กับดักรักจอมบงการ
3) กับดักรักจอมบงการ ตอนที่ 3 100%
อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความรัตน์ระพียิ้มเยาะด้วยความสะใจ เมื่อเดินออกมาจากซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วเห็นอลินธิดากำลังปิดท้ายรถแล้วรีบบึ่งรถยนต์ออกไปด้วยความรวดเร็ว ทำเป็นไม่สนใจ แต่เธอก็รู้ดีว่าแท้จริงกำลังรีบพาตัวเองออกไปให้พ้นจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดใจเช่นนี้ต่างหาก การประกาศความเป็นเจ้าของในตัวของผู้ชายทีนั่งอยู่ในรถยนต์สุดหรูนี้สำเร็จไปอีกขั้นหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณหทัยกานต์ เพื่อนสนิทของตนที่ทำงานอยู่ในบริษัทเดิมของอลินธิดา
อลินธิดาและหทัยกานต์เป็นไม้เบื่อไม้เมาในเรื่องการทำงานมาตลอด แต่ดูเหมือนว่าเพื่อนของตนจะพ่ายแพ้ให้กับความสามารถของอลินธิดาอยู่ร่ำไป แต่ตอนนี้หทัยกานต์คงจะทำงานได้อย่างสบายใจเพราะไม่มีลูกไล่อยู่ให้ขวางหูขวางตาอีกต่อไปแล้ว
“เชิญครับ” คำรบ ซึ่งทำหน้าที่เป็นมือขวาของพบกรันต์เปิดประตูให้ดาราสาวได้ก้าวขึ้นไปนั่งเคียงคู่กับเจ้านาย หลังจากที่เก็บข้าวของไว้ท้ายรถเรียบร้อยแล้ว
รัตน์ระพีแย้มยิ้มอ่อนหวานที่สุดเท่าที่จะทำได้ให้กับนักธุรกิจหนุ่มที่นั่งรออยู่ภายในรถแล้ว “ขอบคุณมากๆเลยนะคะ นี่ถ้าไม่ได้คุณพีทยอมสละเวลานั่งรอ ระพีคงต้องเรียกแท็กซี่กลับให้วุ่นวาย ข้าวของเยอะน่าดูเลยค่ะ”
พบกรันต์ยิ้มน้อยๆที่มุมปาก ก้มศีรษะลงเล็กน้อยเป็นเชิงบอกให้รู้ว่าไม่ต้องเกรงใจ “ยินดีครับ อ้อ... คอนโดคุณอยู่แถวไหน ผมจะไปส่ง”
“แถว... เลี้ยวเข้าไปในซอยประมาณห้าร้อยเมตร คอนโดอยู่ซ้ายมือค่ะ” รัตน์ระพีบอกพลางลอบยิ้ม เมื่อเห็นว่าคนขับรถรับคำอย่างขันแข็ง มันช่างให้ความรู้สึกราวกับว่าเป็นคนพิเศษของผู้ชายที่นั่งข้างๆนี้เหลือเกิน นี่สินะ! ผู้หญิงทั้งประเทศถึงยอมตีกันตายเพื่อจะได้มีโอกาสมานั่งข้างๆเขาสักครั้ง
“ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องรถของคุณนะ ผมให้คนเรียกช่างมาจัดการแล้ว ซ่อมเสร็จเขาคงจะขับไปให้ที่คอนโดของคุณ” พบกรันต์เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ระพีนี่แย่มากๆเลย มาทำงานให้คุณแทนที่จะทำตัวให้เป็นประโยชน์แต่กลับเป็นภาระเสียนี่” ทันทีที่รับการติดต่อให้มาเป็นหนึ่งในพรีเซ็นเตอร์ให้กับห้างแม็กซ์มอลล์(Maxx Mall) รัตน์ระพีก็รีบตกปากรับคำโดยไม่ถามถึงค่าเหนื่อยด้วยซ้ำ และคิดไม่ผิดเลยเมื่อได้เห็นเซเลบริตี้ ดารามากหน้าหลายตาทั่วฟ้าเมืองไทย ตบเท้าเข้าร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับโฆษณาชิ้นนี้ มันยังเป็นโอกาสอันดีที่เธอจะได้ทำความรู้จักกับเจ้าของห้างสรรพสินค้าหลายสาขาทั่วประเทศไทย
“ไม่ต้องเกรงใจผมอย่างนั้นหรอกครับ ผมจะปล่อยให้คุณเผชิญกับความยุ่งยากพวกนั้นคนเดียวได้ยังไงกัน” พบกรันต์ตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มน่าฟังจนทำให้ดาราสาวสบสายตา เคลิ้มไปกับคำพูดอุ่นใจนั้น
“ถ้าอย่างนั้น... คุณพีทคงไม่รังเกียจที่จะทานอาหารเย็นกับระพีสักมื้อ”
พบกรันต์เลิกคิ้วมองผู้หญิงที่ทำท่าออดอ้อนราวกับลูกแมวยั่วสวาทข้างๆด้วยสายตาที่ไม่มีใครคาดเดาได้ เธอเหมือนเปลวลาวาอันร้อนระอุที่ท้าทายให้เขาได้กระโจนลงไปทั้งตัว แน่นอนว่า... อาจต้องได้รับบาดแผลจากเพลิงลาวาของเธอเป็นแน่ แต่ขุมทรัพย์ที่อยู่ในทุกอณูของลาวาเหล่านั้น มันเป็นเหมือนสิ่งยั่วยุให้ลองเสี่ยงอันตรายนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะพบกุญแจดอกสำคัญไปสู่ปมปัญหาที่ยังคลุมเครืออยู่ก็เป็นได้
“ผมเป็นคนเลือกทานอาหารนะ”
“ระพีมั่นใจค่ะ ว่าคุณต้องชอบอาหารที่ระพีทำให้...” ดาราสาวโต้กลับทันควัน
พบกรันต์เบ้ปากเล็กน้อย ละสายตาจากใบหน้าสวยที่แต่งแต้มไปด้วยเครื่องสำอางมองไปยังท้องถนนเบื้องหน้า ซึ่งมันเป็นกิริยาที่ท้าทายรัตน์ระพีอย่างยิ่ง เขาดูหยิ่งผยอง เจ้าชู้แต่ไม่ผลีผลาม แววตาลุกโชนที่สามารถจับจ้องได้นั้นบอกให้รู้ว่าเขาจะฮุบเหยื่อไว้ใต้อุ้งเท้าทันทีที่เหยื่อเผลอตัว!
“นะคะ... อย่างน้อยก็ให้ระพีได้ตอบแทนที่คุณสละเวลานั่งคอยอยู่นานสองนาน”
พบกรันต์หันมาจ้องตากับหญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างๆ นั่งในท่าไขว้ห้างเช่นเดิม วาดแขนแข็งแรงราบยาวไปกับพนักพิงเบาะ เท่ากับว่าเป็นการโอบเธอไว้กลายๆ “รู้อะไรไหม... ผมเป็นคนที่ไม่ชอบปฏิเสธใคร โดยเฉพาะสุภาพสตรีแสนสวย”
รัตน์ระพีเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ชายหนุ่มพร้อมกระซิบด้วยน้ำเสียงยั่วใจ “แล้วคุณรู้อะไรไหมคะ... ระพีเองก็ไม่เคยทำให้ใครผิดหัวงเหมือนกัน”
แน่นอนล่ะว่า... บทสนทนาที่เกิดขึ้นนั้นมือขวาของเขาที่นั่งอยู่ด้านหน้าได้ยินอย่างชัดเจน คำรบลอบถอนหายใจให้กับความใจกล้าของสาวๆสมัยนี้เสียจริง ขนาดว่าความเจ้าชู้ของเจ้านายตนนั้นเป็นที่เลื่องลือแต่พวกเธอก็ยังตบเท้าเดินหน้าเข้าหาอย่างไม่กริ่งเกรง ท่านไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้ที่มีคำพูดหวานหู กระลิ้มกระเหลี่ยสาวๆจนออกนอกหน้า แต่ความสุขุม น่าเกรงขามบวกเข้ากับรูปร่างสูงใหญ่ดั่งชายชาตรีกลับเป็นสิ่งดึงดูดสายตาของผู้พบเห็น รอยยิ้มที่มุมปากช่างร้ายกาจ และมีพลังงานบางอย่างที่ทำให้สาวๆตกหลุมรักได้อย่างง่ายดาย
แต่ก็เป็นอย่างที่รู้กันดีนั่นแหละว่า... พบกรันต์ โภคไคยสกุล นักธุรกิจมหาเศรษฐีหนุ่มวัย 36 ปี ผู้ไม่เคยหยุดหัวใจไว้ที่ผู้หญิงคนไหน เขารักปาร์ตี้ในยามค่ำคืนพอๆกับรักความเป็นอิสระ ใช้ชีวิตสนุกสุดเหวี่ยงสมกับที่ตรากตรำทำงานหนัก ประสบการณ์ของชายชาญโลกมันทำเขารู้ดีว่าจะจัดการกับพวกเธออย่างไร จัดวางความสัมพันธ์อันฉาบฉวยไว้ตรงส่วนไหนของชีวิต ซึ่งดูเหมือนว่าจะประสบผลสำเร็จอย่างดีเพราะไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นลูกผู้ดีมีสกุล เซเลบริตี้ชื่อดัง ดาราหรือนางแบบ ล้วนแล้วแต่มีฐานะเท่าเทียมกันเมื่ออยู่ข้างกายของพบกรันต์ ฐานะนั้นคือ ‘คู่ควง’ ที่อาจพ่วงคำว่าคู่นอนเข้าไปด้วยเท่านั้นเอง
ในขณะที่รัตน์ระพีกำลังเริ่มสานความสัมพันธ์อันดีต่อพบกรันต์ภายในคอนโดมิเนียมใจกลางกรุงเทพมหานคร อลินธิดาซึ่งเดินทางมาถึงบ้านเมื่อชั่วโมงที่แล้ว ก็กำลังเข้าครัวเป็นลูกมือช่วยมารดาและสายใจทำอาหารเย็นเช่นกัน
“แม่ไม่ต้องทำอะไรหรอกค่ะ ไปนั่งดูทีวีดีกว่า เดี๋ยววันนี้น้ำผึ้งจะเป็นลูกมือให้พี่สายใจเอง” อลินธิดาบอก ดึงตะกร้าต้นตำลึงมาเด็ดเสียเองพร้อมสอดส่ายสายตามองหาเจ้าช็อกโกแลตที่น่าจะเดินตามแม่ของเธอตลอดเวลา “แล้วนี่องครักษ์ของแม่ไปไหนเสียล่ะคะ ทำไมถึงปล่อยให้แม่เดินคนเดียว เดี๋ยวแม่ก็หายหรอก”
อมราหัวเราะร่วนกับคำพูดประชดประชันของลูกสาว “แขวะได้กระทั่งหมานะเรา”
“พูดไปอย่างนั้นล่ะค่ะ ความจริงคุณน้ำผึ้งน่ะเหงา... อยากให้ช็อกโกแลตไปนอนเป็นเพื่อนใช่ไหมล่ะคะ พี่สายใจรู้น่า...” สายใจเรียกชื่อสั้นๆของสุนัขแสนรู้ ในขณะที่กำลังจัดการล้างปลากระพงตัวโต
เมื่อตอนได้เจ้าช็อกโกแลตเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของบ้าน อลินธิดาจะให้มันนอนในห้องของเธอทุกคืน แต่ช่วงสองเดือนให้หลังนั้นหญิงสาวทำงานหนัก ไม่ค่อยมีเวลาว่าง กว่าจะกลับถึงบ้านก็ดึกดื่นเที่ยงคืน เจ้าช็อกโกแลตมันจึงย้ายสำมะโนครัวไปนอนในห้องของอมราแทน และเป็นปกติที่สัตว์เลี้ยงจะผูกพันกับคนที่ใช้เวลาอยู่กับมันมากกว่า มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งเป็นวันหยุด อลินธิดาเข้ามากอดอ้อนมารดาของตนตามปกติจนติดเป็นนิสัย แต่เจ้าช็อกโกแลตกลับขู่คำรามหวงอมรา มันเข้ามาคลอเคลียที่ปลายเท้าราวกับเรียกร้องให้อมราหันมาอุ้มมันขึ้นไปนั่งบนตักเสียเอง ตั้งแต่นั้นมาอลินธิดาก็วางตัวเป็นไม้เบื่อไม้เมากับมันเหมือนกับเด็กๆแย่งชิงความรักจากพ่อแม่ จนอมราอ่อนใจ แต่ก็รู้ดีว่าแท้จริงแล้วลูกสาวของตนนั้นรักและเอ็นดูเจ้าลูกสุนัขแสนรู้ตัวนี้มาก แม้จะรู้สึกหมั่นไส้ที่มันชอบทำตัวเป็นเจ้าข้าวเจ้าของทุกอย่างในบ้านไปเสียหน่อยก็ตาม
“ไม่ใช่สักหน่อย ช็อกโกแลตไปนอนห้องแม่น่ะดีแล้ว น้ำผึ้งขี้เกียจลุกขึ้นมาเปิดประตูห้องให้มันตอนมันได้ยินเสียงแม่เปิดประตู รบกวนเวลานอนอันมีค่า” อลินธิดาบอกลอยหน้าลอยตาอย่างไม่สนใจ “ไม่ได้เหงาสักหน่อย”
“เหงาสิคะ ใครๆก็ดูออกว่าเกือบเดือนมานี้คุณน้ำผึ้งดูเหงาๆไป พี่สายใจมีวิธีคลายเหงานะคะ ลองมาแล้วได้ผลชะงัดนัก” สายใจบอกพลางขยิบตาให้เจ้านายสาวอย่างล้อเลียน “มองหาหนุ่มๆสักคน เอามาไว้คุยแก้เหงา ที่สำคัญยังช่วยให้หัวใจเรากระชุ่มกระชวยด้วยนะคะ”
“เหมือนที่พี่สายใจคุยกับพี่ยอดน่ะเหรอ?” อลินธิดาถาม
“ค่ะ” สายใจรับคำอย่างรวดเร็ว ไม่เขินอายแม้แต่น้อย “อย่าเลือกมากนักเลยค่า... หมอพงษ์นี่เหมาะกับคุณน้ำผึ้งที่สุดแล้ว สุภาพเรียบร้อย ถ้าแต่งงานอยู่ด้วยกันไป ดูท่าคงจะเชื่อฟังคุณน้ำผึ้งทุกอย่าง ชี้นกเป็นนก ชี้ไม้เป็นไม้ ยอมให้คุณน้ำผึ้งข่มจนตายเลยล่ะค่ะ”
อลินธิดาส่ายหน้าให้กับคำพูดที่ทำให้เธอจินตนาการถึงภาพนั้นได้เป็นอย่างดี “บรื้อ... ขนลุก ไม่เอาล่ะค่ะ น้ำผึ้งอยากได้สามีที่เป็นผู้นำครอบครัว ไม่ได้อยากได้สามีที่เหมือนลูกแหง่สักหน่อย”
“โธ่!... คุณน้ำผึ้งล่ะก็ เป็นพี่ไม่ได้จะกระโจนเข้าใส่ ตีหัว ลากเข้าห้องนอนเลยล่ะค่ะ” คำพูดของสายใจทำให้ทุกคนหัวเราะร่วน จนอมราต้องส่ายหน้าให้กับความคิดที่สวนทางของผู้หญิงทั้งสองคน
“สายใจ... ลูกสาวฉันน่ะเขาเด็กนัก อายุเพิ่งมีเลขสองนำหน้า ยังไม่คิดเรื่องแต่งงานแต่งการหรอก” คำพูดของอมรายิ่งทำให้สายใจขำมากขึ้นไปอีก มีเพียงคนที่ถูกประชดเท่านั้นหัวเราะไม่ออก ทำหน้าง้ำ มองผู้เป็นแม่อย่างงอนๆ
“แม่ก็! ทำไมชอบเอาเรื่องอายุมาพูดบ่อยๆนะ ผู้หญิงที่เขาแต่งงานกันตอนอายุสามสิบเลยไปถึงสี่สิบกว่าๆนี่มีเยอะแยะ เดี๋ยวนี้เรื่องธรรมดาจะตายไปค่ะ” อลินธิดาบอก
“แม่ก็ไม่ได้ว่าแปลกนี่ แล้วแม่พูดผิดตรงไหน ก็น้ำผึ้งอายุเลขสองไม่ใช่เหรอ” อมราพูดหน้าตาย แสร้งมองลูกสาวด้วยท่าทีงุนงงจนได้ยินคำพูดของสายใจ อลินธิดาถึงยิ้มออกบ้าง
“แต่จะว่าไปคุณน้ำผึ้งเหมือนเด็กอายุยี่สิบสี่ยี่สิบห้าเองนะคะ ไม่เหมือนคนอายุยี่สิบเก้าปีเลย”
“โอ... ย้ำกันเข้าไปว่าน้ำผึ้งจะสามสิบแล้ว”
ประเด็นเรื่องอายุต้องตกไปเพราะจู่ๆ เสียงเห่า โฮ่งๆของเจ้าช็อกโกแลตก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่นานนักเสียงกดกริ่งที่หน้าบ้านก็ดังขึ้น โดยมีสายใจรีบวิ่งออกไปดูว่ามีใครมาเยือน
“น้ำผึ้งเด็ดตำลึงเสร็จแล้ว เอาต้นหอมมาหั่นต่อนะลูก เดี๋ยวแม่จะไปดูสิว่าใครมา” อมราสั่งพร้อมเดินออกไปจากห้องครัว
“โฮ่ง... โฮ่ง... แฮ่...” เจ้าช็อกโกแลตทั้งเห่าทั้งคำรามแขกที่มาเยือนไม่หยุดหย่อน แม้ว่าสายใจจะปรามเสียงดุมันก็ไม่ยอมหยุด จนต้องหันไปบอกกับผู้มาเยือนให้รอสักครู่เพราะกลัวว่าหากเปิดประตูให้เข้ามาแล้วจะโดนมันทำอันตราย
“มาๆ ช็อกโกแลต มาเข้ากรงก่อน” สายใจวิ่งกลับเข้าไปในบ้านอีกครั้งพลางมองสุนัขที่วิ่งตามมาด้านหลัง
“ใครมากันสายใจ?” อมราถามเมื่อเดินมาหยุดที่ประตูหน้าบ้าน
“คุณอานนท์ค่ะ” สายใจรายงานว่าน้องชายแท้ๆของเจ้านายนั้นเป็นผู้มาเยือน
“อ้าว... แล้วทำไมไม่เปิดให้เข้ามาล่ะ”
“ก็เจ้าช็อกโกแลตมันทั้งเห่าทั้งขู่คุณอานนท์น่ะสิคะ สายใจกลัวว่าเปิดให้คุณอานนท์เข้ามาแล้วจะโดนมันกัดเอา ก็เลยจะเรียกมันเข้ากรงก่อน”
“ไม่ต้องขังหรอกสงสารมัน ไปเปิดประตูเถอะ” อมราบอกพลางก้มตัวลงมองสัตว์เลี้ยงแสนรู้ของตน ลูบหัวมันด้วยความอ่อนโยน อธิบายอย่างใจเย็น “มาหาแม่เร็วเข้า นั่นน้องชายของแม่นะ เขามาดีไม่ได้มาร้าย ไม่ต้องไปขู่เขานะลูก เดี๋ยวสายใจจับขังกรงนะ”
ช็อกโกแลตคลอเคลียใบหน้าเข้ากับฝ่ามือของเจ้านาย สงบลงอย่างไม่น่าเชื่อ แต่มันยังเดินวนไปมารอบๆตัวอมรา ราวกับองครักษ์คอยระแวดระวังภัย
“สวัสดีครับพี่อ้อย ไม่เจอกันนาน สบายดีนะครับ”
“โฮ่ง!...” ช็อกโกแลตยืนอยู่ตรงหน้า ขู่รับคำทักทายแทน ส่งผลให้ร่างกำยำของอานนท์รีบกระโดดเข้าไปหลบที่หลังของแม่บ้านด้วยท่าทางหวาดกลัว
“จุ... จุ... จุ... ไม่เอานะ ช็อกโก ถ้าพูดไม่ฟังแม่จะไม่รักแล้วนะ” อมราดุเสียงเข้มทำให้เจ้าช็อกโกแลตหางตกเดินกลับมาซุกปากและจมูกที่ฝ่าเท้าของอมรา “พี่สบายดี... เข้าไปนั่งข้างในดีกว่า ตรงนี้มันร้อน เธอจะกลัวอะไรกับลูกหมาตัวแค่นี้ อ้อ... สายใจ เรียกน้ำผึ้งออกมาด้วยนะ”
อานนท์ไม่ตอบว่าอย่างไร ยังกล้าๆกลัวๆกับท่าทางขู่คำรามของมัน จริงอยู่ว่ามันยังไม่ใช่สุนัขที่โตเต็มวัยแต่ด้วยรูปร่างลักษณะอันปราดเปรียว ขนแผงคอตั้งชัน แยกเขี้ยวขู่นั้นก็ทำเอาใจหายใจคว่ำได้เช่นกัน นั่นไงล่ะ! ตอนนี้มันยังกระโดดขึ้นไปนั่นบนโซฟาตัวเดี่ยวที่พี่สาวของตนผายมือให้นั่งด้วย
“ช็อกโก มานั่งใกล้ๆแม่เร็วเข้า มาๆ” อมราบอกพลางส่ายหน้าให้กับเจ้าของบ้านที่หวงข้าวของทุกอย่างในบ้านเกินความพอดี
อานนท์มองสุนัขไทยสายพันธุ์ดุ กระโดดลงจากโซฟา เดินส่ายหางตั้งเป็นพวงไปทรุดนั่งทับลงบนฝ่าเท้าพี่สาวตัวเองด้วยสายตาไม่ไว้ใจ เดินไปนั่งลงบนโซฟาตัวที่มันเพิ่งสละให้ “คิดยังไงถึงได้เลี้ยงหมาพันธุ์ดุอย่างนี้ล่ะครับ”
“น้ำผึ้งเขาอยากเลี้ยง แต่พี่ก็ว่ามันน่ารักนะ อาจจะดุกับคนอื่นแต่รักคนในบ้านทุกคน ตัวแค่นี้รู้จักหวงเจ้าของแล้วนะ” อมราบอกพลางก้มลงมองเจ้าช็อกโกแลตที่ซุกตัวอยู่กับฝ่าเท้าตนด้วยสายตารักใคร่ “แล้วเธอล่ะ มาเมืองไทยตั้งแต่เมื่อไหร่”
“มาถึงเมื่อวานนี้ครับ แต่สักสองสามวันก็จะกลับแล้ว ผมบินมาดูที่ดินแถวนี้แล้วก็จะรีบบินกลับเอาข้อมูลไปให้นายทุนที่ฮ่องกง ถ้างานนี้สำเร็จคงจะได้ค่านายหน้าอยู่มากโข แล้วผมจะรีบเอาเงินที่ยืมพี่ไปทำทุนมาคืนให้นะครับ” อานนท์บอกพลางไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบของพี่สาวเพียงคนเดียว “สีหน้าพี่ดูดีกว่าตอนที่พี่เขยเสียใหม่ๆมากเลยนะครับ เห็นอย่างนี้แล้วผมก็ดีใจ”
“พี่ก็ตามอัตภาพ หลังจากที่ลาออกจากงานก็นั่งๆนอนๆอยู่บ้าน ไม่ได้ทำอะไรเพราะน้ำผึ้งเขากลัวเสียพี่ไปอีกคน ส่วนเรื่องเงินที่หยิบยืมไปก็แล้วแต่เธอเห็นสมควร” อมราพูดพลางหันไปมองร่างอรชรของลูกสาวที่เดินออกมาจากห้องครัวโดยที่ยังสวมผ้ากันเปื้อนไว้บนตัว พลางยกมือไหว้ผู้เป็นน้าอย่างนอบน้อม
“สวัสดีค่ะน้านนท์ มาถึงเมืองไทยเมื่อไหร่คะ แล้วพักที่ไหน ไม่เห็นมาพักที่นี่เลย” อลินธิดาระรัวคำถามเข้าใส่ผู้เป็นน้าจนคนตอบหัวเราะร่วน ไม่รู้ว่าจะเลือกตอบคำถามไหนก่อนหลัง
“น้ามาถึงเมื่อวาน แต่มาแค่สองสามวันก็ต้องรีบกลับแล้ว พอดีมีลูกค้าที่ฮ่องกงสนใจที่ดินแถวๆนี้ น้าเลยบินมาดูแล้วก็จะเอาข้อมูลต่างๆไปเสนอให้เขาเลยต้องรีบกลับ อีกอย่างน้ามีเพื่อนมาด้วย คิดว่ามาอยู่ที่นี่คงไม่สะดวก” อานนท์ตอบหลานสาว
“จริงเหร้อ... น้านนท์มากับเพื่อนหรือสาวคนใหม่คะ?” อลินธิดาถามเสียงสูงอย่างหยอกเย้าเพราะรู้ดีว่าน้าชายของตนนั้นเจ้าชู้นัก ไม่เคยลงหลักปักฐานหรือสร้างครอบครัวจริงจังกับใคร และคำถามของอลินธิดาก็ทำให้อมราส่ายหน้าเบื่อหน่ายกับความเจ้าชู้ของน้องชาย
“ฮ่า... หลานคนนี้ชอบแซวน้า หาเรื่องให้น้าถูกแม่เราดุอีกแล้ว” อานนท์บอกเมื่อเหลือบสายตาเห็นว่าพี่สาวของตนทำหน้าระอาใจกับพฤติกรรมเจ้าชู้ประตูดินที่ติดตัวมาตั้งแต่ไหนแต่ไร “งั้นน้ายึดของฝากน้ำผึ้งคืน ให้พี่คนเดียวดีกว่า...”
อลินธิดาทำตาโตเมื่อเห็นว่าน้าชายของตนดึงถุงกระดาษมันวาวใบเล็กกลับ พลางยื่นถุงใบใหญ่ให้แม่ของตนเพียงคนเดียว พลันเหลือบไปเห็นสายใจกำลังยกน้ำกระเจี๊ยบเข้ามาพอดีจึงถือโอกาสง้อด้วยน้ำหวานแก้วโต “แหม... แซวเล่นนิดเดียวน้านนท์งอนใหญ่ ดื่มน้ำกระเจี๊ยบให้ชื่นใจก่อนนะคะ”
อานนท์หัวเราะร่วนเมื่อเห็นว่าหลานสาวเข้ามานั่งลงข้างๆ ประจบประแจงบีบนวดบริเวณแขนอย่างเอาใจ “เห็นแก่ของฝากนะเรา”
“โธ่... ใครไม่อยากได้ของฝากจากฮ่องกง อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะคะ วันนี้น้ำผึ้งลงมือเอง มีปลากระพงนึ่งบ๊วย แกงจืดตำลึง ผัดผักรวมมิตรด้วย”
“โม้รึเปล่า ถ้าน้ำผึ้งเข้าครัวทำอาหารเองนี่ พรุ่งนี้เช้าล่ะมั้งถึงจะได้ทาน” เป็นที่รู้กันดีว่าหากอลินธิดาจะเข้าครัวลงมือทำอาหารเย็นต้องเริ่มจัดเตรียมทุกอย่างล่วงหน้าอยู่สี่ห้าชั่วโมง เพราะมัวแต่พิถีพิถันจนเกินกว่าเหตุ แต่ทุกคนในบ้านก็ไม่ปริปากว่าอย่างไรเพราะรู้ถึงความตั้งใจจริงนั้น
“หืม... ปล่อยๆน้ำผึ้งไปบ้างก็ได้ นานจนป่านนี้แล้วน้านนท์ยังไม่ลืมว่าได้ทานอาหารเย็นตอนสามทุ่ม” อลินธิดาแสร้งทำท่าทางงอนๆ ไม่นานก็แย้มยิ้มออกมาอย่างน่ารักพร้อมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมรับเอาถุงกระดาษมันวาวใบเล็กจากน้าของตน “ขอบคุณค่ะ อะไรน้า...”
“ของชอบของเรานั่นแหละ ทุกครั้งที่คิดว่าจะซื้อของฝากให้น้ำผึ้ง น้าก็จะคิดถึงแต่น้ำหอมพวกนี้ ไม่รู้ว่าจะชอบกลิ่นนี้รึเปล่านะ” หลานสาวของตนนั้นเป็นเด็กผู้หญิงที่รักสวยรักงาม เธอจะชอบเก็บสะสมขวดน้ำหอมเป็นพิเศษ ดูได้จากตู้โชว์สามชั้นที่เรียงรายไปด้วยขวดเปล่าน้ำหอมหลากหลายยี่ห้อ ไม่ว่าทุกคนในบ้านจะชอบน้ำหอมยี่ห้ออะไรเมื่อใช้หมดแล้วต้องเอาขวดเปล่ามาให้เธอ ไม่งั้นมีงอนกันเป็นวันๆ
“ขอบคุณค่า น้านนท์ซื้ออะไรให้น้ำผึ้งก็ชอบทั้งนั้น ว่าแต่วันนี้อยู่ทานข้าวด้วยกันนะคะ อีกไม่เกินสามสิบนาทีได้ทานเลยเพราะพี่สายใจเป็นคนทำ น้ำผึ้งเป็นลูกมือ”
“วันนี้ไม่ได้จ้ะ น้ารีบมากเพราะมีนัดกับนายหน้าที่ดินทางนี้ไว้ เดี๋ยวผิดนัดเขาจะเอาไปให้คนอื่น” อานนท์ซึ่งทำธุรกิจเกี่ยวกับการเป็นนายหน้าขายที่ดินบอกกับหลานสาว พลางยกมือขึ้นลูบต้นแขนเสลาอย่างปลอบใจ “เอาไว้คราวหลัง น้ากลับมาหลายๆวันดีกว่า พี่ไม่ว่าผมนะครับที่รีบกลับ”
อมราพยักหน้ารับ “จ้ะ... งานสำคัญกว่า รีบไปเถอะ เอาไว้ว่างๆค่อยมาใหม่ก็ได้”
อานนท์ยิ้มให้พี่สาวอย่างซาบซึ้งเพราะไม่ว่าจะมีปัญหาเดือดร้อนมาจากไหน เมื่อกลับบ้านมาหาพี่สาวเพียงคนเดียวของตนจะยิ้มรับ ไถ่ถามและช่วยแก้ปัญหาให้อย่างใจเย็นทุกครั้ง พลางเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ตั้งใจว่าจะก้มลงไปกราบที่หน้าตักแต่เสียงคำรามของสุนัขพันธุ์ดุที่อยู่ปลายเท้าก็ทำให้ผงะออกมาอย่างหวาดระแวง
“จุ... จุ... จุ... ไม่เอาลูก” อมราปรามพลางยื่นมือไปลูบศีรษะเจ้าช็อกโกแลต “น้ำผึ้งพาช็อกโกเข้าไปในครัวดีกว่า เดี๋ยวแม่จะเดินไปส่งน้านนท์เอง”
อลินธิดายกมือไหว้พร้อมกล่าวคำอำลาน้าชายของตนเรียบร้อยแล้ว จึงเดินไปอุ้มเจ้าช็อกโกแลตขึ้นไว้ในวงแขน มองมันด้วยสายตารักใคร่เมื่อมันทำตัวอ่อน ซุกจมูกเข้าที่หน้าอกนุ่ม ทำเสียงงืดงาดอย่างพอใจ ในขณะที่อมราเดินออกมาส่งน้องชายที่หน้าบ้าน
“อีกไม่เกินหนึ่งปี ผมจะเอาของที่ยืมไปมาคืนพี่นะครับ ขอบคุณที่ช่วยเหลือน้องไม่เอาไหนคนนี้มาตลอด แล้วก็ขอโทษที่น้องคนนี้นำแต่เรื่องปวดหัวมาให้ช่วยแก้ปัญหา” อานนท์พูดกับพี่สาวด้วยสีหน้าจริงจัง
“เราเป็นพี่น้องก็ต้องช่วยกัน จะให้พี่ทนมองเห็นเธอลำบากได้ยังไง แค่เห็นเธอปรับปรุงตัวไม่กลับไปสำมะเลเทเมาอีกพี่ก็ดีใจแล้ว ส่วนที่เธอยืมไปนั่นพี่ก็คิดว่าจะเก็บไว้ให้น้ำผึ้ง ให้เป็นสมบัติติดตัวไปตอนแต่งงานแต่งการ”
“จริงเหรอครับ น้ำผึ้งจะแต่งงานแล้วเหรอครับ”
อมราหัวเราะพลางส่ายหน้าปฏิเสธ “เปล่าหรอก มันก็แค่เป็นความหวังของคนเป็นแม่ที่ไม่รู้ว่าจะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน อย่างน้อยถ้ามีผู้ชายที่รักน้ำผึ้งจริงมาดูแล พี่ก็คงตายตาหลับ แต่หลานเราน่ะเรื่องเยอะ เลือกมากพี่ว่าไม่แน่คงจะขึ้นคานล่ะมั้ง”
ได้ยินพี่สาวพูดเช่นนั้น อานนท์ก็อดขำออกมาไม่ได้ “สาวๆสมัยใหม่ก็เป็นอย่างนี้ล่ะครับ เขาดูแลตัวเองได้เลยไม่ได้คิดจะพึ่งพาผู้ชายเหมือนผู้หญิงสมัยก่อน แล้วพี่ก็ยังดูแข็งแรงต้องอยู่กับพวกเราไปอีกนาน อย่าพูดให้น้ำผึ้งได้ยินว่าจะทิ้งแกไปอีกคนเลยครับสงสารหลาน รายนั้นดูแลพี่อย่างดีคงกลัวว่าจะจากไปกะทันหันอย่างพี่เขยอีกคน”
“ใช่... น้ำผึ้งจะกลัวมากถ้ารู้ว่าพี่มีอาการผิดปกติขึ้นนิดหน่อย ที่หาเจ้าช็อกโกมาให้เลี้ยงน่ะ ก็เพราะกลัวว่าพี่จะเหงาแล้วคิดถึงแต่พ่อของเขา” อมราบอกพลางยกมือขึ้นลูบแผ่นหลังของน้องชายพร้อมอวยพรให้โชคดี “ไปเถอะ... ขอให้โชคดีทำงานสำเร็จ เดินทางปลอดภัยนะ”
อมรารับไหว้น้องชาย พร้อมมองร่างกำยำที่เดินออกไปจนลับตาพลางถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หากอานนท์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับอบายมุขทุกอย่างแล้วสามารถทำงานหาเงินไถ่ถอนบ้านและที่ดินหลังนี้ออกมาจากธนาคารได้ในเร็ววัน ตนก็ดีใจ โล่งอกเพราะเมื่อตอนที่น้องชายเกิดวิกฤตหนี้ครั้งใหญ่ขึ้นนั้นได้นำเอาโฉนดที่ดินของบ้านหลังที่อาศัยอยู่นี้ไปจำนองไว้กับธนาคารพาณิชย์ โดยที่ตนนั้นปกปิดเรื่องนี้เป็นความลับมาตลอด เพราะไม่อยากให้คนในบ้านรับรู้แล้วพลอยไม่สบายใจไปตามๆกัน
ครั้นจะปล่อยให้น้องชายต้องสิ้นเนื้อประดาตัว มีหนี้สินล้นพ้นจนไม่รู้จะดำเนินชีวิตต่อไปอย่างไรก็ไม่ใช่วิสัยของตนอยู่แล้ว อีกทั้งโฉนดที่ดินซึ่งมีเนื้อที่กว่าสองงาน ใจกลางเมืองหลวงซึ่งตนและครอบครัวอาศัยอยู่นี้ก็เป็นมรดกตกทอดในส่วนของตน ไม่ใช่สินสมรสที่ได้มาหลังการแต่งงาน จึงคิดว่าสมควรแล้วที่จะนำมันไปช่วยเหลือน้องชาย และที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีปัญหาทวงถามในการผ่อนชำระจากทางธนาคารเลยแม้แต่ครั้งเดียว นั่นก็ทำให้อมราเบาใจได้ในระดับหนึ่ง
“แม่คะ ทานข้าวค่า...”
เสียงหวานของลูกสาวที่ดังขึ้นเบื้องหลัง ทำให้อมราหลุดออกจากห้วงความคิดของตนพลางหมุนตัวเดินกลับเข้าไปในบ้าน พร้อมกับยิ้มอย่างอ่อนโยนให้อลินธิดาที่เดินเข้ามากอดเอวอย่างออดอ้อน
“คิดถึงน้านนท์เหรอคะ ร้องไห้ขี้มูกโป่งด้วยรึเปล่า?...” อลินธิดาถามพลางชะโงกหน้ามามองใบหน้าแม่ของตนใกล้ๆ
“นอกจากจะขี้อ้อน เห็นแก่ของขวัญ ทำอาหารช้า โลกส่วนตัวสูง เอาแต่ใจตัวเองแล้วยังชอบล้อเลียนแม่อีกด้วย” อมราบอกพลางกลั้นยิ้ม เมื่อเห็นลูกสาวทำตาโตส่ายหน้าเร็วๆอย่างไม่เห็นด้วย
“โห... ที่แม่พูดมาเนี่ย น้ำผึ้งดูนิสัยแย่มากๆ งั้นก็ไม่แปลกหรอกค่ะที่น้ำผึ้งจะขายไม่ออก ต้องเป็นโสดอยู่กับแม่ไปเรื่อยๆอย่างนี้แหละ” อลินธิดาบอกพลางประคองมารดาให้นั่งลงบนเก้าอี้หัวโต๊ะอาหาร จากนั้นตนจึงถอยหลังมานั่งที่ประจำบ้าง
“เราน่ะเป็นผู้หญิงสองบุคลิกรู้ไหม?” อมราบอกพร้อมลงมือรับประทานอาหารที่ยังร้อนๆตรงหน้า
อลินธิดาเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ขยับตัวเข้าไปใกล้ๆกระพริบตาถี่ๆถามด้วยความอยากรู้ “เป็นยังไงคะ สองบุคลิกที่ว่า”
“ก็อยู่กับคนในครอบครัวลูกจะขี้อ้อน ไม่ยอมโต ตอนเด็กเอาแต่ใจตัวเองเพราะรู้ว่าทุกคนรัก พอไม่ได้ดั่งใจเข้าหน่อยก็เลยต้องใช้ลูกอ้อนจนได้ทุกอย่างสมใจ ทีนี้พอต้องเข้าไปอยู่ในสังคมกับเพื่อนร่วมงาน คนหมู่มากลูกเลยดูเข้าถึงยาก ดูหยิ่ง เป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจในตัวเองแต่ความจริงแล้วในใจลูกอ่อนไหว ไม่ชอบระรานใครแต่ต้องทำท่าว่าแข็งแรงเพื่อสร้างกำแพงขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเอง”
อมราอธิบายอุปนิสัยส่วนตัวของลูกสาวเพียงคนเดียวของตนออกมาได้อย่างเถรตรง บางคำพูดก็ทำให้ลูกสาวขบขันพลางส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วยกับนิสัยขี้อ้อนที่ดูเหมือนจะเอาแต่ใจเสียมากกว่า ด้วยความที่เป็นจุดศูนย์กลางของคนในบ้านมาตั้งแต่เล็กจนโต ถึงแม้ไม่ใช่ครอบครัวที่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีแต่ฝ่ายคุณปู่ของเธอก็เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงต่างๆทุกรุ่น ทุกสมัย พ่อของอลินธิดานั้นก็รั้งตำแหน่งอธิบดีกรมแห่งหนึ่งก่อนจะจากไปอย่างกะทันหันด้วยโรคเส้นเลือดในสมองแตก ซึ่งเกิดจากการเป็นโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคประจำตัวอยู่แล้ว แต่ด้วยภาวะเครียดที่เกิดจากการทำงานหนักทำให้ท่านหมดสติ ฟุบลงไปกับโต๊ะทำงาน และเสียชีวิตในเวลาต่อมาเพราะแพทย์ไม่สามารถผ่าตัดเอาเลือดที่คั่งในสมองออกมาได้ เนื่องจากบริเวณนั้นอยู่ใกล้กับแกนสมอง
ส่วนทางฝ่ายของอมรานั้นก็เป็นตระกูลที่รับราชการครูมาทุกรุ่น ตำแหน่งสุดท้ายที่อมราลาออกจากราชการก่อนวัยปลดเกษียณนั้นก็คืออาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง พื้นฐานครอบครัวของอลินธิดาจึงอยู่ในขั้นดี ไม่ขาดเหลือ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นที่รู้จักโด่งดังในแวดวงสังคมธุรกิจแต่ก็เป็นตระกูลเก่าแก่ที่รับราชการในระดับสูงสืบต่อกันมาตลอด มีบ้านที่ดินซึ่งนับว่ากว้างใหญ่หากเทียบกับปัจจุบันที่ผู้คนมักจะอาศัยอยู่ในโครงการบ้านจัดสรรอันคับแคบหรือห้องชุดไม่กี่ยูนิต
เรียกได้ว่าอลินธิดาเติบโตมาอย่างสมบูรณ์พูนสุข ได้รับการศึกษาในคอนแวนต์ที่มีชื่อเสียงมาช้านาน ส่วนมากเป็นลูกคนมีฐานะจึงจะมีโอกาสเข้าศึกษา ด้วยความที่เป็นผู้หญิงที่มีใบหน้างดงาม ปากนิดจมูกหน่อย ผิวพรรณขาวอมชมพู รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นจึงทำให้มีหนุ่มๆที่อยู่ในโรงเรียนชายล้วนละแวกเดียวกันมาส่งขนมจีบให้บ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งที่อมราเห็น ลูกสาวของตนจะวางเฉย ไม่รู้ไม่ชี้ เหมือนดอกฟ้าผู้เย่อหยิ่ง ซึ่งได้เห็นปฏิกิริยาเหล่านี้คนเป็นแม่ก็วางใจว่าลูกสาวของตนนั้นจะไม่เดินออกนอกกรอบ ไม่คิดแต่เรื่องรักใคร่ก่อนเวลาอันเหมาะสมจนเลยเถิดไปถึงชิงสุกก่อนห่าม จนกระทั่งเข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยก็ไม่เคยจะมีปัญหาเรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาวมาให้หนักอกหนักใจ แต่ก็รู้ดีว่าลูกสาวของตนนั้นคงต้องแอบรู้สึกพิเศษกับเพื่อนต่างเพศบ้าง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติและเห็นว่าไม่ได้มีท่าทีน่าเป็นห่วง จึงไม่เคยกีดกันหรือขัดขวางเลยสักครั้ง
อลินธิดายกนิ้วโป้งทั้งสองข้างให้ผู้เป็นแม่ “แม่อ่านน้ำผึ้งทะลุปรุโปร่งราวกับอ่านหนังสือ”
“ก็น้ำผึ้งเป็นลูกแม่ แม่รู้จักน้ำผึ้งดีกว่าใครทั้งหมด แค่อยากจะบอกว่ากำแพงที่ลูกสร้างขึ้นมานับวันมันจะหนาเกินไป คนที่เข้ามาหาลูกต้องมีทั้งดีและไม่ดี ถ้าลูกมัวแต่ปิดใจอยู่อย่างนี้แล้วจะพบความสุขในชีวิตได้ยังไงกัน” อมราพูดต่อ เมื่อเห็นลูกสาวรับฟังพร้อมทั้งรับประทานอาหารต่อไปเงียบๆ “คนเรามันต้องรู้จะผ่อนสั้นผ่อนยาว อีกอย่างนะ ถ้ามัวแต่กลัวว่าจะเสียแม่ไปอีกคน วันๆหนึ่งโทรเช็กอยู่สองสามครั้งก็ไม่เป็นอันต้องทำงานกันพอดี บางทีน้ำผึ้งต้องตัดกังวลใจออกบ้างนะลูก...”
อลินธิดายิ้มแหยๆ ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธอย่างไรเมื่อท่านรู้ว่าตนนั้นโทรศัพท์กลับบ้านเพื่อไถ่ถามถึงกิจวัตรประจำวัน อาการที่อาจจะเกิดจากโรคประจำตัวอยู่ทุกวันและวันละหลายครั้ง “ก็น้ำผึ้งเป็นห่วงแม่นี่คะ ความรู้สึกนี่มันห้ามกันไม่ได้ด้วยนะคะ”
“ไม่ได้ห้าม แต่อยากให้รู้จักทำใจ ปล่อยวางบ้าง ชีวิตคนเรามันไม่แน่ไม่นอน ต่อให้น้ำผึ้งดูแลแม่ไม่คลาดสายตาแต่ถ้าถึงคราว อะไรก็รั้งไว้ไม่ได้หรอกลูก... น้ำผึ้งต้องรู้จักทำใจบ้าง” อมราวางแก้วน้ำสะอาดลง ดื่มไปค่อนแก้วหลังอาหารเย็นจบลง
“ไม่เอาๆ ไม่อยากฟัง แม่อย่าพูดเรื่องเป็นเรื่องตายตอนนี้ น้ำผึ้งไม่รับรู้อะไรทั้งนั้น ยังไงเสียน้ำผึ้งก็จะดูแลแม่ไปอย่างนี้ เราเสียพ่อไปนั่นก็เจ็บปวดมากแล้ว แม่อยากให้น้ำผึ้งต้องเจ็บปวดซ้ำๆอีกเหรอคะ ไม่เอาๆ แม่ต้องอยู่กับน้ำผึ้งไปนานๆ” อลินธิดามักหลีกเลี่ยงทุกครั้งที่แม่ของตนมักยกเอาสัจธรรมในชีวิตขึ้นมา ใช่ว่าจะไม่รู้ว่าไม่มีใครหนีพ้นวัฏจักรเกิด แก่ เจ็บ ตายนี้ แต่ก็ยังไม่พร้อมที่จะแบกรับความรู้สึกสูญเสียนั้นอีก “เราไปนั่งดูทีวีทานผลไม้ดีกว่านะคะ จากนั้นค่อยเดินย่อยอาหาร”
อมราส่ายหน้าแต่ก็ยอมลุกขึ้น ทำตามความต้องการของลูกสาว พลางคิดในใจว่า... สักวันคงจะมีผู้ชายที่พร้อมด้วยความรัก จริงใจ เดินเข้ามาในชีวิตของลูกสาวตน แม่คนนี้ไม่ได้กลัวว่าลูกสาวจะทำงานหาเลี้ยงชีพไม่ได้ แต่กลัวเหลือเกินว่าเมื่อวันที่ต้องใช้ชีวิตโดยปราศจากพ่อและแม่แล้ว ลูกสาวของตนจะไร้สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ การสร้างครอบครัวจะทำให้ลูกสาวผู้มีบุคลิกแข็งนอก อ่อนในของเธอได้มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างเข้มแข็ง และหวังว่าผู้ชายคนนั้นจะเดินเข้ามาในชีวิตของลูกสาวตนเร็ววันนี้
คำยืนยันของเจ้าของนิยาย
✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน
คำวิจารณ์
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
โหวต
* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้
แบบสำรวจ