ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)

5.3

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.

  67 ตอน
  3 วิจารณ์
  39.91K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

44) สัมภเวสีและผีในสลัม

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ฮืออ…” 

 

ฉับพลันนั้นผมก็ได้ยินเสียงประหลาดชวนสะพรึงดังแว่วเข้าหู เป็นเสียงครางสั่นๆ ลากยาวในลำคอเหมือนคนเพ้อยามจับไข้

 

และมันทำให้ผมรู้สึกสะท้านด้วยความกลัวอย่างบอกไม่ถูก

 

ไม่ทันที่ตนเองจะหันขวั่บไปมองได้ถนัดชัดเจน ร่างดำทะมึนนั้นก็หายวับไปจากปลายหางตาของผมเสียแล้ว

 

“อ๊ะนั่น…คุณ คะคะคุณ คุณ” ผมร้องตะกุกตะกักพลางยกมือยกไม้บอกใบ้เป็นพัลวัน

 

‘ไม่ผิดแน่’

 

เมื่อครู่นี้ผมเห็นเงามนุษย์ร่างผอมโกรกคนหนึ่งกำลังยืนหัวโด่อยู่บนหลังคาบ้านหลังถัดไป ผมเผ้าของใครคนนั้นยุ่งเหยิง สวมเสื้อผ้ามอซอราวกับคนจรจัด แต่ที่น่าพรั่นพรึงก็คือ…ผมรู้สึกได้ว่าร่างนั้นกำลังจับตามองมาที่พวกเราทั้งสอง

 

พอได้ยินเสียงโวยวาย สาริกาก็หันมองไปตามทิศทางที่ผมชี้นิ้วด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วจึงส่งโทรจิตหาผม

 

‘นายเห็นมันแล้วสิ…เราไม่ได้อยู่ที่นี่กันลำพังเพียงสองคนหรอกนะเพราะฉะนั้นระวังตัวไว้’

 

ภาพเนื้อหนังแห้งกรังที่หุ้มร่างห่อกระดูกราวกับเด็กชาวเอธิโอเปียผู้โหยหิว ติดตาผมพาให้สลดสังเวชใจขึ้นมาอย่างประหลาดประหนึ่งถูกความเศร้าหมองโถมทับเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนผมยากที่จะกลั้นน้ำตาไม่ให้ร้องไห้

 

“พวกพรากบุญน่ะ” เธอเอ่ยปากบอกสั้นๆ ก่อนเร่งเร้าให้ออกเดินทาง “รีบไปกันเถอะ”

 

“อะ…อืม” ผมพยักหน้า ตัวสั่นสะท้านน้ำตาคลอขณะที่อีกฝ่ายดึงตัวผมซึ่งกำลังสอดแขนงอตัวจะล้มมิล้มแหล่ให้พ้นออกไปจากบริเวณนั้น

 

“คะคะคุณว่าพะพวกพวกมันจะตามเรามามั๊ย”  ผมถามเสียงตะกุกตะกัก ระหว่างที่เราสองคนพากันจ้ำเท้าเดินหลบเลี่ยงมาพร้อมกับก้มหน้าดูแผนที่ไปพลาง แน่นอนว่าผมหวาดหวั่นกับพวกผีแปลกๆ แบบนี้เป็นที่สุด แค่เคยเจอพวกวิญญาณสวะก่อกวนไปเมื่อคราวก่อนก็แทบเอาตัวไม่รอด หวังว่าคราวนี้จะไม่เจอพวกสันตนาปานบุญรังควาญเข้าอีกนะ

 

“คงไม่ตามมาหรอก” สาริกาบอกให้ผมใจชื้น ขณะที่ผมและเธอหยุดเดินอยู่ตรงทางสามแพร่งเล็กๆ ในสลัมทว่าตัวคนพูดก็ยังชะเง้อคอสอดส่ายสายตาไปทุกสารทิศอย่างระแวดระวัง “แต่ฉันยังได้กลิ่นพวกมันลอยลมมาอยู่นะ”

 

น่าแปลกที่ผมกลับเป็นฝ่ายที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย 

 

“นี่คุณสัมผัสถึงพวกมันได้ด้วยเหรอ 

 

“ใช่ฉันสัมผัสได้” เธอตอบเสียงขรึม

 

“ถามจริงคุณเป็นน้องสาวของเอม  ญาณทิพย์รึเปล่าน่ะ” ผมถามทื่อๆ ขณะที่อีกฝ่ายทำสีหน้างุนงง

 

“ใครน่ะฉันไม่รู้จัก…”

 

“เค้าดังออกจะตาย ผู้หญิงคนที่ติดต่อสื่อสารกับวิญญาณได้ไงล่ะคุณ” ผมกล่าว แม้ว่าจะไม่ค่อยชอบดูรายการที่เกี่ยวกับผีสาง เรื่องลี้ลับ ความเชื่องมงายสักเท่าไหร่ แต่ด้วยความโด่งดังของแม่หมอผ่าทางกรรม เอม  ญาณทิพย์ที่ออกรายการโทรทัศน์อยู่เนืองๆ ก็ทำให้ผมรู้จักชื่อเสียงเรียงนามเธอได้ไม่ยาก

 

“จะบ้าเหรอ ฉันไม่ได้ดูทีวี ใช้อินเตอร์เน็ตนะจะไปรู้จักได้ยังไงกันเล่า” เจ้าหล่อนตอบ

 

“ผมก็แซวเล่นไปอย่างนั้นเองล่ะน่า ว่าแต่ตอนนี้เราอยู่ตรงไหนแล้ว”

 

“ฉันขอดูก่อนนะ” ว่าแล้วสาริกาก็ก้มหน้าดูแผ่นพลาสติก…เอ้ย…แผนที่ของเธอต่อ ผมจึงรวมหัวช่วยเจ้าหล่อนดูด้วยอีกแรง

 

“ตอนนี้เราอยู่ตรงแยกนี้รึเปล่า” ผมสันนิษฐาน พลางจิ้มนิ้วลงตรงแยกที่ใกล้กับปากซอยที่พาเราออกไปสู่ถนน

 

“เอ…แต่ฉันว่าไม่ใช่นะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับชี้ปลายนิ้วลงบนแผนที่ย้ำจุดที่เรากำลังยืนอยู่ “ก็เราวิ่งมาทางนี้ เลี้ยวมานี่แล้วก็นี่….เราก็น่าจะอยู่ตรงนี้นี่นา”

 

“แต่เอ๊ะทำไมกันนะ” สาริกาบ่นพึมพำออกมาเบาๆ

 

ผมเท้าสะเอวมองแผนที่ของทางสวรรค์แล้วก็นึกเสียดายที่มันไม่เหมือนแผนที่ตัวกวนในเรื่องแฮรี่พอตเตอร์ที่แสดงตำแหน่งของทุกคนไว้อย่างชัดแจ้ง หากเป็นแบบนั้นเราก็คงคาดเดาเส้นทางได้ง่ายดายกว่านี้

 

“ไหนผมขอดูมั่งสิ” ผมเอ่ยปากก่อนจะกรอกสายตาดูแผนที่อย่างถี่ถ้วนแล้วก็พลันสะดุดใจกับบางสิ่งที่บังเอิญสังเกตเห็น

 

“ผมรู้แล้วล่ะว่าเพราะอะไร”

 

“อะไรเหรอ?” หญิงสาวถามพลางช้อนดวงตาคมโตขึ้นมองผม

 

“ก็…” ผมเปล่งเสียงพลางเลื่อนหลบสายตาคู่งามนั้นก่อนจะยื่นมือไปพลิกแผนที่กลับมาอีกด้าน “มันผิดหัวผิดหางน่ะ…ผมก็ว่าแล้วว่าทำไมตัวอักษรมันเอียงแปลกๆ”

 

“อ้อเหรอ” เธอตอบสีหน้าเจื่อนแล้วจึงรวบแผนที่มาไว้ในมือจนแผ่นพลาสติกยับยู่ยี่ “แผนที่พวกนี้บางทีก็ดูยากเกินไปนะ” เธอบ่นอุบพร้อมกับเสนอทางเลือกใหม่

 

“ฉันว่าเราน่าจะลองถามใครแถวๆ นี้ดูดีกว่า” สาริกากล่าวพลางหันซ้ายแลขวาเพื่อจะหาตัวช่วย แต่เท่าที่ผมกวาดสายตาดูแถวนี้ก็ไม่เห็นจะมีใครพอจะให้ถามไถ่ได้เลยยกเว้นแต่…

 

“คนนั้นดีมั๊ยคุณ” ผมชี้ชวนพลางบุ้ยใบ้ให้หญิงสาวมองไปยังสตรีแปลกหน้าซึ่งกำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่บนแคร่ไม้ใต้เพิงหลังคาสังกะสีที่ตั้งอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่งห่างออกไปเพียงไม่กี่เมตร แม้ร่างอ้อนแอ้นอรชรจะอยู่ภายใต้แสงไฟของตะเกียงน้ำมันดวงน้อยซึ่งถูกจุดแล้วแขวนทิ้งไว้ตรงนั้น พร้อมกับกองข้าวของพะเนินเทินทึกที่ถูกคลุมไว้ด้วยผ้าพลาสติกลายแถบสลับสีน้ำเงิน-ฟ้าอีกชั้นหนึ่ง

 

ทว่าสตรีผู้มีใบหน้าคมขำตาโตหวานดั่งสาวแขกผิวพรรณขาวหยวกตัดกับเรือนผมยาวสีดำขลับ นุ่งผ้ายกดอกพื้นแดงหมากสุกเดินลายทองห่มสไบเฉียงสีกลีบบัวปิดบังทรวดทรงองค์เอว สวมใส่เครื่องประดับทองหยองแพรวพรายเต็มกายทั้งทองกร ต่างหู เข็มขัด สร้อยคอ สังวาล รวมไปถึงกระบังหน้าอร้าอร่าม ก็ทำให้ผมสะดุดตาทันทีตั้งแต่แรกพบ และที่สำคัญ…

 

ผมเห็นเจ้าหล่อนชม้ายชายตามาทางผมด้วยท่าทางกระมิดกระเมี้ยนมาสักครู่หนึ่งแล้ว

 

“ดูจะเป็นมิตรดีนะ” ผมเปรยอย่างเคอะเขินเมื่อถูกสาวสวยในชุดไทยชำเลืองมอง ก่อนที่เธอคนนั้นจะแสดงอาการเหนียมอายเมื่อสังเกตว่าผมก็มองเจ้าหล่อนกลับไปเช่นกัน

 

“ไหนคนไหน” สาริกาถามแล้วจึงหลุดปากวิจารณ์ทันทีที่หันไปเห็น

 

“แม่เจ้าประคุณรุนช่อง…นั่นขนตาหรือกันสาดกันนะอื้อหือเด้งดีจังเลย”

 

“คุณก็ไปว่าเค้า” ผมทักท้วงเบาๆ แต่ก็จริงดังสาริกาว่ายิ่งเห็นอีกฝ่ายกะพริบตาปริบๆ จนขนตางอนโง้งกระพือขึ้นลงแล้วก็นึกขัน ไม่ทันไรผู้หญิงคนนั้นก็ยกมือขวาขึ้นกวักไหวๆ พลางยิ้มหวานหยดย้อย

 

“ผมว่าเขากำลังเรียกเรานะ” 

 

“อุ๊ยตายแล้วฉันโดนนางกวักแย่งซีนเหรอนี่” นางฟ้าสาวปรารภพร้อมกับยกสองมือขึ้นแนบแก้มก่อนจะดึงเสื้อผมไว้ไม่ให้หลงเคลิ้มเดินไป “แม่ชมดชม้อยนั่นหล่อนไม่ชอบพูดหรอกนะ วันๆ ก็เอาแต่โปรยเสน่ห์กวักมือเรียกคนนู้นคนนี้เข้าร้านเท่านั้นแหละ”

 

“ห๋า…ผู้หญิงคนนั้นเป็นนางกวัก” ผมอึ้งไปเล็กน้อยเพราะเกิดมาก็พึ่งจะพบนางกวักตัวเป็นๆ ก็คราวนี้เอง

 

“ไม่เห็นถุงเงินในมือซ้ายของหล่อนเหรอ แต่งตัวแบบนี้ ท่าทางอย่างนี้ก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นนางกวักชัดๆ”

 

“แต่ก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่คุณเราแค่เข้าไปถามทางเขาเฉยๆ ดูสิๆ เธอเรียกเราใหญ่แล้วคุณฮ่าฮ่าฮ่า”ผมพูดพลางหัวเราะร่วนเมื่อเห็นสาวหน้าคมนัยน์ตาแขกกวักมือหยอยๆ

 

“นายอยากไปก็ไปเองสิเชอะ…ฉันไปถามคุณตาคนนั้นดีกว่า” ว่าแล้วนางฟ้าสาวก็เดินลิ่วไปยังศาลพระภูมิเจ้าที่เก่าๆ หลังหนึ่งซึ่งตั้งอยู่ตรงทางสามแพร่ง                                     

 

ถึงแม้ว่าใจหนึ่งผมอยากจะเข้าไปทักทายทำความรู้จักกับนางกวักแสนสวยที่ตอนนี้เริ่มเล่นหูเล่นตายื่นปากส่งจูบให้ผมแล้ว แต่ก็อดเป็นห่วงสาริกาไปไม่ได้ ในสถานการณ์เช่นนี้ผมคิดว่าเธอคงต้องการผู้ช่วย…ถึงผมจะไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวนักก็เถอะทว่า…ผมก็ควรจะอยู่เคียงข้างเธอ  

 

“คุณตาคนไหนของคุณ…ไม่เห็นจะมีเลย” ผมบอกก่อนจะเดินตามเธอไปศาลพระภูมิหลังนั้นมีสภาพทรุดโทรมกว่าที่ตนเองคิดไว้มากโข ตัวเสาปูนทาด้วยสีขาวซึ่งถลอกปอกเปิกไปหมด ส่วนหลังคาเป็นสีเขียวเข้มมีใยแมงมุมเกาะเต็มเป็นรังใหญ่ มาลัยไม่กี่พวงแขวนห้อยต่องแต่งอยู่ตรงช่อฟ้าแหลมๆ ที่ยื่นออกมาจากส่วนที่เป็นจั่วบ้างก็เป็นของปลอมบ้างก็แห้งเหี่ยวโรยราราวกับถูกปล่อยรกร้างมานานหลายปีแล้ว

 

เมื่อเลื่อนสายตาลงก็เห็นผ้าแพรสามสีถูกผูกไว้ดูรุงรังอยู่ที่ตัวเสา แต่ที่น่าตกใจก็คือข้างๆ กันนั้นผมเห็นชายชราผมสีดอกเลาในชุดเชิ้ตตัวโคร่งคนหนึ่งกำลังนั่งยองๆ หันหลังให้พวกเราอยู่

 

“คุณตาคะ มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้กันคะเนี่ย” ร่างเพรียวเอ่ยปากถาม ระหว่างเดินเข้าไปหาชายชราลึกลับซึ่งกำลังง่วนอยู่กับการทำอะไรสักอย่างอยู่…ทีละก้าวทีละก้าว

 

ผมเริ่มใจคอไม่ดีกับบรรยากาศแปลกๆ ที่พาให้ขวัญเสีย 

 

“แจ๊บ  แจ๊บ  แจ๊บ”  เสียงประหลาดดังแว่วมาจากทิศทางตรงหน้า ข้อศอกที่กางออกแล้วก็หุบเข้าก่อนจะกางออกอีกครั้งบ่งบอกถึงการเคลื่อนไหวกระตุกใจให้เข้าไปหาคำตอบ

 

 “โบร๋ววว” จู่ๆ เสียงหอนลากยาวก็ดังขึ้นพาเอาใจผมหดวูบเท่าเมล็ดถั่วเขียว

 

“ไปชิ่วๆ” ผมหันไปไล่สุนัขเจ้าถิ่นสามสี่ตัวแถวนี้ที่กำลังจับกลุ่มโชว์ลูกคอรับส่งเสียงหอนกันเป็นทอดๆ และยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลง 

 

‘จะว่าพวกมันเห็นเราก็คงไม่น่าจะใช่’ 

 

“โบร๋วว…โบร๋ววว…โบร๋ววว” 

 

“คุณ หมามันหอนอ่ะ” ผมร้องบอกก่อนจะปราดเข้าไปยืนข้างๆ เธอ 

 

“นี่มันศาลเพียงตาใช่มั๊ยคุณ” ผมคาดเดาเมื่อเห็นชายชรานั่งอยู่โดดเดี่ยวเดียวดาย…หรือบางทีแกอาจจะเป็นพระภูมิเจ้าที่ซึ่งอาศัยอยู่ในชุมชนแออัดแห่งนี้มานมนานกาเลแล้วก็เป็นได้

 

“ฉันก็ไม่รู้สิ” อีกฝ่ายตอบปัดๆ ก่อนจะร้องถามคุณตาอีกหน

 

“คุณตาคะคือพวกเราหลงทาง คุณตาพอจะทราบมั๊ยคะว่า…เอ่อ” 

 

ผมที่เห็นคุณตานั่งยองๆ  ก้มหน้าทำอะไรงุดๆ อยู่เลยเดินไปข้างๆ แก เห็นเครื่องเซ่นคาวหวานทั้งหลายที่ตั้งวางอยู่ตรงชานศาลล้มหกระเนระนาดราวกับถูกพายุพัดแล้วก็นึกสงสัย…นี่อาจเป็นฝีมือของชายชราผู้ผ่ายผอมรื้อค้นจนไส้ขนมถ้วยฟูกระจุยกระจาย แก้วน้ำแดงล้มไปทาง กระถางปักธูปล้มไปอีกทางด้วยกระมัง

 

 “คุณตาครับคือ...” ผมถามพลางชะโงกหน้าไปใกล้ๆ แก

 

แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้ตนเองตาเบิกค้างตกตะลึงพรึงเพริดจนกระโจนออกมาแทบไม่ทัน

 

ภาพของชายชราที่กำลังใช้ปากกัดทึ้งเนื้อสะโพกไก่ในมืออย่างตะกรุมตะกรามจนเศษไก่ต้มชิ้นเล็กชิ้นน้อยร่วงเลอะเปรอะเสื้อสีหม่นอเนจอนาถสายตาพาให้ผมเผลอทำหน้าแขยง ลิ้นเรียวแหลมของแกที่ตวัดเลียแผล็บคราบมันรอบวงปากพร้อมกับปล่อยน้ำลายยืดย้อยหยดแหมะลงบนจานสังกะสีใบน้อยๆ มองแล้วช่างน่าสะอิดสะเอียนยิ่ง

 

พอผมเลื่อนสายตาขึ้นไปก็พบกับภาพสยองของเบ้าตากลวงโบ๋ที่เหลือเพียงหนังเหี่ยวย่นห้อยปรกราวกับส่วนของลูกนัยน์ตานั้นถูกควักหายไป…!

 

อีกทั้งด้านข้างศีรษะที่มีแผลเหวอะหวะก็มีโลหิตสีคล้ำไหลอาบลงมาบนใบหน้าแถบหนึ่งของแก

 

และดูเหมือนว่าเลือดข้นๆ นั้นยังคงทะลักออกมา เรื่อยๆ

 

ปรึ้ด…ปรึ้ด…ปรึ้ด…

 

มันไหลโซมลงมา โฉลมร่างซีกขวาของชายชราเต็มไปหมดจากแผลกะโหลกเปิดจนเห็นเนื้อสมองแหลกเละ

 

ปรึ้ด…

 

ปรึ้ด

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

ชอบอ่านนิยายแนวไทยๆ กันมั๊ย

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา