The recorder ผู้พิทักษ์บันทึกแห่งชีวิต

8.3

เขียนโดย Ncherry

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.40 น.

  6 บท
  1 วิจารณ์
  7,161 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559 21.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

6) ภูตแห่งชีวิต

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 5

ภูตแห่งชีวิต

 

          ไม่มีการปกครองใดจะสมบูรณ์แบบ หากโลกยังเต็มไปด้วยผู้คนที่แตกต่าง...

จาก บันทึกแห่งแห่งชีวิตขาว

          "เมล..."

          เอื้อก

          เขากำลังอยู่ในสถานการณ์คับขัน ไม่ทำให้ถึงตายแต่ก็มีผลต่อค่าจ้างในอนาคต...

          "เอ็งตื่นสายมากนะ"ร้อยวันพันปีไม่มีครั้งไหนเลยจะช้า เขามักจะออกมาทำงานก่อนร้านเปิดเสมอ เป็นกิจวัตรประจำวันจนคุณลุงเชนผู้เป็นเจ้าของคุ้นชิน สร้างความเอ็นดูและคำชมสารพัดแถมท้ายด้วยเงินพิเศษเพิ่ม หากแต่คราวนี้อาจจะโดนริบมันทั้งหมดก็ได้ ย้อนเมื่อคืนวาน ช่วงบ้าดีเดือดที่เมลนึกคึกบุกไปบ้านโซลัน นอกจากจะหมดท่าปล่อยให้อิเรสยำเละทั้งนอกและในจนอีกคนต้องช่วยจัดการแทนแล้ว

          การต่อรองเรื่องของเคเดย์นก็สาหัสสากรรจ์พอกัน การเสนอข้อดีข้อเสียที่ต่อรองกันจนเหนื่อย กับการขอให้อีกฝ่ายเป็นฉากบังหน้าช่วยทำงานผ่านตัวเด็กหนุ่มที่คอยช่วยอยู่เบื้องหลัง ข้อดีมีน้อยและข้อเสียก็บานเบอะ แต่มันเกี่ยวกับบันทึกสีขาวที่เชื่อมกับตัวเขาโดยตรง เลี่ยงได้ที่ไหนกันล่ะ

 

         หลังเสร็จภารกิจสำคัญ ทันทีที่มาถึงบ้าน หัวถึงหมอนได้ไม่เท่าไหร่ ร่างกายที่สะบักสะบอมก็พาตัวเขาให้เดินตรงดิ่งไปยังเตียงนอนทันที ก่อนจะผล็อยหลับเพื่อพักฟื้นร่างที่ไร้เรี่ยวแรงนี้

          รู้ตัวอีกทีก็เห็นเข็มสั้นบนนาฬิกาทรงนาฬิกาทรายก็ชี้เลยตัวเอ็กซ์และไอสองขีดมาได้สองช่องใหญ่...

          ซวยกว่านี้มีอีกไหม

          "มีอะไรจะแก้ตัวไหม"

          "คิก ๆ "เด็กหนุ่มได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วเบาเล็ดรอดออกมาจากหลังร้าน จ้องมองเนลกับไลรอนที่ชะโงกหัวมาดูกันใหญ่ คนหนึ่งใช้ตาสีแดงเศร้าจ้องมายังกังวลส่วนอีกคนส่งยิ้มแป้นแล้น เขาทั้งรู้สึกเหนื่อยใจแล้วก็หมั่นไส้เด็กแสบไปในเวลาเดียวกัน พอรู้ตัวว่ากำลังถูกดุทางสายตาคนทั้งสองก็วิ่งหายไปเหลือแต่เขากับลุงเชน...

          'ให้ตายสิ...'

          เมลทำหน้าอึกอักดูดวงตาคุณลุงที่แม้วัยจะล่วงเลยไปแต่ยามดุก็น่ากลัวมิใช่น้อย ผลสุดท้ายเขาก็จำต้องโกหกคำโต ด้วยอ้างอิงจากร่างกายที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงและใบหน้าซีดเซียว

          ระหว่างนั้นก็โดนถามเพิ่มอะไรนิดหน่อยจนอีกฝ่ายสรุปความไปเองว่าเขาอาจจะแพ้อากาศช่วงหน้าหนาวจึงได้ชาบำรุงจากคุณลุงนายจ้างผู้ใจดีแบบไม่เสียสักสตางค์เดียว

          "ช่วงนี้ก็ระวังสุขภาพด้วยละ"

 

          "ขอบคุณครับ"ชาขิงอุ่นในถ้วยชาพอดีมือ หลังจากนั่งบดสมุนไพรสดที่ไปเก็บมาหลังร้านต้มรวมกับใบชาผสมกับน้ำตาลอีกเล็กน้อย เขาก็ได้เครื่องดื่มใหม่มาไว้ในมือ

          ระหว่างดื่มลงคอเขาก็ยืนตรวจสมุนไพรจากตู้หลังเคาเตอร์ร้านไปพลาง ความเงียบเข้ามาปกคลุมอีกครั้ง จนกระทั่ง...

          แอ๊ด

          "พี่เมลครับ..."

          "ไลรอนหรอ มีอะไรหรือเปล่า"เมลส่งเสียงนำออกไปก่อน ระหว่างนั้นก็ยังคงใช้ปากกาจุ่มหมึกเขียนยุกยิกบนกระดาษดังเช่นเดิมหากแต่ปลายเสียงก็เงียบ จนต้องเงยหน้าขึ้นมอง

          "อีกแล้วหรอ"คำทักทายแรกทันทีที่เห็นร่างของเด็กชายคนคุ้นหน้าเดินห่างจากประตู ข้อศอกข้างขวาที่เป็นรอยถลอกเลือดไหลซิบและช้ำอยู่สองจุดบนตัวเนล ไลรอนส่งยิ้มแห้งนำมาก่อนใครส่วนคนเจ็บก็เอาแต่ทำปากขมุบขมิบกลับมาให้

          ดูเหมือนว่าช่วงนี้เขาจะได้งานพยาบาลหลานชายนายจ้างอีกงานแล้วสินะ...

          "คงไม่ต้องให้ถามหรอกมั้งว่าไปทำอะไรมา"

          เอ่ยน้ำเสียงนิ่ง แฝงทั้งคำแกล้งขู่อีกทั้งความขบขัน เวลานี้ไม่รู้จะสงสารหรือหัวเราะดีเลย ยิ่งเห็นเด็กน้อยผมดำทำหน้าลำบากใจกึ่งหงุดหงิดให้กับเพื่อนนิสัยคล้ายลิงคนนี้ด้วย

 

          "ไอ้พวกเรื่องผจญภัยพวกจำลองตัวเองเป็นนักผจญภัยเที่ยวปีนป่ายต้นไม้กับเนินหินริมแม่น้ำหลังร้านเราน่ะ ลดลงบ้างก็ดีนะ เกิดกระดูกกระเดี้ยวหักขึ้นมาแล้วจะแย่เอา..."          "หยุด! พอเลยพี่เมล เจอหน้ากันทีไรก็เทศน์ผมทุกที บ่นเยอะขนาดนี้พี่จะมาเป็นลุงรุ่นสองของผมอีกคนแล้วเรอะ"เด็กหนุ่มหัวน้ำตาลยื่นมือทั้งสองมาข้างหน้า ทำหน้าหยีคำบ่นเขาเต็มที่แถมยังเบือนหน้าไปทางเพื่อนสนิทเพื่อขอตัวช่วย แต่เหมือนคราวนี้จะได้หน้าบึ้งกึ่งลำบากใจมาแทน

          "ก็ถ้านายยอมฟังที่พี่เมลพูดตั้งแต่แรกมันก็จบแล้ว เนล..."

          "ไหงไปพูดเข้าข้างกันแบบนั้นเล่า"เด็กโตกว่าประท้วง แต่เหมือนจะได้เห็นตาแดงนั่นดุกลับมา นับวันไลรอนก็ยิ่งเข้มแข็งขึ้น จากท่าทางขี้เกรงใจไม่ค่อยพูดค่อยจาตอนนี้ดูดีขึ้นมาก เด็กน้อยเริ่มมีความกล้าจนตอนนี้ใกล้จะมาเป็นแนวร่วมจัดการลิงตัวแสบให้หงอจนเลิกทำอะไรผาดโผนเสียที

          "ไล..."

          "ก็ฉันพูดความจริงนี่นา เนลชอบทำอะไรให้คนอื่นเขาเป็นห่วงตลอดเลยนะ"ดวงตากลมนั้นเศร้าขึ้นมาหน่อย คนอ่อนวัยกว่าก้มหัวลงมองพื้นด้วยท่าทีเศร้า ท่าทางแข็งกร้าวก่อนหน้าของเนลหายวับแทบไม่มีเหลือพร้อมกับที่เจ้าตัวทำหน้าลำบากใจด้วยอีกคน

          "เข้าใจแล้ววันหลังจะระมัดระวังให้มากกว่านี้ก็แล้วกัน..."

 

          เมลมองเด็กทั้งสองทะเลาะกัน แต่ในสภาพที่ต่างฝ่ายใกล้แข่งกันยกธงขาวอยู่รอมร่อ เสียแต่เนลยอมถอยออกมาก่อน ตบปากรับคำไปเพื่อไม่ให้เพื่อนสนิทต้องนั่งทำหน้าเศร้าอีกตามเคย เด็กหนุ่มลอบขำในใจก่อนจะหันไปทำแผลต่อ

          "เจ็บ!"

          "คิดจะอยากซนแค่นี้ก็ต้องทนได้..."นายพยาบาลจำเป็นใช้เชือกเถาวัลย์เหนียวท่อนเล็กรัดสมุนไพรที่ถูกโปะบนแผลช้ำก่อนทับด้วยใบไม้สรรพคุณใกล้กันอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้แผลรับเอาสรรพคุณยาเข้าไปเต็มที่

          "ทิ้งเอาไว้สักครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยแกะออกนะ"

          "รับทราบครับ!"ข้างที่ไม่เจ็บถูกใช้ตะเบ๊ะท่าล้อเลียนแทบจะในทันที เด็กหนุ่มหรี่ตามองสภาพเด็กน้อยก่อนจะอมยิ้มให้ ถึงจะหัวดื้อไปหน่อยแต่เด็กคนนี้ก็นิสัยดีใช้ได้ละนะ

          "ยิ่งนานวันก็ยิ่งเหมือนเอ็งเป็นหลานข้าอีกคนนึงแล้วนะ เมล"ทันทีที่เก็บสมุนไพรซึ่งเจ้าตัวไปหยิบยืมมาจากกล่องสมุนไพรปฐมพยาบาลประจำร้าน เสียงทุ้มก็ดังขึ้น ชายแก่ซึ่งเขาคุ้นเคย เส้นผมสีดำที่แซวมขาวให้เห็นไปตามวัย ก็ไม่พ้นเชนนั่นละที่เข้ามา

          "สายัณสวัสดิ์ครับ"

          "สายัณสวัสดิ์"อีกฝ่ายตอบกลับมาด้วยรอยยิ้มใจดีเช่นเคย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสายตาคมกริบจ้องสภาพของหลานชาย

 

          "จะมีสักวันไหมที่เอ็งจะไม่หาเรื่องเล่นซนน่ะ"

          ดวงหน้าเด็กน้อยชะงักไปเมื่อถูกดุก่อนจะส่อแววแฝงแววการต่อต้านในที แต่มันก็ลดลงไปมากแล้วจากครั้งที่ผ่านมา จะเพราะด้วยน้ำเสียงดุที่ดูกังวลกว่าทุกที สายตาดุกึ่งเป็นห่วงของไลรอนและตัวเขา เมล ที่นั่งส่งยิ้มบางให้อยู่ตรงนี้ หรืออะไรก็ตามที

          "วันหลังระวังด้วย เกิดพลาดท่าหนักกว่านี้เอ็งน่ะจะแย่"

          "ครับ"สุดท้ายเหตุผลจากความห่วงใยก็ยังสำคัญเสมอ ฝ่ามือกร้านเอื้อมไปขยี้ผมสีน้ำตาลของหลานชายจนยุ่ง ยืนมองเด็กน้อยตรงนั้นด้วยความอ่อนใจระคนเอ็นดู ก่อนจะหันมาสนใจกับงานในร้านต่อ

          "ลุงเชนครับ พวกสมุนไพรผมให้ตรวจหมดแล้ว รายชื่อที่ขาดก็มีตามนี้นะครับ ส่วนที่น่าจะเปลี่ยนผมก็จดไว้เผื่อแล้วครับ เรื่องที่เหลือ"

          "เออ ขอบใจเอ็งมาก วันนี้เย็นมากแล้ว กลับได้เลย เดี๋ยวข้าปิดร้านเอง"

          "ครับ"เมลตอบรับด้วยน้ำเสียงนิ่งแต่นอบน้อมอย่างเคย ดูเหมือนว่าช่วงหลายเดือนมานี้นายจ้างของเขาจะไม่ได้มาอยู่ในร้านบ่อยเท่าไหร่ หน้าที่คอยดูแลลูกค้าขาประจำที่ทั้งสั่งและไม่สั่งของล่วงหน้าหรือแม้กระทั่งหน้าใหม่ก็ตาม นั่นเป็นเรื่องที่เขาเองรู้ดีอยู่แล้ว 

 

          "ช่วงนี้มีเรื่องให้ต้องใช้สมุนไพรเยอะนะครับ"เอ่ยเปรยเพียงถ้อยคำสั้นชายแก่ก็หันมามองเขา แล้วมองเลยไปยังเด็กอีกสองคนที่ออกไปนั่งเล่นหน้าร้านกันแล้ว ก่อนจะเอ่ยขึ้นต่อ

          "ช่วงนี้คนเจ็บมันมีเยอะ คนขายอย่างข้าก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องไปคุยกับพวกหมอที่ต้องการนั่นละ"

          'สงครามกับพวกปีศาจริมชายแดนงั้นสินะ'นั่นคือสาเหตุหลักที่เขารู้ดีได้โดยไม่ต้องพูดอะไรอีก ความลับในมุมมืดภายใต้ความเงียบสงบของชาวเมืองเทพและมนุษย์ มันคือสิ่งที่เขาเคยได้รับรู้ผ่านบันทึกสีดำที่เขา...รังเกียจที่สุดในชีวิต... ภาพพวกนั้นยังจำคงตราตรึงอยู่จนวันนี้

          ต่อให้ตัวแทนผู้ยุติสงครามจะร่วมมือกันแค่ไหน พอถึงช่วงระยะเวลาหนึ่ง เงามืดจากความโลภในใจก็เริ่มก่อตัวอีกครั้งด้วยฝีมือของผู้มีอำนาจมืดในแถบนั้น เรื่องราวเหล่านั้นคือความปกติของวิถีชีวิต เป็นสิ่งที่มีอยู่และต่อให้กำจัดก็ยังถือกำเนิดขึ้นได้ใหม่เสียทุกครั้งไป โชคดีที่มันไม่ส่งผลกระทบกับบันทึกสีขาวของเขาเท่าไหร่นักจึงพอจะสบายใจได้เปลาะหนึ่ง

 

          ทว่าฤทธิ์จากสงครามก็แสนจะร้ายกาจ พวกมันพรากคนสำคัญของเนล นายทหารรับจ้างอันดับหนึ่งผู้เป็นพ่อบังเกิดเกล้า ปมด้อยในใจที่ทำให้เด็กชายมักจะซนเป็นลิงทุกครั้งเสมอ เพียงแค่อยากแข็งแกร่งให้มากกว่านี้ ฝึกฝนตนตามความคิดอันไร้เดียงสา ยิ่งเห็นแบบนั้นคนเป็นผู้ใหญ่ก็ยิ่งสะเทือนใจ ลุงเชนถึงได้ไม่อยากรับใครมาเป็นสมาชิกในบ้านอีกหากไม่จำเป็น เพราะมันเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องเสียคนสำคัญไปทั้งที่ตัวเองไม่อาจทำอะไรได้เลย...

          และนั่นคือความคิดอ่านที่เขาสัมผัสได้จากวิถีชิวิตในแต่ละวันของนายจ้างผู้นี้ คือสิ่งที่รีคอร์เดอร์อย่างเขาทำได้เพียงเฝ้ามอง 

 

          ท้องฟ้ายามเย็นวันนี้มืดลงเร็วกว่าทุกที อากาศเองก็เริ่มลดลงจนเย็นกว่าเมื่อวาน สร้อยคอจี้หัวใจที่ใส่รอบคอยามนี้ส่องแสงสีขาวอ่อนจางจนแทบจะมองไม่เห็น นัยน์ตาสีน้ำตาลส้มปรือมองทางโดยรอบตน อีกแค่ไม่กี่ก้าวก็จะถึงบ้าน หากแต่ความรู้สึกประหลาดก็ถาโถมเข้ามาเสียจนแทบจะหลับทั้งยืนให้ได้

          'เอาอีกแล้วสินะ'

          ...สัญญาณเตือนจากบันทึกสีขาวเริ่มร้องเตือนอีกครั้ง เมลอ้าปากหาวกว้างก่อนจะฝืนใช้แรงเฮือกสุดท้ายปิดบานประตูลง สถานที่ใกล้สุดสำหรับการพักครั้งนี้คือเก้าอี้นั่ง แต่จากประสบการณ์ที่ผ่านมา...ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่ลางสังหรณ์จากความฝันมันจะสั้นแค่ชั่วโมงหรือสองชั่วโมง

          ดีไม่ดีไล่ยาวไปจนเช้าวันใหม่เลยด้วยซ้ำ ขืนมานอนอืดอยู่ตรงนี้ วันต่อมาได้พบศพเขานอนแข็งตายที่ห้องนั่งเล่นแน่!

          "หาว..."เมลอ้าปากครั้งสุดท้ายก่อนจะทุบต้นขาตัวเองเต็มแรงเพื่อเรียกสติ เขาฝืนอีกอีกครั้งเพื่อก้าวไปถึงห้องนอนของตัวเอง เตียงไม้ที่แสนคุ้นเคย รู้ตัวอีกทีเด็กหนุ่มก็พาตัวเองขึ้นมานอนห่มผ้าเสียแล้ว ในห้วงสุดท้ายก่อนที่สติจะดับลงและปล่อยตัวเองเข้าสู่ห้วงนิทราอย่างเชื่องช้า...ก็รับรู้ได้ถึงไอประหลาดรอบตัว

 

 

          ค่อยๆ จมดิ่งลงไป สู่ความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด แสงสว่างแสนจะริบหรี่และอากาศหนาวเย็นเยือกจับขั้วหัวใจของเด็กน้อย

          ปัง!

          นาทีที่บานประตูไม้ในห้องสมุดแห่งชีวิตถูกปิดลง ใจของเด็กชายก็ลงไปอยู่ยังตาตุ่ม หากไม่คุ้นชิน ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ส่วนลึกของจิตใจก็ย่อมหวาดกลัวต่อความมืด ฝ่ามือทั้งสองของเด็กน้อยหัวสีน้ำตาลเต็มไปด้วยเลือดสีแดงสด นาทีที่ความซนและอยากรู้อยากเห็นมีมากกว่าคำเตือนก็เอื้อมมือสัมผัสกับบานประตูเสียแล้ว และเขาก็โดนบางสิ่งบาดฝ่ามือจนเลือดสีแดงกระเซ็น หยดลงสู่ประตูสีขาวสะอาด ห้องเก็บภูมิแห่งความรู้พลันปรากฏตรงหน้า พร้อมเสียงกระซิบ...

          'มาเถอะ เด็กน้อย ผู้สืบทอดแห่งสายเลือดอันน่าพิศวง จงเข้ามา...'

          เมื่อหลงเชื่อคำจากเสียงทุ้มยอมก้าวเข้ามาก็ไร้ซึ่งทางออก เมลได้แต่เบิกตากว้าง ฝ่ามือทุบประตูด้วยความรู้สึกตกใจและหวังจะออกไปให้พ้นจากที่แห่งนี้ หากแต่ยังไม่ทันจะได้สัมผัสไอพลังบางอย่างก็ผลักเขาจนเซไปชนกับตู้คริสตัลสีขาวหลังสุดของห้อง 

 

          ตุบ

          หนังสือปกหนังสีดำหนาเล่มหนึ่งร่วงลงสู่พื้นทันทีที่เขาถูกดัน ชนตู้จนเจ็บหลังไปหมด และคริสตัลเหล่านั้นก็แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยเสียด้วย เด็กน้อยจ้องมองมันด้วยความประหลาดใจระคนฉงน

          "บันทึกแห่งชีวิตสีดำ... งั้นเหรอ"มันหล่นไม่ห่างจากตัวมากนัก อยู่ในระยะที่ถ้าจะหยิบก็จับขึ้นมาอ่านได้เลย แต่เสียงในหัวก็เอาแต่สั่งคำว่า 'อย่า' จนน่ารำคาญไปหมด

          และอีกเสียงหนึ่งที่ดังไม่แพ้กันคือคำว่า 'หยิบมัน' ก็ยังวนเวียน ความอยากรู้อยากเห็นกับภาพสีหน้าจริงจังของเกรย์เซียสลับสับไปมา แต่สุดท้าย ก็แพ้ให้กับความขี้สงสัยของตัวเอง...

          ทันทีที่แตะหนังสือ ฝ่ามือของเขาก็เกิดแผลพุพองเต็มมือจนน่ากลัว ความปวดแสบปวดร้อนแล่นพล่านทั่วร่าง เด็กน้อยรีบละมือออกจากมันตั้งแต่ยังไม่ทันอ่าน แต่ก็ราวกับมีกาวเหนียวยึดติดมือเอาไว้ ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ เมลได้แต่เม้มปากแน่น กลั้นความรู้สึกหวาดกลัวอยู่ลึก ๆ เอาไว้แล้วก้มหน้าก้มตาอ่านมัน...

 

          ฉึก!

          ภาพของสงครามนับสิบแสดงให้เห็นสู่สายตา หยาดเลือดสีแดงสดไหลรินจากตัวซากศพมากมาย ความตาย ความเจ็บปวด เสียงกรีดร้องแห่งชัยชนะหรือแม้กระทั่ง...คราบน้ำตาของผู้แพ้ไร้วิญญาณ ทั้งเสียงและภาพเคลื่อนไหวไหลเข้าสู่สมอง จากวันผันไปเป็นปี สิบ ร้อย พัน ต่อให้ชีวิตสงบสุขได้แค่ไหน สงครามก็พรากเอาเขาเหล่านั้นจากไปได้เช่นกัน แม้ผู้กล้ามากมายจะร่วมมือกันสร้างสันติสุขแค่ไหนก็ตาม

          บันทึกต้องห้ามยังคงทำหน้าที่ของมันไปเรื่อย ล่อลวงเด็กน้อยผู้ไร้เดียงสาให้ตกสู่ห้วงของความทรงจำตลอดระยะเวลาสองวัน หวังจะดึงดูดเขาให้จมดิ่งไปกับตน เปลี่ยนสีจากความคิดบริสุทธิ์ให้กลายเป็นมืดหม่น

          น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลลงอาบแก้มเด็กชายจนแห้งไปนานแล้ว... ความกลัวนับครั้งไม่ถ้วนถาโถมเข้ามาจนจิตใจอ่อนล้าไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว

          ครั้งหนึ่งนั้น เด็กน้อยที่ทำได้เพียงปล่อยตัวเองในทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นเพียงภาพหลอกตาที่บันทึกสีขาวสร้างขึ้นเท่านั้นเพื่อปลอบประโลมจิตใจ... หากแต่เมลไม่เข้าใจถึงสิ่งนั้น

 

          ที่รับรู้ก็มีเพียงสิ่งที่พบเจอมาทั้งหมดว่าต่อให้ทุกสิ่งจะพังทลายแค่ไหนแต่สิ่งที่หนึ่งซึ่งยังคงมั่นคงไม่เปลี่ยนไป จากความวินาศผ่านยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองและไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะต้องวนเวียนสู่วัฏจักรนี้ไม่รู้จบ เกี่ยวกับเรื่องราวทั้งหมดถูกจดลงบันทึกแห่งชีวิต ขับขานชีวิตของผู้คน ทั้งภูมิความรู้และสติปัญญาในแง่ของอาวุธสงคราม มนตราและคำสาปที่คนรุ่นก่อนตั้งใจจะสืบทอดยังรุ่นต่อมา

          ความร้ายกาจจากผลกระทบของมันในบันทึกแห่งชีวิตสีดำจนต้องสูญเสียครั้งแล้วครั้งเล่า และสุดท้ายมันก็ถูกปิดผนึกและเก็บรักษายังที่ห่างไกลผู้คน

          ในขณะที่เล่มสีขาว คือสิ่งตรงข้าม เมื่อเล่มดำมีเป้าหมายเพื่อทำลาย เล่มขาวมีเพื่อรักษาและปกป้อง มนตราแห่งฟื้นฟูรวมไปถึงอาณาเขตเวทมนตร์อันบริสุทธิ์ที่ต้องอยู่เคียงข้างกัน

          หน้าสุดท้ายของบันทึกทั้งสองที่ถูกเปิดออกจดถึงเรื่องราวที่แสนสำคัญ จุดกึ่งกลางของบันทึกทั้งสอง ภูตแห่งชีวิต เผ่าพันธุ์เริ่มต้นที่เป็นผู้สรรสร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้น จดบันทึก รักษาสมดุลระหว่างกันบรรเทาความผิดพลาดครั้งมหันต์จากความโลภไร้ที่สิ้นสุดของผู้คน เพื่อให้เรื่องราวของความจริงได้ดำเนินไปอย่างถูกต้อง สายเลือดเพียงหนึ่งเดียวที่ได้ขึ้นชื่อว่ามีสถานะอมตะ ตัวตนต้องห้ามซึ่งเป็นที่หมายปองและตัวอันตราย

 

          ก๊อก ก๊อก

          สายลมหนาวผ่านหน้าต่างไม้เข้ามาชวนให้ร่างสั่นสะท้านไปหมด ผ้าห่มผืนหน้าถูกเลิกลงไปพร้อมเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดา เด็กหนุ่มนั่งทำใจสงบความคิดอันว้าวุ่น นึกย้อนไปถึงความทรงจำจากเมื่อคืนก่อนจะสั่นหัวทุย ๆ เพื่อดึงอารมณ์ให้กลับสู่ปกติ ร่างสมส่วนค่อยก้าวเหยียบพื้นเย็นอย่างเชื่องช้า เมื่อเสียงเคาะประตุยังตอกย้ำถึงใครบางคนที่รออยู่ข้างนอก เมลหันไปทางขวาตน เอื้อมไปปิดหน้าต่างไม้ที่เผลอไปทั้งคืนแล้วเดินออกจากห้องลงไปบันได

          และเขาก็เอื้อมมือไปเปิดประตู...

          "โซลัน..."

          "อรุณสวัสดิ์แล้วก็...ขอรบกวนด้วย เหมือนว่าวันนี้เรามีเรื่องที่ต้องคุยกันอีกยาวเลยละ"

          "เข้ามาเลย"

          ดวงตาน้ำตาลส้มจ้องมองผู้มาใหม่ด้วยแววตาเรียบนิ่ง สีหน้าอ่อนล้าฉายแววสงสัยระคนแปลกใจ หากแต่มันเล็กน้อยจนยากจะสังเกต เมลชั่งใจอยู่ชั่วครู่มองดวงหน้าคมคายตรงหน้าตนก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่ แม้สติจะยังไม่กลับมาเต็มที่ทว่าคำถามทั้งหมดก็ยังคงลอยอยู่เต็มหัว ไว้ค่อยถามเจ้าตัวตอนที่เข้ามาคุยในบ้านก็แล้วกัน

          บานประตูถูกเลื่อนให้กว้างขึ้นเปิดรับผู้มาใหม่ให้เข้ามาเยือนยังที่พักตน จนเมื่อชายหนุ่มนั่งพักอยู่ตรงเก้าอี้แล้ว บานประตูไม้ใหญ่ก็ปิดตัวลง ทิ้งไว้แต่ความเงียบสงัดของเช้าวันหนึ่งในฤดูหนาว...

          

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา