กับดักรักจอมบงการ

7.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.

  12 ตอน
  35 วิจารณ์
  14.82K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) กับดักรักจอมบงการ ตอนที่ 2 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

รุ่งเช้าของวันต่อมา... อลินธิดาขับรถญี่ปุ่นคันใหญ่สีดำสนิทซึ่งได้รับความนิยมในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ออกจากบ้านก่อนเวลานัดสองชั่วโมงเพราะไม่แน่ใจว่าการจราจรในเส้นทางที่ไม่ได้ใช้สัญจรเป็นประจำทุกวันนั้นจะติดขัดมากเพียงใด ซึ่งความจริงแล้วสถานีโทรทัศน์ช่องCAN กับบ้านของเธอนั้นอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก

            ก่อนเวลานัดสามสิบนาที อลินธิดาก็เดินทางมาถึงช่องCAN ซึ่งเป็นตึกสูงเสียดฟ้า ตั้งอยู่ละแวกชานเมืองซึ่งบัดนี้แผนผังของกรุงเทพมหานครได้ขยายออกมามากจนชานเมืองนี้กลายเป็นสังคมเมืองที่มีการจราจรคับคั่งเสียแล้ว ก่อนลงจากรถหญิงสาวสำรวจใบหน้าตัวเองอีกครั้งและสำรวจภาพรวมของตัวเองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้ากับความมันเงาของรถยนต์ตนเอง แล้วจึงก้าวเดินเข้าไปด้านในอาคารสูงที่ด้านหน้ามีตัวอักษรภาษาอังกฤษ สีเงิน CAN : Comprehensiven All News ติดไว้กับผนังอย่างชัดเจน

            แต่นั่นยังไม่เท่ากับแสงรัศมีที่เปล่งออกมาจากตัวพิธีกรชื่อดัง เจ้าของคอลัมน์ ‘คุณหนูจอมแฉ’ ในนิตยสารรายปักษ์ฉบับหนึ่งที่โด่งดังเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางภายในระยะเวลาไม่กี่ปีที่เธอเป็นคนสร้างและปลุกกระแสขึ้น นั่นล้วนแล้วแต่เป็นความสามารถของผู้หญิงตัวเล็ก ท่าทางคล่องแคล่วกระฉับกระเฉงที่คนทั่วไปรู้จัก

            “มาพบคุณชาตรีค่ะ” อลินธิดาบอกกับสาวสวยที่นั่งอยู่หลังเคาน์เตอร์ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

            “เชิญชั้นที่ 80 เลยนะคะ” ประชาสัมพันธ์สาวบอกพลางมองตามพิธีกรชื่อดังด้วยสายตาชื่นชม “ขอลายเซ็นหน่อยได้ไหมคะ พี่ชอบน้องมากๆเลย อ่านคอลัมน์คุณหนูจอมแฉทุกฉบับ”

            อลินธิดายิ้มตอบอย่างเป็นมิตรพลางมองนิตยสารที่ประชาสัมพันธ์สาวโชว์ให้ดู “ขอบคุณค่ะ”

            “เซ็นตรงนี้ค่ะ ตรงคอลัมน์คุณหนูจอมแฉเลยค่ะ” ประชาสัมพันธ์สาวยื่นปากกาพร้อมชี้ลงในนิตยสารที่เปิดหน้าดังกล่าวไว้อย่างกระตือรือร้น จ้องมองใบหน้างดงามกระจ่างตาด้วยความชื่นชม ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเจอสาวมากความสามารถในระยะประชิดเช่นนี้ “น้องน้ำผึ้งสวยมากเลยนะคะ ผิวใสจนราวกับมีแสงออร่าเปล่งออกมารอบตัว”

            “ไม่ถึงอย่างนั้นหรอกค่ะ ขอบคุณที่ชื่นชอบผลงานนะคะ” อลินธิดายิ้มรับด้วยความกระดากอาย ก่อนจากยังต้องถ่ายรูปตามคำขอของประสาสัมพันธ์สาวสวยอีกด้วย “ขอตัวก่อนนะคะ ใกล้เวลานัดเต็มทีแล้ว”

            ประชาสัมพันธ์สาวยิ้มด้วยความดีใจ ชะเง้อมองตามร่างอรชรด้วยความชื่นชมจนพิธีกรสาวก้าวเข้าไปในลิฟต์แล้วก็หันมาชื่นชมกับรูปถ่ายที่อยู่ในโทรศัพท์มือถือของตน

 

            อลินธิดาอดอมยิ้มให้กับตัวเองไม่ได้เมื่อรู้สึกถึงความชื่นชมที่คนรอบข้างมีต่อตนเอง หากแต่มันไม่ได้ทำให้หลงระเริง หยิ่งผยอง แต่ตรงกันมันเหมือนกับเป็นแรงผลักดันให้ปฎิบัติตัวอยู่ในมาตรฐานที่ตัวเองตั้งไว้ ดวงตากลมโตเหลือบมองไปยังตัวเลขที่มากขึ้นเรื่อยๆ จึงหมุนตัวกลับเพื่อสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองอีกครั้งในกระจกเงาที่ติดไว้ในลิฟต์ วันนี้เธอเลือกที่จะแต่งเปลือกตาในแบบสโมกกี้ ปัดแก้มสีพีชและเคลือบริมฝีปากด้วยลิปสติกสีนู๊ด รวบผมยาวตึงไว้กลางศีรษะเพื่อโชว์หน้าผากได้รูปและผิวหน้าอันผ่องใส เลือกสวมเสื้อหนังสีดำด้านแต่เน้นความเป็นผู้หญิงด้วยแขนตุ๊กตาและเข้ารูปช่วงลำตัวกับกระโปรงสอบเหนือเข่าสีเทาเข้มที่มีลายเส้นของดอกคามีเลีย สัญญลักษณ์ของเสื้อผ้าสตรีชั้นสูงแบรนด์ดังระดับโลก ซึ่งอยู่บนเรือนร่างของอลินธิดาได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว

            ประตูลิฟต์ที่ค่อยๆแยกออกจากกันอย่างช้าๆ ร่างอรชนของอลินธิดาก็ปรากฏตัวต่อสายตาหลายสิบคู่ในฝ่ายบริหารของสถานีโทรทัศน์ช่องCAN หากแต่เสียงห้าวที่บีบดัดอันคุ้นหูที่ดังมาแต่ไกล ทำให้พิธีกรสาวหันไปตามต้นกำเนิดของเสียง

            “สวัสดีค่า... น้องน้ำผึ้ง”

            อลินธิดาแย้มยิ้มหวานให้กับกระเทยร่างใหญ่ที่ปรี่เข้ามาหาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม พร้อมกับยกมือไหว้อย่างมีมารยาท “สวัสดีค่ะพี่กิ๊บซี่”

            “ยินดี ดีใจที่สุดที่คุณน้องรับปากร่วมงานกับเรา” กิ๊บซี่ถือวิสาสะจับมือถือแขนของพิธีกรชื่อดัง ซึ่งมันเป็นบุคลิกเฉพาะตัวของเลขานุการชายใจหญิงที่จะทำตัวสนิทสนมกับผู้หญิงได้อย่างรวดเร็ว

            “น้ำผึ้งต่างหากค่ะที่ต้องขอบคุณที่ทางช่องCAN ให้โอกาส” อลินธิดาบอกพลางนึกขันสายตาของเลขานุการสาวเทียมที่กวาดสายตามองตนตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า

            “คุณน้องเนี่ยเป็นผู้หญิงตัวเล็กที่แต่งตัวได้ดูดี กู๊ดลุคกิ้งมาก... สวย ใส มั่นใจ มันสมองเลิศแบบนี้นี่เอง เจ้านายพี่ถึงไม่ยอมมองผู้ประกาศข่าวคนไหนเลย ไปค่ะ เดี๋ยวจะพาไปรอที่ห้องประชุมเล็ก แล้วพี่จะไปเรียนเจ้านายว่าคุณน้องมาถึงแล้ว”

            อลินธิดาเดินตามทิศทางของฝ่ามือสาวเทียมร่างใหญ่ที่ผายไปยังด้านหน้า อีกมือแตะเข้าที่บั้นเอวเบาๆด้วยอาการประคบประหงม พร้อมกับส่งรอยยิ้มให้เพื่อนร่วมงานใหม่ที่จ้องมองมายังตนเป็นสายตาเดียวกัน ซึ่งสายตาหลายสิบคู่นั้นก็แตกต่างกันออกไปหลายแบบ บ้างก็ส่งรอยยิ้มอย่างเป็นมิตร บ้างก็ส่งรอยยิ้มริษยาซึ่งอลินธิดาเลือกที่จะโต้ตอบความริษยาเกินงามพวกนั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉย ว่างเปล่า แน่นอนว่าเมื่อลับหลังตนแล้วคงมีเสียงซุบซิบนินทาเกิดขึ้นทั้งในด้านบวกและด้านลบเป็นแน่!

            “โอ้โห... เนี่ยเจ้านายเราจะทุ่มทุนเอาพิธีกรมาดคุณหนูมาเป็นครีเอทีฟข่าวภาคค่ำเชียวเหรอ?” หนึ่งในทีมนักข่าวถามขึ้นเมื่อเห็นว่าอลินธิดาเดินผ่านหน้าตนไปจนลับตาแล้ว

            “นั่นสิ! ดูคุณเธอแต่งตัวสิ อย่างกับหลุดออกมาจากแคตวอล์ก เสื้อผ้าหน้าผม เป๊ะเว่อร์ขนาดนั้น หลายแสนเชียวนะ” นักข่าวสาวอีกคนสำทับ หากแต่ทั้งคู่ต้องเงียบกริบ เมื่อเงยหน้าขึ้นมาแล้วเห็นร่างของกิ๊บซี่ยืนเท้าสะเอวมองมาด้วยสายตาคาดโทษ

            “จะบอกให้ว่าไม่ได้มาเป็นครีเอทีฟอย่างเดียว แต่เจ้านายยังจะให้เธอเป็นผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศอีกด้วยที่พวกหล่อนเม้าท์ๆกันเนี่ยเพราะอิจฉาที่เห็นเขาสวยกว่าใช่ไหมยะ?” กิ๊บซี่บอกด้วยน้ำเสียงจิกกัด

            “เปล่าเลยนะคะ ก็แค่เป็นห่วง... กลัวว่าเงินเดือนจะไม่พอกับค่าแต่งตัวของนาง เจ๊กิ๊บซี่ก็ดูสิ! ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้านาง แค่ประเมินด้วยสายตานี่คงไม่ต่ำกว่าแสน” พูดพลางหันไปสบสายตากับคู่หูจอมซุบซิบ

            “เอาง่ายๆว่านางมีปัญญาซื้อของพวกนี้มาสนองนี้ดตัวเองก็แล้วกัน รอให้นางมายืมเงินพวกหล่อนไปซื้อเสียก่อนแล้วค่อยเป็นห่วงก็ยังไม่สาย” กิ๊บซี่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ เตือนด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ถ้าผลงานชั้นเลิศนี่ก็ไม่ต้องกังวลกับค่าตอบแทน รับรองว่าถ้านางไม่เจ๋งจริง เจ้านายเราไม่ตามตื้ออยู่เป็นเดือน แล้วมันจะออกมาเป็นแบบไหนก็คงต้องรอดูกัน ที่สำคัญพวกหล่อนน่าจะหันมาทำให้ตัวเองมีมูลค่าเพิ่มบ้าง เริ่มจากหุบปากช่างนินทาแล้วย้ายก้นบานๆไปทำงานของตัวเองซะ อย่าทำตัวเป็นชะนีช่างเม้าท์ให้กระเทยอย่างฉันต้องเอือมระอา แล้วถ้ายังไม่เลิกฉันจะฟ้องคุณชาตรีให้ละเอียดยิบ”

            สองสาวจอมเม้าท์ทำหน้าง้ำ ทำปากขมุบขมิบเมื่อถูกตำหนิอย่างตรงไปตรงมา ทั้งยังตกใจเมื่อจู่ๆ กิ๊บซี่ก็หันมาขู่อีกครั้ง

            “ขอย้ำว่า ‘ฟ้อง’ นะยะ พวกเธอรู้ใช่ไหมว่าถ้าฉันทำอย่างนั้นแล้วพวกเธอต้องตกที่นั่งลำบาก” เลขานุการสาวเทียมขู่สำทับพร้อมเดินจากไปด้วยความเร่งรีบเพราะมีงานสำคัญรออยู่

            แน่นอนล่ะว่า... บรรดานักข่าว พนักงานน้อยใหญ่ที่ทำงานในฝ่ายข่าวของช่องCAN ยอมรับในความสามารถ และรู้ซึ้งถึงริมฝีปากเผ็ดร้อนของสาวเทียมผู้นี้เป็นอย่างดี เธอเปรียบเสมือนแขนขาของคุณชาตรี โปรดิวเซอร์ฝ่ายข่าวของสถานีที่ทำงานตามคำสั่งและความต้องการของเจ้านายได้ดีเยี่ยม และรั้งตำแหน่งเลขานุการนี้มายาวนานหลายปี

 

            ห้องประชุมเล็ก สถานีโทรทัศน์ช่องCAN

            อลินธิดาลุกขึ้นพร้อมยกมือไหว้ทักทายผู้ใหญ่ที่เดินเข้ามาในห้องประชุมด้วยกิริยาอ่อนน้อม จากนั้นจึงนั่งลงเมื่อเห็นว่าเจ้านายใหม่ผายมือเชื้อเชิญให้นั่งลงที่เดิม

            “ก่อนอื่นต้องขอแนะนำเพื่อนร่วมงานใหม่ให้กับทุกคนได้รู้จักก่อน คุณอลินธิดา วัฒนาคุณ จะเข้ามาทำหน้าที่ครีเอทีฟในช่วงข่าวภาคค่ำ และที่สำคัญเธอจะรายงานข่าวพยากรณ์อากาศด้วยตัวเอง” ชาตรีบอกพร้อมแนะนำให้อลินธิดาได้รู้จักกับเพื่อนร่วมงานใหม่

            “สวัสดีค่ะ แนะนำด้วยนะคะ” อลินธิดาลุกขึ้นกล่าวอย่างนอบน้อม ส่งรอยยิ้มเป็นมิตรให้กับผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ คนเขียนสคริป และเจ้าหน้าที่ฝ่ายประสานงานซึ่งคัดเข้ามาเฉพาะคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องเท่านั้น

            “ขอบอกว่ายินดีมากๆที่ตกลงร่วมงานกับช่องของเรา ผมมีโอกาสได้เห็นคุณเป็นพิธีกรจากงานอีเวนท์หนึ่ง นึกชอบการพูดจาที่มีจังหวะจะโคน เป็นสาวสมัยใหม่ที่มีความมั่นใจผสมกับความเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ น่ารักๆ มันดึงดูดสายตาของคนมองให้อยู่กับภาพลักษณ์นี้ได้อย่างดี และผมมองเห็นว่าข้อดีที่มีอยู่ในตัวนี้จะสร้างสรรค์และพัฒนารูปแบบรายการข่าวของเราให้น่าสนใจ ที่สำคัญผมอยากเห็นมิติใหม่ของการนำเสนอข่าวพยากรณ์อากาศไม่ให้จำเจกับภาพลักษณ์เดิมๆ” ชาตรีซึ่งรั้งตำแหน่งโปรดิวเซอร์ฝ่ายข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่องCAN พูดด้วยความมั่นใจ

            อลินธิดายิ้มรับกับคำชมนั้นพลางนึกหนักใจเพราะไม่รู้ว่าจะสามารถทำงานออกมาตามความคาดหวังหรือไม่ แต่ด้วยนิสัยส่วนตัวที่เป็นคนมีความเชื่อมั่นในตัวเอง ไม่หยุดอยู่กับที่ งานนี้จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายความสามารถของเธอนัก “นี่เป็นเรซูเม่ค่ะ”

            “ฮ่า... ไม่บ่อยนักนะที่ผมจะเลือกเพื่อนร่วมงานก่อนที่จะได้เห็นประวัติส่วนตัวแบบนี้” ชาตรีพูดพลางหยิบเอกสารนั้นขึ้นมากวาดสายตามองด้วยความรวดเร็ว จนทำให้ผู้ร่วมประชุมนั้นครั้งนี้มองหน้ากันเลิ่กลั่กคิดต่อในใจว่า คุณชาตรีคงอยากได้เธอมาร่วมงานด้วยเป็นอย่างมาก “เอาล่ะ... มาเริ่มคุยถึงงานของเราดีกว่า”

            “ข่าวภาคค่ำของสถานีเราจะเริ่มจากช่วงเวลาทุ่มสี่สิบ แบ่งออกเป็นสามเบรก เริ่มจากสรุปข่าวเด่นทั้งหมดที่เกิดขึ้นในวันนั้น ซึ่งผมอยากให้เป็นไปในแบบที่สั้น กระชับ เข้าใจง่าย เบรกที่สองจะเป็นข่าวในพระราชสำนัก เบรกที่สามจะเป็นข่าวพยากรณ์อากาศและข่าวบันเทิง คุณอลินธิดา...” ชาตรีชะงักคำพูดพร้อมหันไปถามผู้ประกาศข่าวคนใหม่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ถ้าผมจะขอเรียกชื่อเล่นนี่จะได้ไหม?”

            “ยินดีค่ะ เรียกน้ำผึ้งก็ได้นะคะ” อลินธิดาบอกพลางหันมายิ้มให้กับทุกคนบนโต๊ะประชุม พลางหันไปฟังการประชุมที่ดำเนินต่อไป...

            “คือตอนนี้ผู้ประกาศข่าวพยากรณ์ของเราท้องแก่จวนจะคลอดเต็มที สัปดาห์หน้านี่ก็ถึงกำหนดที่เธอจะลาคลอดแล้ว ผมเลยอยากถือโอกาสนี้ปรับเปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอข่าวพยากรณ์อากาศเสียใหม่ เริ่มจากเพิ่มเวลาออกอากาศจากเดิมห้าวันเป็นทุกวันเพื่อความแม่นยำ เที่ยงตรง มันน่าจะดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้มากกว่า” ชาตรีกล่าวพลางหันมาสบสายตากับผู้ประกาศสาวคนใหม่ของตน “เรื่องการนำเสนอข่าวภาคค่ำให้น่าสนใจผมไม่หนักใจเพราะเชื่อในศักยภาพของคุณ แต่หลักในตอนนี้น่าจะเป็นการหาจุดเด่นในการนำเสนอที่แปลก แหวกแนวออกไป ทั้งนี้ก็เพื่อให้คนดูเพลิดเพลิน ไม่ต้องเกิดความน่าเบื่อว่าถึงเวลาข่าวพยากรณ์อากาศมาแล้วต้องเปลี่ยนไปดูช่องอื่น”

            อลินธิดาพยักหน้ารับพลางจดรายละเอียดเกี่ยวกับงานชิ้นใหม่ของตนลงในอุปกรณ์สื่อสารเครื่องบางที่ทำให้สายตาหลายคู่ในห้องประชุมมองด้วยความทึ่งที่เธอสามารถเก็บข้อมูลกับคีย์บอร์ดเล็กๆได้อย่างรวดเร็วโดยที่ยังสบสายตากับหลายคนบนโต๊ะประชุม ไม่ได้ก้มหน้าก้มตาเพ่งอยู่กับหน้าจอเล็กๆนั้นให้เสียบุคลิกภาพ ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของเธอดูเป็นผู้หญิงไฮ-เทคโนโลยีมากขึ้นไปอีก

            “จากข้อมูลที่เราเก็บสะสมมาจากการทำโพลสอบถามผู้ชมหลายกลุ่ม ข่าวพยากรณ์อากาศเป็นข่าวที่คนให้ความสนใจน้อยที่สุด ซึ่งนั่นมันก็แปลว่าถ้าหากเราตีโจทย์ข้อนี้แตก ทำให้การนำเสนอข่าวพยากรณ์อากาศมีรูปแบบที่แปลก แหวกแนวออกไปจากเดิมหรือจากแตกต่างออกไปจากช่องอื่นๆที่เป็นคู่แข่ง” จบคำพูด ชาตรีก็หันไปถามผู้ประกาศสาวที่นั่งอยู่ข้างๆตนทันที “และผมก็คิดว่าคุณน้ำผึ้งทำได้”

            อลินธิดายิ้มน้อยๆรับ มันไม่ใช่ยิ้มที่ขาดความมั่นใจหรือยิ้มที่ทำให้คนรอบข้างเชื่อว่าเธอจะทำได้ แต่คำพูดที่ออกจากริมฝีปากบางทำให้หลายคนที่อยู่ในห้องประชุมชอบใจในคำตอบอันเฉลียวฉลาดของเธอ “เป็นโจทย์ที่ยากอยู่พอควรนะคะ แต่ดิฉันก็จะพยายามทำมันออกมาสุดความสามารถซึ่งก็ต้องใช้เวลาอยู่เหมือนกันกว่าทุกอย่างจะลงตัว ดิฉันพอจะทราบถึงลักษณะและรูปแบบที่ต้องการแล้ว ส่วนการนำเสนอออกมารูปแบบไหนถึงจะแปลก แหวกแนว สะดุดตาคนดูนั้นคงต้องขอเวลาเอาเรื่องนี้กลับไปคิดทบทวนดูสักหน่อยนะคะ”

            “แล้ววันนี้คุณน้องพร้อมที่จะเทสต์หน้ากล้องลองดูไหมคะ?” กิ๊บซี่ถามเพิ่มเติม

            “อะ...เอ่อ ค่ะ... ลองดูก็ได้ค่ะ” อลินธิดาแปลกใจเพราะดูเหมือนว่าทุกสิ่งอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเธอเองก็ไม่ได้เตรียมตัวสำหรับการเทสต์หน้ากล้อง และน้ำเสียงตะกุกตะกักนั้นทำให้ชาตรีรู้ได้ในทันทีว่าหญิงสาวไม่พร้อมเท่าใดนัก

            “การเทสต์หน้ากล้องวันนี้ผมเข้าใจดีว่าทางเราไม่ได้แจ้งให้คุณเตรียมตัวมาก่อน เพียงแค่ผมอยากให้ทีมงานได้ลองเซ็ทแสง จัดฉากให้เข้ากับคุณลองดูก่อน อยากให้คุณแนะนำตัวเองง่ายๆไม่ต้องมีพีธีรีตอง ซึ่งผมคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาสำหรับคุณ” ชาตรีกล่าวเพราะในใจนั้นคิดไว้อยู่แล้วว่า อยากรู้อยากเห็นท่าทางของเธอในอิริยาบทที่สบายๆ ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะใช้ประโยชน์จากความเป็นตัวของเธอเองก็ได้ “รายการของเราเป็นรายการสด จะเริ่มออกอากาศทุกวันโดยไม่มีวันหยุด จากเวลาหนึ่งทุ่มสี่สิบนาทีถึงสองทุ่มสิบห้านาที ส่วนช่วงข่าวพยากรณ์อากาศก็จะใช้เวลาราวๆห้านาที”

            “แล้วดิฉันต้องเริ่มงานเมื่อไหร่คะ?” อลินธิดาถาม

            “ก็คงต้องเป็นวันจันทร์หน้า ซึ่งเริ่มเดือนใหม่พอดี” โปรดิวเซอร์หนุ่มใหญ่บอกด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ส่วนเรื่องงานอีเวนท์ก็รับได้ ถ้าเวลาไม่ทับซ้อนกับงานประจำ แต่ความจริงผมอยากให้คุณเคลียร์งานทั้งหมดออกแล้วมีแค่ช่องCAN ของเราเท่านั้น คืออยากให้ระหว่างเราเป็นอะไรที่เอ็กคลูซีพ เป็นคนพิเศษ”

            “เรื่องงานอีเวนท์ก็คงต้องค่อยๆเคลียร์ออกไปน่ะค่ะ อีกอย่างถ้าเข้ามาทำงานในช่องCAN เต็มตัวแล้ว น้ำผึ้งคงไม่มีเวลารับงานอีเวนท์ เพราะคงต้องทุ่มเทกับงานตรงนี้เป็นพิเศษ” อลินธิดาบอก พอจะจินตนาการภาพความยุ่งยาก วุ่นวายที่เกิดขึ้นได้ มันจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่เปลี่ยนงานใหม่ แล้วยังต้องเป็นทั้งผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศและครีเอทีฟในเวลาเดียวกัน แต่ทั้งหมดนั้นมันเป็นการท้าทายความสามารถของเธอเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้หากลงมือทำด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจจริง

            ดูเหมือนว่าการพูดคุยของชาตรีและอลินธิดาจะเป็นไปในรูปแบบที่เข้าอกเข้าใจกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดอยู่ในสายตาของกิ๊บซี่ตลอดเวลา ชายใจหญิงร่างยักษ์เดินตามทั้งคู่มายังห้องออกอากาศซึ่งอยู่ในชั้นเดียวกับกองบรรณาธิการข่าว

            ภายในห้องเป็นฉากอันคุ้นตาของสถานีช่องCAN ที่แพร่ภาพให้ผู้ชมได้เห็นในช่วงเวลาข่าวภาคค่ำ ซึ่งตอนนี้ยังมีทีมงานไม่กี่คนเข้ามาจัดเตรียมกล้อง จัดแสงให้ผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศคนใหม่ได้ทดลองแนะนำตัวเอง อลินธิดาสูดหายใจเข้าลึกเพื่อเรียกกำลังใจของตัวเอง เมื่อเห็นชาตรีผายมือเชิญให้เดินไปยังฉากด้านหน้า

            โปรดิวเซอร์รายการข่าวของช่องCAN กอดอกมองผู้หญิงมากความสามารถที่กำลังเริ่มแนะนำตัวเองด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม น้ำเสียงไพเราะ น่าฟัง หากเพียงแค่การแนะนำตัวเธออย่างคร่าวๆนั้นสิ้นสุดลง หญิงสาวก็ทำให้สายตาของคนในห้องส่งจับจ้องที่ตนเองอย่างไม่เชื่อสายตา เธอเริ่มเปลี่ยนอิริยาบทให้ดูสบายๆมากขึ้น นั่งลงบนโซฟาที่ตั้งไว้สำหรับรายงานข่าวในช่วงบันเทิง แต่ริมฝีปากบางกลับรายงานสภาพอากาศในตอนเช้าของวันนี้ที่ประสบพบเจอมาด้วยตัวเองอย่างมีจังหวะจะโคน มีลูกเล่นกับกล้อง หัวเราะพองามอย่างน่ามอง

            “โอ... คุณพระ! ห้านาทีที่เพิ่งผ่านไปไวเหมือนโกหก!” กิ๊บซี่หันไปสบตากับเจ้านายที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่อยากเชื่อตัวเองว่าจะสามารถมองผู้หญิงคนไหนได้เนิ่นนานเท่านี้มาก่อน “นางต้องมีมนตร์สะกดแน่!!”

            ชาตรีหัวเราะร่วน... เมื่อเห็นมือขวาของตัวเองพูดราวกับละเมอ “ทีนี้เข้าใจรึยังว่าทำไมถึงต้องเป็นอลินธิดา”

            กิบซี่พยักหน้ารับเร็วๆ โดยที่ไม่ละสายตาจากผู้หญิงตรงหน้าสักนิด เธอเป็นผู้หญิงที่แต่งตัวแบรนด์เนมตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าแต่ทว่า สิ่งที่เธอประโคมไว้บนเรือนร่างกลับลงตัว ไม่มากมายเหมือนผู้หญิงหลายคนที่แต่งตัวตามกระแสแฟชั่น เธอพูดจาด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน น่าฟังแต่กลับเต็มไปด้วยความชัดเจนในการออกเสียงอักขระ ผิดกับบางคนที่พยายามพูดจาเรียกร้องความสนใจด้วยการพูดไทยคำหนึ่งอังกฤษคำหนึ่ง “เมื่อก่อนกิ๊บซี่ไม่เคยเชื่อเลยนะคะว่าค่าตัวนางจะแพงกว่าพิธีกรคนอื่นอยู่สองสามเท่าตัว คิดว่ามันเป็นแค่ข่าวลือ... แต่พอได้มาเห็นอย่างนี้แล้ว โอ้ว...”

            เมื่อจบการแนะนำตัวเองพร้อมทดลองรายงานข่าวพยากรณ์อากาศสั้นๆ หญิงสาวก็เดินเข้ามาสมทบกับทั้งคู่ “อาจจะดูตะกุกตะกักไปบ้างนะคะ น้ำผึ้งแค่รายงานสภาพอากาศแวดล้อมตัวเอง มันก็เลยดูง่ายๆสบายๆ แต่คิดว่าถ้าได้วางแผนให้ละเอียดกว่านี้ก็คงจะดูเป็นทางการมากขึ้นค่ะ”

            “อืม... ทุกอย่างโอเคเลยนะ เดี๋ยวจะให้กิ๊บซี่เอาข้อมูลรูปแบบรายการเดิมให้ไปศึกษา จะได้ดูว่าอันไหนต้องคงไว้หรือจะทำออกมาใหม่หมด ส่วนเรื่องการพยากรณ์อากาศ ผมอยากให้คงความเป็นตัวคุณมากที่สุด อย่างการนำเสนอเมื่อกี้นี้มันเพลินตามาก” ชาตรีบอกพลางนำทุกคนเดินกลับออกมาด้านนอกห้องส่งอีกครั้ง

            เมื่อทุกอย่างผ่านไปได้อย่างราบรื่น อลินธิดาก็กล่าวลาชาตรีและกิ๊บซี่ในเวลาบ่ายสองโมงพร้อมความโล่งอก แม้รู้ดีว่าหน้าที่ใหม่ของตัวเองนี้จะหนักหนาสาหัสอยู่มาก แต่ความยากในเนื้องานก็เป็นแรงกระตุ้นให้อยากทำทุกสิ่งที่ได้รับมอบหมายออกมาให้ดีสมกับค่าตอบแทนที่นับว่าไม่น้อยเลยทีเดียว

 

            หนึ่งชั่วโมงต่อมาอลินธิดาต้องเลี้ยวรถยนต์ของตนเข้าไปในซูเปอร์มาเก็ตขนาดใหญ่ เพราะท้องไส้เริ่มปั่นป่วนด้วยความหิว แซนวิชหนึ่งชิ้นที่ใช้รองท้องเพื่อหวังให้เดินทางกลับถึงบ้านนั้นไม่เพียงพอกับความต้องการอาหารในร่างกาย อลินธิดาเลือกร้านอาหารฟาสฟู้ดที่มีเมนูสเต็กปลาเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ ราคาประหยัดเพื่อความสะดวกรวดเร็ว และเห็นว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ใกล้จะถึงเวลาอาหารเย็นเต็มที จึงคิดในใจว่าวันนี้น่าจะซื้อของสดกลับไปลงมือทำอาหารเย็นด้วยตนเอง

            ทันทีที่อาหารมื้อบ่ายจบลง หญิงสาวก็ต่อสายโทรศัพท์ถึงผู้เป็นแม่ ไถ่ถามว่าเย็นนี้ท่านอยากรับประทานอะไรเป็นพิเศษไหม หากคำตอบที่ได้ก็ยังคงเป็นเช่นเดิมทุกครั้ง นั่นคือท่านอยากรับประทานเมนูเดียวกันกับที่ลูกสาวอยากทาน น้ำเสียงเอื้ออาทรยังคงเอาใจใส่ ตามใจลูกสาวเพียงคนเดียวเช่นเดิม

            ‘น้ำผึ้งอยากทานอะไรก็ซื้อมานะ ลูกชอบอะไรแม่ก็ชอบด้วยทั้งนั้นแหละ’

            อลินธิดายิ้มรับกับคำพูดอบอุ่นนั้น รู้ดีว่าท่านเอาอกเอาใจตนเองเพราะความรัก เห็นลูกทำงานนอกบ้านคนเดียว กลับมาเหนื่อยๆก็อยากทำอะไรเล็กๆน้อยๆให้ได้คลายเหนื่อยบ้าง

 

            แผนกอาหารสดภายในซุปเปอร์มาเก็ต

            ในขณะที่อลินธิดากำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเลือกซื้อปลากระพงอยู่นั้น ก็มีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องร่างอรชรอยู่ไม่ไกล

            “โอ๊ะ!”

            “ว้าย... ขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆค่ะ ฉันไม่เห็นคุณจริงๆ” รัตน์ระพีแสร้งทำน้ำเสียงตกใจ ถามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นอีกฝ่ายอุทานออกมาด้วยความเจ็บเมื่อตนนั้นตั้งใจกระแทกรถเข็นเข้าที่ด้านหลังของผู้หญิงตัวเล็กที่ยืนอยู่ข้างหน้า

            “เจ็บค่ะ” อลินธิดานิ่วหน้า ใช้ฝ่ามือลูบบั้นเอวของตัวเองไปมาให้คลายความเจ็บลง

            “ขอโทษนะคะ ฉันไม่ทันมองมัวแต่มองหาเนื้อชั้นดีอยู่น่ะค่ะ” รัตน์ระพี ดาราสาวชื่อดังเดินเข้ามาเทียบเคียงกับผู้หญิงที่เคยมีข่าวคราวกุ๊กกิ๊กกับแฟนหนุ่มของตน

            “คราวหลังระวังหน่อยนะคะ” อลินธิดาตำหนิแต่ก็ไม่ได้ติดใจเอาความเพราะคิดว่ามันเป็นแค่อุบัติเหตุเล็กน้อย

            “อ้าว... นึกว่าใครเสียอีก ที่แท้ก็เธอนั่นเอง” รัตน์ระพีเดินมาประจัญหน้าพลางทำท่าคิดหนัก “ใช่... เจ้าของคอลัมน์คุณหนูจอมแฉ ที่เคยมีข่าวว่าถูกไฮโซหนุ่มเขี่ยทิ้งจนถึงกับต้องลาออกจากงานนิตยสารที่ทำอยู่เพราะกลัวว่าจะต้องเขียนข่าวตัวเองรึเปล่า?”

            ความเจ็บปวดทางร่างกายที่เกิดขึ้นกับอลินธิดาเหือดหายเป็นปลิดทิ้ง เมื่อได้ยินคำถามชวนทะเลาะด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ใช่ว่าจะเคยรู้จักดาราตรงหน้า หากแต่ไม่เคยได้รู้จักพูดคุยเป็นการส่วนตัว เมื่อตั้งใจทักทายกันเช่นนี้ก็ไม่เป็นปัญหากับเธอเช่นกัน “เอ๊ะ!... แล้วเธอนี่ใช่นางเอกตกอับที่แสดงละครเรื่องไหนก็ดับสนิท จนผู้จัดเอือมระอา แต่แปลกนะ พอพลิกมาเล่นบทร้ายๆชั่วๆกลับดังเปรี้ยงปร้าง หรือว่า... มันเป็นนิสัยจริงๆเลยไม่ต้องแสดง ใช่เธอรึเปล่าเนี่ย?”

            รัตน์ระพี กำมือแน่นเมื่อได้ยินคำถามโต้กลับอันเผ็ดร้อนนั่นแถมยังขัดใจกับท่าทางยังกวนอารมณ์ ไม่กลัวใครของผู้หญิงตรงหน้า และไม่ได้ตอบคำถามแต่กลับยักไหล่อย่างไม่แยแส “มันก็ต้องมีบ้างล่ะ คนเราไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็ต้องได้ด้วยกล ฉันว่ามันอยู่ที่ผลลัพธ์มากกว่า...”

            อลินธิดากัดริมฝีปากล่างของตัวเองแน่น มองผู้หญิงที่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้า ทำท่าทีคิดหนักเปรยถึงใครบางคนซึ่งเธอเองก็รู้ดีแก่ใจเชียวล่ะ ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังหมายถึงใคร?!

            “เอ... คุณพีทจะชอบไวน์แดงหรือไวน์ขาวมากกว่ากันนะ” รัตน์ระพีเปรยเสียงดังฟังชัด จงให้ให้คนข้างๆได้ยิน ทั้งยังปรายตามองด้วยสายตาเยาะเย้ย “ในฐานะที่เธอเคยถูกเขี่ยทิ้ง อุ๊ย! ไม่ใช่สิ เคยเป็นคู่ควงคุณพีทระยะสั้นๆ เคยรู้บ้างไหมว่าเขาชอบอะไร หรือมันสั้นมากจนไม่มีความทรงจำต่อกันเลย”

            “นั่นมันเรื่องส่วนตัวซึ่งฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่ตอบ แต่จะบอกเอาบุญให้ว่าการที่เธอเลือกซื้อเนื้อวัวนั่นมันก็เป็นคำตอบอยู่แล้วว่าต้องเลือกซื้อไวน์แดง อ้อ... แล้วขอเตือนว่า เราไม่เคยรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน การที่เธอจะมาระรานฉันด้วยคำพูดเหน็บแนม ถากถางอย่างนี้มันไม่ใช่วิสัยของมนุษย์จิตปกติ มันแสดงให้เห็นว่าเธอมีวุฒิภาวะทางอารมณ์ที่ย่ำแย่มากๆ” จบคำพูดอลินธิดาก็สะบัดหน้า เข็นรถเข็นของตัวเองออกไปทันที

            รัตน์ระพีไม่อาจจะยอมให้การประทะคารมครั้งนี้จบลงง่ายๆ ด้วยการมองอีกฝ่ายจากไปพร้อมกับคำพูดสั่งสอนราวกับตนเป็นคนไร้ซึ่งวุฒิภาวะ จึงรีบเข็นรถที่อัดเต็มไปด้วยอาหารสด เดินขึ้นไปเคียงข้างนักข่าวสาวทันที “เดี๋ยวซี้... จะรีบหนีหน้าอะไรนักหนา ถึงเราจะไม่เคยรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาก่อน แต่ฉันว่ามันไม่แปลกนะที่ฉันจะรู้จักผู้หญิงที่ผ่านมาในชีวิตของแฟนตัวเอง”

            “จำได้ว่าฉันไม่เคยอยากรู้เรื่องส่วนตัวของใครเลย และเห็นว่ามันเปล่าประโยชน์ที่จะไปไล่เลียงอดีตของใครสักคน” อลินธิดายังตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

            “แต่ฉันกลับคิดว่ามันมีประโยชน์มากเชียวล่ะ... อย่างน้อยฉันก็จะได้รู้ว่า ผู้หญิงแบบไหนที่เขาเขี่ยทิ้งในเวลาอันรวดเร็ว จะได้ไม่ทำตัวน่าเบื่อๆให้เขาทำอย่างนั้นน่ะสิ” พูดจบรัตน์ระพีก็หัวเราะเยาะด้วยน้ำเสียงและท่าทางกวนอารมณ์ น่าหมั่นไส้ และเดินตัดหน้าอลินธิดาไปยังช่องแคชเชียร์ที่ตั้งใจจะเดินเข้าไปชำระสินค้าทั้งหมด

            ท่าทางไร้มารยาท และประกาศตัวเป็นศัตรูตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอหน้ากันทำให้อลินธิดาต้องข่มใจ ระงับอารมณ์ของตัวเองไว้เพราะไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกันในที่สาธารณะให้เป็นเป้าสายตาของหลายคน จึงได้แต่เดินไปใช้บริการในช่องถัดไปพลางคิดในใจว่า... ครั้งนี้ถือว่าหล่อนชนะก็แล้วกัน แต่คราวหน้าล่ะก็อย่างได้หวังว่าจะมีโอกาสลอยหน้าลอยตากระแนะกระแหนฉันอยู่ฝ่ายเดียว ฮึ่ม!...

            “คุณพีทคะ... ระพีใกล้จะเรียบร้อยแล้วนะคะ คุณขับรถมาจอดรอที่ประตูทางออกเลยนะคะที่รัก” รัตน์ระพีตั้งใจกรอกเสียงลงไปตามสายให้ดังเกินความจำเป็นเพราะอยากให้คนที่ยืนหันหลังอยู่ไม่ไกลได้ยินอย่างชัดเจน นับว่าการประกาศความเป็นเจ้าของในตัวของพบกรันต์ ครั้งแรกนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ

            อลินธิดาหลับตาลงอยางคนกำลังใช้ความอดทนอย่างหนัก เมื่อได้ยินเสียงหวานเกินเหตุ นัดแนะให้ผู้ชายไร้หัวใจมาหยามกันต่อหน้าต่อตา! แต่ยังโชคดีที่เธอจับจ่ายข้าวของน้อยกว่ารัตน์ระพี จึงมีโอกาสเดินออกไปจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดนี้ได้ก่อน...

            แต่ความจริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย เพราะเพียงแค่เดินออกมาถึงประตูทางออกของซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็พบว่าเบนท์ลี่ย์สุดหรูที่พูดได้เต็มปากว่ามีเพียงคันเดียวในประเทศไทยจอดรออยู่ด้านหน้าแล้ว แน่นอนว่า... เธอจำมันได้อย่างแม่นยำ และรู้ดีว่ามีผู้ชายที่ทำให้หัวใจหวั่นไหวนั่งอยู่เบาะหลังคนขับนั้น แต่ต้องเชิดหน้าเดินผ่านไปด้วยคิดว่า ยนตรกรรมสุดหรูนั้นเป็นเพียงอากาศอันว่างเปล่า อย่าได้แสดงความหวั่นไหวใดให้เขาได้รู้ว่ายังคิดถึง และไม่เข้าใจในเหตุผลว่าทำไมถึงได้หายหน้าไปโดยไม่มีแพ้แต่คำลา!

            ไม่กี่อึดใจต่อมา... อลินธิดาก็ขับรถออกจากซุปเปอร์มาร์เก็ตอย่างรวดเร็ว ในสมองยังคิดถึงภาพความทรงจำที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ทุกสิ่งระหว่างเธอและเขากำลังไปได้ดี แต่ทำไมทุกอย่างมันถึงได้ลงเอยด้วยความรวดร้าวหัวใจเช่นนี้ สิ่งที่อยากได้ยินที่สุดในตอนนี้ก็มีเพียงเหตุผลในการตีจากของเขา ซึ่งมันเป็นปริศนาที่ค้างคาใจ เกือบหนึ่งเดือนที่เขาหายหน้าไป เธอเป็นฝ่ายติดต่อไปหาเขาสองครั้งสองคราซึ่งอาจจะดูเหมือนว่ามันน้อยนิดเหลือเกิน แต่สำหรับเธอแล้วมันมากมายเกินกว่าที่จะเคยปฏิบัติกับใครนัก และปฏิญาณตนไว้ว่านับจากนี้จะไม่ติดต่อเขาไปอีกแม้แต่ครั้งเดียว

            เขาไม่มีเวลาจะโทรศัพท์หาเธอแต่มีเวลาพาผู้หญิงอีกคนมาช้อปปิ้ง การที่ได้เห็นว่าเขาอยู่กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา ใช้ชีวิตในยามราตรีอย่างสุดเหวี่ยงก็เป็นคำตอบแล้วว่า... หมดความสนใจในตัวเธอ!

            อลินธิดากลืนก้อนแข็งๆที่จุกอยู่กลางลำคอลงอย่างยากลำบาก นี่สินะที่เขาเรียกว่าอกหัก!! มันเจ็บปวดหัวใจเจียนตายแต่ก็ไม่ตาย

            “เอาสิน้ำผึ้ง ถ้าเธอจะตายเพราะอกหัก ก็ให้มันรู้กันไป”

            บอกกับตัวเองพลางส่ายหน้าเร็วๆราวกับสลัดภาพวันวานออกไปจากความคิด ถอนหายใจออกมาพรืดใหญ่ราวกับเรียกกำลังใจให้ตัวเองพร้อมตั้งใจบังคับพวงมาลัย มุ่งหน้ากลับบ้านที่ยังมีความอบอุ่นรอคอยอยู่เสมอ

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา