เรื่องราวในโลกสัตว์เทพ

-

เขียนโดย NobYK

วันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563 เวลา 05.56 น.

  8 ตอน
  0 วิจารณ์
  5,992 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2563 06.06 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) ตอนที่ 1.5 การเริ่มต้นอันแสนดี

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
*เปลี่ยนชื่อมังกรจาก บาโบ เป็น ชิบารุ ถ้ามีตรงไหนตกหล่นสามารถคอมเม้นไว้ได้นะคะ*
 
    วิญญาณสัตว์เทพในตัวผมมีชื่อว่าชิบารุ เขาเป็นวิญญาณที่เก่าแก่อารมณ์แรงและใจร้อน ซึ่งต่างจากผมที่เป็นคนปวกเปียกและขี้กลัวจนโดนเขาโกรธอยู่บ่อยครั้ง
    วันนี้ผมกับพี่ไคมะต้องเลือกโรงเรียนที่จะเรียนต่อ ของผมเป็นโรงเรียนมัธยมต้น ของพี่ไคมะเป็นมัธยมปลาย ส่วนพี่ซาจินั้นเรียนอยู่มัธยมปลายปี 3 อยู่แล้ว
    หลังจากกินข้าวร่วมกันเสร็จคนใช้จะมาเก็บจานออกไปแล้วพวกเรา 4 คนจะนั่งคุยเรื่องต่างๆ กันเล็กน้อยก่อนจะแยกย้ายกันกลับห้องนอน
 
“เอาล่ะพวกนายได้คิดเอาไว้กันรึยังว่าจะเรียนต่อที่ไหน”
 
“ครับ! ผมจะเข้าเรียนที่เดียวกันกับพี่ซาจิ ผมเป็นคนเดียวที่จะสู้เคียงข้างพี่ซาจิได้ดีที่สุด”
 
“อืม ไม่มีปัญหาแล้วมารุล่ะ”
 
    ท่านพ่อพยักหน้ารับคำของพี่ไคมะแล้วหันมามองผมเพื่อขอคำตอบ ผมกังวลเล็กน้อยก่อนจะค่อยๆ พูดออกมาอย่างแผ่วเบา
 
“ผม...ไม่อยากไปโรงเรียนครับ”
 
    พอพูดจบทั้งห้องก็เงียบไปพักหนึ่งก่อนที่ผมจะรู้สึกเสียวสันหลังวูบขึ้นมาและที่ใบหน้าของท่านพ่อก็โกรธจัด ผมจึงก้มหน้าลงและทำสีหน้าสลด
 
“เฮ้ย-”
 
“น่าท่านพ่อ ไม่ลองฟังเหตุผลจากมารุดูก่อนล่ะครับ”
 
    ในตอนที่ท่านพ่อขึ้นเสียงใส่ผมพี่ซาจิก็ยิ้มและพูดขัดเอาไว้ก่อน ท่านพ่อมองพี่แล้วถอนหายใจหน่ายๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินไปที่ประตู พลางพูดกับพี่ซาจิไปด้วย
 
“ถ้างั้นก็ถามเหตุผลเอาเองละกัน หวังว่าจะได้คำตอบที่น่าพอใจนะ”
 
“ครับ”
 
    หลังจบคำของพี่ซาจิท่านพ่อก็เดินออกไปและปิดประตูอย่างแรงจนเกิดเสียงดังสนั่นไปทั่ว แล้วพี่ซาจิก็หันมาหาผมโดยที่ยังยิ้มแบบเดิมอยู่
 
“มารุมีอะไรหรือเปล่าทำไมถึงไม่อยากได้โรงเรียนงั้นหรอ”
 
“ผมเข้าหาใครไม่เก่ง พูดไม่เก่ง เพื่อนก็มีแต่คนไม่จริงใจ ผมเกลียดแบบนั้นที่สุดเลย”
 
    พอผมพูดแบบนั้นพี่ไคมะก็ลุกขึ้นแล้วประสานหมัดเข้าที่มือซ้ายตัวแองแล้วพูดอย่างก้าวร้าว
 
“ไอ้พวกแบบนั้นน่ะ นายต้องสั่งสอนมันซะบ้างให้สำนึก”
 
“หยุดเลยไคมะนายก็รู้มารุในตอนนี้น่ะทำแบบนายไม่ได้หรอกนะ”
 
    พี่ซาจิผ่อนลมหายใจเล็กน้อยและให้พี่ไคมะใจเย็น ใช่ผมไม่เหมือนกับพวกพี่ ผมไม่อยากต่อสู้ไม่สิไม่กล้ามากกว่า การต่อสู้น่ะน่ากลัวจะตาย ไม่อยากเจ็บตัวด้วย
 
“ยังไงก็ลองไปดูก่อนแล้วกันอาจจะไม่เหมือนที่เดิมก็ได้ แล้วหลังจากนั้นจะทำยังไงก็ค่อยว่ากันอีกที แต่พี่จะช่วยคุยกับท่านพ่อให้เอง”
 
“ขอบคุณครับพี่ซาจิ”
 
“หรือถ้าอยากให้สั่งสอนมันเมื่อไหร่ก็บอกได้ล่ะ พี่จะจัดการเอง”
 
    พี่ไคมะพูดพลางยิ้มอย่างดุดันจนโดนพี่ซาจิดุที่ใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา หลังจากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันส่วนพี่ซาจิก็ไปคุยกับพ่อให้ว่าจะให้ผมเข้าเรียนที่ใหม่ ผมจึงได้แต่นอนหลับไปโดยหวังว่ามันจะจบไม่เหมือนเดิม
 
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
 
    หลังจากผ่านไป 2 เดือนก็ถึงวันเปิดเรียนวันแรกผมแต่งตัวออกจากคฤหาสน์โดยมีคนใช้ขับไปส่งถึงหน้าโรงเรียน ในตอนที่อยู่บนรถผมจึงตั้งสมาธิคุยกับชิบารุในใจ
 
“จะเป็นอะไรรึเปล่านะ”
 
“เรื่องไปโรงเรียนงั้นหรอ”
 
“อือ”
 
“ไม่เป็นไรหรอกก็แค่เรียนไปตามปกติ ถ้าไม่ชอบอะไรก็เมินแล้วก็นอนไปซะ ไม่มีใครกล้าว่าอะไรนายหรอก”
 
“หรอ ผมจะลองดู”
 
    พอดีกับที่ผมคุยกับชิบารุจบรถก็หยุดพอดีเมื่อลงจากรถก็สังเกตว่ามีคนมามุงเต็มไปหมด ผมหน้าซีดเล็กน้อยแล้วก้มหน้ามองแต่พื้นอย่างเดียวแล้วเดินโดยไม่หันไปมองรอบๆ อีก
 
“อย่าเดินก้มหน้านะเว้ย! เงยหน้าขึ้นมาซะ ทำตัวให้สมกับเป็นผู้ชายหน่อย!”
 
   ชิบารุขึ้นเสียงใส่ผม จนเผลอสะดุ้งเล็กน้อยและหยุดชะงักลงพอโดนว่าไปแบบนั้นผมเลยค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมามองด้านหน้า
    มีคนมากมายกำลังส่งสายตาจับจ้องมาที่ผมพอสบตาก็ยิ้มให้แบบที่จนดูออกว่าปลอมจนชวนอ้วก แล้วก็มีบางคนเดินเข้ามาพยายามจะตีสนิทจนผมเผลอวิ่งหนีเข้าไปในโรงเรียน จนเจอห้องน้ำและเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในนั้น
 
“น่าสมเพชชะมัด”
 
“ผมขอโทษ...”
 
“ไอ้พวกแบบนั้นนายก็ปฏิเสธเสียงแข็งไปก็จบแล้วมะ”
 
“ตะ แต่...”
 
“ไม่มีแต่โว้ย!”
 
    ผมโดนชิบารุตะคอกใส่อีกแล้วแต่จะให้พูดอะไรแบบนั้นกับคนที่ไม่รู้จักน่ะ ทำไม่ได้หรอก เพราะผมนั่งซึมไม่ตอบเขาชิบารุเลยเงียบไปและไม่พูดอะไรต่อ
    หลังจากนั้นผมก็นั่งอยู่แบบนั้นจนดูเวลาในโทรศัพท์อีกไม่กี่นาทีก็จะเริ่มเรียนแล้วคนอื่นๆ คงเข้าห้องไปกันหมดแล้วมั้ง
    พอคิดได้แบบนั้นแล้วก็เดินออกจากห้องน้ำแล้วมองไปรอบๆ เหมือนจะไม่มีใครแล้วจริงๆ ผมจึงถอนหายใจเล็กน้อยแล้วเดินหาห้องเรียนของตัวเองที่ดูเอาไว้เมื่อเข้าไปในห้องคนทั้งห้องก็เงียบลงและจ้องมองมาที่ผมจนผมแทบจะเป็นลม
    พอมองหาโต๊ะว่าที่ก็แทบจะเต็มทั้งหมดแล้วเหลือแต่เตียงโต๊ะคู่ที่อยู่หลังสุดริมหน้าต่างซึ่งตัวริมด้านในมีคนนั่งอยู่แล้ว เธอมีผมสีดำยาวมัดหางม้าสีหน้านิ่งจนเดาไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
    ในตอนที่ผมเดินเข้ามาเธอก็มองมาเหมือนกันก่อนจะหันกลับไปเหม่อมองนอกหน้าต่างผมจึงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเดินไปนั่งที่ว่างนั้นแล้วคุยกับเธอ
 
“สะ- สวัสดี ระ- เราตั้งแต่วันนี้จะนั่งข้างๆ เธอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะ”
 
    เพราะประหม่ากับคิดมากเกินไปรึเปล่านะสิ่งที่ผมพูดออกไปจึงตะกุกตะกักจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง ไม่นะเธอต้องไม่ชอบใจผมแน่ๆ
    พอพูดจบเธอคนนั้นก็หันมามองผมโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเลยแม้แต่น้อย พอโดนมองแบบนั้นเข้าก็รู้สึกกลัวเธอจัง แล้วเธอก็ค่อยๆ พูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบปนเบื่อหน่าย
 
“อือ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย”
 
    เธอพูดแค่นั้นแล้วก็หันกลับไปอย่างไม่สนใจใยดีจนน่า ตกใจแต่ไม่ทันได้พูดอะไรครูก็เดินเข้ามาพอดี
 
“ฮ่าๆ ถูกใจแม่หนูคนนี้ว่ะ ต่างจากคนที่นายเคยเจอมาลิบลับเลย”
 
“จริงหรอเธอไม่ได้เกลียดผมใช่ไหมที่ทำท่าทางแบบนั้น”
 
“ไม่หรอกไม่ได้เกลียดแต่ก็คงไม่ได้ชอบมากนักหรอกนะ ฮ่าๆ”
 
    ชิบารุที่คุยเรื่องของเธอคนนั้นมีน้ำเสียงร่าเริงพร้อมทั้งหัวเราะชอบใจใหญ่เลย หลังจากครูแนะนำตัวเสร็จก็ให้เตรียมจด เมื่อผมหาปากกาในกระเป๋าก็ไม่เจอ
 
‘จะ- จำได้ว่าใส่มาแล้วหนิ’
 
    ผมพึมพำออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วคุยกับชิบารุอีกครั้งในใจ
 
“นี้ชิบารุผมใส่มาแน่ๆ แล้วใช่ไหม”
 
“อา ใส่มาแล้ว เฮ้เจ้าหนูนี่มันกลิ่นอายของเวทมนตร์”
 
“เอ๋ มีคนเอาออกไปหรอ”
 
“ก็ใช่น่ะสิ มัวรออะไรอยู่ล่ะเอาเรื่องพวกแม่งไปเลย!!”
 
“เอ่~ ไม่ไหวหรอก”
 
“ถ้าไม่รังเกียจ ยืมไหม?”
 
    ในตอนนั้นเองเธอคนนั้นที่นั่งกับผมก็ยื่นปากกามาให้แท่งหนึ่งพร้อมทำสีหน้าเอือมๆ พลางมองไปข้างหลังผมเล็กน้อย เธอคงรู้ล่ะมั้งว่าผมโดนแกล้งแถมยังคงเดาได้ด้วยว่าใครทำ เก่งจัง
 
“อื้อ! ขอบใจนะ”
 
    ผมยิ้มด้วยความดีใจแล้วรับปากกาด้ามนั้นมาจากเธอ พอผ่านไปตลอดคาบเช้าก็ได้เธอช่วยอะไรหลายๆ อย่างเลย ทั้งหนังสือเรียนที่ลืมหยิบมาเอง กับไม่เข้าใจสิ่งที่ครูสอนเธอก็ช่วยผมไว้ตลอดเลย
 
“นี้ผมชวนเธอไปกินข้าวเที่ยงด้วยกันดีไหมอะ”
 
“ดีดิ เธอจะได้เป็นเพื่อนคนแรกของนายไง”
 
“เอาล่ะ!”
 
“นี่ ลงไปกินข้าวด้วยกันไหม-”
 
    ไม่ทันได้พูดอะไรต่อเธอก็หยิบข้าวกล่องขึ้นมาบนโต๊ะแล้วหันมามองผมด้วยสีหน้านิ่งๆ แบบเดิมแต่ภายในดวงตานั้นมีความสงสัยเล็กน้อย
 
“หือ เมื่อกี้ได้พูดอะไรหรือเปล่า”
 
“เอะ อะ เปล่าไม่มีอะไร”
 
    เพราะกำลังอึ้งอยู่เลยตอบแบบติดขัดไปจากนั้นเธอก็ขมวดคิ้วเล็กน้อยอย่างรู้สึกผิดแล้วพูดต่อ
 
“งั้นหรอ ชั้นน่าจะหูแว่วไปเองโทษที”
 
“มะ ไม่หรอก ผมผิดเอง”
 
“หือ”
 
“เปล่า...ไม่มีอะไร”
 
    ผมตอบเธอไปแบบนั้นพร้อมทั้งมีท่าทีห่อเหี่ยวเพราะพลาดโอกาสอยู่กับเธอไป แล้วก็เดินออกจากห้องไปแล้วคุยกับชิบารุอีกครั้ง
 
“เมื่อกี้น่ะ...”
 
“อา แม่หนูนั่นได้ยินทุกอย่างนั่นแหละแต่ทำเป็นไม่ได้ยิน”
 
“อะไรกัน~”
 
“หึหึ เหมือนจะโดนหลบหน้าอยู่นะน่าสนใจจริงๆ ทำตัวแทบจะไม่สนใจสถานะของนายเลยนะ”
 
“จริงหรอ ถ้างั้นผมตัดสินใจแล้ว ผมจะต้องเป็นเพื่อนกับเธอให้ได้!”
 
“โอ้ให้มันได้แบบนี้สิเจ้าหนู เริ่มด้วยห่อข้าวมาด้วยเป็นไงล่ะจะได้อยู่ด้วยกัน”
 
“จริงด้วย ความคิดดีมากเลย ขอบคุณนะชิบารุ”
 
    พอตัดสินใจได้แบบนั้นผมก็เดินต่อไปโดยยิ้มอย่างมีความสุขจนลืมเรื่องสายตารอบๆ ไปหมดเลยแปลกจังพอไม่สนใจได้แบบนี้แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัวเลยหนิ อื้ม! อาจจะไม่แย่อย่างที่คิดก็ได้นะ!
 
 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้ฉันแต่งขึ้นเอง

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
0 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
0 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
0 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

คุณคิดยังไงกับนิยายเรื่องนี้

* สามารถกรอกแบบสำรวจโดยไม่ต้องเป็นสมาชิกก็ได้ครับ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา