ปาฏิหาริย์โลกวิญญาณ (ได้รับการตีพิมพ์จากAmity Publishing แล้ว)
เขียนโดย watcharakarn
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2564 เวลา 12.10 น.
แก้ไขเมื่อ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2565 23.09 น. โดย เจ้าของนิยาย
39) ชะตาชีวิต
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ“คนที่ไม่เคยมีใครเหลียวแล ต่ำต้อยด้อยค่าดั่งเม็ดกรวดเม็ดทรายเป็นตายร้ายดีก็คงไม่มีใครแยแส…แต่ว่าในคืนนั้นกลับมีใครคนหนึ่งที่มองเห็นและช่วยเขาเอาไว้” สาริกากล่าวเสริมพลางชำเลืองสายตาไปยังชายพิการที่กำลังใช้ไขควงปากแบนขนาดเล็กถอดน็อตตรงก้นหม้อหุงข้าวออกเพื่อเปิดดูระบบวงจรภายใน
“….หลังจากที่ผ่านพ้นเรื่องราวเลวร้ายในครั้งนั้นชายผู้นี้ก็ได้ตระหนักว่าแท้จริงแล้วชีวิตของตนนั้นมีค่ามากแค่ไหน และเขาก็ไม่ปล่อยวันเวลาให้ผ่านพ้นไปอย่างไร้ความหมายอีก…แต่กลับทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือทุกคนในชุมชนแห่งนี้
ฝึกฝนงานซ่อมที่ตนเองพอมีพื้นความรู้อยู่บ้างจนชำนาญ จากขอทานที่คอยแบมือรอรับเศษน้ำใจจากผู้อื่น แต่มาในวันนี้เขากลับเป็นฝ่ายที่หยิบยื่นน้ำใจให้แก่คนอื่นบ้างและกลายมาเป็นนายช่างใหญ่ที่ใครๆ ต่างพากันรักใคร่ชื่นชม”
“นายไม่ได้แค่ช่วยชีวิต แต่ยังช่วยทั้งหมดในชีวิตของเขา” คำพูดของเธอทำให้ผมกระตุกในใจ “บางทีเราก็ไม่อาจอธิบายได้หรอกว่าความดีคือดีอย่างไร หรือคนดีคือต้องดีแบบไหน แต่แค่เรารู้ว่าสิ่งใดที่เราควรจะทำ และสิ่งใดที่ไม่ควรทำแค่นั้นก็เพียงพอแล้วไม่ใช่เหรอ”
ผมรับฟังด้วยความนิ่งงัน ไม่อยากเชื่อเลยว่าการกระทำของเราจะส่งผลต่อชีวิตผู้อื่นให้แปรเปลี่ยนไปมากมายถึงเพียงนี้
“ถึงแม้จะไม่สมบูรณ์พร้อม…แต่สุดท้ายแล้วชายพิการผู้นี้ก็สามารถมีรอยยิ้มและมีความสุขในชีวิตได้ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ ทั้งหมดนั้นส่วนหนึ่งก็เพราะนายนะวิศรุฒิ”
“ความสุขอย่างนั้นเหรอ…หึ” ผมคิดอย่างดูแคลน พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วก็อดที่จะระบายออกมาด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจไม่ได้ “ถึงยังไงความสุขของคนจนๆ ก็เป็นแค่ความสุขแบบแกนๆ จะไปอิ่มอกอิ่มใจเท่าพวกเศรษฐีมีสตางค์ได้ยังไงกันล่ะคุณ”
“ในเมื่อยังต้องอดมื้อกินมื้อ ไปโรงพยาบาลก็ต้องพึ่งบัตรทองรอคิวยาวกันเป็นวันๆ กว่าจะได้รักษา บางครั้งก็ถูกเหยียดหยาม ถากถางราวกับหมาขี้เรื้อน…หึ ความสุขของคนจนมันก็มีได้แค่ประเดี๋ยว เผลอแปบเดียวก็ต้องกุมขมับเอาเท้าก่ายหน้าผากอีกแล้ว” ผมกล่าวต่ออย่างใส่อารมณ์พลางคว้าไหล่บางๆ ของหญิงสาวให้หันมาประจันหน้ากัน
“นายใจเย็นก่อนสิ” เธอปราม “คนเราจะสุขหรือทุกข์มันไม่เกี่ยวกับความยากดีมีจนหรอกนะ คนร่ำรวยก็ทุกข์ได้ คนยากจนก็สุขได้เหมือนกันมันอยู่ที่ความคิดและทัศนคติของตัวเราเองต่างหาก”
“นางฟ้าที่เอาแต่นั่งๆ นอนๆ เสวยสุขอยู่บนสรวงสวรรค์อย่างคุณน่ะจะไปเข้าใจอะไรกับความลำบากของคนจนๆ อย่างผมกันเล่า!” ผมแผดเสียงพร้อมกับเขย่าไหล่เธอด้วยความอัดอั้นตันอก
ดวงหน้าขาวใสใต้เรือนผมสีน้ำตาลเข้มนั้นดูเหมือนซีดเผือดลงไปด้วยจนต่อถ้อยคำที่ได้ยินถนัดเต็มสองหู
หึ…เถียงไม่ออกเลยสิ
“คุณไม่มีวันเข้าใจหรอก ได้ยินมั๊ย คุณไม่มีวันเข้าใจคนอย่างผมหรอก!!!”
“พอแล้วฉันเข้าใจแล้ว” เธอบอกพลางยกมือเป็นเชิงห้ามขณะที่ยังคงหัวโยกหัวคลอนอยู่ตรงหน้าที่คาดผมติดดอกกุหลาบสีชมพูดอกโตเลื่อนไหลจนแทบจะหลุดร่วงลงมาจากเรือนผมดัดที่รุ่ยร่ายปรกหน้าปรกตา
“คนรวยเวลาทุกข์น่ะมันก็ไม่ทุกข์เท่ากับคนจนที่ต้องกระเสือกกระสนหาเช้ากินค่ำหรอกนะ…” ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกเจ็บจนเกิดแสงแล่นวูบวาบไปทั่วสรรพางค์เมื่อได้หวนนึกถึงความทุกข์ยาก ลำเค็ญ ที่ต้องเผชิญตั้งแต่ยังเด็ก
ภาพของน้องสาวที่นั่งหลังขดหลังแข็งสานชะลอมจนหามรุ่งหามค่ำ ผมซึ่งถูกเฉดหัวไล่ออกจากร้านเหลา (ภัตตาคารจีน) หลังจากไปถมึงตาใส่ลูกชายอาเฮียเจ้าของร้านที่พูดจาดูหมิ่นถิ่นแคลนกำพืดผม แม่ที่นั่งปาดน้ำตาอยู่ตรงตีนบันไดเมื่อถูกเจ้าหนี้บุกมาด่าทออย่างสาดเสียเทเสียถึงในบ้าน
ร่างของป๊าที่ตายไปอย่างคนอนาถาบนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาลประจำอำเภอ ภาพของพวกเราสามคนที่กอดกันร้องไห้ในงานศพที่ไม่มีใครนับหน้าถือตา
ทั้งหมดนั้นเป็นเพราะพวกเราเคยสร้างบาปทำกรรมเอาไว้อย่างนั้นเหรอ
ทุกอย่างนั่น…คือสิ่งที่พวกเราสมควรจะได้รับกระนั้นหรือ
ไม่ใช่หรอก
ทั้งหมดนั่นน่ะเป็นเพราะความขัดสน เพียงเพราะเราไม่มี ‘เงิน’ ต่างหาก
‘เพราะ…เงินตัวเดียว’ ผมคิดอย่างคับแค้นใจ
“เป้ง!”
“โอ๊ยเจ็บนะคุ๊ณ!” ผมร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ก็ถูกถาดพิฆาตฟาดเปรี้ยงเข้าให้กลางกระหม่อมโดยไม่ทันตั้งตัว
“เลิกดูถูกตัวเองซะที ทำเป็นพวกขี้แพ้ไปได้” เธอตวาดแหว
“ก็ใช่น่ะสิ ผมมันพวกขี้แพ้นี่” ผมโวยกลับพลางเกาศีรษะแกรกๆ รู้สึกเจ็บหน่อยๆ ตรงที่ถูกตี หัวจะโนด้วยรึเปล่าก็ไม่รู้ อ๊อยยัยบ้า “โลกนี้แม่งไม่ยุติธรรม มันไม่เคยยุติธรรมสำหรับผมเลย”
นางฟ้าสาวลดอาวุธในมือลงก่อนจะพูดย้อนเสียงแข็ง
“แล้วทำไมต้องมาใส่อารมณ์กับฉันด้วยยะ ฉันจะบอกอะไรให้นะนอกจากวันเวลาและความตายแล้วบนโลกใบนี้มันก็ไม่มีอะไรยุติธรรมหรอก คนเราเกิดมาก็มีต้นทุนติดตัวมาแตกต่างกันแล้วนายจะไปน้อยใจทำไมกัน ถ้ารู้ว่ามีน้อยกว่าคนอื่นเขาแล้วทำไมไม่พยายามให้มากขึ้นเล่า”
“พยาม พยาม พยาม ผมก็พยายามมาตลอดชีวิตแล้วไงโถ่” ผมโต้ด้วยอารมณ์ขุ่นเคืองไม่หาย “แล้วมันมีอะไรดีขึ้นมาบ้าง” ว่าแล้วก็น้ำตาคลอเสียงสั่นขึ้นมา
“นี่นายทำดีที่สุดแล้วเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ…แล้วทำไมสวรรค์ถึงไม่ช่วยอะไรผมเลย”
“ก็เรากำลังช่วยนายอยู่นี่ไง” สาริกาสวนทันควัน พลางเบะสีหน้าเหมือนกำลังจะร้องไห้ ในวินาทีนั้นผมพลันหวั่นไหวใจอ่อนยวบกลับนึกสงสารอีกฝ่ายขึ้นมา
‘หรือบางที เธออาจเข้าใจในตัวผมมากกว่าที่ผมคิดก็เป็นได้’
“เหอะมาช่วยอะไรป่านนี้กันละคุณ มาช่วยตอนที่ผมตายไปแล้วเนี่ยนะ” ผมปรับน้ำเสียงให้นุ่มลงก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีหลบเลี่ยงสายตาเศร้าๆ นั้นแล้วทำเป็นมองเมินไปทางอื่น “มันไม่สายไปหน่อยรึไง ถ้าก่อนหน้านี้ส่งเลขด่งเลขเด็ดมาช่วยผมบ้าง ผมก็คงไม่ตายแบบนี้หรอก”
“ก็ข้างบนนั่นเค้ามีเลขเด็ดกันซะที่ไหน ที่ให้ๆ กันอยู่เนี่ยก็พวกเทวาอารักษ์ระดับล่างกันทั้งนั้นแหละ ข้างบนน่ะเค้ามีแต่สิ่งที่เรียกว่า…” เธอบอกพร้อมกับใช้มือจัดผมเผ้าให้เข้าทรงตามเดิม
“หือ…อะไร?” ผมนึกสงสัย
“เอ่อคือ…เอิ่ม…” นางฟ้าสาวออกอาการอ้ำอึ้งพาให้ตนเองต้องหันไปมองสบสายตาเจ้าหล่อนเพื่อเค้นเอาคำตอบ
“อะไร ว่ามาสิ”
ดวงตาคู่งามกะพริบช้าๆ ก่อนจะเบนไปทางอื่นเล็กน้อยประหนึ่งกำลังลังเลหรือชั่งใจแต่สุดท้ายก็เลื่อนมาสบนัยน์ตาผมตรงๆ และยอมพูดมันออกมา
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ