ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
41) สันตนาปานบุญ
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความเด็กน้อยร่างอ้วนก้มมองฝักข้าวโพดต้มในมือแล้วทำท่าขบคิดก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังพี่ชายร่างผอมชะลูดที่ยืนกุมหน้าท้องอยู่ใกล้ๆ ด้วยความโหยหิว ก่อนจะกลับมามองฝักข้าวโพดของตนอีกครั้งอย่างชั่งใจ เขาใช้สองมือกำมันไว้แน่น จากนั้นจึงออกแรงหักสะบั้นลง
“เปาะ”
แม้ว่าก่อนหน้านี้ผมจะรู้สึกสงสัยในการกระทำนั้นแต่ท้ายที่สุดก็กระจ่างใจเมื่ออุมชิฬายื่นข้าวโพดท่อนหนึ่งปันให้แก่พี่ชายด้วยความอาทร
“ขอโทษนะ…” เขาบอกเสียงทื่อระหว่างที่อีกฝ่ายเอื้อมมือมารับมันไปด้วยสีหน้าแย้มยิ้มตาเป็นประกายสดใส “อ่ะข้าให้เจ้าเอาไปเถอะ”
ผมเผลอยิ้มเมื่อได้เห็นมุมเล็กๆ อันอ่อนโยนของกุมารน้อยที่เคยมองว่าเป็นพวกแก่นกะโหลก
“ขออออบจาาายนะ” ปาลีนังกล่าวพลางกะพริบตาปริบๆ แล้วมองลงมาที่ฝักข้าวโพดท่อนน้อยในมือก่อนจะยกขึ้นมาก้มหน้าก้มตาแทะทานอย่างเอร็ดอร่อย พร้อมกับหยาดน้ำตาที่หยดย้อยลงมาข้างแก้ม
“พวกหนูคงจะหิวมากเลยสินะ…” เธอเปรยออกมาด้วยความเห็นใจ
“เราอยู่กันอย่างอดๆ อยากๆ แบบนี้มาสักพักแล้วขอรับ” คุณตาเอ่ยเสียงเศร้า “สองผัวเมียนี่น่ะวันๆ เอาแต่ทำงานทำการกันก็เลยไม่ค่อยได้เซ่นไหว้พวกเราสักเท่าไหร่ ของกินพวกนี้ก็อาศัยเอาบุญเก่า บ้างก็ขอปันน้ำใจจากผีบ้านผีเรือนข้างเคียงน่ะขอรับ นานๆ ถึงจะเข้าฝันไปขอเครื่องเซ่นกันสักที
แต่จะให้ทอดทิ้งผัวเมียคู่นี้ไปกระผมก็ทำไม่ได้ หากทิ้งไปไอ้เจ้าเด็กสองตนนี้เล่าจะอยู่ยังไง แล้วอีกอย่างพวกเขาก็เป็นคนดีถ้าบ้านหลังนี้ไม่มีเทวาอารักษ์คอยปกป้องคุ้มภัยป่านนี้ไอ้ ‘สันตนาปานบุญ’ ที่อยู่ข้างนอกนั่นคงเข้ามาแย่งผลบุญและทำลายครอบครัวนี้จนป่นปี้แน่”
“เอ๊ะ…มันคืออะไรเหรอครับไอ้สัมปทานบุญที่คุณตาว่า” ผมซักถามด้วยความสงสัยกับชื่อเสียงเรียงนามแปลกๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
“สันตนาปานบุญย่ะ” สาริกาแก้คำก่อนอธิบาย “มันเป็นศัพท์เฉพาะที่ไว้เรียกพวกสัมภเวสีชั้นเลว ซึ่งมีจิตคิดริษยาหวังจะฉกฉวยผลบุญของผู้กระทำดีมาเป็นของตนด้วยวิธีการอันโสมมต่างๆ เพียงเพราะตอนเป็นมนุษย์นั้นตัวเองทำแต่เรื่องเลวทรามต่ำช้า เมื่อตายไปจึงเป็นได้แค่เพียงขอทานเร่ร่อนในโลกวิญญาณเท่านั้นเอง
แต่บางตนก็มีแรงอาฆาตมาดร้ายรุนแรงถึงกับซ่องสุมกันก่อเรื่องก่อปัญหาความวุ่นวายให้แก่มนุษย์และเหล่าวิญญาณอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น…เราให้คำจำกัดความวิญญาณเหล่านี้ว่าเป็นพวก ‘พรากบุญ’ โดยเฉพาะนาย…ต้องระวังพวกนี้ให้ดีเชียวล่ะ”
“อืมๆ” ผมรับคำอย่างงุนงง
‘มันเกี่ยวอะไรกับผมกันละนี่’
“ใช่ขอรับพวกนี้มันมีร้อยเล่ห์เพทุบาย นอกจากจะคอยกลั่นแกล้งมนุษย์แล้วยังหลอกล่อให้วิญญาณดีแปรเปลี่ยนเป็นวิญญาณเลวๆ บ้างก็แย่งชิง ผลบุญของเหล่าสัมภเวสีไปจนหมด” ชายชรากล่าวเสริม
“เอ๊ะ…ไหนคุณบอกว่าคนชั่วตายไปก็ต้องตกนรกไม่ใช่เหรอแล้วมันมีพวกนี้ขึ้นมาได้ยังไงกันล่ะคุณ”
“ไม่ใช่วิญญาณทุกตนหรอกนะที่จะนั่งรอนอนรอให้ผู้คุมมาจับตัวไปน่ะ และอีกอย่างปริมาณงานของนรกน่ะก็มีมากมายก่ายกอง วันๆ หนึ่งแค่คุมวิญญาณข้างล่างก็ล้นมือแล้ว ก็คงมีบ้างที่หลุดรอดสายตาพวกยมทูตไปได้…”
“นั่นสินะ” ผมพยักหน้าหงึกอย่างเห็นใจ
“นะนะนั่น…นั่น…”
ทันใดนั้นคุณตาก็โพล่งออกมาด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก พลางชี้นิ้วเหี่ยวย่นที่กำลังสั่นระริกไปยังพื้นไม้ข้างๆ ปาลีนังซึ่งมีเมล็ดข้าวโพดเล็กๆ ตกอยู่ ผมรีบเบนสายตาไปมองแล้วก็ต้องตกใจตามเมื่อเห็นควันลอยอวลขึ้นมาเป็นสายจากนั้นใบอ่อนเล็กๆ จึงผลิออกมาจากผิวเมล็ดนั่นแล้วเติบโตงอกงามสูงชะลูดกว่าสองเมตรอย่างรวดเร็ว
ส่วนลำต้นตั้งตรงทอดใบสีเขียวเรียวยาวออกมาหลายใบ ก่อนที่ตรงปลายยอดจะแตกรวงอ่อนเห็นเป็นเส้นสีเขียวหลากเส้นชี้โด่ชี้เด่ซึ่งมีเมล็ดเกสรเล็กๆ ติดเรียงไปตลอดแนวราวกับรวงข้าว
“นี่มันต้นข้าวโพดนี่” กุมารน้อยร่างอ้วนร้องทักเสียงใสเผลอปล่อยซังข้าวโพดที่ถูกแทะจนเกลี้ยงหล่นตุบลงพื้น “ข้าเคยเห็นในทีวี”
“ใช่แล้วจ้ะ” หญิงสาวในชุดสีพีชซึ่งสวมที่คาดผมติดกุหลาบดอกโตตอบด้วยรอยยิ้มละไมก่อนจะขยับมือข้างซ้ายไปกุมมือของกุมาร ‘รัก’ ผิวดำมะเมื่อมที่กำลังยืนอึ้งตะลึงอ้าปากค้าง ส่วนอีกข้างก็เลื่อนไปดึงมือของกุมาร ‘ยม’ ซึ่งมีผิวกายขาวเผือกประหนึ่งทาแป้งมาผสานกับมือของเธอ พวกเราพากันจดจ้องไปยังสิ่งมหัศจรรย์ที่บังเกิดขึ้นอย่างสนอกสนใจ
“ในที่สุดข้าวโพดวิเศษก็ได้เติบโตขึ้นมาภายใต้ชายคาแห่งนี้แล้ว” นางฟ้าสาวพูดต่อด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน “ข้าวโพดต้นนี้ไม่ได้เหมือนข้าวโพดต้นอื่นๆ หรอกนะจ้ะ”
พอกล่าวถึงตรงนี้เด็กทั้งสองต่างก็ผินหน้ามองเธอด้วยความสงสัย
“แต่มันสามารถเจริญงอกงามได้ก็ด้วยความรักและความดีที่ทุกๆ คนได้กระทำและมีให้ต่อกันและกันจ้ะ…ทุกๆ ครั้งที่พวกหนูๆ ได้ทำสิ่งที่ดีงามไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไร ก็เสมือนเป็นการรดน้ำใส่ปุ๋ยให้แก่ข้าวโพดต้นนี้ ดังนั้นถ้าอยากให้ข้าวโพดออกฝักไวไว พวกหนูๆ ก็ต้องทำความดีให้ได้ในทุกๆ วันเลยนะ”
“แล้วไอ้ความดีมันทำยังไง ทำยากรึเปล่า” เด็กน้อยผู้สวมโจงกระเบนสีแดงถามพาซื่อ
“ข้าว่าาาไม่น่าาายาากหรอกอุชิฬาาา” ปาลีนังแสดงความเห็น
“ความดีนั้นหากเราคิดว่ามันทำยาก มันก็ยาก แต่ถ้าเราคิดว่าทำได้ง่ายๆ มันก็ง่าย ทุกๆ อย่างอยู่ที่การตัดสินใจของเรา และลงมือทำเพียงเท่านั้นเอง” นางฟ้าสาวตอบ “…อย่างเช่นเพียงแค่หนูอุมกับหนูปาไม่ทะเลาะกันก็ถือว่าเป็นการทำความดีได้แล้วนะ”
“เท่านี้น่ะเหรอ ทำไมถึงเรียกว่าเป็นความดีได้ล่ะ” เด็กน้อยถามเสียงใส อีกฝ่ายยิ้มรับแล้วจึงอธิบาย
“เมื่อใดก็ตามที่เรารักกันเป็น เราต่างก็จะมีความสุข รวมทั้งคนรอบข้างก็จะมีความสุขไปกับเราด้วยเช่นกันนะ…นี่ล่ะคือความดี ความดีก็คือการทำให้ผู้อื่นมีความสุขยังไงล่ะจ้ะ…คุณตาก็ไม่ต้องมาดุด่าว่ากล่าวหรือลงโทษพวกหนู ไม่ต้องเหนื่อย ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องมีใครเจ็บปวด หรือมีบาดแผล ความโกรธเกลียดชิงชังนั้นไม่เคยส่งผลดีให้แก่ใครหรอก…จริงมั๊ย”
กุมารทั้งสองที่ฟังอยู่พากันพยักหน้าหงึกหงักอย่างเห็นด้วย
“ภายใต้บ้านหลังนี้ เราก็มีกันอยู่เพียงเท่านี้ไม่ใช่เหรอจ้ะ แล้วทำไมเราต้องเกลียด ทำไมถึงต้องแก่งแย่ง ในเมื่อเราต่างรู้ดีว่าที่จริงแล้วเราสามารถแบ่งปันและอภัยให้กันได้”
เธอกล่าวพลางมองพวกเด็กๆ ด้วยสายตาเอ็นดูรักใคร่แล้วจึงกล่าวต่อไปว่า
“สิ่งสำคัญก็คือเราควรจะเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันให้เป็น บางครั้งก็ต้องยอมเสียสละ และในบางครั้งก็ควรให้อภัย เพื่อความสุขของทุกๆ คนในบ้านหลังนี้ ทั้งคุณพ่อคุณแม่ คุณตา แล้วก็อุมชิฬาและปาลีนังด้วยจ้ะ ไม่มีที่ใดหรอกจะสงบสุขได้ถ้าผู้ที่อยู่ร่วมกันเอาแต่ทะเลาะเบาะแว้งหรือเอาเปรียบซึ่งกันและกัน”
“คุณตาคะ” คราวนี้สาริกาได้หันไปพูดกับคุณตาซึ่งกำลังยืนสงบเสงี่ยมอยู่บ้าง “คุณตาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้าน เป็นที่เคารพนับถือของพวกเด็กๆ ฉันก็หวังว่าคุณตาจะคอยชี้แนะให้ทั้งสองเป็นเด็กที่ดีต่อไปด้วยนะคะ หากจะลงโทษพวกเขาก็อย่าถือเอาอารมณ์โกรธหรือโมโหเป็นที่ตั้งเลยค่ะ”
นางฟ้าสาวบอกแล้วจึงเลื่อนสายตามองมาทางผม
“อย่างที่ย้งเขาบอกไว้ การจะทำให้คนที่เรารักเป็นคนดีได้มันไม่จำเป็นต้องลงไม้ลงมือเฆี่ยนตีกันรุนแรงหรอกค่ะ เด็กๆ ยังเดียงสาเกินกว่าจะเข้าใจในทุกๆ สิ่งที่เราทำเพื่อพวกเขา เมื่อใดก็ตามที่เราหยิบยื่นความโกรธให้แก่พวกเขา พวกเขาก็จะโกรธเรากลับคืน แต่หากเรามอบความรักความเข้าใจให้แก่พวกเขา พวกเขาก็จะรักเรากลับคืนมาเช่นกัน คุณตาน่ะรักและเป็นห่วงเป็นใยหนูอุมกับหนูปาไม่ใช่เหรอคะ”
“ขอรับ…” ชายชราตอบเสียงเรียบด้วยท่าทีสำนึก
“พี่แอ๊ดด มานอนได้แล้วพี่ดึกแล้วนะพี่จ๋า…” เสียงเล็กแหลมดังขึ้น พาให้ทุกคนละสายตาจากต้นข้าวโพดแล้วหันไปมองทางสองสามีภรรยาโดยพลัน
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ