

…แต่เอ๊ะนี่ผมตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ

 

ใช่แล้ว มันจะเป็นได้ยังไง…

 

โรคร้ายที่กัดกินชีวิตของผม

 

ความทุกข์ทรมานอันยาวนาน…

 

มันควรจะจบสิ้นไปตั้งแต่ตอนกินยาตายนั่นแล้ว

 

เพราะฉะนั้นที่เราเป็นอยู่นี้

 

ไอ้อาการบ้าๆ ทั้งหมดนี่

 

“มันไม่จริง” ผมเปรยออกมาด้วยความรู้สึกฮึดสู้ขึ้นมาอีกครั้งเหมือนมีพลังบางอย่างที่ทำให้ผมไม่อาจยอมแพ้ตัวเองได้อีก  

 

“ตะกอนที่ติดค้างอยู่ในใจของนาย ถ้าไม่ได้ชำระล้างมันก็ไม่มีวันหายไป” สาริกาที่เข้ามาโอบไหล่ประคองผมไว้กล่าวเสริมราวกับทราบดีว่าอาการที่ผมเป็นอยู่นั้นมันคืออะไร “ย้งนายต้องเอาชนะมันให้ได้ ใช่แล้วมันเป็นแค่ความนึกคิดไปเอง มันไม่จริง นายไม่ได้เป็นโรคบ้าๆ นี่อีกต่อไปแล้ว”

 

“ผะผะผม…ผม”

 

“มันไม่จริง” ผมเปรยออกมาซ้ำอีก ราวกับสะกดจิตตัวเองระหว่างที่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายที่รุมเร้าเข้ามา

 

“ไม่” ผมสำทับเพื่อตอกย้ำความนึกคิด

 

‘จะไม่ยอมมันอีก’

 

‘ผมจะไม่ยอมแพ้ให้แก่มันโดยเด็ดขาด’

 

“ฮื้ดดดดด” ผมอ้าปากเอาอากาศลวงๆ นั้นเข้าไปก่อนที่ความทรมานทั้งหมดจะหายไปโดยฉับพลัน

 

ผมกลับมารู้สึกเบาสบายอีกครั้ง แม้จะยังมึนๆ งงๆ เล็กน้อยกับอาการแปลกๆ ที่เป็นอยู่ แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้ตนเองยิ้มออกมาได้

 

“ย้งนายต้องเข้มแข็งนะ อย่ายอมแพ้” สาริกากระตุ้นพร้อมกับเขย่าตัวผมเสียจนหัวโยกหัวคลอน

 

“อ็อก อ็อก พอแล้ว…ผะผะผมหายแล้ว ไม่เป็นไรแล้วคุณ” ผมรีบบอกเธอพลางยกมือยกไม้ห้ามปราม

 

“ห๊ะ นี่นายหายดีแล้วเหรอ” อีกฝ่ายโพล่งออกมาเสียงสูง สีหน้าพิศวงงงงวยจนดูไม่ออกว่าเธอกำลังตกใจ ประหลาดใจ หรือดีใจอยู่กันแน่

 

“อืมๆ ก็ใช่อะดิ” ผมตอบก่อนจะบ่นอุบอิบ “นี่นางฟ้าหรือนางยักษ์กันแน่วะ มือหนักชิบ”

 

“โอ๊ะ โอ๊ยยย” ทันใดนั้นผมก็ถูกสาวเจ้าหยิกเอวทันควัน

 

“นี่แนะ…ว่าฉันเหรอยะ” อีกฝ่ายแหวใส่แล้วจึงทุบลงต้นแขนผมเบาๆ ก่อนจะเปรยขึ้นมา “ตาบ้าทำเอาเป็นห่วงแทบแย่”

 

“นี่คุณเป็นห่วงผมด้วยหรือนี่”

 

“ก็ใช่น่ะสิ” เธอตอบ

 

“ทำไม…คุณถึงมาช่วยผม บอกได้มั๊ย” ผมลองแยงคำถามนี้ออกไปอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบขรึม เนื่องด้วยยังคงค้างคาอยู่ในใจ

 

“เหตุผลที่ฉัน ช่วยนายน่ะเหรอ…อืมม” ร่างเพรียวพูดพลางทำท่านึกไปด้วยระหว่างที่เราสองคนเดินลงคอสะพานท่ามกลางสายฝนโปรยปรายและสายลมพัดพรายมาแผ่วเบา ผมเพิ่งสังเกตว่าหลอดไฟนีออนตามบ้านเรือนที่เรียงรายกันแน่นขนัดกลับสว่างไสวขึ้นมาแล้วในตอนนี้ พร้อมๆ กับที่เสียงโทรทัศน์และวิทยุได้ดังขึ้น

 

ใครบางคนร้องเฮออกมาด้วยความดีใจ แว่วยินเสียงน้ำในขันถูกตักอาบเสียงดังซู่ ดูเหมือนว่าชีวิตของพวกเขาเหล่านั้นจะกลับคืนสู่ความปกติสุขและวิถีที่ควรจะเป็นเช่นนั้นอีกครั้ง

 

“นายเองก็น่าจะรู้ดีที่สุดนะ” เธอกล่าว “ทั้งหมดนั่น…ก็เพราะนายนั่นแหละ”

 

“ผมเนี่ยนะคุณ”

 

“บางทีมันอาจจะเป็นเรื่องของอดีต กับสิ่งที่นายเคยได้ทำเอาไว้…”

 

“นี่คุณช่วยพูดอะไรที่เข้าใจง่ายๆ หน่อยจะได้ไหม” ผมโวย

 

“เรื่องของกรรมยังไงล่ะ ไม่เห็นจะเข้าใจยากตรงไหนเลยนะคะคุณวิศรุฒิ  ละแล้วก็…”

 

“แล้วก็อะไรกันคุณ” ผมซักไซ้

 

“ใครบางคนที่อยากให้นายตื่น”

 

“ห๋า…ใครบางคนอย่างนั้นเหรอ” พอได้ยินสาวเจ้าพูดถึงตรงนี้ก็พาลพาให้ผมงงงวยไปกันใหญ่ นี่ผมไปทำกรรมเวรอะไรไว้กับใครเมื่อชาติปางก่อนกระนั้นหรือ

 

“แต่ฉันยังบอกรายละเอียดทั้งหมดตอนนี้ไม่ได้หรอกนะ เรารีบหาทางออกไปจากที่นี่ก่อนจะดีกว่า ป่านนี้เพื่อนฉันคงเรียกแท็กซี่มาให้แล้วล่ะ” สาวเจ้ารีบตัดบทราวกับไม่อยากจะพูดถึง

 

‘ใครกันนะ…’ คิดๆ แล้วก็นึกไม่ออกเลยจริงๆ

 

แต่พอจะก้าวเดินต่อไป ผมก็พลันเกิดอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงขึ้นมา รู้สึกวูบๆ หน้ามืดเหมือนจะเป็นลม โหวงๆ ในท้อง ซึ่งอาการแบบนี้…มักจะเป็นตอนที่ผมรู้สึก…

 

“หิวอ่ะ” ผมพูดออกมาพลางเลื่อนมือขวากุมท้องก่อนจะร้องถามเสียงอ่อย “ผมหิวมาตั้งแต่ตะกี๊แล้ว คุณมีอะไรให้ผมกินบ้างป่าว”

 

“ถ้าหิวก็กินสิ”

 

“โถ่คุณก็พูดง่าย แถวนี้มีอะไรให้ผมกินที่ไหนเล่า จะมีก็แต่” ว่าแล้วภาพของคุณตาที่กำลังเคี้ยวชิ้นไก่อย่างตะกละตะกลามอยู่ข้างๆ ศาลเพียงตารกร้างนั่นก็แวบเข้ามาในหัว ทำให้ผมต้องรีบสะบัดมันทิ้งไป

 

 ‘บรึ๋ย…ไม่เอาด้วยหรอก’

 

“ผมตายไปแล้วทำไมถึงยังรู้สึกหิวอยู่อีกล่ะคุณ” ผมตั้งข้อสงสัย

 

 “มันเป็นสภาวะหนึ่งของพวกวิญญาณพเนจรที่จะยังคงรู้สึกหิวโหยได้อยู่ไม่ต่างอะไรกับตอนที่มีชีวิต” เธออธิบาย “นี่แหละเป็นเหตุผลหนึ่งที่ว่าทำไมเราถึงต้องรู้จักทำบุญทำทาน และทำความดีในตอนที่มีชีวิตอยู่…นายไม่จำเป็นต้องหาอาหารจากที่ไหนหรอกนะ เพราะนายสามารถเสกมันขึ้นมาเองได้ด้วยผลบุญของนาย”

 

“หืม…!?” ผมทำเสียงในลำคอพลางชี้นิ้วเข้าหาตัวเองอย่างไม่เชื่อหู ด้วยไม่คาดคิดมาก่อนว่าคนอย่างผมจะมีปัญญาเสกอะไรขึ้นมาได้

 

และเมื่อเอียงหน้ามองไปยังอีกฝ่าย ก็เห็นสาวเจ้ายกยิ้มกระหยิ่มอย่างมีเลศนัยก่อนร่างเพรียวในชุดเดรสคอปาดจะพูดต่อไปว่า

“ถ้าไม่เชื่อก็ลองดูสิ”

 

พอได้ยินดังนั้นผมก็ได้แต่ทำหน้าพิศวงงงงวยขึ้นมาในทันที

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

ชอบอ่านนิยายแนวไทยๆ กันมั๊ย

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา