ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)

5.3

เขียนโดย watcharakarn

วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.

  67 ตอน
  3 วิจารณ์
  39.89K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

40) ยื้อแย่ง / แบ่งปัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

“ปาฏิหาริย์”         

 

“ห๋า…ฮ่าฮ่าฮ่าปาฏิหาริย์อย่างนั้นเหรอ” พอได้ยินดังนั้นผมก็หลุดหัวเราะท้องคัดท้องแข็ง “ฮ่าฮ่าฮ่าโอ๊ยยยขำไม่มีอะไรที่มันดีกว่านี้แล้วรึไงคุณ”

 

“นี่อย่ามาดูถูกกันนะ” อีกฝ่ายเท้าสะเอวบอกหน้ามุ่ยก่อนจะสะบัดหน้าค้อนขวั่บเข้าให้

 

“ฮิฮิฮิ” ผมยังคงหัวเราะร่วน ด้วยเพราะไม่เคยเชื่อเรื่องพรรค์นี้เลยแม้แต่น้อย เรื่องของปาฏิหาริย์มันก็เป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้นแหละไม่ใช่ธุระกงการอะไรของชาวสวรรค์ชั้นฟ้านั่นหรอก

 

“แฮ่ๆ มีใครจะฆ่ากันตายหรือขอรับ” ทันใดนั้นพ่อเฒ่าเครายาวเฟื้อยก็โผล่พรวดขึ้นมากลางวงสนทนา ทำเอาผมกับสาริกาตกอกตกใจเผลอร้องอุทานออกมาพร้อมกัน

 

“เฮ้ย!/ว้าย!”

 

“โธ่...ตามาไม่ให้ซุ่มให้เสียงกันเลยนะ” ผมบอกพลางเอามือข้างหนึ่งทาบอกเกิดแสงสว่างแล่นปราดขึ้นมาวาบหนึ่งเหมือนทุกครั้งที่อารมณ์ปั่นป่วนรวนเร หรือมีเรื่องใดมากระทบใจ 

 

“คุณตาก็เล่นอะไรก็ไม่รู้นะคะ” สาริกาต่อว่าหน้าหงิก

 

“แหะแหะ” แกยิ้มเผล่ เห็นซี่ฟันขาวและตีนกาขึ้นเป็นริ้วๆ ที่หางตา “กระผมเห็นคุณคุณคุยกันเสียงล้งเล้งแล้วเป็นห่วงน่ะขอรับเลยมาดูสักกะหน่อย”

 

“ไม่มีอะไรหรอกค่ะตา ก็แค่ตาบ็องส์ขี้โวยวายเท่านั้นเองชิ” อีกฝ่ายว่าเหน็บก่อนจะเมินหน้าไปทางชายชรา “ฉันเสร็จธุระแล้วคงต้องขอตัวไปต่อก่อนนะคะ”

 

“คุณจะพาผมไปไหนอีกนี่มันก็…” ผมถามพลางยกแขนขวาทำทีขึ้นมาดูนาฬิกาข้อมือทั้งที่ความจริงแล้วไม่ได้ใส่

 

“เอ่อ…ก็เที่ยงคืนกว่าๆ แล้วดูสิ”

 

พอเงยหน้าขึ้นมาก็แลเห็นสายตาทั้งสองคู่มองมาอย่างเย็นชาแกมตำหนิแล้วก็ได้แต่ทำหน้าเจื่อนจ๋อย

 

“ฉันไม่ขำ” เธอบอกเสียงทื่อ 

 

“ก็ผมไม่อยากเห็นคุณเครียดนี่นา” ผมอ้างกับการเล่นมุกที่ไม่ชวนขบขันเอาเสียเลย

 

“ปุกปัก ปุกปัก ปุกปัก!” ในตอนนั้นเองก็เกิดเสียงประหลาดแทรกขึ้นมา ทำให้พวกเราต้องหยุดการสนทนาแล้วมองไปทางต้นเสียงบริเวณมุ้งนอนโดยพลันแลเห็นกุมารทั้งสองตนกอดรัดฟัดเหวี่ยงวาดหมัดวางมวยกันพัลวันไปหมด มือป้อมๆ สีขาวเผือกข้างซ้ายของอุมชิฬากำลังทึ้งผมขอดขดบนศีรษะของปาลีนังเต็มแรง

 

โดยที่มืออีกข้างยังคงกำฝักข้าวโพดซึ่งถูกแทะไปบ้างแล้วเอาไว้แน่น และพยายามเหยียดแขนหนีฝ่ามือสีดำขนาดใหญ่ของผู้เป็นพี่ไม่ให้ยื้อแย่งอาหารของตนได้สำเร็จ ก่อนทั้งสองจะกลิ้งโคโล่ออกมาจากมุมมืดทะลุผ่านเชิงเทียนทองเหลืองซึ่งตั้งอยู่บนพื้นห่างหัวนอนไปประมาณวาหนึ่งแล้วนอนตะแคงต่อยเตะถองถีบใส่กันมั่วซั่วราวกับเกลียดชังกันมาแต่ชาติปางไหน เป็นภาพที่ชวนให้น่าตระหนกตกใจอย่างยิ่ง

 

“หึ้ย หึ้ย ปล่อยนะไอ้ปา กูไม่ให้มึงดอก!” เด็กร่างอ้วนแผดเสียงกระโชกพลางกระชากผมของอีกฝ่ายจนหน้าหงายแล้ววาดฝ่ามือที่กำแน่นซัดเข้าที่ใบแก้มของเด็กร่างผอมซึ่งสูงใหญ่กว่าดังผัวะ ผัวะ แม้จะมองอยู่ห่างๆ แต่ภาพการต่อสู้ช่วงชิงที่เห็นก็ดูรุนแรงจนผมนึกประหวั่นอยู่ข้างใน

 

“ปัดโธ่เอ้ยเจ้าสองตัวนี้นี่เอาอีกแล้วรึ” คุณตาผีบ้านผีเรือนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผมถึงกับตบหน้าผากตัวเองฉาดใหญ่พร้อมกับบ่นอย่างหัวเสีย “แม้แต่ตอนมีแขกเหรื่อยืนกันหัวโด่พวกเอ็งก็ไม่เว้นกันเลยนะ ไอ้อุม…ไอ้ปา…ข้าล่ะอายจริงๆ” พูดแล้วชายชราในชุดขาวก็หันมาทางพวกเรา

 

 “ขอตัวไปจัดการเจ้าสองตัวนั่นก่อนนะขอรับ” เขากล่าวสีหน้าเจื่อนแล้วหันไปตวาดเด็กทั้งสองเสียงลั่น “หยุดเดี๋ยวนี้นะไอ้เด็กผี”

 

หลังจากนั้นพ่อเฒ่าจึงหมุนตัวเดินยักแย่ยักยันชูไม้เท้าขึ้นเย้วเย้วประหนึ่งขู่ไล่เด็กทั้งสองที่ยังคงชุลมุนชุลเกกันอยู่

 

“ฉันว่าเรารีบไปจากที่นี่กันดีกว่า” สาริกาเสนอพลางยกฝ่ามือเรียวขึ้นมาประทับใบหูขวาแล้วเอ่ยปากสนทนากับใครสักคน “แพรวภิตาได้ยินฉันมั๊ย…”

 

“เอ่อ…นี่คุณทำไรอ่ะ?” ผมถามพลางมองกริยาท่าทางนั้นอย่างงุนงง สาริกาไม่ตอบแต่กลับเดินเลี่ยงออกไปคุยอีกทางหนึ่ง

 

 “ได้ยินแล้วตอบด้วยแพรวภิตา” นางฟ้าสาวกล่าวย้ำสีหน้าเคร่งเครียด

 

“อ้าวคุณ” ผมร้องออกมาพลางไล่สายตาตามร่างเพรียวที่หายลับเข้าห้องพระไปจากนั้นจึงเดินไปหาเด็กๆ เพื่อดูสถานการณ์ด้วยความเป็นห่วงแล้วก็พบว่าชายชรากำลังใช้ไม้เท้าสีดำกระหน่ำฟาดที่เนื้อตัวของอุมชิฬาและปาลีนังดังเพี๊ยะ เพี๊ยะด้วยความโกรธเกรี้ยวจนสองศรีพี่น้องลงไปนอนกองกับพื้น 

 

“ฮือๆๆ โอ๊ยๆๆ” เด็กๆ พากันร้องไห้น้ำตานองหน้า ส่งเสียงคร่ำครวญดังก้องแข่งกับสายฝนพรำๆ อยู่ในภพภูมิของวิญญาณขณะที่โลกของมนุษย์ทุกอย่างยังคงดำเนินไปตามปกติ สายฝนเริ่มสร่างซา ลมพัดพราย และบ้านช่องห้องหับซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรือนไม้หลังคามุงสังกะสียังคงมืดสลัว

 

…ไร้แสงจากหลอดไฟหากแต่สว่างไสวด้วยเปลวเทียนเล่มเล็กๆ สีเหลืองนวลตาที่ถูกจุดตั้งไว้ตามมุมต่างๆ ภายในตัวบ้านแต่ละหลังที่ตั้งกันอย่างแออัดยัดเยียดทอดยาวไกลไปตลอดซอกซอยอันเล็กแคบ

 

“คุณตาทำอะไรอ่ะครับ!”  ผมแผดเสียงลั่นด้วยความตกใจก่อนจะถลันเข้าไปห้ามปรามพร้อมกับยกสองมือกำไม้เท้าที่กำลังฟาดลงไว้แน่น

 

“อย่าขอรับ กระผมจะสั่งสอนพวกมันให้เข็ดขยาดหลาบจำจะได้ไม่ทำเรื่องน่าขายหน้าเช่นนี้อีก” ชายชราไม่ยอมหยุดแกยังโถมตัวเข้าไปทำให้เรายื้อยุดชุดกระชากกัน พาให้ท่อนขาและเท้าของผมวาดสะเปะสะปะทะลุผ่านเชิงเทียนเสียจนเปลวไฟเต้นวูบไหว

 

“ใจเย็นก่อนครับคุณตา ทำแบบนี้มันไม่ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นหรอกครับ ถ้าเค้าไม่เข้าใจอีกหน่อยก็ตีกันอีก”

 

 “เกิดอะไรขึ้นกันเหรอคะ?!” นางฟ้าสาวซึ่งผลุนผลันออกมาจากประตูเอ่ยถามสีหน้าตาตื่น

 

“คุณเข้าไปดูน้องๆ เค้าหน่อยสิ” ผมร้องบอกเธอระหว่างยังคงค้างอยู่ในท่ายื้อแย่งไม้เท้ากับคุณตาหนวดเครายาวเฟิ้มซึ่งพยายามกระชากมันให้หลุดออกจากมือของผม

 

“ปล่อยสิครับ กระผมบอกให้ปล่อย”

 

“ไม่ครับ…” ผมยันเสียงแข็งก่อนจะจ้องเขม็งไปยังแก “คุณตาต้องสัญญามาก่อนว่าจะไม่ทำแบบนี้อีก”      

 

“กระผมจะสั่งสอนเด็กๆ ของกระผมที่พวกมันทะเลาะต่อยตีกัน จะเข้ามาขวางทำไมขอรับนี่มันไม่ใช่ธุระกงการของคุณสักหน่อย”

 

“ผมเองก็ไม่ได้อยากจะมายุ่งหรอกนะ” ผมโต้ “แต่พวกเขายังเด็กนะครับ การใช้กำลังเฆี่ยนตีกันรุนแรงแบบนี้มันไม่ได้ทำให้พวกเขาเคารพรักคุณตามากขึ้นหรอกนะ อย่างมากเขาก็แค่กลัว แต่ไม่มีวันเข้าใจ”

 

“ไม่ทำแบบนี้แล้วมันจะหลาบจำเรอะ ถ้าเอาแต่คอยประคบประหงมอยู่ตลอดพวกมันก็จะไม่รู้เลยว่าอะไรผิดอะไรถูก วันหนึ่งถ้าเด็กทั้งสองคนนี่เตลิดออกนอกคอกไปคุณจะรับผิดชอบมันไหวหรือ”

 

พอได้ยินคุณตาตอกกลับมาดังนั้น ก็ทำให้ผมรู้สึกสะท้อนใจ เหตุผลของแกนั้นความจริงมันก็ถูกแต่…ดูสิกุมารสองตนนั้นกลัวจนตัวสั่นงันงกไปหมดแล้ว

 

“ทำไมไม่สอนกันดีๆ ล่ะครับ ทำแบบนี้เด็กๆ เขาจะเข้าใจในความหวังดีของคุณตาได้ยังไงสิ่งที่พวกเขารู้สึกก็คงจะมีแต่ความคับข้องใจ โกรธ และเกลียดคุณตาเท่านั้นเอง” ผมแย้งเสียงอ่อนลง 

 

“ถ้ามันโกรธ หรือเกลียดแล้วกระผมทำให้มันเป็นผีที่ดีได้กระผมก็จะทำ”  คุณตาย้อนน้ำเสียงหนักแน่นราบกับต้องการยืนกรานความคิดของตนเอง คำตอบและท่าทางที่แข็งกร้าวขึ้นมาทำให้ผมนึกไปถึงใครคนหนึ่ง

 

ชายซึ่งมักจะดุด่าว่ากล่าวและฟาดผมด้วยสายเข็มขัดหนังอยู่เสมอ ซึ่งเขาคงไม่ทราบหรอกว่ารอยแผลที่เกิดจาการเฆี่ยนตีทำร้าย และวาจาดูถูกดูแคลนเหล่านั้นฝังจำอยู่ในใจผมมานานแค่ไหน 

 

“ฮือ ฮือ ฮือ...ฮึกฮึกฮึก” 

 

“โอ๋ๆ อย่าร้องนะจ้ะคนดี” สาริกายองตัวกอดกุมาร ‘รัก’ ผิวดำมะเมื่อมไว้ก่อนจะดึงผ้าเช็ดหน้าสีขาวผืนบางปักลายกรอบกุหลาบแดงและเครือเถาวัลย์งามชดช้อยจากร่องเสื้อขึ้นมาซับน้ำตาให้เจ้าหนูน้อยร่างโย่งอย่างเบามือ  “ไม่เป็นไรนะพี่นางฟ้าใจดีที่สวยที่สุดบนโลกมนุษย์อยู่ตรงนี้แล้วนะจ้ะ” พอได้ยินหญิงสาวปลอบประโลมดังนั้น เด็กๆ ที่พากันสะอื้นไห้ก็เงียบเสียงลงโดยพลัน

 

‘ผมคิดว่าตอนนี้ทั้งสองคงอยากได้กระโถนซักใบมากกว่าผ้าเช็ดหน้าเสียอีกกระมัง’

 

“หึ…ชิ” นั่นไงผมถูกเธอสะบัดผมค้อนขวั่บเข้าให้ ก่อนที่เจ้าหล่อนจะเสกผอบไม้ซึ่งประดับประดาไปด้วยเพชรนิลจินดาปรากฏขึ้นมาในมือแล้วหยิบขนมเยลลี่เม็ดสีแดงแจกให้เด็กทั้งสองคนละเม็ด “เอานี่จ้าลองกินดูนะ รับรองว่าอร่อยมากและทำให้แผลหายไวด้วยจ้ะ” 

 

รักยมทั้งสองรีบเอาขนมเข้าปากหมับก่อนจะเคี้ยวดังแจ็บแจ็บ ประเดี๋ยวหนึ่งก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นเมื่อรอยเขียวช้ำบนตัวและอาการบาดเจ็บต่างๆ ได้หายเป็นปลิดทิ้งทันทีที่กลืนมันลงท้อง 

 

“อร่อยมั๊ยจ้ะหนูอุม” เธอกล่าวพลางลูบศีรษะกลมโตและผมจุกน้อยๆ อย่างเอ็นดู

 

“เจ้าไม่โกรธข้าแล้วเหรอ?” อุมชิฬาถามพร้อมกับปาดคราบน้ำตาที่เปรอะข้างแก้ม

 

“ไม่หรอกจ้ะโกรธกันไปก็ไม่ได้ทำให้พี่มีความสุขขึ้นสักหน่อย พี่ไม่ถือโทษโกรธหนูหรอกนะ”

 

“ขะขะข้าขอโทษ” เด็กร่างอ้วนผิวขาวเผือกกล่าวคำขอโทษออกมาอย่างง่ายดาย จนผมกับคุณตารู้สึกแปลกใจพลันลดมือลงมาแล้วยืนมองดูทั้งสองสนทนากัน

 

“ถ้าเป็นไปได้หนูก็ควรจะไปขอโทษพี่เค้าด้วยนะ” นางฟ้าสาวแนะนำก่อนจะลุกเดินไปหยิบฝักข้าวโพดต้มที่หล่นอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาแล้วใช้หลังมืออีกข้างทำท่าปัดเบาๆ เหมือนไล่แมลง เกิดแสงออร่าเรืองวาบขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนที่ข้าวโพดซึ่งถูกแทะทานไปแล้วเกือบครึ่งในมือเธอจะกลายเป็นฝักใหม่ที่มีเมล็ดสีเหลืองอวบอัดเรียงแน่นอยู่เต็ม

 

 “เออ แล้วก็นี่…” ร่างเพรียวพูดพลางยื่นมันให้แก่เด็กน้อยแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยนว่า “พี่ให้หนูอุมจ้ะ”

 

กุมาร ‘ยม’ รับข้าวโพดฝักใหม่ซึ่งส่งกลิ่นหอมกรุ่นมาตะกองไว้ในมือ ขณะที่ผมได้แต่มองมันน้ำลายสอ

 

‘เอ๊ะนี่ผมรู้สึกหิวอย่างนั้นเหรอ’ 

 

ผมอดที่จะแปลกใจไม่ได้กับความรู้สึกอยากอาหารซึ่งแทบไม่ต่างจากเมื่อครั้งตอนเป็นมนุษย์เลยแม้แต่น้อย พอย้อนคิดดูแล้วอาหารมื้อสุดท้ายที่ผมได้กระเดือกลงท้องก็คือข้าวมันไก่จากร้านเจ้าประจำหน้าอพารท์เม้นท์ กับชาเขียวรสน้ำผึ้งผสมมะนาวที่กล้ำกลืนฝืนกินไปได้เพียงสองสามคำเมื่อตอนหกโมงกว่าๆ ก็เท่านั้นเอง แต่ทว่าในเมื่อกลายมาเป็นแบบนี้แล้วเหตุไฉนผมถึงรู้สึกโหยหิวเช่นนี้อีกก็ไม่รู้

 

“เจ้าอุม…” ชายชราพยายามร้องบอกอะไรบางอย่างกับอุมชิฬาแต่สาริกาได้ยกมือขึ้นปรามไว้ “ให้น้องเค้าได้ตัดสินใจเองเถอะค่ะ”

 

“เอ่อ…แต่” คุณตาพูดเสียงอึกอักเมื่อถูกขัดจังหวะ ทว่าก็เงียบเสียงลงและเฝ้ามองเหตุการณ์ดำเนินต่อไป

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
5 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
4 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
7 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

ชอบอ่านนิยายแนวไทยๆ กันมั๊ย

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา