The recorder ผู้พิทักษ์บันทึกแห่งชีวิต

8.3

เขียนโดย Ncherry

วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 13.40 น.

  6 บท
  1 วิจารณ์
  7,158 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2559 21.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

5) ลงเรือลำเดียวกัน

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่ 4 

ลงเรือลำเดียวกัน

 

          "ในที่สุดก็ได้คุยกันสักทีนะ"น้ำเสียงหวานใสของหญิงสาวดังมาตามสาย มาเรีย แคมฟอร์ด เจ้าของดวงหน้างามนัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลสดใส เธอปรากฏเพียงใบหน้าถึงช่วงไหล่ระหว่างสื่อสารกับเขา ส่งยิ้มหวานเจือความห่วงใยให้ดังเช่นที่เคยทำเสมอ

          "นายหายเงียบไปนานมากซะจนนึกว่าโดนเจ้าพวกนั้นเล่นงานไปแล้ว"น้ำเสียงดุใหญ่ดังต่อแทบจะในทันที เกรย์เซียส่งหน้าดุบวม ๆ นั่นมาให้ทั้งภาพบนอากาศตรงหน้า

          "ร่างกายของนายยิ่งไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาอยู่ หัดระวังตัวให้มันมากกว่านี้หน่อย เมล"

          ตบท้ายด้วย เฟรมอนต์ เลอรองเพื่อนรักนักประดิษฐ์ชาวเทพที่คอยช่วยเหลือเขาด้วยการยกหลุมมิติใส่อุปกรณ์ทั้งหลายแหล่ให้ฟรี ๆ แลกกับของตอบแทนเล็กน้อย

          "ถ้าเกิดเลือดนายเกิดมีเชื้อขึ้นมา ฉันก็ทดลองไม่สำเร็จน่ะสิ"และในมือนั่นคือเลือดของเขาเต็มกระปุกขนาดเล็กกำลังถูกเทใส่หลอดทดลอง          "ฉันส่งให้นายทุกเดือนอยู่แล้ว เลิกทำตัวหวงของที"

          "เยี่ยมมากเพื่อนรัก นายนี่เป็นแหล่งทดลองเลือดชั้นดีจริง ๆ !"          "เฮ้อ ฉันคิดว่าพวกเราควรเลิกทะเลาะกันเป็นเด็กแล้วเริ่มพูดเรื่องสำคัญสักที"          "ถ้ามันมากกว่าการทดลองจะยอมฟังนะ"

          "แน่นอน สำคัญมาก แบบที่นายต้องยอมหยุดทดลองเจ้านั่น"เขานั่งขัดสมาธิกอดอกมองปฏิกิริยาของเพื่อนสนิทกับรีคอร์เดอร์อีกสอง มาเรียเลิกคิ้ว เกรย์เซียหยุดชะงัก ต่างฝ่ายต่างหันมามองด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและเฟรมอนต์ก็ยอมเลิกสนใจโต๊ะทดลองมานั่งฟัง

          "ผมเจอเศษเสี้ยวของบันทึกดำ"สรรพนามนั้นถูกเปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับอีกสองคนที่เหลือ

 

          "...แต่ว่ามันถูกใช้ไปแล้ว ระยะเวลาเพียงแค่สองวันมันก็ลุกลามถึงขนาดนี้"เขาต่อถ้อยคำท้ายก่อนใช้คริสตัลย้ายมิติออกมาใช้ ในยามปกติแล้วถ้าโยนขึ้นข้างบนมันจะย้ายไปยังสถานที่ที่ต้องการได้ แต่ถ้าขว้างไปข้างหน้าแล้วละก็

           หลุมมิติซึ่งเป็นแหล่งเก็บอุปกรณ์เวทมนตร์ที่เฟรมอนต์ผลิตมาเพื่อเขาโดยเฉพาะจะเกิดขึ้น

          ภายในมิติเป็นสีดำสนิท รูเข้าขนาดเล็กและของอีกกว่าสิบชิ้นปรากฏขึ้น เมลหยิบนาฬิกาทรายเวทมนตร์รูปหัวใจชนิดใช้แล้วทิ้งขึ้นมาปาลงกับพื้น ไอเวทคละคลุ้งกันพวกเขาจากโลกภายนอกก่อนเจ้าตัวจะเรียกบันทึกแห่งชีวิตเล่มขาวกับสมุดน้ำตาลประจำเขตดูแลขึ้นมา เปิดหน้าสีขาวยุ่ยรอยด่างดำให้คนทั้งสามได้เห็น

          "นั่นเลยเป็นสาเหตุที่ทำให้นายต้องมาติดต่อกับพวกเรากันแบบนี้สินะ"          ดวงตาสีเลือดของเฟรมอนต์จ้องมัน เล่มน้ำตาลมีหน้ากลางหายไปสามสี่หน้า เล่มขาวโดนแค่ปลายมุมของหน้าคู่กลาง เพียงแค่นั้นก็บ่งบอกถึงสัญญาณอันตรายของเรื่องต่อจากนี้

          "ผมอยากจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าที่อื่นเจอกันแล้วหรือยัง แต่ติดต่อได้แค่สามคนเท่านั้น ส่วนที่เหลือไร้วี่แวว"

 

          "ถ้าไม่นับเจ้าบ้านั่น ฉันคิดว่าคนอื่นก็คงกำลังตรวจสอบเรื่องนี้อยู่จนไม่มีเวลามาคุยกับเรา"เฟรมอนต์ว่าเสียงนิ่งเรียกให้ในห้องตกเข้าสู่ความเงียบ          "ก็อย่างที่ว่า ตอนนี้ทุกคนเป็นไงบ้าง"เมลรีบตัดบทแล้วพาเข้าเรื่องจริงจัง แค่ในเวลาไม่นานทุกคนก็ชูสมุดไดอารี่ให้เห็น

          "ก็เริ่มมีอะไรแปลก ๆ แล้ว แต่พวกเราจมูกไม่ไวเท่านายถึงยังพูดอะไรไม่ได้มาก"มาเรียว่า เธอจ้องหน้าของเมลที่กำลังจับคาง เขาจ้องบันทึกแห่งชีวิตสลับกับของทุกคนพาลนึกไปถึงใครอีกคน

          เคเดย์น เลสติน

          นามสกุลเดียวกับเพื่อนใหม่ที่เขาเพิ่งเจอเมื่อสองวันก่อน หนึ่งในตระกูลสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม จากการเล่าขานของบันทึกแห่งชีวิตสีขาวที่ร้องเตือนถึงตัวเขา บันทึกเพียงหนึ่งเดียวที่เขาไม่เคยได้สัมผัสมันเลยหากไม่มีเหตุการณ์จำเป็น

          "ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ดูเรื่องตัวแทนผู้ยุติสงครามในแต่ละอาณาจักรของทุกคนที ผมอยากรู้ความเป็นไปของพวกเขาในตอนนี้และที่ผ่านมา ขอแบบละเอียดที่สุดนะครับ"

           และแน่นอนว่าหมายถึงเขาที่ต้องเข้าไปหาใครอีกคนหนึ่งเพิ่มด้วย

 

 

          เท่าที่เห็นตอนนี้ก็มีแต่คนนอนหมดสติหลังรั้วดำใหญ่ของคฤหาสน์ ทหารยามกำยำสามคนไม่เหลือเค้าความน่าเกรงขามอีกต่อไป ด้วยฤทธิ์ยาสลบสมุนไพรลนไฟจนเกิดควันของเขา โชคดีที่มันสีเทาจาง ปริมาณน้อย แถมไอร้อนก็ไม่กระจายตัวมากในอากาศเย็นแบบนี้ เลยรอดตัวจากการโดนจับได้

          'เรียบร้อยไปอีกส่วนนึง'

          ถ้านับระยะทางจากบ้านมานี่ก็นับว่าไกลโข สุ้มเสี่ยงกับการใช้คริสตัลเคลื่อนย้ายมิติแล้วยังพวกทหารยามที่กำลังตรวจตรา ในช่วงบ่ายวันนั้นหลังจากคุยกับพวกเกรย์เซียเสร็จเขาก็ตั้งใจจะออกไปแวะข้างนอกอย่างเคย แวะเวียนเข้าร้านไปช่วยงานแล้วหาเหตุผลลางานสักสามสี่วัน ตั้งใจเอาไว้ว่าจะสืบข่าวให้ก้าวหน้ากว่านี้แต่เรื่องกลับวุ่นวายกว่าที่คิด โดยเฉพาะข่าวลือปากต่อปากแบบบมีมูลของพวกชาวบ้าน

          มนุษย์แม่บ้านทั้งหลายไล่ยันไปยังเด็กสาวเด็กหนุ่มนักพูดจ้อ นักสิงร้านเหล้าหรือแม้กระทั่งชายฉกรรจ์ทั้งหลายแหล่ นั่นน่ะ ตัวกระจายเรื่องชั้นดีเลย

          ...และมันก็ตรงกับสิ่งที่อิเรสต้องการ ปั่นป่วนเมืองจนวุ่นวายเพื่อง่ายต่อการหาหุ่นเชิด กำจัดตัวปัญหาในอนาคต และควบคุมบ้านเมืองไปตามความต้องการ

          ...อิเรสนำเกมครั้งนี้ได้ไวจนน่ากลัวเลยละ...

         ตุบ

          ฝีเท้าแต่ละย่างก้าว ดวงตาซึ่งสอดส่ายโดยรอบจนมั่นใจในความเงียบอันผิดปกตินั่นแล้ว แต่เขาไม่มีเวลาให้หยุดชะงักมากนอกจากรีบปีนขึ้นต้นไม้ไม่ให้เสียงดังมากไป... และมันลำบากมากทีเดียว นี่ถ้าเมลใช้เวทมนตร์ได้เก่งกว่านี้คงเรียกเวทเคลื่อนย้ายโผล่เข้าห้องนอนโซลันไปแล้ว อาจมีปัญหาตอนต้องกลบกลิ่นอายไอเวทหรือหลงทางในคฤหาสน์จนหาห้องไม่เจอแล้วไปโผล่ผิดที่ ถ้าไม่หาข้อมูลผิดหรือน้อยไปปัญหาข้อหลังก็เรื่องเล็ก เว้นเสียแต่ข้อแรกนั่น...

          ...พระอาทิตย์ตกดินไปทิศตะวันออกเมื่อไหร่ การที่เมลจะใช้เวทจนเชี่ยวชาญได้นี่อยู่แค่เอื้อม

 

          'ฮึบ!'

          ในที่สุดก็ปีนขึ้นมาถึงปลายยอดของต้นไม้จนได้ในเวลาร่วมสิบนาที จากกิ่งก้านที่ค่อนข้างจะโอนเอน บ่งบอกถึงน้ำหนักตัวของผู้ปีน เมลแอบเสียวว่าจะตกลงไปคอหักด้วยสภาพน่าอนาถหรือเปล่า แต่จากการขยับตัวยุกยิกไปมาแสดงว่ากิ่งไม้ยังแข็งแรงดี ดวงตาสีน้ำตาลอมส้มจ้องมองผนังสีขาวสะอาดทอดตัวสูงจากเบื้องล่างราวสามชั้น

          แม้ดวงจันทร์จะเต็มดวง แต่แสงสว่างของมันก็ไม่มากพอจะมองเห็นอะไรภายในได้ชัดเจน แม้กระทั่งห้องของเป้าหมายที่ทำให้เขาต้องมาอยู่ตรงนี้

          โซลัน เลสติน...

          "ยังตื่นอยู่สินะ"เมลลอบยิ้มมุมปาก เอนหลังพิงลำต้นใหญ่ จ้องมองหน้าต่างขอบเงินที่แง้มขึ้นเล็กน้อยราวกับจงใจ 

          "เคเดย์น เลสติน พ่อมดสายเลือดบริสุทธิ์เพียงคนเดียวในรอบทศวรรษ ถึงจะอายุหลายร้อยปีแต่ฝีมือกลับร้ายกาจ มีผลงานชั้นยอดมากมายจนกลายเป็นผู้กล้าอัจฉริยะ "

          กึก

          แท่งน้ำแข็งนับสิบลอยล้อมรอบตัวทุกทิศทาง บน ล่าง ซ้าย ขวา หน้า หลัง ไอเย็นสีขาวลอยรอบตัวพาลให้ผิวหนังเย็นจนซีดขาว

 

          "ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ เมล"ดวงหน้าคมคายปรากฏถึงร่องรอยของความสงสัยระคนประหลาดใจ ทว่าดวงตาสีน้ำตาลส้มนั้นของผู้มาใหม่ยังจ้องมาทางเขานิ่ง ๆ ก่อนจะแย้มรอยยิ้มบาง

          "แล้วคิดว่ายังไงล่ะ"

          โซลันมุ่นคิ้วเรียบเรียงคำถามสั้นราวกับยอกย้อน หากแต่เมื่อสังเกตเห็นสร้อยสีทองที่คนตรงหน้าเอาออกนอกเสื้อสะท้อนแสงจันทร์สีนวล จี้รูปหัวใจอันเล็กที่เคยได้เห็นเย็นวันนั้น ส่องสว่างไม่ชวนให้แสบตาแต่น่าขัดใจ กับท่าทางเหมือนคนไม่สบายของเมลที่เจ้าตัวพยายามปกปิดอีก...

          'หมายความว่ายังไง'

          จ้องไปแบบนั้นแต่ก็ยังไม่ได้อะไร เมลนิ่งเงียบแต่ไม่ละสายตา หูทั้งสองนิ่งฟังทั้งคำพูดของอีกคนและพื้นที่โดยรอบของคู่ปรับตัวฉกาจ แม้กลิ่นอายจะจางแต่เหมือนมันจะเริ่มใกล้เข้ามาแล้ว

          วาบ

          แสบสีขาวปรากฏขึ้น จี้หัวใจทองทำปฏิกิริยาเหมือนอย่างเมื่อวาน เมลชักสีหน้าเบ้บ่งบอกถึงความอึดอัด ริมฝีปากเม้มแน่น ไอสีดำแผ่ขยายจาง ๆ แม้ไม่เห็นเพราะแสงที่มืดเกินไปแต่ก็รู้สึกได้ หัวใจของเขาเต้นแรงและถี่รัว เลือดในตัวเขาสูบฉีดถี่แรงขึ้นสลับกับช้าเพราะสร้อยที่คอยคุ้มภัยไว้บนคอตัวเอง

          'นี่กะจะตามกันทุกฝีก้าวเลยสินะ'

          "ยืนอยู่ตรงนี้นานไปจะแย่... รีบเข้าไปข้างในที...ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับนาย..."น้ำเสียงบังคับกึ่งขอร้องดังจากปาก โซลันชั่งใจครู่หนึ่งแต่สุดท้ายก็ยอมให้เข้ามาแต่โดยดี ดวงตาคมกริบจ้องมองทุกฝีก้าวผู้บุกรุกไม่วางตา ก่อนจะยอมปิดหน้าต่างให้ตามคำขอ

 

          "เจ้าพวกนั้นคือละอองดำจากความมืดในส่วนลึกของบันทึก จะว่ามันเกิดจากจิตใจของผู้คนก็ไม่ผิดแต่ส่วนใหญ่แล้วถูกสร้างขึ้นซะมากกว่า... แค่ในช่วงแรกน่ะนะ"

          "..."

          "และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า... ...ถ้าจะมองไม่เห็นก็ไม่ผิด"เด็กหนุ่มเริ่มเปิดปากเล่าข้อมูลส่วนหนึ่งของเขาออกมา ดวงตากลมโตเหลือบมองทางนอกหน้าต่างด้วยท่าทีร้อนรนปนกับความเคร่งเครียด เรียกให้ดวงหน้าคมคายต้องอึดอัดด้วย

          "ใครส่งมันมา"

          "กลุ่มอิเรส แต่ไว้ฉันจะเล่าให้ฟังทีหลังละกัน ตอนนี้ต้องกำจัดพวกมันก่อน ไม่งั้นทั้งนายทั้งฉันเสร็จมันหมดแน่"

          กระจกหนาใสแตกเป็นรอยร้าวทันทีที่เมลพูดจบ โซลันเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจแต่ครู่เดียวก็ยกมือทั้งสองข้างขึ้นตรงหน้า ดวงตาสีฟ้าเรืองแสงวาบ ก่อนกระจกทั้งหมดจะแตกร่วงกระจายลงพื้นห้อง เงาดำของบางสิ่งขมุกขมัวจนมองไม่เห็นและก่อนจะได้ทำอะไร ของเหลวสีแดงสดก็กระเด็นเข้าตาจนเหนียวไปหมด...

 

          "!?!"

          "เจ้าพวกนี้มันลูกกระจ๊อก เพราะขายวิญญาณให้อิเรสไปแล้ว ถ้าไม่ใช่พวกผู้บันทึกอย่างฉันก็มองไม่เห็นหรอก ต้องใช้เลือดฉันป้ายตานาย"

          เมลตอบกลับทันควันก่อนความรู้สึกบีบรัดในอกจะทวีความรุนแรง กลิ่นไอแผ่กระจายรุนแรงเข้าไปทุกที ฝืนใช้แรงสักหน่อยหลบวิถีโจมตีของพวกมันพลางเหลือบมองเพื่อนใหม่ที่ยังยืนงงอยู่เล็กน้อย น่าหวาดเสียวจะโดนดาบเกี่ยวคอตายเข้าสักที ทว่าประสาทสัมผัสเจ้าตัวยังฉับไว โซ่สีเงินถึงได้โผล่จากพื้นมารัดเงาดำพวกนั้นนอนนิ่ง จะดิ้นก็ไม่หลุด

          "เจ้าพวกคนชุดดำนี่งั้นสินะ"

          "ใช่"

          ไม่มีเวลาจะถามมากเมื่อในสถานการณ์ตอนนี้บีบคั้นเขาให้ต้องสู้ ชายหนุ่มเอ่ยคาถาสั้นแต่ทรงพลัง ไอเวทสีฟ้าแผ่กระจายทั่วห้องก่อเป็นลูกบอลขนาดเล็ก...

          "ระวังห้องระเบิดนะ...โซลัน"

          ...และคำเตือนไม่ดูสถานการณ์นั่นทั้งหน้าตาย โซลันขมวดคิ้วมองหลังจากจัดการคนมาใหม่อีกสองจนร่างสลายเป็นขี้ดิน 

 

          เมลกำลังหลบอาวุธจากเงาดำอีกสองตัวอย่างเอาเป็นเอาตายพร้อมกับบาดแผลและเลือดที่ไหลซึมผ้า พอเห็นเขาจัดการเจ้าตัวก็หยักยิ้มมุมปากทั้งสีหน้าซีดเซียวให้พลางผลักพวกมันมาทางเขาแบบไม่ให้ได้ตั้งตัว

          'เอ้า ฝากด้วย'

          พรึ่บ

          และตัวเขาที่เรียกเวทมนตร์ลูกไฟเผาอาวุธลามไปทั่วร่างชายชุดดำจนแหลกสลาย เหลือเพียงเสียงกรีดร้องโหยหวนหลงเหลือเอาไว้

          "ยังไม่หมดหรอก ข้างล่างยังมีอีกเพียบเลย"เมลเงยหน้าขึ้นว่าทั้งหน้าตาย รอยแผลถลอกเรียกเลือดซิบทั้งยังรอยแทงลึกปรากฏขึ้นทว่าเพียงชั่วเดียวมันก็หายไป ยังไม่ทันจะอยู่คุยกันถึงห้านาทีก็มีคำถามเป็นสิบลอยเต็มหัวแล้ว

          ...แต่ก็ได้แค่พักมันเอาไว้ก่อน...  

          "หวังว่าพอจบเรื่องนี้"ตัวต้นเหตุก็ควรจะออกไปจากที่นี่"

          เขาหันไปคว้าเอาเสื้อคลุมตัวยาวข้างเตียงมาสวมทับ ขยับมันให้พอดีตัวก่อนจะจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่ตอนนี้ทิ้งตัวทรุดนั่งลงกลางพื้นทั้งเหงือแตกพลั่ก พลันนั้นเลือดสีแดงสดก็ไหลออกมาทางจมูกของเขา แม้จะแค่สองสามหยดก็ตามที จนต้องเผลอหรี่ตามองตาม

          "นายอยากจะคิดแบบนั้นก็ได้ แต่ถึงไม่มีฉันนายก็หนีพวกมันไม่พ้นอยู่ดี สิ่งที่พวกนั้นต้องการจากนายคือความตายของนาย"เมลว่าเสียงเรียบ สีหน้านิ่งเฉยทว่าดวงตาสะท้อนถึงความเครียดและกดดันจนคนหมดความอยากถามไปเอง

 

          "แล้วก็อีกเรื่อง..."เมลรีบเอ่ยแทรกต่อดันร่างที่อ่อนแรงของตนก่อนจะเหลือบมองสนามหญ้านอกบ้านเริ่มเกิดประกายไฟสีดำน่าขนลุกขยายไปทั่ว  โซลันตั้งท่าจะไปแต่ก็โดนดึงชายเสื้อให้หยุดนิ่ง

          "ตอนนี้กำจัดให้ตายมันก็ไม่มีทางหมด ทางเดียวที่ทำได้คือขึ้นไปอยู่บนหลังคาบ้านที่สูงที่สุด ใช้เวทแสงล้อมทั่คฤหาสน์ซะ อย่างน้อยก็ช่วยไล่พวกมันออกไปได้สักระยะ..."สิ้นสุดคำแนะนำ ว่าที่ผู้ร่วมงานก็หายจากตรงนั้นไป เด็กหนุ่มฝืนทิ้งตัวลงนั่งกับเตียงเดี่ยวใหญ่พิงยังกำแพงขาว ค่อย ๆ ปิดเปลือกตาลงจับความรู้สึกประหลาดผ่านประสาทสัมผัสในส่วนลึก 

          พวกชายชุดดำอยู่รอบตัวเขาอย่างที่คิดแถมยังไม่มีทีท่าจะลดลงไปเลย ข้อเสียของสายเลือดเขาที่มักจะดึงดูดพวกไอฝุ่นดำเข้าหาตัวเสมอแม้ร่างกายจะไม่ต้องการ สะสมและย่อยสลายจากภายในจนต้องกลายเป็นคนร่างกายอ่อนแอในสายตาคนอื่นเสมอ

 

          แลกกับข้อดีเพียงไม่กี่ข้อที่กำลังเกิดขึ้น อย่างน้อยก็ในตอนนี้ ประสาทสัมผัสกับพวกอิเรสจะไวยิ่งกว่าใครรับรู้ถึงไอดำจนง่ายต่อการหาต้นตอ และสอง...

          ...คือการถือครองบางสิ่งไว้ข้างตัวได้โดยไร้รอยขีดข่วน

          วาบ

          แม้จะหลับตาแต่แสงที่ส่องเข้ามาก็ทำให้ต้องรีบยกมือบัง ระยะเวลาของมันยาวนาน...แต่ก็คุ้มค่ากับการรอคอย อาการบีบรัดในอกจางหายจากอากาศที่ได้สูดเข้าไป ความรู้สึกเจ็บทั่วร่างค่อยจางลง ช่วงสุดท้ายก่อนแสงจะดับน้ำเสียงกระซิบจากความมืดก็ดังแล่นเข้ามาในหัว คำขู่ถึงชีวิตและสิ่งที่เขาหวงแหนที่สุดในตอนนี้...

          "ความตายจากพวกนายทำลายฉันไม่ได้หรอก"ถ้าหากไม่เหนื่อยล้าจนตายไปเองร่างกายของเขาก็จะยังคงเป็นอยู่เช่นนี้ เกิดแผล ฟื้นฟู อ่อนล้าและหลับไปเพื่อชดเชยพลังเหล่านั้น... ไม่เคยมีครั้งไหนเลยที่บาดแผลฉกรรจ์จะยังคงอยู่บนตัว นั่นเป็นหนึ่งในคุณสมบัติพิเศษเฉพาะเขาที่จะมีได้

          เพื่อชดเชยกับร่างกายที่มีพลังเวทต่อสู้อันต่ำต้อย ส่วนเรื่องของบันทึกแห่งชีวิตสีขาว ทั้งหมดนั่นล้วนเกี่ยวกับตัวเขา ในสิ่งที่เขาเป็น มีแค่เมลคนเดียวเท่านั้นที่จะดูแลมันต่อจากโคเรย์ได้... ต่อให้พยายามปฏิเสธแค่ไหนก็ตาม

 

          ตึกตึก ตึกตึก

          เสียงฝีเท้าดังตึงตังเข้ามาใกล้ เมลจำต้องดึงตัวเองให้พ้นจากความคิด ผ่อนลมหายใจอย่างเชื่องช้า เปลี่ยนสีหน้าพลางหันไปฉีกยิ้มมุมปากแก่เจ้าบ้านหน้านิ่ง

          "ทุกคนในบ้านยังสบายดีใช่ไหมล่ะ"

          "อืม ขอบใจสำหรับคำแนะนำ"โซลันมองเด็กหนุ่มค่อย ๆ ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้า ดวงหน้าซีดเซียวกับรอยเลือดบนตัว ชายหนุ่มมองสภาพอ่อนแรงแล้วถอนหายใจ 

          "กำจัดเจ้าตัวน่ารำคาญหมดแล้ว ถึงเวลาที่พวกเราควรจะเข้าเรื่องสักที"

          "หวังว่าจะตอบคำถามของฉันทั้งหมดนะ เมล"

          "....นั่นมันก็...ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของนาย"

          "เรื่องอะไร"

          "แล้วตอนมาหานายตอนแรกฉันพูดถึงเรื่องอะไรไว้ล่ะ"เมลเอ่ยหน้านิ่ง ซ่อนความรู้สึกกังวลในหัวไว้ภายใต้ดวงตาไร้อารมณ์ เขาจำเป็นต้องโน้มน้าวโซลันให้ช่วยจนได้ เพื่อให้งานเก็บกวาดในเมืองนี้เสร็จได้โดยเร็ว จึงจำเป็นจะต้องใช้เขา

          "แล้วถ้าฉันปฏิเสธ"

          "สภาพที่ฉันโดนเจ้าพวกนั้นรุมยำจนเละคูณจำนวนประชาการที่นี่ได้เลย และฉันหมายถึงพ่อของนายด้วย หนึ่งในตัวแทนผู้ยุติสงครามเมื่อร้อยปีที่แล้วน่ะ"

 

 

          ครึก ครึก

          โซ่สีเงินยวงอาบสะท้อนแสงจันทร์ยามค่ำจากลูกกรงขัง ชายวัยกลางคนผมฟ้าเขียวฝืนขยับร่างมัดกล้ามที่ยามนี้อ่อนปวกเปียกไร้เรี่ยวแรง พลังกายและใจถูกสูบไปจนแทบไม่เหลือแม้ความรู้สึกจะอยากต่อต้าน

          "ผู้สืบทอดคนต่อไปเนี่ย...อ่อนแอน่าดูเลยนะ"หญิงสาวจากนอกกรงขังหัวเราะเสียงหวาน หากแต่กลับเต็มไปด้วยแรงกดดัน เธอจับจ้องไปยังนักเวทมากฝีมือที่ยามนี้เป็นเพียงคนสิ้นฤทธิ์... ทั้งยังถูกนักเวทนับสิบช่วยกันกักขังพลังของเขาภายใต้คุกใต้ดินพิเศษ แถมยังตัวเธอที่ได้รับพลังและปัญญาจากเศษเสี้ยวบันทึกดำเพื่อมาจัดการเขา ทุกอย่างช่างดูง่ายดายเหลือเกิน...

          "ไร้พละกำลังต่อสู้ก็ใช่ว่าจะไร้สติปัญญาเสียหน่อย อย่าเพิ่งได้ใจไปนักเลย..."

          "ยกยอกันเหลือเกิน ตัวเจ้าก็ใกล้สิ้นชีพอยู่รอมร่อยังจะสนใจเรื่องของเด็กนั่นได้อีก..."เธอว่าพลางก้มลงมองสภาพนักโทษ ส่งยิ้มเย้ยหยันแฝงความยินดีนั้นเพื่อถากถางอดีตพ่อมดอัจฉริยะ

 

          "ข้าอาจอ่อนแอจนถูกจับได้ แต่จากการสิบรุมหนึ่งอย่างเจ้าข้าไม่นับ"

          "ไม่ได้มีกฏข้อไหนห้ามข้ารุมใครในการต่อสู้จริงเสียหน่อย"

          "เจ้าที่มีจิตใจต่ำช้า ข้าไม่มีคำด่าใดจะยกให้กับยักษ์สองเพศเช่นเจ้า..."

          แซ่ด แซ่ด

          ประกายอัสนีสีดำสนิทแผ่ซ่านจากปลอกเหล็กที่สวมข้อเท้าและมือ ส่งกระแสไฟฟ้าแล่นทั่วร่าง เคเดย์นทำได้แค่กัดปากแน่นจนเลือดไหลซิบทว่าก็ยังไม่ได้แสดงสีหน้าใดนอกจากส่งยิ้มบางราวกับท้าทาย

          "ถ้าทำได้ข้าก็อยากทรมานเจ้าให้ขาดใจตายอย่างแสนสาหัสอยู่ตรงนี้เสียจริง"หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มอิเรสได้แต่ยืนนิ่งกอดอกมองท่าทีของชายตรงหน้า กัดฟันมองท่าที ชั่งใจถึงท่าทีที่ดูนิ่งเงียบผิดวิสัยคนเคยเก่งนั่งคุกเข่านิ่งกับบาดแผลอาบคราบเลือดเต็มตัว

 

          ส่วนหนึ่งที่ทำให้หนึ่งในผู้กล้าคนนี้สงบได้ นอกจากการรุมลดทอนพลังก็มีห้องขังพิเศษนี่แหละที่นายเธอได้อภิสิทธิ์เข้ามายุ่มย่าหรือทำสิ่งใดได้ตามต้องการ แลกกับฐานบรรลังก์จอมปลอมอันยาวนานของกษัตริย์คนปัจจุบัน ความโลภที่น่ารังเกียจเหล่านั้นคือแหล่งพลังงานชั้นดีสำหรับการมีอยู่ของพวกเธอ

          ไม่มีทางหรอกที่เจ้านี่จะหลุดออกมาได้น่ะ ไม่มีทาง...

          ความเงียบทิ้งช่วงระยะหนึ่ง จนเมื่อหญิงสาวในชุดรัดรูปมั่นใจว่าไม่มีอะไรจะให้คุยด้วยแล้วเธอจึงเดินจากไป ปล่อยไว้แต่กระแสไฟฟ้าที่ยั่งส่องแสงสีหม่นครู่เดียว เคเดย์นลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่มองข้อมือของตนปรากฏรอยแดงโซ่เหล็กหนักอึ้งรัดทั้งแขนและขายึดกับกำแพงอิฐสีเทาอย่างเหนียวแน่น

            ...หากแต่ถ้าหญิงสาวผู้นั้นยอมเสียเวลาเข้ามาดูโดยละเอียดอีกนิด จะพบว่าพ่อมดผู้นี้ใกล้จะเป็นอิสระจากโซ่เหล็ก เหลือก็แค่ทำอย่างไรถึงจะหาเขตอาคมล่องหนในห้องนี้แล้วทำลายทิ้งซะ 

          "ไอดำเริ่มก่อตัวขึ้นหนาอีกแล้วแฮะ"เคเดย์นว่าเสียงกระซิบ จ้องมองสภาพโดยรอบ ฝุ่นละอองดำจากส่วนลึกบันทึก จำได้ว่าเคยเห็นมันเมื่อนานมากแล้ว แต่ฤทธิ์ของเลือดจากใครอีกคนมันหายไปมากแล้วเหลือแต่ความคุ้นเคยจากการเคยคลุกคลีจึงยังสัมผัสถึงตัวตนของมันได้ และคราวนี้ก็ทวีความรุนแรงจนกระจายตัวออกไปมากในเวลาอันสั้น

 

          ความโลภของกษัตริย์ไม่มีที่สิ้นสุด เพียงเพราะเป็นศูนย์กลางของผู้คน แรงกดดันจึงทำให้พวกเขาต้องกลายเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เพียงเพื่อปกป้อง... จนถึงตอนนั้น ความอดทนต่อทุกอย่างของพวกเขาจะถูกทำลายในที่สุด จึงต้องคอยมีผู้ปกป้องและรักษาสมดุล

          พอนึกย้อนไปถึงคำพูดของใครสักคนดวงหน้าคมคายก็ชักสีหน้าตึง ความอึดอัดแผ่กระจายทั่วห้อง 

          "โชคชะตาแล้วก็ผู้ถูกเลือกงั้นหรอ...หึ ถ้าลูกชายของเจ้ามาได้ยินคำนี้จากปากของข้าเข้า เขาคงต้องเอาแต่นึกค้านอยู่ในใจเช่นเจ้าแน่ สหาย"

          ชั่วครู่หนึ่งที่กล่าวออกไป สายลมก็โบกพัดจนแรงชั่วครู่หนึ่ง ลมเย็นชวนสะท้านกายโบกเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง ชายหนุ่มเอนกายลงกับกำแพงเย็นเฉียบจ้องดูดวงจันทร์สีนวลเพียงดวงเดียวบนท้องฟ้า

          ต้นไม้ต้นใหญ่เอนไหวตามกระแสลมอีกครั้ง... ท่ามกลางบรรยากาศอันน่าอึดอัดใจ บนท้องฟ้าผืนเดียวกันแต่ความรู้สึกช่างต่างกันลิบลับ โดยเฉพาะกับเมลในตอนนี้

 

          ปึก

          บันทึกสีน้ำตาล หนังสือต้องห้ามสำหรับคนทั่วไป ไม่ว่าใครก็ห้ามแตะต้อง สัมผัสหรือแม้กระทั่งอ่านเรื่องราวของบุคคลอื่น แต่เมลจำต้องทำผิดเพื่อให้งานได้ลุล่วง เรื่องราวประวัติศาสตร์ทั้งหมดที่เคยเกิดขึ้นในอดีตปรากฏเป็นภาพเคลื่อนไหวจากเลือดของรีคอร์เดอร์คนพิเศษอย่างเขานับตั้งแต่เริ่มจุดตะเกียงให้สว่างทั่วห้อง

          เขาใช้ภาพชีวิตของผู้คนแทนในสงครามครั้งนั้นคำบอกเล่าให้แก่ว่าที่ผู้ร่วมงาน เพราะแค่ปากเปล่ามันไม่มากพอจะดึงคนยึดหลักเหตุผลอย่างโซลันให้ยอมเชื่อ

          "ฉันไม่ได้ร้องขอให้นายต้องมาทำหน้าที่อย่างคุณเคเดย์น แต่แค่นายช่วยเขางานของฉันก็เสร็จไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว"

          "เลยต้องให้ลูกชายของเขาอย่างฉันมาช่วย... เป็นถึงรีคอร์เดอร์ทั้งที ทำได้แค่นี้งั้นหรอ"

          "..."เมลส่งยิ้มบางให้กับคำย้อนจากคนปากคอเราะร้าย น้ำเสียงจิกกัดกับคำพูดที่เอ่ยได้ตรงเผง เมลเก็บไดอารี่ในมือเข้าสร้อยของตัวเอง ท่าทีนิ่งเงียบยิ่งทำให้คนถามเลิกคิ้วสูง

 

          'เป็นคนชวนเขามาร่วมงานแท้ ๆ ไม่คิดจะทุกข์ร้อนอะไรสักหน่อยหรือไง'

          "อย่างน้อยฉันก็ทำให้นายนั่งต่อปากต่อคำได้อยู่ตรงนี้เกือบสองชั่วโมงทั้งที่ไม่ตอบปฏิเสธ"ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบจ้องกลับไปอย่างไม่ยอมแพ้ รอยยิ้มบนหน้าจางไปบ้างแล้วพร้อมกับสีหน้าจริงจัง

          "ที่ถามย้อนมาแบบนั้นน่ะ ไม่ใช่ว่านายเองก็กำลังสนใจเรื่องนี้ตั้งแต่แรกอยู่หรือไง กับความเสี่ยงที่นายไม่ต้องแบกรับมากแลกกับการได้ช่วยพ่อของนายน่ะ"ถ้อยคำจี้จุดเอ่ยออกมาจากผู้บุกรุก แม้จะไม่ยิ้มแต่ดวงตาของโซลันก็ส่อประกายถูกใจกึ่งหงุดหงิดให้เห็น

          "พูดเหมือนตั้งใจจะมัดมือชกกันเลยนะ"

          "หรือว่านายจะปฏิเสธ"

          "ตอนแรกก็ว่าจะใช่ แต่ตอนนี้ฉันเปลี่ยนใจแล้วละ"

          ..

          .

          "ฉันตกลง"

 

 

          "เมล"บ่ายวันหนึ่งช่วงกลางฤดูร้อนทั้งแสงแดดจ้าที่ส่องหน้าเข้ามาจนร้อนและแสบตาไปเสียหมดทว่าเด็กชายตัวน้อยก็ยังไม่ละจากมันไปไหน ริมลำธารแห่งนี้ที่เขามักจะมาตกปลาอยู่เสมอ...กับใครอีกคน

          "วันนี้พ่อก็ไม่ว่างอีกแล้วสินะครับ"

          "ก็นะ..."ชายร่างท้วมเจ้าของเส้นผมสีม่วงที่คุ้นเคยย้ายร่างอวบมานั่งใกล้กัน เกรย์เซียได้แต่ส่งยิ้มแห้งมองเด็กน้อยตีหน้านิ่งมาตั้งแต่ต้น ดวงตาสีน้ำตาลส้มเหม่อมองเบ็ดของตนด้วยแววตาเหม่อลอยเป็นอย่างเช่นทุกวัน บ่งบอกถึงความเคยชินกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น

          "แต่อีกเดี๋ยวเขาก็มาแล้วละ"

          "ครับ ผมรู้"น้ำเสียงใสว่า แม้ใจจริงจะไม่ได้คิดแบบนั้นเลยก็ตาม หน้าที่ของพ่อเขาไม่เคยทำให้เจ้าตัวว่างได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งกับช่วงนี้ด้วยแล้ว 

          "พี่เกรย์เซีย"

          "ว่า..."

          "ผมมีเรื่องอยากจะถามพี่ครับ"และทุกครั้งก็จะเป็นดังเช่นทุกวัน เมื่อไหร่ที่คนทั้งสองได้มานั่งตกปลาข้างกัน คนอ่อนวัยกว่าก็มักจะหาเรื่องที่สงสัยมาเอ่ยถามเสมอ ด้วยนิสัยอยากรู้อยากเห็นภายใต้ใบหน้านิ่งเงียบเวลาเอาจริงเอาจัง เพราะนิสัยชอบขโมยบันทึกแห่งชีวิตมาอ่านเล่นเลยโดนโคเรย์บ่นไล่แทบทุกครั้ง

          "ผู้เชื่อมต่อกับบันทึกแห่งชีวิตคืออะไรอย่างนั้นหรอครับ"

          แต่ครั้งนี้เหมือนมันจะมากไปหน่อย

 

          "สาเหตุที่พ่อไม่ค่อยว่างเพราะเจ้านี่ใช่ไหม"ยิ่งอ่านมากก็ยิ่งเข้าใจมาก ถึงได้ถามสิ่งที่เกินวัยออกมา เกรย์เซียหรี่ตาสีม่วงของตนจ้องมองเด็กคนนี้ด้วยแววตาอ่านยาก

          "ไปรู้มาจากที่ไหน!"จนต้องเอ่ยเสียงเข้มอย่างลืมตัว ร่างเล็กเพียงหน้าท้องสะดุ้งเฮือกใหญ่ ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ แววตาน่ากลัวนั่นสื่ออกมาจนต้องลอบกลืนน้ำลายอึกใหญ่ ทว่าสุดท้ายคนดุก็เริ่มจะรู้ตัว ถึงได้คลายความตึงเครียดลงแล้วกล่าวเสียงนุ่ม

          "ขอโทษที สรุปแล้ว นายไปรู้มาจากไหน..."

         "ผม คือผม...ฝันน่ะ... จำไม่ได้แล้วว่ามันเป็นยังไงแต่ว่าตอนนอนได้ยินใครก็ไม่รู้กระซิบเรื่องพวกนี้เต็มหัวเลย เกี่ยวกับผู้ต่อเชื่อมอะไรทำนองนั้นน่ะครับ พ่อเองก็เคยพูดด้วย"

          "ผู้เชื่อมต่อไม่ผู้ต่อเชื่อมนะ เมล "

          "อ้าว งั้นหรอครับ ฮะ ๆ พูดผิดซะแล้วแฮะ"เด็กน้อยว่าเสียงใส ส่งยิ้มบางให้ก่อนจะหันกลับสนใจเบ็ดที่เริ่มสั่นไหวจนต้องจดจ่อ

         'เขาพูดด้วยตัวเองงั้นหรอ...เร็วกว่าที่คิดไว้นะ'

 

          "แล้วยังไงต่ออีก"

          "ผม...จำไม่ได้แล้วครับ"เสียงถอนหายใจยาวดังลอดออกมา เมลลอบมองคนข้างตัว เพียงแค่ไม่ถึงชั่วโมงพี่ชายของเขาคนนี้ก็ทำสีหน้าหลากหลายให้ได้เห็น ทั้งเครียด กดดันจนน่ากลัวหรือถอนหายใจราวกับเด็กเล็ก ตลกชะมัด

          "พี่ไม่ขำนะเมล หยุดหัวเราะเลย"

          "ฮึบ หยุดครับ ผมหยุดแล้ว"ถึงจะว่าไว้แบบนั้นก็ยังอดส่งเสียงหัวเราะเล็ดลอดมาอีกจนได้

          'จะไหวแน่ไหมเนี่ย เด็กคนนี้'

          "ผู้เชื่อมต่ออะไรนั่น ถ้ามันแย่ผมไม่รู้ก็ได้นะครับ"

          ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องหน้าตาเฉยจนคนฟังแอบชะงัก

          "ผมเคยเอาเรื่องนี้ไปถามอาโคเรย์มานะ แต่ว่าเขาทำหน้าตกใจให้เห็นด้วยละ แถมยังเมินหันไปคุยเรื่องอื่น บางทีถ้าผมไม่ถาม... มันอาจจะดีกว่าก็ได้"ทั้งที่ตอนเห็นสภาพของพ่อแล้วมันอดกังวลทุกทีไม่ได้ เลยอยากรู้... เด็กน้อยได้แต่คิดไว้ในใจ

          "ก็ทำหน้าที่คล้ายกับผู้พิทักษ์เลยละ แต่ว่าต่างกันตรงที่ต้องทำทุกอย่างที่พวกรีคอร์เดอร์ทำด้วย จะว่าเป็นผู้ช่วยผู้ดูแลก็ไม่นักหรอก เพียงแต่ต้องคอยทำงานอยู่เบื้องหลัง กำจัดสิ่งแปลกปลอมที่เหนือการควบคุมของผู้พิทักษ์ทั้งหมด เพื่อปกป้องชีวิตของบุคคลที่โลกเบื้องล่าง แล้วก็ยังเกี่ยวข้องกับเผ่าพันธุ์พิเศษด้วย..."

 

          "สิ่งแปลกปลอม เผ่าพันธุ์พิเศษ..."

          "อ่า ให้ตายสิ... เผลอจนได้ ดูเหมือนว่าฉันจะเล่าเพลินเกินไปแล้ว รู้ไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน ถามมากไปนายก็ไม่เข้าใจหรอก"พูดไปก็ลูบหน้าตัวเองไป เกรย์เซียใช้ตาสีม่วงคมนั่นจ้องเด็กน้อยเอียงคอมองอย่างสงสัย และคาดว่าความคลุมเครือนี้คงต้องทำเจ้าตัวกระตือรือร้นไปแอบรื้อบันทึกชีวิตเล่มอื่นมาค้นจนได้ บันทึกทั่วไปหาให้ตายก็ไม่เจอหรอก ทางเดียวที่จะเข้าใจได้มีเพียงแต่ของต้องห้ามพวกนั้น

          ไหน ๆ ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว นี่เป็นการตัดสินใจที่บ้าดีเดือดที่สุดเลยในชีวิตของเขา!

          "แต่ถ้าสงสัยมากนัก หาโอกาสเข้าไปทางห้องลับห้องสมุดให้ได้ด้วยเลือดของนาย เดี๋ยวก็ได้เข้าใจมันเองนั่นละ"ไม่รู้อะไรบางอย่างมันดลใจให้เขาต้องพูดไปแบบนั้น เอ่ยจบ ปฏิกิริยาของความดีใจตามประสาเด็กรักการอ่านก็ฉายชัดออกมา หลังจากเสร็จจากการตกปลาในโลกเบื้องล่าง เจ้าตัวแสบก็เริ่มหาวิธีเข้าไปจนได้ 

 

          เงียบหายไปสองอาทิตย์ทุกอย่างก็เป็นผลสำเร็จ เจ้าตัวเนียนหาทางเข้าไปได้และหายตัวไปสองวันโคเรย์ เขาและโครว์ช่วยกันหา ในแทบทุกที่ที่ค้นไปไม่เจอ จนเดินไปห้องลับท้ายห้องสมุด นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นเด็กน้อยทำสีหน้าหวาดกลัวขนาดนั้น 

          ดวงตาเลื่อนลอยแต่แข็งกร้าวดูไม่สมเด็กวัยสิบสองเหมือนอย่างเคย ถ้อยคำปฏิเสธติดจะรุนแรง และท่าทีที่มองบันทึกแห่งชีวิตสีดำอย่างรังเกียจ หลังจากนั้นเมลก็ไม่เคยได้ไปยุ่มย่ามกับห้องนั้นอีกเลยและนิสัยก็เย็นชาขึ้นด้วย

          ส่งท้ายด้วยชีวิตของใครคนหนึ่งให้จากไป ผู้เชื่อมต่อบันทึกแห่งชีวิตคนเก่าซึ่งหายสาบสูญไปไม่แม้แต่จะทิ้งร่องรอยของการมีชีวิตอยู่

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
8.3 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
8.3 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8.3 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา