กับดักรักจอมบงการ

7.7

เขียนโดย ศิริพารา

วันที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 00.55 น.

  12 ตอน
  35 วิจารณ์
  14.82K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

1) ตอนที่ 1 100%

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

กรุงเทพมหานคร

            เช้าตรู่ในวันทำงานแรกของสัปดาห์เริ่มขึ้น... อมรามองนาฬิกาที่บอกเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้วต้องส่ายหน้าให้กับลูกสาวที่ยังไม่รีบลงมารับประทานอาหารเช้า แน่นอนว่าหากแม่ตัวดีลงมาแล้วจะต้องบ่นอุบ ดื่มเพียงนมสดแก้วเดียวแล้วออกจากบ้านไปอย่างรีบร้อน

                “ตายจริง! ทำไมยังไม่อาบน้ำแต่งตัวอีกนะน้ำผึ้ง นี่มันสายมากแล้วนะ เดี๋ยวไปทำงานสายเจ้านายก็บ่นเอาอีกหรอก” อมราดุเสียงเขียว เมื่อเห็นว่าลูกสาวเดินลงมาจากชั้นบนด้วยชุดนอนแต่กลับล้างหน้าประแป้งมาเป็นอย่างดี

                อลินธิดาฉีกยิ้มพร้อมเดินเข้ามาโอบมารดาซบศีรษะอย่างออดอ้อนตามประสาลูกสาวคนเดียว ประคองให้มารดานั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะอาหาร จากนั้นจึงทรุดตัวลงนั่งเก้าอี้ที่ประจำของตนเอง “น้ำผึ้งไม่ต้องไปทำงานหนึ่งสัปดาห์ค่ะ”

                คำตอบนั้นทำให้มารดาขมวดคิ้ว มองหน้าลูกสาวคนสวยด้วยความแปลกใจ หากแต่คำตอบในประโยคต่อมาที่ได้ยินก็ทำให้คนเป็นแม่แทบลมจับ!

                “น้ำผึ้งลาออกแล้วค่ะ” อลินธิดาเบิกดวงตากลมโตของตนอย่างตกใจเมื่อเห็นท่าทางตกใจ รีบยกมือทั้งสองข้างขึ้นห้ามไม่ให้ท่านตกใจไปมากกว่านี้พร้อมอธิบายให้ท่านได้เข้าใจทันที “แต่แม่ไม่ต้องกลัวว่าน้ำผึ้งจะว่างงานนะคะ น้ำผึ้งได้งานใหม่แล้วถึงได้ตัดสินใจยื่นใบลาออก วันจันทร์หน้าถึงจะเริ่มงานได้เพราะขึ้นเดือนใหม่พอดี แล้วน้ำผึ้งก็ต้องขอโทษแม่ด้วยนะคะ ที่ไม่ได้ปรึกษาเรื่องนี้กับแม่เลย”

                อมราส่ายหน้าพลางอมยิ้มมองลูกสาวด้วยสายตารักใคร่ “แม่ไม่เคยโกรธลูกเลยเพราะรู้ว่าน้ำผึ้งของแม่เป็นคนรู้จักคิด หนึ่งเดือนที่ผ่านมาแม่รู้ว่าน้ำผึ้งไม่มีความสุขในการทำงานนักแต่ที่แม่ไม่ถามเพราะคิดว่าลูกจัดการปัญหานี้ได้ และถ้าหากมันหนักเกินที่จะรับไหว ลูกก็คงไม่รอช้าที่จะระบายมันออกมา”

                “ขอบคุณค่ะแม่...” อลินธิดายิ้มให้กับมารดา แต่ในใจกลับรู้สึกผิดมหันต์ที่ต้องโกหกท่าน ด้วยสุขภาพที่ไม่สู้ดีของท่านทำให้ไม่อยากจะเอาปัญหาน้อยใหญ่เข้ามากวนใจ เพิ่มความเครียดและไม่สบายใจมากขึ้นเพราะอารมณ์มันล้วนแล้วแต่บั่นทอนให้สุขภาพของท่านทรุดลง โรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงเป็นเสมือนระเบิดเวลาที่เธอกลัวที่สุด การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งที่เธอทำติดต่อกันมาหลายปีเพราะไม่อาจจะทนรับกับความสูญเสียหากท่านต้องจากไปอีกคน “แม่ทานยาก่อนอาหารรึยังคะ?”

                “จ้ะ แม่ไม่ลืมหรอก อย่าห่วงนักเลย” อมราบอกกับลูกสาวที่ถามคำถามนี้กับตนอยู่ทุกวัน พลางบุ้ยปากไปที่ร่างอวบของแม่บ้านที่กำลังถือถาดอาหารเช้าเข้ามาในห้องอาหาร “ถึงแม่ลืมนะ สายใจก็ไม่ลืมหรอก รายนี้ทำงานอัตโนมัติยังกับตั้งนาฬิกาปลุกไว้เชียวล่ะ”

                “ข้าวต้มหมูบะช่อร้อนๆมาแล้วค่า คุณอ้อยกับคุณน้ำผึ้งจะรับเลยไหมคะ” สายใจแม่บ้านวัยสี่สิบปีวางถาดอาหารลงบนโต๊ะอาหารอีกฝั่งหนึ่งพลางกุลีกุจอตักข้าวต้มใส่ถ้วยเสิร์ฟให้เจ้านายทั้งสอง เมื่อเห็นว่าทั้งคู่พยักหน้ารับ “คุณน้ำผึ้งไม่ต้องห่วงนะคะ รับรองว่าพี่สายใจไม่พลาดสักเรื่องที่เกี่ยวกับคุณอ้อย”

                “เยี่ยมเลยค่ะ เดี๋ยวน้ำผึ้งจะเอาเบอร์พี่สายใจไปบอกพี่ยอด” อลินธิดาว่าพลางขยิบตาให้แม่บ้านที่ทำงานมาตั้งแต่ตนเรียนมหาวิทยาลัย

                “ว้าย... ทำอย่างนั้นไม่ดีนะคะ เราเป็นผู้หญิงทำอย่างนั้นเดี๋ยวเขาจะหาว่าเราให้ท่า” สายใจบอกด้วยน้ำเสียงกระเง้ากระงอดพลางวางแก้วน้ำสะอาดให้เจ้านายทั้งสอง

                “โธ่! น้ำผึ้งมีวิธีค่ะ รับรองว่าจะไม่ทำให้พี่สายใจต้องเสียภาพลักษณ์อันดีงาม”

                อมรามองลูกสาวสลับกับแม่บ้านด้วยความระอาใจ คู่นี้มักหยอกล้อกัน เข้าอกเข้าใจกันเป็นอย่างดีและตนก็พอใจที่ลูกสาวคุยกับสายใจเช่นนี้มากกว่าที่จะแบ่งชั้นวรรณะเป็นนายจ้างกับลูกจ้าง “แล้วนี่ถ้าสายใจตกล่องปล่องชิ้นกับนายยอด น้ำผึ้งก็ต้องออกเรือนไปนี่ ฉันคงจะอยู่คนเดียวสินะ”

                “คุณอ้อยว่าอะไรนะคะ?...” สายใจหันขวับกลับมาหาเจ้านายที่พูดจบแล้วก้มลงไปรับประทานอาหาร แล้วหันกลับมาจ้องหน้าอลินธิดาอย่างตกใจ “คุณน้ำผึ้งจะแต่งงานเหรอคะ แต่งกับใครคะ แต่งเมื่อไหร่ แล้วทำไมพี่สายใจไม่เคยเห็นหน้าเจ้าบ่าวเลย?”

                อลินธิดาปั้นหน้าไม่ถูกไม่รู้ว่าจะตอบคำถามที่ระรัวเข้าใส่นั้นอย่างไรดี แต่คนเป็นแม่กลับหัวเราะร่วน รีบตอบคำถามที่จงใจพูดขึ้นมาหยอกล้อลูกสาว “ฉันหมายความว่าอีกไม่นานนี้ ไม่ใช่ว่าน้ำผึ้งจะแต่งงานวันนี้พรุ่งนี้”

                “โธ่! แม่ก็.../อ๋อ...” อลินธิดาและสายใจรับคำพร้อมกันอย่างโล่งอก

                “ที่ตกใจเนี่ยเพราะกลัวว่าคุณหมออาทิตย์พงษ์จะอกหักรึไง สายใจ?” อมราถามเพราะรู้ดีว่าสายใจทำตัวเป็นแม่สื่อแม่ชักให้คุณหมอหนุ่ม บ้านตรงข้ามซึ่งเป็นเจ้านายของนายยอด ที่มีท่าทีว่าสนใจในตัวของอลินธิดาอย่างเปิดเผยและตนก็เห็นว่าคุณหมอหนุ่มผู้นี้เป็นคนจิตใจดี น่าคบหา

                สายใจยิ้มแหยๆให้กับเจ้านายที่รู้ทันความคิดตนเป็นอย่างดี “ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกค่า... สายใจกลัวว่าคุณน้ำผึ้งจะมองข้ามคนดีๆไปต่างหาก คุณหมอพงษ์ขยันขายขนมจีบเช้า สาย บ่าย เย็นทุกวันอย่างนี้ สายใจว่าต้องมีสักวันที่คุณน้ำผึ้งใจอ่อนล่ะค่ะ เหมือนเขาว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน แล้วนับประสาอะไรกับใจคนล่ะคะ”

                อลินธิดาทำหน้าง้ำเพราะไม่เคยมีใจให้คุณหมอหนุ่มข้างบ้าน???ตรงกันข้ามเลยแม้แต่น้อย มองแม่สื่อแม่ชักที่รีบเผ่นออกไปจากห้องอาหารด้วยสายตาคาดโทษ แต่น้ำเสียงของผู้เป็นแม่ที่ดังขึ้นทำให้อลินธิดาหันกลับมาจ้องใบหน้าท่านอีกครั้ง

                “ความจริงแม่ว่าลูกน่าจะเปิดใจคุยกับหมอพงษ์ดูบ้าง แม่ว่าเขาเป็นคนอัธยาศัยดีมากๆ นี่แม่รู้สึกว่าเหมือนมีหมอประจำตัวมาตรวจอาการตัวเองที่บ้านทุกวันเลยนะ” อมราพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

                “แต่ดีเกินไปบางทีก็ไม่เหมาะกับเรานะคะ”

                “แปลว่าลูกสาวแม่ไม่ค่อยชอบคนดี เหรอจ๊ะ?” อมราถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และคำถามนั้นทำให้หัวใจของอลินธิดากระตุกวูบ นึกถึงใบหน้าหล่อเหลา ท่าทางนิ่งขรึมของผู้ชายคนหนึ่งทันที หากแต่เสียงกระแอมของผู้เป็นแม่ก็เรียกสติให้สลัดใบหน้าของเขาออกไปจากความคิด

                “ปะ...เปล่าค่ะ น้ำผึ้งเห็นพี่พงษ์มาตั้งแต่เรียนมัธยม รู้จักกันมาเป็นสิบๆปี ถ้าหากจะรักจะชอบเขาก็คงรักไปนานแล้วล่ะค่ะ ป่านนี้คงแต่งงานกันมีลูกมีเต้าวิ่งเต็มบ้านแล้ว”

                คำตอบของลูกสาวคนเดียวทำให้ผู้เป็นแม่หัวเราะร่วน... “จริงสินะ มานึกๆย้อนดู ตอนที่แม่อายุเท่านี้ น้ำผึ้งสี่ขวบแล้วนะลูก”

                “แม่ล้อน้ำผึ้งอีกแล้ว”

                “ไม่ได้ล้อลูก... แม่แค่อยากให้น้ำผึ้งเริ่มเปิดใจมองผู้ชายที่เข้ามาหาตัวเองบ้าง อย่าเอาแต่ทำงานให้มากนัก แบ่งเวลาออกมาทำกิจกรรมอย่างอื่นบ้าง อันนี้แม่เตือนด้วยความหวังดี เดี๋ยวพอทำงานเพลินจนอายุเข้าหลักสามหลักสี่แล้วจะมาหาว่าแม่ไม่เตือนไม่ได้นะ” อมรามองลูกสาวที่ย่นจมูกไม่เห็นด้วยอย่างเอ็นดู ถึงแม้นอกบ้านจะเป็นเวิร์กกิ้งวูแมนที่เก่งกาจ มีความมั่นใจในตัวเองอย่างสูงแค่ไหนก็ตาม แต่กลับเข้ามาในบ้านลูกสาวของเธอจะขี้อ้อน น่ารักน่าชัง ตามประสาลูกคนเดียว

                “ถ้าเวลามันล่วงเลยไปถึงป่านนั้น น้ำผึ้งก็ไม่แต่งงานหรอกค่ะ จะอยู่เป็นโสดไปอย่างนี้ตลอดแหละ” อลินธิดาบอก              

                “ไม่งั้นก็ต้องเข้าสปานวดหน้านวดตัวบ่อยๆ แม่ว่ามันช่วยได้นะ น้ำผึ้งตัวเล็ก ผิวขาวดูยังไงก็หน้าก็อ่อนกว่าวัย”

                อลินธิดาอยากจะกรีดร้องเมื่อท่านยังล้อเลียนเรื่องอายุไม่เลิก “โหย... นี่มันวันอะไรกัน ทำไมแม่ถึงได้พูดแต่เรื่องอายุ แต่งงาน ขึ้นคาน แก่!”

                อมราอมยิ้มพลางใช้ผ้าซับริมฝีปากหลังจากที่รับระทานอาหารเรียบร้อย “สมควรแก่เวลา ก็ต้องพูดสิ ลูกผู้หญิงถึงเวลาก็ต้องแต่งงานแต่งการ มีครอบครัว มีสามีมีลูกสืบทอดวงศ์ตระกูลสิจ๊ะ”

                “ไม่สน ก็ไม่มีใครถูกใจ น้ำผึ้งก็จะอยู่ให้แม่เลี้ยงอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ ห้ามบ่นเรื่องแต่งงานอีกด้วย ไม่งั้นน้ำผึ้งจะโกรธ”

                “แม่ก็ไม่สนเหมือนกัน” อมราตอบพลางก้มตัวลง ยื่นมือออกไปหาลูกชายสุดหล่อที่เดินใกล้เข้ามา “สนใจลูกชายสุดหล่อของแม่ดีกว่า... เป็นไงรูปหล่อ กินข้าวรึยัง ฮึ?...”

                “โฮ่ง...” ช็อกโกแลตรับคำพลางซุกไซร้จมูกเข้ากับฝ่ามือของอมรา

                “รีบทานข้าวได้แล้วน้ำผึ้ง แล้วก็เลิกมองช็อกโกด้วยสายตาอย่างนั้นเสียที” อมราส่ายหน้าพลางลุกขึ้นเดินออกไปโดยมีบอดี้การ์ดจอมโหดเดินส่ายหางที่ตั้งเป็นพวงตามหลังไปติดๆ

                อลินธิดาจึงหันมาจัดการกับอาหารของตัวเองต่อไป

                ตั้งแต่ที่ได้ช็อกโกแลตเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ในบ้าน ทุกคนก็เหมือนว่าจะให้ความสนใจมันจนลืมเธอไปเลย ทั้งที่ความจริงแล้วเธอเป็นคนสั่งซื้อมันจากฟาร์มสุนัขในจังหวัดพิษณุโลก แล้วขับรถไปรับมันที่สนามบินด้วยตัวเอง พูดได้เต็มปากว่าหลงรักหน้าตา ท่าทางปราดเปรียวของมันตั้งแต่เห็นรูปในหนังสือ และเมื่อได้เห็นได้สัมผัสตัวจริงของมันก็ไม่ผิดหวังเลย ความรักเจ้าของ หวงสิ่งของทุกชิ้นในบ้าน สามารถทำหน้าที่เสมือนผู้รักษาความเรียบร้อยไม่ให้โจรผู้ร้ายเข้ามาลักขโมยได้เป็นอย่างดี

                แต่เหตุผลสำคัญที่ทำให้อลินธิดามองหาสัตว์เลี้ยงสักตัวนั่นก็คือ อยากให้แม่ของตนนั้นมีกิจกรรมยามว่าง การเลี้ยงสัตว์เห็นจะเป็นกิจกรรมหนึ่งที่สามารถทำให้ท่านเพลิดเพลิน คลายความเหงาเพราะต้องนั่งๆนอนๆอยู่บ้าน หลังจากที่ป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแรงจนต้องลาออกจากราชการก่อนเวลาปลดเกษียณ และดูเหมือนว่าจะได้ผลรับที่ดีเกินคาด

                ความรักและเอ็นดูที่ท่านมอบให้กับมัน เอาใจใส่ดูแลจนบางครั้งตนก็เห็นว่าออกจะมากเกินความจำเป็นอยู่บ้าง บางครั้งความเอ็นดูก็ทำให้มันเหลิง กัดแทะรองเท้าของแขกเหรื่อที่มาเยี่ยมเยียนจนพังไปหลายคู่ โตขึ้นมาสักหน่อยก็ขุดหลุมสนามหญ้าหน้าบ้าน พอดุเข้าหน่อยมันก็ซึม ทำท่าสำนึกผิดจนท่านสงสาร สุดท้ายก็ต้องหาวิธีจัดการโดยการใช้ปูนซีเมนต์มาเทบริเวณสนามหญ้าให้แคบลงให้เป็นที่วิ่งเล่นสำหรับเจ้าช็อกโกแล็ต

                อลินธิดาใช้เวลาทั้งวันให้หมดไปกับการอาบน้ำให้สุนัข เป็นลูกมือเตรียมทำอาหารให้กับสายใจ ใช้เวลาทั้งหมดทำกิจกรรมกับมารดาที่ปกติแล้วจะมีเวลาว่างเพียงแค่วันอาทิตย์ให้ท่านเท่านั้น แต่หากเมื่อไหร่ที่มีงานพิธีกรตามงานต่างๆซึ่งมักจะเป็นช่วงวันหยุดตามห้างสรรพสินค้า เวลาส่วนที่ควรเป็นของท่าน ก็จะหายไปโดยปริยาย แต่กลับไม่เคยได้ยินท่านปริปากบ่นเลยสักครั้ง ยังเข้าใจและเอาใจช่วย คอยให้คำปรึกษาในการทำงานมาตลอด หากแต่เธอเองก็เลือกเล่าเฉพาะเรื่องดีๆที่เกิดขึ้น เรื่องหนักใจและปัญหาที่กำลังรุมเร้าอยู่ในตอนนี้ อลินธิดาหลีกเลี่ยงเพราะไม่อยากให้ท่านหนักใจไปด้วยและยังคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ตนสามารถจัดการได้เพียงลำพัง

 

                สองวันต่อมา... อลินธิดากลับถึงบ้านในช่วงเวลาห้าโมงเย็น หลังจากที่ทำหน้าเป็นพิธีกรให้กับเครื่องสำอางแบรนด์ดังที่เพิ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในประเทศไทยเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าจะลาออกจากงานนิตยสารกอสสิปและบุคคลที่กำลังอยู่ในกระแสสังคมรายปักษ์1ที่ทำอยู่ประจำ แต่งานพิเศษที่ดูเหมือนว่าจะกลายมาเป็นรายได้หลักของเธอก็ยังดำเนินต่อไปเช่นเดิมตามที่ได้ตกลงกันไว้กับผู้ว่าจ้าง

                เสียงกรีดร้องจากโทรศัพท์รุ่นใหม่ล่าสุดของอลินธิดาดังขึ้น ทำให้เจ้าของที่เพิ่งออกจากห้องน้ำด้วยชุดคลุมเดินมายังต้นกำเนิดของเสียง และต้องแปลกใจเมื่อไม่คุ้นตากับเบอร์โทรศัพท์ที่โชว์หราอยู่หน้าจอนั้น

                “อลินธิดาค่ะ” ทันทีที่หญิงสาวกรอกเสียงลงไปตามสาย ก็ต้องเงียบฟังเสียงห้าวที่ดัดบีบให้เล็กลง รู้ได้ทันทีว่าคู่สนทนาคือชายใจหญิง

                “สวัสดีค่ะน้องน้ำผึ้ง... ยังจำพี่กิ๊บซี่ได้ไหมเอ่ย?” กิ๊บซี่ทำปากขมุบขมิบเมื่ออีกฝ่ายเงียบ ทำท่าว่าจะจำตนเองไม่ได้จึงรีบแนะนำตัวต่อทันที “พี่กิ๊บซี่เลขานุการของคุณชาตรี โปรดิวเซอร์รายการข่าวของช่องCAN (ซีเอเอ็น) เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเคยติดต่อคุณอลินธิดามาครั้งหนึ่งเรื่องผู้ประกาศข่าวน่ะค่ะ”

                “อ๋อ... ค่ะ จำได้ค่ะ” อลินธิดารับคำพลางเดินไปทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้สตูลหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง

                “งั้นพี่เข้าเรื่องเลยนะคะ พี่จะโทรมาสอบถามว่าคุณน้องสนใจจะร่วมงานกับทางช่องCAN ของเรารึเปล่า เจ้านายพี่ประทับใจในบุคลิกของคุณน้องมาก... อยากให้ลองเข้ามาพูดคุยกันดู เผื่อจะมีตรงไหนที่ยังเห็นไม่ตรงกัน ก็มาปรับจูนเข้าหากัน ดีไหมคะ?...” กิ๊บซี่พูดอย่างเอาใจพลางลุ้นคำตอบจนตัวโก่ง

                “อืม... ขอเวลาซักสิบนาทีเดี๋ยวน้ำผึ้งโทรกลับได้ไหมคะ พอดีตอนนี้ขับรถอยู่น่ะค่ะ อีกไม่ไกลก็จะถึงบ้านแล้ว ไม่สะดวกจริงๆ” อลินธิดาพูดปดเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท หากจะตอบออกไปตรงๆเช่นนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นการเสียมารยาทมากขึ้นไปอีก

                “ได้เลยค่ะ เดี๋ยวพี่กิ๊บซี่จะรอสายคุณน้องนะคะ ต้องขอโทษด้วยที่โทรมารบกวนสมาธิในการขับรถ” กิ๊บซี่พูดด้วยน้ำเสียงหวานจนคนฟังขนลุก แต่ก็ไม่ได้ทำให้อลินธิดารู้สึกขุ่นเคืองเพราะตอนนี้กำลังคิดว่าจะรับปากทำงานกับช่องCAN หรือไม่

                ราวปลายเดือนที่ผ่านมาช่องCAN ซึ่งเป็นสถานีโทรทัศน์ชื่อดังของเมืองไทยได้ติดต่อทาบทามให้มาเป็นผู้ประกาศข่าวของสถานี หญิงสาวยอมรับว่าในเวลานั้นดีใจมากเพราะการเป็นผู้ประกาศ เป็นหนึ่งในความฝันของเด็กหญิงคนหนึ่งซึ่งเลือกเรียนวาระสารศาสตร์เพียงแค่ยังไม่มีโอกาสที่จะทำตามใจของตนเท่านั้น แต่ข้อจำกัดที่ทางช่องCAN เสนอมาก็คือ อยากให้เธอมารับตำแหน่งครีเอทีฟรายการข่าวภาคค่ำพร้อมกับรั้งตำแหน่งผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศซึ่งเป็นรายการสั้นๆที่ออกอากาศทุกวัน

                หากเวลานี้โอกาสนั้นกลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง เธอจะปล่อยให้มันหลุดลอยไปหรืออย่างไร?

                ไวเท่าความคิด อลินธิดาต่อสายกลับไปหากิ๊บซี่ในทันที หากไม่คว้าโอกาสนี้ไว้ไม่แน่ว่าอาจต้องเสียใจไปตลอดก็เป็นได้ และรอสายอยู่ไม่นานก็ได้ยินเสียงห้าวซึ่งพยายามบีบดัดให้เหมือนเสียงผู้หญิงก็ดังขึ้น

                “สวัสดีค่า... หวังว่าคำตอบของคุณน้องคงไม่ทำให้พี่ต้องอกหักนะคะ” กิ๊บซี่ลุ้นคำตอบอย่างระทึกใจ หากเธอปฏิเสธคงจะต้องถูกเจ้านายตำหนิมาว่าไร้ความสามารถ เพราะคุณชาตรีผู้เป็นเจ้านายนั้น ถูกตาต้องใจกับรูปลักษณ์ของผู้หญิงคนนี้เหลือเกิน แม้ว่าทีมงานจะพยายามควานหาครีเอทีฟฝีมือดีหลายคนมาเสนอ ท่านก็ยังไม่ถูกใจ แต่กลับมั่นใจว่าอลินธิดาคือคนที่จะมาทำหน้าที่ครีเอทีฟพร้อมทั้งเป็นผู้ประกาศข่าวพยากรณ์อากาศได้อย่างลงตัว

                “สนใจค่ะ แล้วน้ำผึ้งต้องทำยังไงบ้างคะ?” อลินธิดาตอบรับอย่างฉะฉาน ชัดถ้อยชัดคำ และต้องอมยิ้มเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะที่ปลายสายซึ่งบ่งบอกว่าดีใจเหลือเกิน

                “ฮึ่ม... ขอโทษที่หัวเราะเสียงดังไปนะคะ พอดีพี่ดีใจมากไปหน่อย เอาอย่างนี้ได้ไหมคะ พรุ่งนี้สิบโมงเช้าคุณน้องพอจะว่างเข้ามาคุยถึงลักษณะของงานรวมไปถึงรายละเอียดต่างๆไหมคะ” กิ๊บซี่พูดด้วยน้ำเสียงดีใจ

                “ค่ะ ได้ค่ะ”

                “งั้นพรุ่งนี้สิบโมงเช้า เรามีนัดกันที่ฝ่ายข่าวช่องCANนะคะ” กิ๊บซี่ย้ำอีกครั้งเพื่อให้เข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย พร้อมหยอดคำหวานหูก่อนที่จะวางสาย “พรุ่งนี้พี่จะตั้งหน้าตั้งตารอคุณน้องนะคะ”

                อลินธิดาส่ายหน้าให้กับคู่สนทนาที่หัวเราะด้วยความพอใจจนสายโทรศัพท์ตัดไป พลางเงยหน้ามองตัวเองในกระจกเงาและบอกกับตัวเองว่า ‘ลองดูสักครั้งน่ะน้ำผึ้ง ถึงแม้วันนี้อาจจะไม่ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นอันดีที่ต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ตัวเอง อีกอย่างมันเป็นงานประจำที่สร้างความมั่นคงให้กับตัวเอง’

                เมื่อตัดสินใจแล้ว หญิงสาวก็หยิบครีมบำรุงที่วางเรียงรายอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้งขึ้นมาบรรจงทาผิวหน้าตามขั้นตอนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ทั้งผิวหน้าและผิวกายถูกชะโลมไปด้วยครีมบำรุงเป็นประจำทุกเช้าเย็นไม่เคยขาด ซึ่งได้รับการถ่ายทอดนิสัยนี้มาจากผู้เป็นมารดา อลินธิดายังจำได้ดีว่าเมื่อครั้งเยาว์วัยนั้นชอบนั่งมองท่านบรรจงทาครีมบำรุง แต่งแต้มสีสันลงบนใบหน้า บ่อยครั้งที่แอบย่องเข้าไปในห้องนอนของท่านแล้วหยิบเอาลิปสติกมาใช้ บางครั้งก็เอาไปเขียนกระจกตามประสาเด็กไม่รู้คุณค่าในสิ่งของ แต่ไม่เคยได้รับการลงโทษแต่อย่างใด

                ท่านจะมองด้วยสายตาเอ็นดู รักใคร่ อุ้มขึ้นมานั่งซ้อนบนตักแล้วลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน พร้อมอบรมว่าของใช้ทุกอย่างมีค่า มีราคา เราต้องรู้จักใช้มันให้เกิดประโยชน์เกิดคุณค่าต่อตัวเอง เป็นธรรมดาที่ลูกผู้หญิงย่อมอยากจะแต่งเนื้อแต่งตัวเลียนแบบคนเป็นแม่ หากแต่ต้องให้ถึงเวลาอันสมควร โตพอที่จะต้องใช้สิ่งของเหล่านี้ประทินผิวให้มีสุขภาพดี

                นั่นเป็นนิสัยอีกหนึ่งอย่างที่อลินธิดาได้รับการถ่ายทอดมาจากท่าน และยังทำมันเป็นประจำจนเคยชิน ชีวิตของเธอมีระเบียบแบบแผนเริ่มต้นจากในห้องนอน เสื้อผ้าในตู้ต้องแขวนไล่จากสีอ่อนไปหาสีเข้ม ก่อนออกจากบ้านทุกครั้งต้องดูดีตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละสี่วันและจะรับประทานอาหารมังสวิรัตทุกวันเสาร์เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงออกมาจากภายใน ส่งผลให้หน้าตาอิ่มเอิบบวกกับใบหน้าที่งดงามจิ้มลิ้มเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทำให้หลายคนยึดถือเธอเป็นผู้หญิงทำงานที่มีพร้อมทุกอย่าง แต่หลายคนก็มักจะซุบซิบนินทาว่าเธอเป็นคุณหนูเจ้าระเบียบ!

                ไม่กี่นาทีต่อมาอลินธิดาเดินกลับมายืนมองตัวเองในกระจกเงาหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้ง มองตัวเองอย่างพิจารณาถึงข้อด้อยในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง คำถามที่เกิดขึ้นในใจก็คือทำไมผู้ชายคนหนึ่งถึงได้หายไปจากวงจรชีวิตเช่นนี้??

                ทุกสิ่งกำลังเริ่มต้นอย่างสวยงาม โทรศัพท์หาวันละหลายรอบ คุยกันอย่างถูกคอ เคยไปรับหลังเลิกงานถึงที่ทำงานสองสามครั้งจนเพื่อนร่วมงานเอาไปล่ำลือกันต่างๆนานา    แต่แล้ววันหนึ่งเขากลับหายหน้าไปโดยไม่รู้สาเหตุ หากจะคิดปลอบใจตัวเองว่าเขาเป็นนักธุรกิจชื่อดัง ย่อมต้องมีภาระหน้าที่สำคัญต้องรับผิดชอบแต่ข่าวคราวที่ได้รับรู้มาตามสื่อต่างๆ ก็เห็นได้ว่าเขายังออกเที่ยวกลางคืน ใช้ชีวิตสนุกสุดเหวี่ยงกับผู้หญิงมากหน้าหลายตา ในขณะที่เธอต้องหน้าชื่นอกตรมฟังคำเสียดสี กระแนะกระแหนของรัตน์ระพี อดีตเพื่อนร่วมงานซึ่งเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทั้งยังปฏิเสธไม่ได้ว่าเหตุผลที่ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากงานประจำเดิมก็เป็นเพราะไม่อยากได้ยินคำพูดถากถางและสายตาเยาะเย้ยจากรัตน์ระพี ซึ่งปกติแล้วเธอจะไม่ค่อยสนใจกับคำนินทาของคนอื่นเท่าไหร่นักแต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงทำใจอดทนไม่ได้ในคำพูดเกี่ยวกับผู้ชายที่หายไปจากชีวิตราวกับไม่เคยรู้จักกัน

                สามสัปดาห์เต็มแล้วสินะ! ที่เขาไม่ยอมติดต่อมาเลย ถึงแม้ว่าเธอเองจะเคยติดต่อไปสองครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้นมาเลยเพราะครั้งแรกที่โทรศัพท์ไปหา เขาก็ตอบด้วยน้ำเสียงเครียดว่าจะเป็นฝ่ายโทรกลับเอง จนแล้วจนรอดเมื่อเวลาผ่านไปสองวัน เธอก็เป็นฝ่ายติดต่อไปอีกครั้งแต่คราวนี้เขาไม่รับสายและไม่โทรกลับด้วยซ้ำ! ด้วยความที่ไม่เคยต้องง้องอนใครมาก่อนจึงไม่ยอมติดต่อเขาอีกเลย แต่ก็ดูเหมือนเขาจะไม่รับรู้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งกำลังรอคอยคำตอบที่เขาทำตัวเหินห่างอย่างไร้เหตุผล

                นิ้วมือเรียวคว้าโทรศัพท์ขึ้นมาไว้ในมืออีกครั้งพร้อมไล่เรียงรายชื่อที่บันทึกเอาไว้...

                ‘พบกรันต์’

                หัวใจอันเปี่ยมไปด้วยทิฐิผสมรวมเข้ากับความไม่เข้าใจ ทำให้ไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะโทรศัพท์หาเขาอีกครั้งหรือไม่!

                ก๊อก... ก๊อก...

                เสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นทำให้อลินธิดาสะดุ้งสุดตัว

                “คุณน้ำผึ้งเรียบร้อยรึยังคะ... คุณอ้อยให้มาตามไปรับประทานอาหารค่ะ วันนี้มีแขกพิเศษมารับมื้อเย็นด้วยนะคะ” สายใจส่งเสียงบอกเจ้านายสาวด้วยความตื่นเต้น

                “ใครมาคะพี่สายใจ?” อลินธิดาถามพลางขมวดคิ้วมุ่นอย่างแปลกใจ

                “คุณหมอพงษ์ค่ะ มาถึงสักพักแล้ว คุณน้ำผึ้งรีบลงไปนะคะ”

                “ค่ะ” อลินธิดารับคำ แล้วถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เดินไปหยิบเสื้อผ้าที่เหมาะสมกว่าชุดนอนเพื่อลงไปรับประทานอาหารเย็นในเวลาต่อมา...

 

                อาหารเย็นเริ่มขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่มตรง วันนี้มีคุณหมอหนุ่มมาร่วมโต๊ะรับประทานอาหารอีกหนึ่งคน ความเป็นคนสุภาพและอบอุ่นของอาทิตย์พงษ์จึงทำให้บรรยากาศเป็นไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม

                “วันนี้พี่แปลกใจมากเพราะเห็นรถน้ำผึ้งจอดในบ้าน เป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือนที่น้ำผึ้งกลับถึงบ้านก่อนพี่” อาทิตย์พงษ์เริ่มพูดคุยเมื่อรับประทานอาหารไปได้สักครู่หนึ่ง

                “ความจริงทั้งสัปดาห์นี้น้ำผึ้งไม่ได้ไปทำงานต่างหากล่ะคะ วันนี้ออกไปทำหน้าที่พิธีกรที่ห้างแม็กซ์มอลล์งานเดียว เลยกลับมาเร็วน่ะค่ะ” อลินธิดาตอบพลางตักอาหารใส่ในจานของผู้เป็นแม่ที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ

                “ทำไมล่ะครับ? ลาพักร้อนเหรอ” คุณหมอหนุ่มถามอย่างแปลกใจ

                “เปล่าค่ะ น้ำผึ้งลาออกแล้ว” อลินธิดาตอบพลางรีบอธิบายต่อเมื่อเห็นว่าคุณหมอหนุ่มทำหน้าตาตื่น “ไม่ต้องตกใจค่ะ น้ำผึ้งอยากเปลี่ยนงานดูเท่านั้น ไม่ได้เกิดปัญหาอะไรขึ้น พี่พงษ์ไม่ต้องเป็นห่วง”

                คำตอบของอลินธิดาทำให้อีกสองคนที่ร่วมโต๊ะอาหารอดขำออกมาไม่ได้ จนอมราต้องออกปากแซวคุณหมอหนุ่มที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก “น้ำผึ้งก็ชอบพูดอะไรครึ่งๆกลางๆ เลยทำให้ตาพงษ์ตกใจ เดี๋ยวเกิดหัวใจไม่แข็งแรงเหมือนน้าล่ะแย่เลยนะ”

                “โธ่! คุณน้าก็มาแซวผมได้ ถ้าผมเป็นโรคหัวใจก็คงเป็นโรคหัวใจขาดรักล่ะครับ” จบคำพูดของอาทิตย์พงษ์ก็ทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามถึงกับสำลักอาหารขึ้นมาทันที

                เสียงไอค่อกแค่กของลูกสาวทำให้คนเป็นแม่ถึงกับส่ายหน้า มองด้วยสายตาคาดโทษเพราะสงสารคุณหมอหนุ่มที่ทำหน้าเลิ่กลั่ก เมื่อสาวเจ้าไม่ซึ้งไปกับคำพูดของตนอีกทั้งยังต้องยื่นแก้วให้ให้เธอเสียอีก

                “น้ำผึ้งว่าวันนี้พี่สายใจทำแกงส้มหวานไปนิดนะคะ มันเลี่ยนๆชอบกล ต้องกินยำตัดเลี่ยน” อลินธิดาพูดยิ้มหน้าตายให้อาทิตย์พงษ์ทั้งยังชวนรับประทานยำรสเด็ดด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่พงษ์ลองดูสิคะ น้ำผึ้งชอบที่สุดคือยำวุ้นเส้นเปรี้ยวๆเผ็ดๆ รสชาติจัดจ้านนี่แหละค่ะ”

                หากคนเป็นแม่รู้ดีว่าลูกสาวของตนต้องการสื่อถึงอะไรและมันก็ไม่เกี่ยวกับอาหารเลยสักนิด “เอาล่ะๆ ทานข้าวเถอะตาพงษ์ แกงส้มกุ้งผักรวมนี่ทานเยอะๆนะ ฝีมือน้าเอง ใครจะว่าหวานไปเลี่ยนไปก็ช่างเขา แต่แม่จะเตือนเอาไว้ว่าเผ็ดไปก็ระคายปาก บางทีเผ็ดมากไปก็ถึงกับน้ำตาไหลเลยนะลูก...”

                อลินธิดาทำหน้าง้ำเมื่อได้ยินเช่นนั้น รู้ดีเชียวล่ะว่าท่านต้องการสื่ออะไร แต่ก็ยังเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ พูดคุยกับคุณหมอหนุ่มให้เป็นปกติเหมือนเช่นที่ผ่านมา เพราะไม่เคยที่จะคิดเกินเลยกับผู้ชายที่นั่งตรงกันข้ามนี้ไปมากกว่าผู้ชายจิตใจดี น่าคบหาไว้เป็นมิตรคนหนึ่งเท่านั้น

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
7 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
7 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
9 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา