ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
42) เพลงรักคืนแรม
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“วางข้าววางของได้แล้วพี่ น้องหนาวใจอยากมีใครมากอด” นางแน่งน้อยซึ่งชันตัวขึ้นจากเบาะนอนพูดอ้อนอีกฝ่ายที่กำลังยกหลังแขนขวาขึ้นปาดเหงื่อตรงหน้าผาก “ข้างนอกยุงชุมจะตายรีบเข้ามาในมุ้งเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็งอแงตื่นเช้าไม่ไหวหรอก หึ มีงานซ่อมรออยู่หลายบ้านเลยนะพี่ไหนจะต้องเอาอีซูซี่ไปปะยาง เติมน้ำมันอีกจะให้ฉันเอาตีนปั่นไปไม่ไหวหรอกนะกว่าจะถึงปากซอยน่องน้องคงโป่งพอดี”
“แหม่อีน้อยมึงนี่ก็ช่างบ่นซะจริง แล้วมึงจะให้คนขาด้วนอย่างข้าถีบซาเล้งให้มึงนั่งกินลมชมวิวเล่นรึไง”
“แหมก็น้องเป็นผู้หญิงยิงเรือ…” นางแน่งน้อยโอดเสียงอ่อน
“มึงน่ะยิงเรือแต่เดี๋ยวกูจะยิงมึงนี่ล่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พี่เทิดศักดิ์ยอกย้อนก่อนจะหัวเราะร่วนอย่างมีอารมณ์ขัน
“ถ้าอยากจะยิงก็มาเร็วๆ สิจ้ะพี่จ๋า” อีกฝ่ายเชื้อเชิญแล้วหัวเราะคิกคัก พาให้คนฟังอารมณ์คึกคักตามไปด้วย
“เออๆ ก็ได้วะ มึงนี่ชอบยั่วให้กูเหนื่อยอยู่เรื่อยนะอีน้อย” ชายพิการตอบทำสุ่มเสียงรำคาญพร้อมกับดึงผ้าขาวม้าที่พาดบ่าขึ้นมาปัดไล่ฝูงยุงที่เกาะกัดอยู่ตามเนื้อตัว แล้วรีบปล่อยมือจากงานที่ทำในทันใด จากนั้นจึงถอดหมวกแก็ปออกเผยให้เห็นเรือนผมหยักศกสีดำสนิท เลื่อนนิ้วปิดสวิทช์ไฟฉายที่ติดอยู่ใต้หมวก แล้วโยนปุลงข้างกองเครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างส่งๆ ก่อนใช้สองมือ สะโพก และขาซ้ายที่เหลือเพียงข้างเดียวพาตัวเคลื่อนเข้ามาหาเมียรักโดยไม่รีรอ
เสียงเนื้อที่เบียดครูดกับแผ่นไม้ส่งเสียงลั่นดัง พรืด พรืด ผมกับสาริกาที่เฝ้าดูอยู่เปิดทางให้แกกระถดตัวผ่านพวกเราไปด้วยสีหน้างงงวย ก่อนชายวัยกลางคนจะใช้มือข้างหนึ่งเลิกผ้ามุ้งขึ้นแล้วมุดหายเข้าไป เห็นแต่เงาวูบไหวของพี่เทิดศักดิ์ที่กำลังโอบร่างแบบบางของภรรยาเข้ามาชิดใกล้
“ว้ายพี่จ๋ามาเร็วจัง” เจ้าตัวที่ตกอยู่ในอ้อมกอดของสามีร้องเสียงตื่นเสียจนเราสองคนได้แต่มองหน้าทำตาปริบๆ ก็นางเองไม่ใช่หรือที่เร่งเร้าเรียกอีกฝ่ายให้เข้าหา แล้วทำไมต้องทำเป็นตกอกตกใจด้วยเล่า
“เอ๊ะ อีนี่ช้าก็บ่นเร็วก็ว่า…ก็กูรำคาญที่มึงร้องปาวๆ เรียกหาผัวอยู่ได้ พี่ก็เลยรีบมาจัดให้น้องน้อยนี่ยังไงล่ะจ้ะแม่คุณทูนหัวจะได้หายเหงาาาา” ชายพิการทำเสียงหงุดหงิดก่อนจะหยอดคำหวานเลี่ยนเสียจนพวกเราที่ยืนฟังอยู่เขินแทน
“นี่พี่เขาทำอะไรกันน่ะ?” ผมโพล่งถามออกไป แม้จะเห็นตำตาว่าชายร่างท้วมกำลังโลมไล้ซอกคอ ประพรมจูบไปบนหัวไหล่กลมมน ไล่ลามมายังต้นแขนฝ่ายหญิงอยู่ก็เถอะ
“อย่านะพี่แอ๊ด ไม่เอาน่า น้อง อุ๊ยย อึ๋ย อึ๋ย อึ๋ย” นางแน่งน้อยร้องครวญด้วยความเสียวซ่านสำราญใจ แล้วจึงดันตัวสามีออกห่างพลางพูดปรามพอเป็นพิธี “พี่จ๋าอย่านะน้องอาย เดี๋ยวผีสาง เทวดา นางฟ้าจะมาเห็น
พอได้ยินดังนั้นผมก็ผินหน้ามามองหน้าหญิงสาวที่ถูกกล่าวถึงทันควัน พอเห็นเธอทำหน้านิ่งชำเลืองสายตาเชิงตำหนิมาทางนี้แล้วก็แอบขำกับอาการแทร้งทำเป็นไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเจ้าหล่อน
“โถเมียจ๋าป่านนี้ผีสางนางฟ้าที่น้องว่าเค้าคงเป็นตากุ้งยิงกันหมดแล้ว ก็เราฮี่กับกับกันทั้งในมุ้งนอกมุ้งตรงบันไดในห้องน้ำอย่าสะดีดสะดิ้งนักเลยเมียเอ๋ย”
“ว้าย…สัปดี้สัปดนที่สุด” สาริกายกมือขึ้นบังปากพลางโพล่งออกมาด้วยความกระดากอาย เมื่อเห็นชายหญิงสองคนในมุ้งนอนเลิกผ้าเลิกผ่อนจนท่อนบนเปล่าเปลือย พี่เทิดศักดิ์เขยิบกายเข้าไปใกล้คนรักของเขาแล้วยกท่อนแขนใหญ่อ้อมโอบไหล่เล็กบางของอีกฝ่ายโดยหารู้ไม่ว่า ณ เวลานี้ยังมีใครคนอื่นมองดูบทเกี้ยวพาราสีของพวกเขาด้วยสีหน้าและอารมณ์ความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไป
นางฟ้าสาวรีบยกสองมือขึ้นปิดหน้าราวกับไม่อยากจะแล แต่เหตุใดเจ้าหล่อนถึงกางนิ้วห่างเสียอย่างนั้นเล่าผมยังแอบนึกสงสัย
‘โธ่ทำเป็นทนดูไม่ได้’ ผมคิดรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้มีโอกาสเห็นฉากเลิฟซีนต่อหน้าต่อตา
“นี่นายย้งรีบปิดตาเด็กๆ ไว้สิ” เธอเตือนเสียงแหลม ทว่าไม่ทันที่ผมจะได้ทำอะไรพ่อเฒ่าก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อนว่า
“ไม่ต้องหรอกขอรับ ไอ้เจ้าสองตนนี่มันเห็นจนชินตาไปแล้วล่ะขอรับ”
“ห๊ะ…/อุ๊ยตาย...!” พอได้ฟังดังนั้นผมกับสาริกาก็อุทานออกมาพร้อมกันทันที
“ฮ่าฮ่าฮ่า” ชายชราหัวเราะร่วน “เรื่องพรรค์นี้น่ะมันเป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรือ อีกอย่างเด็กๆ พวกนี้มันก็ถูกปลุกเสกขึ้นมาด้วยไสย…จะไปมีอารมณ์กำหนัดเหมือนมนุษย์มนาหรือเทวดานางฟ้าชั้นฉกามาพจรได้อย่างไรเล่าขอรับ”
“ฉกามาพจร?” ผมเปรยออกมาด้วยความสงสัย
“ก็คือสรวงสวรรค์ชั้นต้นทั้งหมดหกชั้นที่ฉันเคยบอกให้นายฟังยังไงล่ะ พวกเทพยาดาในชั้นเหล่านี้จะยังมีกิเลสตัณหาความรัก โลภ โกรธ หลง ไม่ต่างอะไรจากมนุษย์นั่นแหละ” อัปสรสาวอธิบายความ
“อย่างนี้ก็แสดงว่าพวกคุณก็ยังคงมีอารมณ์ทางเพศแล้วก็ ‘โซเดมาคอม’ กันเหมือนมนุษย์งั้นเหรอ” ผมถามตามความคิดที่เตลิดไปไกลพลางใช้สองมือสอดผสานกันแล้วยกฝ่ามือตีกันดังปั้บ ปั้บ ปั้บ
“ตาบ้าทะลึ่งที่สุด!” เธอแหวใส่พร้อมฟาดฝากล่องคุ้กกี้สีแดงลงมาตรงกบาลผมฉาดใหญ่
“เป้ง!”
“โอ๊ยยย!!!” ผมร้องลั่นก่อนจะต่อว่าเสียงเขียว “ผมก็แค่ถามเอาความรู้ เอะอะก็ใช้กำลังตลอดเลยนะ”
‘ยัยโหดเอ้ย…’ ผมบริภาษในใจพร้อมกับคลำหัวป้อยๆ เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ จะมีเลือดติดไปบ้างรึเปล่าเนี่ยเซ็งชะมัด
“ก็นายอยากหื่นใส่ฉันก่อนทำไมล่ะ” อีกฝ่ายเถียงน้ำเสียงเคืองขุ่นพร้อมกับทำหน้าเริ่ดเชิดใส่ แหมมันน่าจับปากยื่นๆ ที่เธอกำลังทำอยู่มาชนกับแก้มผมเสียจริงทว่าพอตวัดสายตามองไปทางคุณตาและกุมารรักยม ก็เห็นว่าทั้งสามกำลังปิดปากหัวเราะคิกคักกันอย่างสนุกสนาน
“คุณผู้ชาย กับคุณนางฟ้านี่หยอกเย้ากันน่ารักดีนะขอรับ” คุณตาที่กำลังยืนเอามือไพล่หลังบอกสีหน้าแย้มยิ้มอย่างเอ็นดู หากแต่ผมกลับรู้สึกขวยเขิน และหญิงสาวคงถึงกับขวัญผวาที่ถูกแซวเลยรีบตัดบทปลีกตัวออกมา
“ขอบคุณนะคะคุณตา เดี๋ยวฉันกับย้งคงต้องไปทำธุระกันต่อก่อนนะคะ” เธอกล่าวพลางยกมือขึ้นไหว้ผู้ใหญ่ทันใด
“โอ้ไม่เป็นไรขอรับพวกเรายินดี” ชายชรารีบยกมือไม้ขึ้นรับไหว้จนเผลอทำไม้เท้าตกลงพื้นดังตึงทำเอาพวกเราพากันสะดุ้งโหยงก่อนเจ้าตัวจะฉีกยิ้มสีหน้าแหยเผยซี่ฟันขาวที่เรียงกันห่างๆ
“พี่ๆ ไปก่อนนะจ้ะหนูอุมฯ หนูปาฯ” สาริกาหันไปกล่าวล่ำรากับเด็กๆ บ้าง
“จะไปแล้วเหรอพี่นางฟ้าใจดี” เด็กน้อยร่างอวบกล่าวด้วยสีหน้าอาวรณ์ก่อนจะก้มหน้าทำปากจู๋แล้วยกปลายนิ้วชี้ซ้ายและขวาขึ้นชนกัน “แล้วมาหาพวกเราอีกนะ”
“ขออบคุณมาาาก” ปาลีนังเอ่ยขึ้นมาบ้างพร้อมกับค้อมศีรษะลงเป็นการขอบคุณ
“จ้ะแล้วเจอกันใหม่นะ” เธอตอบก่อนจะพูดส่งท้าย “ดูแลคุณตาแกด้วยนะ”
กุมารทั้งสองพยักหน้ารับคำโดยพร้อมเพรียง หลังจากนั้นสาวร่างเพรียวจึงพยักหน้าอย่างพึงใจแล้วเดินนำลิ่วไป
“อ่าวเฮ้ยคุณ จะไปไหนอ่ะรอเดี๋ยวสิ” ผมร้องพลางหันขวั่บมองเข้าไปในมุ้งนอนที่สองผัวเมียกำลังหยอกเอินกันอยู่ด้วยความอยากรู้อยากเห็นอย่างนึกเสียดายกับภาพแสดงความรักของชายหญิงที่ตนเองไม่เคยได้เห็นจะจะคาตาเช่นนี้มาก่อน
ขณะนั้นเองพี่เทิดศักดิ์อ้าปากร้องเพลงอมตะอย่าง “จูบเย้ยจันทร์” ด้วยเสียงทุ้มนุ่มเสนาะหูราวกับนักร้องเสียงการเวกพลางเชยคางเรียวเล็กของภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากให้หันมองสบตาของตนแล้วยื่นหน้าเข้าไปหมายจะจูบ
“ โอ้นวลลออ น้องจะเหนียมอายไปทำไม หันมาใกล้ ใกล้ ซิจะอายไปไหนกัน”
“อุ๊ยไม่เอา อุ๊ยไม่เอา เค้ารู้ทัน น้องอายพระจันทร์ดูสิท่านกำลังมอออง” ฝ่ายหญิงร้องรับทันใดพลางเบี่ยงหน้าหนีทำเอียงอายแม้เสียงแหลมๆ นั้นจะหลงคีย์พาให้ผมหลุดขำแต่ก็เป็นภาพที่น่ารักชวนให้อมยิ้มและขวยเขินขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ก่อนที่บทเพลงอันแสนหวานจะถูกขับขานสลับท่อนร้องชาย-หญิงเคล้าคลอเสียงหัวเราะคิกคักสะท้อนห้วงอารมณ์แห่งความสุขก้องกังวานไปทั่วเรือนไม้หลังเล็กๆ ใต้ร่มเงาของแผ่นสังกะสีอันผุกร่อนซึ่งมีชายผู้พิการและหญิงผู้ยากไร้อยู่อาศัยกันเพียงสองคน
แม้จะเป็นความสุขแสนสามัญธรรมดาตามประสาคู่ผัวเมียหากแต่ก็ทำให้ผมได้เข้าใจโลกใบนี้ในมุมมองที่ต่างไปจากที่เคยเป็นมา
“คนเราจะสุขหรือทุกข์มันไม่เกี่ยวกับความยากดีมีจนหรอกนะ คนร่ำรวยก็ทุกข์ได้ คนยากจนก็สุขได้เหมือนกันมันอยู่ที่ความคิดและทัศนคติของตัวเราเองต่างหาก”
เสียงของสาริกาดังขึ้นมาในความคิดคะนึง บางทีเธออาจจะพูดถูก แม้ชีวิตไม่สมบูรณ์พร้อมแต่ถึงกระนั้นเราต่างก็สามารถมีความสุขได้ในวิถีทางของตนเอง…สำหรับใครบางคนการได้ทำในสิ่งที่ตนรักและได้อยู่กับคนที่เขารักในทุกๆ วัน แค่นั้นก็อาจจะเพียงพอและคุ้มค่าแล้วกับการที่ได้เกิดมาในชีวิตหนึ่ง
“มายืนมองชาวบ้านเค้าจู๋จี๋ดูดี๋กันอยู่ทำไมเล่า รีบไปเถอะน่า” นางฟ้าสาวซึ่งเดินลิ่วไปทางห้องพระย้อนกลับมาตามผม โดยไม่พูดพร่ำทำเพลงอะไรมากมายจู่ๆ เจ้าหล่อนก็เอื้อมมือมาดึงคอเสื้อยืดแล้วลากจูงผมไปในทันทีราวกับไม่อาจจะทนดูบทรักในม่านมุ้งที่เริ่มเร่าร้อนได้อีกต่อไป
“เฮ้ยๆ คุณเบาๆ ก็ได้น่า” ผมบอกขณะที่ตัวหลุดเข้ามาในห้องขนาดเล็กและมืดยังดีที่รอบตัวของสาริกามีแสงสีขาวสว่างเรืองรองทำให้ผมพอจะมองเห็นอะไรต่อมิอะไรได้บ้าง อาทิเช่น ตู้ไม้ และโต๊ะหมู่บูชาแบบหมู่สี่ประดิษฐานพระพุทธรูปทองเหลืองปางสมาธิไว้บนสุด และมีเครื่องบูชาต่างๆ รวมถึงพระพุทธรูปองค์ย่อยๆ เนื้อโลหะ สำริด บ้างก็แกะสลักจากแก้วอีกหลายองค์ถูกจัดวางลดหลั่นกันลงมา
“นายเงียบๆ หน่อยสิฉันขอคุยกับเพื่อนแปบนึง” เธอบอกแล้วจึงปล่อยมือจากคอเสื้อผมก่อนจะตั้งนิ้วชี้ขึ้นมาทาบกับปลายจมูกและปากเป็นเชิงให้เงียบเสียง ทำเอาผมตระครุบปากไว้แทบไม่ทัน
“แพรวภิตาเธอส่งประตูเทวานิรมิตลงมาได้เลย” สาริกาบอกขณะอยู่ในท่ายกฝ่ามือขวาขึ้นป้องใบหูพูดคุยกับเพื่อนสาวซึ่งผมคาดเดาเอาว่าคงจะเป็นหนึ่งในทีมงานนางฟ้าของเจ้าหล่อนนั่นแหละ
“ใช่จ้ะใช่…ที่บ้านของนายเทิดศักดิ์ อ่อนสา ไอดีสามศูย์สี่หกเก้าเก้าสองแปดแปดสองศูนย์ศูนย์เก้าเจ็ดหกห้าสามสี่ศูย์สี่สี่ห้าหนึ่งสามเก้า”
‘โหหห รหัสอะไรวะยาวโคตร’ ผมแอบบ่นในใจ และแน่นอนว่าความนึกคิดของผมก็ไม่เคยหลุดรอดไปจากการรับรู้ของเธอ ซึ่งเป็นเหตุให้อีกฝ่ายชำเลืองมองผมด้วยสายตาแปลกๆ ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาสนทนากับผู้หญิงที่ชื่อแพรวภิตาอะไรนั่นต่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด
ในวินาทีนั้นผมมีลางสังหรณ์ว่ากำลังจะเกิดปัญหาใหญ่ที่ทำให้ด้วงวิญญาณน้อยๆ อย่างผมต้องยุ่งยากวุ่นวายขึ้นอีกหลายเท่าแน่ๆ
แล้วก็เป็นจริงดังว่าเมื่อผมได้ยินเธอโพล่งออกมาเสียงดังจนผมตกใจ
“ตายแล้ว…พุทโธ-ธัมโม-สังโฆ!”
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคุณ” ผมขยับปากถามโดยไม่เปล่งเสียง เพราะเกรงว่าจะไปขัดจังหวะการพูดคุยของอีกฝ่ายหนึ่งเข้า
“ประตูเทวานิรมิตเสียส่งสัญญาณลงมาไม่ได้น่ะสิ” สาริกาบอกสีหน้าหงิกงอ
“แล้ว…ยังไง?” ผมรีบถามต่อด้วยความประหวั่น
“เราก็ต้องเดินเท้าออกไป” เธอตอบห้วนๆ
“ห๊ะอะไรนะ!?” ผมเผลอร้องออกมาด้วยความข้องใจ
“ฉันบอกว่า…เราต้องเดินออกไปจากที่นี่” หญิงสาวกล่าวช้าๆ ชัดๆ ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก สีหน้าของเจ้าหล่อนเครียดขึงขึ้นมาเมื่อเผชิญกับปัญหาที่ดูท่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างที่ผมสังหรณ์ใจไว้ไม่มีผิด
“แล้วเราจะต้องเดินไปที่ไหน ไปอีกไกลมั๊ยคุณ”
“แพรวภิตา แล้วเราจะทำยังไงกันดี” เธอไม่ตอบแต่กลับป้อนคำถามไปยังอีกฝ่าย รับฟัง แล้วพยักหน้าหงึกหงัก ก่อนจะเปรยออกมาเบาๆ “อืมได้ๆ จะลองดู”
“เธอเตรียมแท็กซี่ให้เราสองคนด้วยก็แล้วกันนะ ขอบใจจะ” กล่าวเสร็จนางฟ้าสาวก็ยื่นแขนมาคว้าข้อมือผมอย่างรวดเร็ว
“ไปกันเถอะ”
“ดะดะดะเดี๋ยวนี่คุณจะพาผมไปไหน ประตูนั่นมันเสียไม่ใช่เหรอ” ผมบอกด้วยความกังขา
“ก็ใช่น่ะสิ เราถึงต้องรีบไปยังไงล่ะ เพราะกว่าจะเดินออกไปปากซอยได้ก็คงใช้เวลาหลายนาทีอยู่พอถึงที่นั่นก็จะมีแท็กซี่มารับเราไปยังโรงพยาบาล…ฉันมีอีกเคสนึงที่จะต้องเก็บข้อมูล”
“แล้วคุณออกไปปากซอยถูกเหรอ” ผมยังคงซักไซ้ไล่เลียง
“ไม่เป็นไรฉันมีแผนที่ อย่าห่วงเลยมากับฉันทั้งคน” สาริกาตอบเสียงอ่อย สีหน้าของนางฟ้าสาวที่เคยมั่นอกมั่นใจในตัวเองกลับดูซีดเซียวและเต็มไปด้วยความวิตกกังวลฉายชัดออกมา แม้เธอจะพยายามแค่นยิ้มกลบเกลื่อน แต่ผมรู้ดีว่าเราทั้งสองกำลังตกที่นั่งลำบากด้วยกันทั้งคู่…และเธอเองก็กำลังหวาดหวั่นในใจไม่น้อยไปกว่าผมเลย
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ