หฤทัยเสน่หา

9.8

เขียนโดย เอเจลิส

วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.42 น.

  8 ตอน
  12 วิจารณ์
  9,753 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) คำอธิษฐานของรัตมณี อังเคย์เคล!

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่2 คำอธิษฐานของรัตมณี อังเคย์เคล!

 

                “จริงสิ!..เมื่อกี้ตอนลงไปเดินเล่นที่สวนด้านหลังของโรงแรมนี้ ฉันบังเอิญไปได้ยินเรื่องเด็ดๆมาด้วยล่ะ..” ประโยคคำพูดของเรเชลที่ดังแทรกขึ้นมากลางวงสนทนา ทำให้บรรดาเพื่อนๆที่กำลังนั่งเอกเขนกอยู่บนเก้าอี้โซฟา คุยเรื่องจิปาถะกันอยู่นั้น ต่างพากันหันไปมองยังเรเชลที่ก้าวเดินออกมาจากห้องน้ำด้วยความสนใจ และหญิงสาวชาวไทยลูกเสี้ยวจีนเยอรมันที่นั่งอยู่ในกลุ่ม ก็เป็นคนแรกที่เอ่ยคำถามขึ้นมา..

                “เรื่องเด็ดอะไรหรือค่ะ? เรเชล..” คำถามจากเพื่อนสาวผู้มีนิสัยเรียบร้อยที่สุด ในกลุ่มเพื่อนสมัยเรียนไฮสคูล ทำให้เรเชลถึงกับแสยะยิ้มร้ายๆอย่างนึกสมใจขึ้นมาทันที ซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าเจ้าตัวได้เล็งเป้ามายังเพื่อนรักคนนี้ ตั้งแต่ที่ได้ฟังเรื่องที่ว่ามาแล้วนั่นเอง!

               ..เรเชลเหลือบสายตามองเพื่อนรัก อยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะยกแก้วน้ำส้มขึ้นมาถือไว้ในมือของตน พร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงข้างๆชายหนุ่มผู้เป็นคู่หมั้นของตน ในขณะที่ริมฝีปากบางสวยได้รูปก็เริ่มขยับเอื้อนเอ่ยคำพูดขึ้นมา ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ที่แฝงแววขบขันอยู่เป็นนัยๆ..

                “หืมม์..เรื่องอะไรนะหรือ? ก็นะ.. เป็นเรื่องที่ฉันไม่คิดว่าเธอจะอยากรู้สักเท่าไหร่นะสิจ๊ะ มิสเบลา ลิลลี่ เทพสุวรรณ..

               คำพูดที่แฝงไปด้วยท่าทีเย้าแหย่ของเรเชล ทำให้คนที่โดนเรียกชื่อแบบเต็มยศอย่างลิลลี่ ถึงกับเผลอขมวดคิ้วเข้าหากันเล็กน้อย อย่างนึกสงสัยกึ่งๆระแวงคนเป็นเพื่อนรัก แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ เอ่ยพูดลองเชิงเพื่อนรัก..

               “ถ้าเรื่องเด็ดที่ว่าของเธอ หมายถึงเรื่องชาวบ้านยกพวกตีกัน ที่เธอแสนจะชอบล่ะก็.. ขอบอกเอาไว้ตรงนี้เลยนะค่ะว่า ฉันชินเสียแล้ว!” ลิลลี่เอ่ยพูดพร้อมกับเหล่หางตาไปมองทางคู่หมั้นของตนที่นั่งอยู่ข้างๆ ซึ่งแอบหัวเราะออกมาเบาๆ ทันทีที่เธอพูดถึงเรื่องชาวบ้านยกพวกตีกัน!

               “แหมๆนั่นสินะ!..ก็คุณหยางฟง คู่หมั้นของเธอเป็นถึงประธานซีเคียวริตี้กรุ๊ป ที่วันๆต้องเจอแต่พวกบ้าที่ขยันยกพวกมาตีกันนี่น่า! เธอไม่ชินมันก็แปลกเกินไปแล้วล่ะนะ.. แต่ว่าน่าเสียดายนะจ๊ะ คุณหนูลิลลี่.. เพราะเรื่องเด็ดของฉันที่ว่า! มันไม่ใช่เรื่องบู๊ล้างผลาญอย่างที่เธอคิดหรอก แต่เป็นเรื่อง ผอ..สระอี ผีต่างหากล่ะจ๊ะ!

                “จะ..จะหลอกให้ฉันกลัวหรือไง? ฉะ..ฉันไม่ได้กลัวผี เหมือนกับตอนสมัยเรียนไฮสคูลแล้วนะขอบอก!”

                “หือ..ไม่กลัว!? แล้วทำไมจะต้องเสียงสั่นด้วยล่ะจ๊ะ? หนูน้อยลิลลี่..”

                “เปล่านะค่ะ! ฉันไม่ได้เสียงสั่น..”

                “ฮ่าๆ ถึงเธอจะพูดแบบนั้น แต่เล่นไปนั่งเบียนคุณหยางฟง จนแทบจะกลายเป็นก้อนเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว ฉันคงจะเชื่ออยู่หรอกนะจ๊ะ คุณเพื่อน..” เรเชลเอ่ยพูดแล้วก็หัวเราะร่วนออกมา แล้วยิ่งพอเห็นแก้มขาวๆของเพื่อนสาวเปลี่ยนเป็นสีแดง ทั้งเรเชลและเหล่าผ่องเพื่อนสนิทยิ่งพากันหัวเราะเสียงดังลั่นห้อง และนั่นส่งผลให้ใครบางคนที่นอนอยู่บนเตียง ถัดไปจากมุมโซฟารับแขก ที่ทุกคนกำลังส่งเสียงเฮฮากันอยู่ เริ่มจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ทว่าเหล่ากลุ่มคนที่กำลังสนทนากันอย่างออกรสนั้น ก็ดูเหมือนจะยังไม่รู้สึกตัวว่าคนที่นอนหลับเป็นตาย เวลานี้ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแล้ว..

                “.......”

                “นี่ๆเรเชล ไอ้เรื่องผีที่เธอว่ามา.. หมายถึงเรื่องของเจ้าแม่วารีหรือเปล่า..?”

                “อือ..ใช่! เธอเองก็รู้ด้วยเหรอ? น้ำฝน..”

                “ก็นะ.. ตอนที่มาดูสถานที่จัดงาน เพราะฉันถูกใจเรื่องนี้นั่นแหละ ถึงได้เลือกที่นี้..”

                คำพูดราบเรียบของเพื่อนสาว ผู้เป็นเจ้าสาวหมาดๆในคืนนี้ ทำให้เรเชลถึงกับทำสีหน้าแหยแก ขึ้นมาทันควัน ก่อนที่จะเอ่ยพูดขึ้นมา.. “เธอนี่มันบ้าดีเดือด ไม่เปลี่ยนไปจากสมัยเรียนเลยนะย่ะ! ยัยน้ำฝน.. ดันเลือกสถานที่จัดงานแต่งงานของตัวเอง ในสถานที่สยองขวัญซะได้!”

                “เอ๋..สยองขวัญเหรอ? ไม่มั่ง!.. ก็ตามตำนานของเจ้าแม่วารี ที่ฉันได้ยินมา.. เห็นเขาเล่ากันว่า เจ้าแม่วารีเดิมที ท่านก็คือ.. ท่านหญิงศิชล ธิดาคนเล็กของเจ้าเมืองบาหลี ที่มาหลงรักชายหนุ่มคนหนึ่ง ในหมู่บ้านแห่งนี้ แต่ท่านถูกพระบิดาของท่าน และคนรอบข้างขัดขวาง ท่านหญิงจึงหนีมาจัดพิธีแต่งงานกับชายหนุ่มคนรักที่นี้..”

                “ว๊าว..โรแมนติกจังเลย!เป็นความรักต้องห้ามสินะค่ะ..”

                “ไอ้ที่ว่าโรแมนติก มันก็โรแมนติกอยู่หรอกนะ.. แต่ถ้าเธอฟังต่ออีกสักนิด เธออาจจะไม่คิดแบบนั้น ก็ได้นะจ๊ะหนูน้อยลิลลี่..”

                “มะ..หมายความว่าอย่างไงค่ะ?”

                “เรื่องโรแมนติกของท่านหญิงนะ สุดท้ายแล้วก็กลายเป็นเรื่องโศกฆนาฏกรรมอย่างไงล่ะ..!”

                “เอ๋!?”

                “ชาวบ้านเขาเล่าว่า.. ในระหว่างที่ทำพิธีสาบานรักที่บริเวณริมหน้าผา ซึ่งเป็นสถานที่ประกอบพิธีแต่งงานในหมู่บ้านแห่งนี้ พระบิดาของท่านหญิง พร้อมกับคนติดตามได้เข้ามาขัดขวางการทำพิธี และเกิดเหตุทะเลาะวิวาทขึ้นมา จนทำให้ท่านหญิงเกิดลื่นไถลตกจากหน้าผา แต่ท่านได้ชายคนรักฉุดรั้งร่างเอาไว้ทัน ทว่านั่นกลับทำให้ชายคนรักของท่านหญิง เสียหลักตกจากหน้าผาไปแทน ท่านหญิงที่เห็นร่างของชายคนรัก ตกหน้าผาแบบต่อหน้าต่อตา ตัดสินใจกระโดดหน้าผาตามชายคนรักของท่านไป หลังจากนั้นไม่ว่าคู่แต่งงานคู่ไหนที่มาทำพิธีแต่งงานที่นี้ ก็จะต้องพากันตายที่นี้ทุกคน และทุกๆคืนจันทร์เต็มดวง มักจะมีคนเห็นท่านหญิงมาปรากฏตัวอยู่ที่..”

                “อ๊าย!!! ไม่เอาแล้วน้ำฝน! อย่าเล่าต่ออีกนะค่ะ.. ฉันกลัว!”

                “ฮ่าๆ ยัยลิลลี่ขี้กลัวตามเคย”

                “ที่จริงมันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอกนะครับ คุณลิลลี่..”

                “คุณสตีเฟ่น..”

                “ใช่แล้วล่ะ! ลิลลี่.. เพราะตามตำนานมันยังมีต่ออีกนะ..”

                “เอ๋..?”

                “หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นั้น พวกชาวบ้านพากันหลีกหนีออกห่างจากบริเวณนี้ แต่หลายสิบปีต่อมา.. ก็มีคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งมาซื้อที่ดินแห่งนี้เอาไว้ และสร้างโรงแรมแห่งนี้ พร้อมกับตั้งศาลบูชาที่ริมผา ซึ่งอยู่ติดกับสวนด้านหลังโรงแรม ให้กับท่านหญิง เพื่อคุ้มครองคู่บ่าวสาวที่มาจัดงานแต่งงานที่นี้ แล้วก็นะยังมีเรื่องเล่าอีกว่า.. คู่แต่งงานคู่ใดที่มาจัดพิธีแต่งงานที่นี้ด้วยความรัก ทั้งคู่จะรัก และอยู่ด้วยกันจนตราบสิ้นลมหายใจ เหมือนกับคู่ของสามีภรรยา เจ้าของโรงแรมแห่งนี้ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ฉันเลือกที่นี้เป็นสถานที่จัดงานอย่างไงล่ะ..”

                “เป็นเรื่องที่ดีจังนะค่ะ รู้แบบนี้แล้ว.. ฉันเองก็ชักอยากจะจัดงานแต่งที่นี้บ้างแล้วสิค่ะ น้ำฝน..”

                “เฮๆน้ำฝน.. เธอน่าจะบอกลิลลี่ด้วยนะว่า คู่ที่มาจัดงานแต่งที่นี้ด้วยความรู้สึกอย่างอื่น นอกเหนือจากความรัก จะต้องพบกับชะตากรรมแบบไหน..?”

                “เอ๊ะ?”

                “หึ!..คู่ใดที่กล้ามาจัดงานที่นี้ โดยไม่มีความรัก ถือว่าเป็นการหลบหลู่เจ้าแม่วารี จะต้องพบกับความตายอย่างน่าสยดสยอง ไม่ใช่แค่คู่บ่าวสาวเท่านั้นนะ แต่รวมไปถึงญาติๆของคู่บ่าวสาวด้วย ที่ต้องตายด้วยสภาพอนาถ!”

                “กรี๊ดดดด!!! ไม่เอาแล้ว..ไม่ฟังแล้ว!..เรเชล บ้าๆๆ”

                “ฮ่าๆ..”

                “ที่รัก.. คุณนี่ก็แสบจริงๆเลยนะ! คุณลิลลี่ครับ.. มันไม่ได้มีแต่เรื่องน่ากลัวแบบนั้นหรอกนะครับ เจ้าแม่วารีของที่นี้ยังขึ้นชื่อเรื่องผูกดวงชะตาให้กับหญิงสาวอีกด้วยครับ สาวโสดคนไหนที่ไปขอคู่รักจากท่าน ได้ยินมาว่าไม่เกินหนึ่งเดือน.. สาวโสดคนนั้นก็จะได้พบกับคู่รักทันทีเลยนะครับ”

                “จริงเหรอ..?”

                “เอ๋!?”

                เสียงคำถามที่ดังขึ้นมา ซึ่งไม่ได้มาจากลิลลี่ที่กำลังนั่งซุกกายแนบติดอยู่กับหยางฟง ด้วยความกลัวนั้น ทำให้สตีเฟ่นต้องหันขวับไปมองทางต้นเสียงทันที และก็ได้เห็นเพื่อนสาวที่หมดสภาพเพราะฤทธิ์ไวน์ ซึ่งตนอุ้มพามานอนบนเตียง เมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ กำลังใช้มือข้างหนึ่งเท้าคางของตัวเอง ในขณะนั่งไขว้ขาห้อยลงจากเตียง ทอดสายตามองมายังเขาและเหล่าผ่องเพื่อน ด้วยท่าทีที่ไม่เหมือนกับคนที่เพิ่งฟื้นจากฤทธิ์เหล้าเลยแต่อย่างใด..

                รันรัน.. ฟื้นแล้วหรือ!?” สตีเฟ่นเอ่ยถามพร้อมทั้งลุกขึ้นจากเก้าอี้โซฟา เดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวผู้เป็นเพื่อนสนิทของตน ในขณะคนอื่นๆก็ลุกเดินตามเข้ามาล้อมรอบหญิงสาวด้วยเช่นกัน..

                “ฟื้น..? พูดอะไรนะสตีเฟ่น.. ฉันก็แค่หลับไปเท่านั้นเอง ก็ต้องถามว่าตื่นแล้วหรือต่างหาก! ภาษาไทยของนายมันไม่ได้ดีขึ้นเลยนะเนี่ย..”

                “นี่เธอจำไม่ได้หรือ? หมูน้อย.. ว่าเธอดื่มไวน์ดีกรีแรงเข้าไปจนเมามาก ฉันยังนึกกลัวอยู่เลยว่าเธอจะแอลกอฮอร์เป็นพิษในกระแสเลือดหรือเปล่า? นี่ก็กำลังคิดอยู่ว่า จะส่งเธอไปโรงพยาบาลดีหรือเปล่าอยู่เลยนะ..”

                “เมา..? ฉันเนี่ยนะ!?” รัตมณีทวนคำพูดของน้ำฝน ผู้เป็นเพื่อนรักของตน ด้วยความงุนงงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเข้าใจอะไรในบางอย่างขึ้นมา พร้อมกับเหล่ตามองไปยังชายหนุ่มเจ้าของนาม คริสเตียน ผู้ซึ่งเป็นเจ้าบ่าวของเพื่อนรัก แล้วเอ่ยพูดขึ้นมา..

               “คริสเตียน.. นี่คุณจะไม่บอกน้ำฝนหน่อยหรือค่ะ? ว่าจริงๆแล้ว.. ฉันดื่มเก่งจนแม้แต่คุณที่ได้ชื่อว่าคอเหล็ก ยังต้องยอมแพ้ฉันเลย!” คำพูดราบเรียบของรัตมณี ทำให้เหล่าผ่องเพื่อนพากันหันขวับไปมองหน้าคริสเตียน ที่กำลังยืนอมยิ้มน้อยๆ

                “ผมเองก็ไม่ได้พูดสักคำนะครับว่าคุณรันเธอเมาไวน์..”

                “คริสเตียน!!” น้ำฝนแหวเสียงสูงใส่เจ้าบ่าวหมาดๆของตนเอง พร้อมกับทุบอกแกร่งของอีกฝ่าย ที่กำลังหัวเราะร่วนออกมาอย่างชอบใจ ด้วยความโมโหแกมหมั่นไส้เจ้าบ่าวตัวแสบของตน

                “ถึงว่าสิ.. ขนาดแอบนินทาก็ยังได้ยิน! จะว่าไปคนที่กินเหล้าฟรี แทนอาหารมื้อกลางวันที่ไม่มีปัญญาซื้อ ตอนสมัยมหาวิทยาลัยอย่างคุณ ก็ไม่น่าจะมาเมาไวน์แค่นี้อยู่แล้วล่ะนะ..”

                “แห๋งล่ะ!..ฉันไม่ได้ติดเหล้า แต่ก็ไม่มีทางเมาไอ้น้ำหวานๆที่แอบขมพวกนี้หรอก.. แต่เพราะไม่ได้นอนติดๆมาหลายคืน แล้วยังดันไปกินไวน์อีก ก็เลยรู้สึกเบลอๆง่วงนอนขึ้นมา ก็เท่านั้นเอง!”

                “แปลว่าเรื่องที่เธอขึ้นไปประกาศบนเวที รวมทั้งจับไอ้หนุ่มตี๋ฮ่องกงคนนั้นทุ่มกับโต๊ะอาหาร จนทำให้งานแต่งของยัยฝนกับคุณคริสเตียน วุ่นวายไปทั้งงาน เธอก็รู้เรื่องหมดทุกอย่างนะสิ..?”

                “ใช่..” คำตอบที่มาพร้อมการพยักหน้า เป็นการสำทับยืนยันคำตอบจากรัตมณี ทำให้เหล่าผ่องเพื่อนมองหน้ากันอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะพากันสะดุ้งไปตามๆกัน เมื่อเรเชลที่ยืนอยู่ดันแผดเสียงขึ้นมาดังลั่น..

                “ยัยรัน..!!!!!

                “ที่รักใจเย็นๆนะ รันรันเขาแค่..” สตีเฟ่นรีบเข้ามาขวางคู่หมั้นของตนเอาไว้ เพราะคิดว่าคนเป็นคู่หมั้นของตน กำลังโกรธเคืองเพื่อนรักอย่างมาก แต่ว่าทั้งสตีเฟ่น คริสเตียน และหยางฟงที่ยืนอยู่ต่างก็พากันอ้าปากเหวอ เป็นใบ้ไปชั่วขณะหนึ่ง ต่างจากน้ำฝน และลิลลี่ ทั้งคู่พากันยิ้มกริ่มออกมา เมื่อเห็นเรเชลที่ทำท่าเหมือนจะโกรธจัด กลับกระโดดเข้ากอดร่างอวบๆของรัตมณีด้วยท่าทีดีใจอย่างล้นพ้น..

                “เธอนี่มันเจ๋งสุดขั้วไปเลย! สมกับที่เป็นนางสาวรัตมณี อังเคย์เคล ผู้ไม่เคยเกรงกลัวใครหน้าไหน! อ๊าย!! นี่แหละเพื่อนฉัน!..”

                ..อ่อ สรุปว่าที่คนเป็นคู่หมั้นของเขา โกรธจนหัวฟัดหัวเหวี่ยงเมื่อหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เป็นเพราะคิดว่าคนเป็นเพื่อนรักทำลงไปเพราะเมาไวน์สินะ?.. สตีเฟ่นครุ่นคิดภายในใจอย่างนึกขำ ก่อนจะแอบสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อโดนคนเป็นเพื่อนรัก ที่กำลังอยู่ในวงแขนคู่หมั้นของเขาเรียกขึ้นมา..

                 “สตีเฟ่น..”

                 “อะไรเหรอ? รันรัน..”

                “เรื่องที่นายพูดเมื่อกี้จริงหรือเปล่า?”

                “เรื่อง..?” สตีเฟ่นทวนคำพูดเล็กน้อย พลางนึกทวนความจำของตัวเองอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะเอ่ยพูดออกมา “อ่อ..หมายถึงเรื่องเจ้าแม่วารีนะเหรอ?”

                “ใช่..”

                “ก็ไม่รู้หรอกว่าจริงหรือเปล่า? เพราะเป็นเรื่องที่คนเล่าต่อต่อกันมา..”

                “ไม่ลองดูล่ะ..?” คำพูดของเรเชล ทำให้ทุกคนต่างพร้อมใจกันหันขวับมามองหน้าคนพูดแทบจะทันที ราวกับจะขอคำอธิบายเพิ่มจากอีกฝ่าย และเรเชลก็ไม่ปล่อยให้เพื่อนๆต้องรอนาน เมื่อเจ้าตัวเอ่ยพูดเข้าประเด็นที่ตนเอ่ยพูดค้างเอาไว้ต่อทันที “แหม..ก็ยัยรันโสดสนิท ไม่มีแฟน เป็นผู้หญิงชัวร์ร้อยเปอร์เซ็น คุณสมบัติเพียบพร้อม ก็น่าจะลองขอคู่รักจากเจ้าแม่วารีดูไม่ใช่หรือ? แล้วถ้าภายในหนึ่งเดือนยัยรันมีแฟนขึ้นมา.. ก็แปลว่าเจ้าแม่วารีเป็นเรื่องจริงอย่างไงล่ะ!”

                “นั่นก็ไปกันเลย..”

                 “เอ๋..ตอนนี้เนี่ยนะ?!” ลิลลี่ซึ่งยืนนิ่งเงียบ รีบเอ่ยถามขึ้นมาทันควัน พร้อมทั้งชี้นิ้วไปยังบานหน้าต่างกระจกใส ซึ่งด้านนอกหน้าต่าง ฉายภาพวิวทิวทัศน์ของพระจันทร์เต็มดวง ที่กำลังส่องแสงสว่างอยู่บนฟากฟ้าที่มืดสนิท

                “เอาน่า..ตื่นเต้นดีออกไม่ใช่หรือ? อีกอย่างบริเวณที่ตั้งศาลบูชาของเจ้าแม่วารี วิวก็สวยมากๆเลยนะ เธอไม่อยากเห็นหรือไง? ลิลลี่..”

                “ไม่!”

                ..เรเชลมองเพื่อนรักที่เอ่ยพูดปฏิเสธอย่างหนักแน่น แล้วก็แอบรู้สึกหงุดหงิด แกมๆนึกขันในความกลัวผีของอีกฝ่าย ก่อนที่จะแสยะยิ้มร้ายๆออกมา เมื่อนึกแผนการณ์อะไรดีๆขึ้นมาได้ และเร็วเท่าความคิด ร่างสูงของเรเชลก็กระโดดไปยืนข้างกายชายหนุ่มคนรักของเพื่อน พร้อมทั้งออกแรงกระแทกร่างผอมบางของเพื่อนรักเสียกระเด็น ก่อนที่จะดึงร่างสูงของชายหนุ่มเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนของตัวเอง และแกล้งมองสบตาชายหนุ่มด้วยสายตาหวานเชื่อม..

                “แหมๆ..น่าเสียดายจังนะค่ะคุณหยางฟง ลิลลี่เขาปฏิเสธสักขนาดนั้น ก็อย่าไปฝืนใจเขาเลยค่ะ ปล่อยให้เขานอนอยู่ในห้องคนเดียว ให้ผีมันเข้ามาหลอกมาหลอนสักให้เข็ด! ส่วนเราทั้งคู่ไปสนุกแบบลุ้นระทึกกันดีกว่า รับรองว่าเป็นความสนุกที่คุณไม่เคยพบจากที่ไหนมาก่อน..”

                “........”

                “เดี๋ยวสิ! เรเชลคิดจะทำอะไรนะค่ะ..”

                “แหม..เธอก็น่าจะรู้นี่จ๊ะลิลลี่ ฉายาแม่เสือสาวของฉัน ไม่ใช่สิ่งที่ซื้อมาด้วยเงิน แต่ได้มันมาเพราะ คนที่ฉันหมายตาเอาไว้ไม่เคยรอดสักรายต่างหาก!”

                “แต่คุณหยางฟงเป็นคู่..”

                “แถมคุณหยางฟงก็หล่อ และเป็นสุภาพบุรุษสักขนาดนี้ ฉันก็..”

                 “ได้ๆ..ฉันไปก็ได้! แค่นี้พอใจหรือยัง?”

               คำพูดเสียงกร้าวจากลิลลี่ หญิงสาวผู้เรียบร้อยที่สุดในกลุ่ม ทำให้เรเชลถึงกับนิ่งอึ้งไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกดังลั่น ในขณะที่คลายวงแขนจากร่างของหยางฟง พร้อมทั้งยกมือขึ้นตบที่ไหล่ของชายหนุ่มเบาๆ ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงขบขัน..  

               “หึหึๆ ลูกแมวกลายเป็นลูกเสือก็ยังน่ารักอยู่ใช่ไหมล่ะค่ะ? คุณหยางฟง.. ฮ่าๆ โทษทีนะลิลลี่ แต่ว่าสเป็คของฉันนะ.. มันต้องเป็นพ่อเสือร้ายอย่างหมอนี้ต่างหาก!” เรเชลเอ่ยพูดยิ้มๆ พร้อมทั้งเดินไปสวมกอดคู่หมั้นของตน ก่อนที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง เมื่อเห็นท่าทีอ้าปากเหวอของคนเป็นเพื่อนรัก และหลังจากที่ได้รับความยินยอมพร้อมใจ แบบมัดมือชกจากลิลลี่ ทุกคนจึงได้พากันเดินลงไปที่สวนด้านหลังของโรงแรม..

 

                “นั่นไง! ศาลเจ้าแม่วารี..” เรเชลเอ่ยพูดพร้อมทั้งชี้นิ้วไปที่ศาลไม้ทรงไทยเก่าๆ ที่ตั้งอยู่ใกล้กับริมผาทะเล ในขณะที่เดินนำหน้าเพื่อนๆไปยังศาลที่ตั้งอยู่..

                “ดูเก่าจังเลยนะครับ คุณเรเชล..” หยางฟงซึ่งเดินตามหลังเรเชล โดยมีลิลลี่คนรักของตนเกาะติดเป็นปลิง เอ่ยพูดขึ้นมา ในขณะที่ทอดสายตามองไปรอบๆศาลดังกล่าว อย่างพินิจพิจารณา แต่ว่าไม่ทันที่เรเชลจะเอ่ยพูดอะไรออกมา รัตมณีที่เดินอยู่หลังสุด ก็เดินมาคุกเข่าอยู่ตรงหน้าศาล พร้อมทั้งพนมมือเอ่ยพูดอธิษฐานขึ้นมาทันที..

                “เจ้าแม่วารีค่ะ.. ถ้าท่านมีอยู่จริงล่ะก็ ฉันไม่ขออะไรมาก ขอแค่มีคนรักที่หล่อเหมือนกับคริสเตียน นิสัยดีเหมือนกับคุณหยางฟง แข็งแรงเหมือนกับไอ้บ้าสตีเฟ่น..”

                “เฮ้ยๆ ขอมากแบบนั้น.. เดี๋ยวเจ้าแม่ก็จดไม่ทันหรอกยัยรัน..ฮ่าๆ” เรเชลเอ่ยพูดแซวเพื่อนรักอย่างนึกสนุก ก่อนที่จะหลุดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น เมื่อได้ยินคำอธิษฐานต่อมาของเพื่อนรัก..

                “และก็ขออย่าให้คนรักของฉัน มีนิสัยกวนประสาท เหมือนกับยัยเรเชลเลยนะค่ะ! อ่อ.. แต่ถ้าใจกล้าบ้าเหมือนกันกับเธอ ก็ได้นะค่ะ..”

                ..เปรี๊ยะ!..

                “หือ..เสียงอะไร?”

                โครม!!!!!

                ..คำถามของน้ำฝน ยังไม่จะได้รับคำตอบจากใคร ศาลเจ้าแม่วารีที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้าของทุกคน ก็พังทลายลงมาต่อหน้าต่อตา แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย เล่นเอาคนที่กำลังนั่งพนมมือวิงวอนขอคนรัก ถึงกับอ้าปากค้าง!..

                “เออ..ศะ..ศาลพังเลย! ยะ..อย่าคิดมากไปเลยนะยัยรัน ไม่ใช่เพราะคำขอของเธอหรอก แต่เพราะศาลเจ้าแม่วารีคงจะเก่าแล้วล่ะ..ฮ่าๆ อุ๊บ!..ฉะ..ฉันทนไม่ไหวแล้ว..ฮ่าๆๆ” จบประโยคคำพูดที่เหมือนจะปลอบใจ เรเชลก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นอย่างไม่เกรงใจ ในขณะเพื่อนคนอื่นๆเอง ซึ่งพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ตั้งแต่ต้น แต่ก็ดูจะทนต่อไปไม่ไหวเช่นเดียวกัน จึงพากันปล่อยเสียงหัวเราะออกมา..

               ..ฝ่ายรัตมณี ที่กลายเป็นตัวตลกเรียกเสียงฮาของเพื่อนๆ ได้แต่กัดฟันกรอดมองกลุ่มเพื่อนตัวดี ที่หัวเราะออกมาอย่างไม่เกรงใจเธอเลยสักนิด ก่อนจะลุกเดินเข้าไปใกล้ศาลบูชาของเจ้าแม่วารี ที่พังทลายลงมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย พร้อมกับยื่นมือไปหยิบไม้กระดานที่เป็นพื้นรองชั้นศาลบูชา ขึ้นมาประกอบกับโครงร่างของศาลบูชา แต่เพราะศาลบูชาดังกล่าวทรุดโทรมมากแล้ว รัตมณีจึงทำได้เพียงแค่ตั้งวางถังธูป และแจกันดอกไม้ ไว้บนพื้นไม้กระดานที่วางราบกับพื้นดินเท่านั้น ก่อนจะยกมือพนมไหว้หนึ่งครั้ง เป็นการทำความเคารพ แต่แล้วในจังหวะที่กำลังจะลุกเดินออกไป สายตาคมกริบของรัตมณี ก็ดันเหลือบไปเห็นลูกฟุตบอลลูกหนึ่ง ตั้งวางอยู่บนพื้นดินห่างจากศาลบูชาของเจ้าแม่วารีไม่มากนัก และนั่นก็ทำให้รัตมณีนึกรู้ขึ้นมาทันทีว่า.. ก่อนหน้าที่เธอกับพวกเพื่อนๆจะมาถึงที่นี้ คงจะมีเด็กซนที่ไหน บังเอิญเตะลูกบอลไปโดนศาลบูชาแห่งนี้ และศาลบูชามันก็ดันมาพังตอนที่เธอมาขอพรพอดีนั่นเอง!

               ..ให้ตายเถอะ! อยากฆ่าเด็กเวรนั้นชะมัด แต่ก่อนจะฆ่าเด็กเวรนั้น ขอฆ่าไอ้เพื่อนบ้าพวกนี้ก่อนแล้วกัน!!..

               รัตมณีครุ่นคิดภายในใจอย่างนึกเคือง ก่อนจะเดินไปเก็บลูกฟุตบอลดังกล่าวขึ้นมา แล้วโยนเล่นสลับไปมาในมือของตัวเองอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะเขวี้ยงลูกฟุตบอลดังกล่าวสุดแรงแขน พุ่งตรงใส่สตีเฟ่นที่กำลังหัวเราะเสียงดังกว่าใครเพื่อน เพื่อเป็นการล้างแค้น และหลังจากที่ล้างแค้นเพื่อนตัวดีได้แล้ว รัตมณีก็แกล้งเชิดสะบัดหน้าใส่เหล่าผ่องเพื่อนด้วยท่าทีงอนๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในโรงแรม โดยที่ไม่ยอมเหลียวหลังหันมาสนใจ คนที่โดนตนเองอัดบอลใส่หน้าเต็มแรง จนลงไปนอนหงายหลังอยู่บนพื้นดิน..

               “เฮ้ย! จะไปไหนนะ? รัน.. ตายล่ะ! ยัยรันคงงอนจริงๆแล้วล่ะมั่งเนี่ย? ขืนเป็นแบบนี้.. มีหวังยัยนั้นไม่คุยกับพวกเราเป็นอาทิตย์แน่ๆเลย..” เรเชลเอ่ยพูดออกมาเหมือนกับว่ากำลังวิตกกังวล แต่ไม่วายเจ้าตัวก็ยังหลุดเสียงหัวเราะขบขันออกมาอยู่ดี ทำให้น้ำฝนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อดที่จะฟาดฝ่ามือลงบนไหล่บอบบางของเพื่อนสาว เป็นการทำโทษเสียไม่ได้..

               “ยังจะมาพูดดีอีกนะ! เธอจะแกล้งหมูน้อยไปถึงไหนกัน? เรเชล..” คำพูดของน้ำฝน ทำให้เรเชลถึงกับหยุดหัวเราะได้อย่างฉับพลัน พร้อมกับสีหน้าขบขันเมื่อสักครู่นี้ก็แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจังขึ้นมา..

               “โทษทีนะ!น้ำฝน.. แต่ถ้าต้องทนเห็นสีหน้าเศร้าๆของยัยรัน ฉันขอเลือกที่จะทำให้ยัยรัน ทำสีหน้าโกรธเคืองใส่ฉันมากกว่า..”

               “.......”

               “เธอเองก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ? ระหว่างสีหน้าโกรธเคือง กับสีหน้าเศร้าสร้อย เธอเองก็คงอยากจะเห็นสีหน้าโกรธเคืองของยัยนั้นมากกว่า!”

               “.......”

               “แต่ก็มีแค่พวกเราไม่ใช่หรือครับ? ที่ได้เห็นสีหน้าเศร้าๆของรันรัน.. ซึ่งซ่อนอยู่เบื้องหลัง ของใบหน้าแสนเย็นชาเป็นน้ำแข็ง..” คำพูดลอยๆที่หลุดออกมาจากปากของสตีเฟ่น ซึ่งกำลังยืนปัดเศษดินที่ติดอยู่ตามกางเกงของตัวเองนั้น ทำให้ทั้งเรเชล น้ำฝน และลิลลี่ ต่างหันมามองหน้าของกันและกัน อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ก่อนที่จะพร้อมใจหันไปมองทางหยางฟง ที่เอ่ยพูดแทรกความเงียบขึ้นมา..

               “พวกคุณเรเชล.. ดูจะสนิทกับคุณรันมากเลยนะครับ”

               คำพูดราบเรียบของหยางฟงที่เอ่ยพูดแทรกขึ้นมา ทำให้ทั้งเรเชล ลิลลี่ น้ำฝน และสตีเฟ่น ถึงกับกระตุกรอยยิ้มที่มุมปากขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ทั้งสี่คนจะพร้อมใจกัน เอ่ยพูดออกมาเป็นประโยคเดียวกัน อย่างน่าอัศจรรย์ใจ..

               “แน่นอน! ก็พวกเราเป็นเพื่อนรักกัน..”

 

                ทางด้านรัตมณี หลังจากเดินกลับเข้ามาในโรงแรม หญิงสาวก็เดินตรงไปยังห้องพักรับรอง ที่ตนเองได้ขึ้นไปนอนหมดสภาพเมื่อก่อนหน้านี้ เพื่อหยิบกระเป๋าสะพายของตัวเอง เพราะตั้งใจว่าจะเดินทางกลับเลย แต่ก็ดันนึกขึ้นมาได้ว่า ตัวเองยังไม่ได้มอบของขวัญวันแต่งงาน ที่อุตส่าห์เตรียมมาให้กับเพื่อนรักเลย เจ้าตัวจึงตัดสินใจมานั่งรอพวกเพื่อนๆที่เก้าอี้โซฟา ที่ตั้งวางอยู่ตรงล็อบบี้ของโรงแรม..

                “อ้าว..คุณรันอยู่นี่เองหรือครับ?”

               ประโยคพูดเป็นภาษาไทย ออกสำเนียงฝรั่งที่ดังมาจากทางด้านหลัง ทำให้รัตมณีหันไปมอง ก่อนจะเผลอเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเจ้าของประโยคคำพูดดังกล่าว ก็คือ.. ชายหนุ่มร่างสูง ชาวฮ่องกงลูกครึ่งอังกฤษ ผู้เป็นคู่หมั้นของลิลลี่ เพื่อนสนิทอีกคนของเธอนั่นเอง..

               “ได้ยินเสียงหล่อๆ ก็นึกว่าใครที่ไหนสักอีก เชิญนั่งสิค่ะ คุณหยางฟง..” รัตมณีเอ่ยพูด พร้อมทั้งผายมือเชื้อเชิญให้ชายหนุ่มนั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม ก่อนจะหันหน้าไปทางพนักงานชายของโรงแรมที่บังเอิญเดินผ่านมา.. “ขอกาแฟร้อนที่หนึ่งนะค่ะ” หลังจากที่สั่งเครื่องดื่มของตัวเองแล้ว รัตมณีจึงหันมาถามชายหนุ่มที่นั่งลงบนโซฟาฝั่งตรงข้าม “คุณหยางฟงจะเอาอะไรดีค่ะ? เดี๋ยวฉันเลี้ยงเองค่ะ..”

               “กาแฟร้อนเหมือนกันครับ..”

               ..รัตมณีพยักหน้าให้กับคำตอบของชายหนุ่ม ก่อนจะหันไปสั่งออร์เดอร์เครื่องดื่มเพิ่มเติมกับพนักงานคนเดิม และรอจนกระทั่งพนักงานคนดังกล่าว เดินห่างออกไปไกลพอสมควร รัตมณีจึงหันมามองชายหนุ่มตรงหน้าด้วยสายตาจริงจัง พร้อมกับเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสุภาพ..

               “วันนี้ต้องขอโทษด้วยนะค่ะ คุณหยางฟง.. ที่ฉันทำตัวเสียมารยาท แล้วก็ยินดีที่ได้รู้จักอีกครั้งค่ะ..”

               “ไม่จำเป็นต้องขอโทษผมหรอกครับ ผมไม่ได้ถือสาอะไรอยู่แล้ว และก็ผมรู้ว่าจริงๆแล้ว คุณเพียงแค่แกล้งทำเท่านั้น..”

               ประโยคคำพูดราบเรียบจากชายหนุ่มตรงหน้า ทำให้รัตมณีถึงกับนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่มุมปากสวยจะกระตุกรอยยิ้มเล็กๆขึ้นมา พร้อมกับริมฝีปากบางเอื้อนเอ่ยคำพูด ด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูไม่ค่อยจะจริงจังมากนัก..

               “น่าตกใจจริงๆค่ะที่คุณดูออก..”

               “........”

               “แต่ก็สมกับที่เป็นคู่หมั้นของลิลลี่.. เพราะว่าฉันไม่เคยปิดบังความจริงกับพวกลิลลี่ ได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว!”

               “นั่นเพราะว่าลิลลี่ และพวกคุณเรเชล ต่างก็รู้จักกับคุณมาตั้งแต่สมัยเรียนไฮสคูลสินะครับ..?”

               “เกือบถูกค่ะ..”

               “เอ๊ะ?”

               รัตมณีมองคิ้วเข้มของชายหนุ่มตรงหน้า ที่ขมวดเข้าหากันเป็นปม แล้วก็เผลอหลุดเสียงหัวเราะเบาๆออกมา ก่อนจะหันไปรับถ้วยกาแฟที่พนักงานของโรงแรมยกมาเสิร์ฟ พร้อมทั้งเอ่ยพูดต่อ..

               “คนที่ฉันรู้จักสมัยเรียนไฮสคูล มีเพียงแค่เรเชล ลิลลี่ แล้วก็น้ำฝนเท่านั้นค่ะ ส่วนสตีเฟ่น.. ฉันรู้จักกับเขาตอนที่ได้ทุนไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่กับคริสเตียนฉันเองก็เพิ่งจะรู้จักกับเขา ตอนที่ไปเจรจาธุรกิจเมื่อสองปีก่อน แต่เป็นเพราะนิสัยของเราคล้ายกันมากล่ะมั่ง ก็เลยทำให้สนิทกันเร็ว..”

               “งั้นหรือครับ..แต่ทุกคนก็ดูสนิทกันดีนะครับ ผมเองดูแล้วก็ยังรู้สึกอิจฉา ในมิตรภาพที่แน่นเฟ้นของพวกคุณรันเลยนะครับ”

               “คุณหยางฟงจะอิจฉาทำไมกันล่ะค่ะ? ในเมื่อตอนนี้คุณเองก็เป็นเพื่อนกับพวกฉันแล้ว ไม่ใช่หรือค่ะ?”

               คำพูดราบเรียบของรัตมณี ทำให้หยางฟงถึงกับนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนที่ชายหนุ่มจะคลี่รอยยิ้มอ่อนโยนออกมา พร้อมทั้งเอ่ยพูดขึ้นมา ทว่า คำพูดของหยางฟงในคราวนี้ กลับทำให้รัตมณีถึงกับอ้าปากเหวอ ด้วยความตกใจกึ่งๆปนตกตะลึง..

               “ความบังเอิญเป็นสิ่งที่ดูถูกไม่ได้เลย ว่าไหมครับ?”

               “......?”

               “ตอนที่ได้เห็นภาพถ่ายเพื่อนของลิลลี่ ที่วางอยู่ในห้องพัก ก็รู้ทันทีว่าต้องใช่แน่!.. แต่ถึงจะไม่ได้เจอกันนานมาก นิสัยที่เหมือนกับดวงอาทิตย์ที่สาดแสงใส่ผู้คนของเรา ก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ หนูน้อยทับทิม..

               “หนูน้อยทับทิม?ทำไมถึง..”

               “หยางฟงเป็นชื่อที่ใช้ตอนอยู่ฮ่องกง ส่วนเวลาอยู่ที่อังกฤษ ผมจะใช้ชื่อว่า..โจเคย์ อลัน บารอนเนส แต่ว่าก็มีคนเดียวที่เรียกว่า..ลัน เห็นบอกว่าพี่น้องมีชื่อเดียวกันน่าสนุกดี แล้วตอนนี้จะยังคิดเหมือนกับตอนนั้นอยู่อีกหรือเปล่าเอ่ย? หนูน้อยทับทิม..

               “พี่ลัน..!”

               “ไงน้องสาว.. ไม่เจอหน้ากันแค่สิบกว่าปี แต่ดันลืมพี่ชายคนนี้ซะสนิทแบบนี้ เล่นเอาพี่ชายคนนี้ขำไม่ออกเลยนะครับ..”

               “คือว่า..”

               “เอ๋..เป็นพี่น้องกันหรอกเหรอ?!!” ประโยคคำพูดที่ดังแทรกขึ้นมาอย่างกระทันหัน ทำให้รัตมณีที่ตกอยู่ในอาการตกตะลึง กึ่งๆงุนงงกับสถานการณ์ ที่ได้มาพบกับลูกพี่ลูกน้องของตน ซึ่งตัวเองจำไม่ได้เลยนั้น เริ่มจะได้สติกลับคืนมา พร้อมทั้งหันไปมองลิลลี่ เพื่อนสาวผู้เป็นเจ้าของประโยคคำพูดดังกล่าว ซึ่งกำลังยืนทำสีหน้าตกตะลึง ท่ามกลางเหล่าผ่องเพื่อนที่มีสีหน้าตกตะลึงไม่ต่างกันเลย..

               “อ้าวๆ..ไอ้เราก็นึกว่าที่คุณหยางฟง ทำท่าสนใจยัยรันมากมายสักขนาดนั้น จะเป็นเพราะกำลังแอบนอกใจหนูน้อยลิลลี่ผู้บอบบาง แล้วหันไปปิ๊งคุณรัตมณี อังเคย์เคล ผู้แข็งแกร่งแทนซะอีก!”

               “ผลั่ก!..เธอนี่มันช่างขยันหาพวกเห็บหมัด มาใส่หัวฉันจริงๆเลยนะ ยัยเรเชล!” หลังจากเสยหมัดเบาๆเข้าตรงหน้าท้องของเพื่อนรักตัวดี ที่เข้ามากอดคอ พร้อมกับพูดจาชวนหาเรื่องให้เธอแล้ว รัตมณีก็เอ่ยพูดกรอกใส่หูอีกฝ่ายเสียงดังลั่นก่อนจะแยกเขี้ยวใส่อีกฝ่ายเป็นการคาดโทษ แล้วจึงหันกลับมาทางหยางฟง พร้อมทั้งเอ่ยพูดต่อ “รันต้องขอโทษจริงๆค่ะพี่ลัน ที่จำพี่ไม่ได้ แต่ว่าเมื่อก่อนพี่ลันมีผมสีทองนี่น่า..”

               “เมื่อก่อนพี่อยากมีผมสีเดียวกับคุณพ่อนะครับ พี่ก็เลยย้อมผมสีทอง..”

               “.......”

               “แต่ว่าเป็นพี่น้องที่หน้าไม่เหมือนกันเลยนะครับ จะว่าไปผมเคยได้ยินแต่ว่า.. รันรันมีน้องชายกับน้องสาวต่างแม่ แต่ไม่ยักรู้มาก่อนเลยนะครับว่า.. รันรันจะมีพี่ชายด้วย?”

               “นั่นสิ! พี่หยางฟงมีน้องสาวด้วยหรือค่ะ? ลิลลี่นึกว่าจะมีแค่.. คุณอเล็กซ์ เป็นน้องชายคนเดียวของพี่สักอีก”

               “พวกเราไม่ได้เป็นพี่น้องแท้ๆหรอกครับ ผมกับหนูน้อยทับทิม เราเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เพราะว่าคุณอาอลิสรา.. คุณแม่ของหนูน้อยทับทิม เป็นน้องสาวของคุณพ่อผมนะครับ”

               “อ่อ.. อย่างงี้นี่เอง! เอ๊ะ?..ว่าแต่ทำไมคุณหยางฟง ถึงเรียกยัยรันว่าหนูน้อยทับทิมกันล่ะค่ะ..?”

               “เพราะชื่อของผมกับรัน ออกเสียงเหมือนกัน คนรอบข้างก็เลยสับสน ดังนั้นผมก็เลยเรียกชื่อจริงของรันนะครับ คุณเรเชล..”

               “ชื่อจริง..? แต่ชื่อจริงยัยรันคือ รัตมณี ไม่ใช่หรือค่ะ?”

               “ยัยบ๊องส์เรเชล.. ก็รัตมณีชื่อของหมูน้อย มันเป็นภาษาบาลี แปลว่า.. ทับทิม อย่างไงล่ะ!” น้ำฝนซึ่งยืนอยู่ใกล้ๆเอ่ยพูดอธิบายให้เพื่อนสาวฟัง ก่อนเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยอย่างนึกแปลกใจ เมื่อโดนเพื่อนสาวคนสนิทที่นั่งอยู่บนโซฟา ยื่นซองกระดาษอะไรบางอย่าง มาแปะที่หน้าผากของเธอ..

               “อะไรเหรอ?หมูน้อย..” น้ำฝนเอ่ยถามขึ้นมา พร้อมทั้งหยิบซองกระดาษที่เพื่อนรัก แปะไว้บนผากของตนออกมาทอดสายตามอง..

               “ทริปท่องเที่ยวญี่ปุ่นหนึ่งอาทิตย์ ที่เธอเคยบอกว่าอยากจะไปไงล่ะ! ฉันถือโอกาสให้เป็นของขวัญวันแต่งงานของเธอ กับคุณคริสเตียนก็แล้วกัน..” รัตมณีเอ่ยพูด พร้อมกับคลี่รอยยิ้มให้กับอีกฝ่าย ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปสวมกอดร่างบอบบางของเพื่อนรักเอาไว้แน่นอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนที่จะคลายวงแขน พร้อมทั้งเอ่ยพูดต่อขึ้นมา “ขอให้เธอมีความสุขมากๆนะน้ำฝน แล้วก็คริสเตียน.. อย่าให้ฉันได้ยินว่าคุณทำให้น้ำฝนร้องไห้นะค่ะ เพราะต่อให้คุณอยู่ไกลคนล่ะซีกโลก ฉันก็จะตามไปหักกระดูกคุณถึงที่!

               “โอ๊ะโอ..คุณคริสเตียนคงต้องระวังเอาไว้แล้วล่ะค่ะ เพราะว่ายัยรันเป็นคนพูดจริงทำจริง! แน่นอนว่าฉันเองก็ด้วยค่ะ.. ถ้าฉันได้ยินว่าคุณทำให้ยัยน้ำฝนร้องไห้เมื่อไหร่ ฉันจะตามไปช่วยยัยรันกระทืบคุณเอง! ขอเอาตำแหน่งบอดี้การ์ดมือหนึ่งของฉัน เป็นเดิมพันเลย!”

               “ส่วนฉันคงไม่ถนัดการใช้กำลังเหมือนกับรัน และเรเชลหรอกค่ะ.. แต่ถ้าคุณคริสเตียนทำให้น้ำฝนร้องไห้เมื่อไหร่ ฉันจะทำให้คุณร้องไห้ยิ่งกว่าน้ำฝน คงจะเข้าใจนะค่ะ..”

               “อ้าวๆ ขู่เจ้าบ่าวมากไปไหมเอ่ย?” สตีเฟ่นเอ่ยพูดแซวขึ้นมา เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของคู่หมั้นของตน กับเหล่าผ่องเพื่อนที่จ้องอาฆาตเจ้าบ่าวที่ยังคงยืนยิ้มแฉ่ง แต่แล้วสตีเฟ่นก็ถึงกับหน้าหงาย เมื่อโดนสามสาวตัวแสบ พร้อมใจกันพูดตอกใส่หน้าเขา!..

               “ไม่ได้ขู่.. ฉันเอาจริง!!!”

               “........”

               “ชั่วชีวิตนี้ของผม จะไม่ทำให้น้ำฝนต้องร้องไห้อย่างเด็ดขาด! ผมขอให้สัญญาจากใจเลยครับ..

               “ฉันเชื่อในคำสัญญาของคุณค่ะ คริสเตียน..” รัตมณีเอ่ยพูด พร้อมกับยื่นมือของตนออกไปจับมือของคริสเตียน ที่ยื่นมาข้างหน้า เพื่อจับมือกับเธอเป็นการยืนยันคำมั่นสัญญา รัตมณีจับมือกับคริสเตียนอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะผละมือออกพร้อมกับทำท่าจะเอ่ยพูดต่อ แต่ก็ต้องหยุดคำพูดดังกล่าวเอาไว้ เมื่ออยู่ดีๆมีชายวัยกลางคน สวมสูทสีเทาเนื้อดีเดินเข้ามาโค้งคำนับให้กับเธอด้วยท่าทีสุภาพ..

               “ต้องขอประทานโทษครับคุณผู้หญิง คือว่า.. มีคนฝากกระดาษโน้ตข้อความ มาถึงคุณผู้หญิงครับ”

               “ขอบคุณค่ะ..” รัตมณีเอ่ยพูดขอบคุณชายวัยกลางคนด้วยท่าทีงุนงงง และแม้จะติดใจสงสัยมากเพียงใด แต่รัตมณีก็ยื่นมือออกไปรับกระดาษโน้ตแผ่นเล็ก พับเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ที่ชายวัยกลางคนส่งยื่นมาให้ แต่แล้วเพียงแค่เปิดอ่านข้อความภายในกระดาษโน้ตแผ่นดังกล่าว คิ้วเรียวสวยบนใบหน้าของรัตมณี ก็พลันกระตุกขึ้นมาด้วยความหงุดหงิด พร้อมทั้งมือเรียวบางออกแรงขย้ำกระดาษโน้ตทันใด จนกลายเป็นก้อนกระดาษกลมๆขนาดเล็ก ก่อนที่ถูกจะเขวี้ยงไปทางด้านหลังอย่างไม่สนใจไยดี ในขณะที่ริมฝีปากบาง ก็สบถออกมาอย่างไม่สบอารมณ์..

               “งี่เง่า..ไปตายซะเจ้าบ้า!”

               “.......”

               “พรุ่งนี้มีประชุมแต่เช้า ฉันขอตัวกลับก่อนเลยแล้วกัน นายจะกลับพร้อมกันเลยไหม? สตีเฟ่น..”

               “กลับสิ!ผมเองก็มีงานแต่เช้าเหมือนกัน”

               “ถ้าอย่างงั้นไว้เจอกันนะ..” รัตมณีเอ่ยพูด พร้อมกับโบกมือให้เพื่อนๆเป็นการบอกลา ก่อนจะหันไปทางหยางฟง ผู้เป็นลูกพี่ลูกน้องของตน แล้วดึงนามบัตรในกระเป๋าส่งให้กับอีกฝ่าย พร้อมทั้งเอ่ยพูดขึ้นมา “นี่เบอร์โทรของรันนะค่ะ.. ถ้าพี่ลันรู้สึกเหงาขึ้นมาเมื่อไหร่ หรือว่าทะเลาะกับยัยลิลลี่ ก็แวะมาหารันได้เสมอ เดี๋ยวรันจะช่วยปลอบใจพี่ลันเองค่ะ อ่อ.. แต่ว่าช่วงนี้รันปลีกวิเวกไม่อยู่ที่บ้านของตัวเอง ดังนั้น แวะมาที่บ้านของสตีเฟ่นแทนนะค่ะ เพราะว่ารันซุกหัวนอนอยู่ที่นั้นค่ะ..”

               “ใครกันแน่ที่เหงา? นี่เบอร์โทรของพี่นะครับคุณน้องสาว โทรมาหาได้ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง พี่ยินดีจะฟังแม้แต่เรื่องไร้สาระของเรา..”

               “ฮ่าๆ ใครมันจะไปทำเรื่องเปลืองเงินแบบนั้นล่ะค่ะ เดี๋ยวนี้เขาใช้มุกหยอดกันทั้งแล้วค่ะ..” รัตมณีเอ่ยพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อโดนคนเป็นลูกพี่ลูกน้องดีดหน้าผากหนึ่งทีเป็นการทำโทษ ก่อนจะหันไปโบกมือร่ำลาเพื่อนๆอีกครั้ง แล้วจึงเดินออกนอกโรงแรมไปพร้อมกับสตีเฟ่น ทิ้งให้เหล่าเพื่อนๆที่เหลือมองตามหลัง..

 

               “คุณสตีเฟ่น ดูจะสนิทกับรันมากเลยนะครับ คุณเรเชลไม่รู้สึกหึงบ้างเลยหรือครับ..?” คำถามที่ฟังดูไม่ค่อยจะจริงจังสักเท่าไหร่ จากหยางฟง ทำให้บรรดาเพื่อนๆต่างพากันหันไปมองคนที่ถูกถามอย่างเรเชล ซึ่งกำลังก้มลงนั่งย่องๆ เก็บก้อนกระดาษโน้ตกลมๆ ที่ถูกรัตมณีเขวี้ยงทิ้งไปก่อนหน้านี้ มาคลี่กลับเป็นกระดาษสี่เหลี่ยมดังเดิม..

               “ถามคำถามได้แย่มากเลยนะค่ะ คุณหยางฟง.. คุณเองน่าจะรู้จักลูกพี่ลูกน้องอย่างยัยรัน ดีไม่ใช่หรือค่ะว่าเป็นคนแบบไหน? และอีกอย่างสำหรับสองคนนั้น.. ฉันคือเบอร์สอง อ่อ.. ไม่ได้หมายความว่าเป็นรักสามเส้าอะไรพรรค์นั้นหรอกนะค่ะ แต่ประมาณว่าฉันเป็นที่รักของพวกเขา ทว่าความสำคัญน้อยกว่านิดหน่อย..”

               “หมายความว่าไงหรือครับ? ผมไม่เข้าใจ..” หยางฟงเอ่ยพูดพร้อมทั้งขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง ในขณะที่ดวงตาคมกริบ ก็จ้องมองคนที่กำลังสนทนากับตน ซึ่งดูจะให้ความสนใจกับกระดาษโน้ตแผ่นดังกล่าว มากกว่าการสนทนากับเขาเสียอีก..

               “หึ! นั่นสิ.. ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกัน”

               “........”

               “ฉันรู้แค่ว่า..พวกเขารู้จักกันที่มหาวิทยาลัยในอเมริกา และใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่นั้นสี่ปีเต็ม ไม่ว่าจะทั้งตอนเรียน ทั้งตอนทำงาน หรือตอนกินอาหารมื้อไหน แม้แต่กระทั่งตอนนอนหลับ พวกเขาก็มักจะอยู่ด้วยกันเสมอ”

               “........”

               “แล้วถ้าจะให้เปรียบสองคนนั้น เป็นอะไรบางอย่างล่ะก็.. ฉันก็คงเปรียบพวกเขาเป็นมือซ้ายกับมือขวา ที่ช่วยกันประคับประครอง และสร้างสรรค์ชีวิตของตัวเอง โอ้..หมอนี้ช่างใจกล้าดีแท้! แต่ว่าใครกันล่ะหว่า? ลงชื่อแค่อักษร S ตัวเดียวแบบนี้” ท้ายประโยค เรเชลเอ่ยพูดบ่นพึมพำออกมาอย่างนึกสงสัย ในขณะที่ดวงตาคู่คมก็จ้องมองกระดาษโน้ตที่อยู่ในมือของตน ด้วยท่าทีครุ่นคิด และท่าทีที่เหมือนกับคนกำลังคิดหนักของเรเชล ก็ทำให้น้ำฝน และเหล่าผ่องเพื่อนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ อดที่จะโน้มตัวชะเง้อมองไปที่กระดาษโน้ต ที่อยู่ในมือของเรเชลเสียไม่ได้..

               “เจ้าเป็นของข้า.. ดังนั้นเจ้าจะต้องแต่งงานกับข้าผู้เดียวเท่านั้น จาก S!

               “........”

               “เออ..คือว่ากระดาษแผ่นนี้ เมื่อกี้ผู้ชายคนนั้นเอามาให้หมูน้อยใช่ไหม?” น้ำฝนเอ่ยถามขึ้นมาอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจในสิ่งที่ตัวเองรู้อยู่แล้ว แต่ทุกคนที่ยืนอยู่ต่างก็พร้อมใจกันพยักหน้า เป็นการยืนยันคำตอบของคำถามที่ว่า!

               “หมูน้อยถูกขอแต่งงานหรือเนี่ย!? ใครกันๆ ต้องไปสืบดูแล้ว เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ!..เมื่อกี้หมูน้อยทำท่าเหมือนโกรธเจ้าของข้อความนี้..”

               “ยัยรันคงคิดว่า.. เจ้าของกระดาษโน้ตข้อความแผ่นนี้เป็นอีตาเสี่ยวหลง ลูกชายของหยางเหว่ยล่ะมั่ง? ถึงได้โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงแบบนั้น แล้วยัยนั้นเอง ก็เกลียดคนที่มาทำเป็นเจ้าเข้าเจ้าของแบบนี้ที่สุดเลยนี่น่า..”

               “เอ๊ะ..จะใช่เหรอค่ะ? เรเชล.. ถึงอักษรตัว S จะเดาได้แค่หมอนั้น ที่เพิ่งจะมีเรื่องกับรันก็เถอะนะค่ะ แต่ว่าฉันนึกไม่ออกเลยนะค่ะว่า คนพรรค์นั้นจะใช้คำโบราณได้ซึ้งตรึงใจแบบนี้”

               “ผมเองก็เห็นด้วยกับคุณลิลลี่นะครับ แล้วอันที่จริง.. ผมก็ให้คนของผมจัดการส่งมิสเตอร์หยางเหว่ย ขึ้นเครื่องบินกลับไป หลังจากที่พาคุณรันขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง ดังนั้น ไม่น่าจะใช่เขานะครับ..”

               “แล้วถ้าอย่างงั้น Sนี่ใครกันล่ะค่ะ..?” คำถามของน้ำฝน ทุกคนได้แต่พากันนิ่งเงียบ ก่อนที่จะส่ายหน้าไปมา อย่างจนปัญญาที่จะหาคำตอบ..

 

                ..รุ่งเช้าวันใหม่ ที่เริ่มต้นด้วยเสียงดังโครมครามของอะไรบางอย่าง ทำให้สตีเฟ่นที่กำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง ภายในห้องนอนของตัวเอง จำต้องปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย พร้อมทั้งตระแครงใบหน้าหันไปมองทางประตูห้อง ที่ตัวเองปิดแง้มเอาไว้เฉยๆ เพื่อมองหาต้นเหตุของเสียงดังกล่าว และภาพร่างสูงอวบของเพื่อนสาวคนสนิท ที่เข้ามาขออยู่อาศัยชั่วคราวในคอนโดมิเนียมตั้งแต่เมื่อคืน.. ซึ่งกำลังกุลีกุจอหยิบโน้นหยิบนี่ใส่กระเป๋าเป้สะพายจนดูวุ่นวาย ในขณะปากก็คาบขนมปังเอาไว้ ก่อนที่จะรีบวิ่งออกจากห้องพักไป ด้วยท่าทีรีบร้อนแบบสุดๆนั้น ทำให้สตีเฟ่นอดที่จะอมยิ้มอย่างนึกขัน เสียไม่ได้ ก่อนที่จะปิดเปลือกตานอนหลับต่อ..

                ทางด้านรัตมณี หลังจากที่เผลอนอนตื่นสาย จนทำให้ไม่มีเวลาแม้แต่จะนั่งรับประทานอาหารเช้าแบบดีๆนั้น รีบพาตัวเองมาจนถึงบริษัทที่ตัวเองทำงานได้ทันเวลาแบบฉิวเฉียด แต่ทันทีที่ย่างก้าวเข้ามาในบริษัท รัตมณีก็กลับต้องขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความงุนงง เมื่อโดนบรรดาพนักงานในบริษัท มองมาด้วยสายตาแปลกๆ..

                “เฮ้ยๆ นี่รู้ด้วยเหรอว่าฉันไม่ได้อาบน้ำมา..ไม่มั่ง?” รัตมณีเอ่ยพูดบ่นพึมพำเบาๆกับตัวเอง ในขณะยกแขนของตัวเองขึ้นมาดมพิสูจน์กลิ่น แต่พอไม่ได้กลิ่นไวน์อย่างที่คาดคิดเอาไว้ หญิงสาวจึงได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างรู้สึกงุนงง ในขณะที่หางตาคม ก็เหลือบมองพนักงานที่กำลังซุบซิบนินทาอะไรบางอย่าง และเมื่อไม่อาจหาต้นสายปลายเหตุ ของท่าทีแปลกๆของเหล่าพนักงานได้ รัตมณีจึงได้แต่ลอบถอนหายใจออกมา พร้อมกับมุ่งหน้าเดินตรงไปที่ห้องทำงานของตน แต่ยังไม่ทันจะถึงประตูห้องทำงาน ร่างสูงอวบของรัตมณีก็ต้องชะงักเท้าที่กำลังก้าวเล็กน้อย เมื่อเห็นชายวัยกลางคนผู้เป็นเลขานุการของตน กำลังเปิดประตูเดินออกมาจากห้องทำงานของเธอ..

               “สวัสดีค่ะคุณธันย์..”

                “ทะ..ท่านรอง!” ปฏิกิริยาอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด จากชายวัยกลางคนผู้เป็นเลขาคู่ใจของตน ทำให้รัตมณียิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความสงสัย ทว่ารัตมณีก็เลือกที่จะเก็บความสงสัยดังกล่าวเอาไว้ก่อน เพราะเล็งเห็นว่าตนเองมีเวลาเหลือไม่มากแล้ว ก่อนที่จะเข้าประชุมสำคัญ กับลูกค้าที่จะเข้ามาในช่วงเช้านี้..

               “เอกสารที่จะใช้ประชุมในตอนเช้านี้ อยู่บนโต๊ะของฉันแล้วใช่ไหมค่ะ? คุณธันย์..”

               “คะ..ครับท่านรอง”

               “ขอบคุณค่ะ อ่อ.. รบกวนคุณธันย์ช่วยเลื่อนนัดกับบริษัทวีเอนท์ เป็นบ่ายสองด้วยนะค่ะ เพราะตอนบ่ายโมงฉันจะเข้าไปตรวจงาน ที่ไซต์งานก่อสร้างของสาขาเจ็ดนะค่ะ”

               “เออ..คือว่า ท่านรองครับ..”

               “มีอะไรเหรอค่ะ?” รัตมณีหันมาเอ่ยถามชายวัยกลางคน เมื่อเห็นท่าทีอึกอักของอีกฝ่าย แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายนิ่งเงียบไม่ยอมพูด รัตมณีจึงได้แต่ลอบถอนหายใจออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นมาเรียบๆ พร้อมกับผลักบานประตูห้องทำงานของตัวเอง “ถ้าลำบากจะพูดตอนนี้ เอาไว้ค่อยพูดตอนหลังประชุมช่วงเช้าก็ได้ค่ะ คุณธันย์..”

               “........”

               “อ้าวคุณพี่..จะเข้ามาก็ควรเคาะประตูห้องก่อนนะค่ะ.. เป็นถึงอดีตรองประธาน ไม่รู้จักมารยาทพื้นฐานแบบนี้บ้างเลยหรือค่ะ? คุณพี่..”

               “เธอมาทำอะไรที่นี้? แคทลิน..” รัตมณีเอ่ยถาม ในขณะดวงตาคมกริบก็จ้องมองน้องสาวต่างมารดา ที่นั่งอยู่ในห้องทำงานของเธอ ทั้งที่ร้อยวันพันปีไม่เคยเหยียบย่างเข้ามาในบริษัท

               “เอ๋..นี่คุณพ่อยังไม่ได้บอกคุณพี่หรอกหรือ?”

               “เรื่องอะไร?”

               “ต๊าย! น่าสงสารจังเป็นหมาหัวเน่า ที่ถูกเฉดหัวโดยไม่รู้ตัว หึหึๆ.. คุณธันย์จะไม่บอกอดีตเจ้านายของคุณ ให้หายโง่หน่อยหรือค่ะ..?”

               “........” รัตมณีมองน้องสาวของตัวเอง แล้วก็เหลือบหางตาไปมองชายวัยกลางคน ผู้เป็นเลขาของตน พร้อมกับเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันถูกโยกย้ายตำแหน่งอีกแล้วสินะ..?”

               “คือว่า..”

               “คราวนี้ให้เป็นพนักงานเบ็ดเตล็ด หรือพนักงานทำความสะอาดล่ะ?” รัตมณีเอ่ยถามขึ้นมา อย่างไม่มีท่าทีว่าจะสะทกสะท้านแต่อย่างใด เพราะนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอถูกโยกย้ายตำแหน่งกลางอากาศ แล้วโดนคนอื่นเสียบตำแหน่งแทนแบบไม่รู้ตัว ต้องบอกว่าตำแหน่งงานในบริษัทนี้ เธอผ่านมันมาทุกตำแหน่งแล้วด้วยซ้ำ แต่ครั้งนี้ที่น่าแปลกใจ ก็คือ บิดาของเธอกลับเอาน้องสาว ที่ไม่เคยแตะต้องงานในบริษัท แม้แต่ชิ้นเดียว เข้ามาทำงานแทนเธอสักงั้น! ทั้งที่ปกติจะให้คนที่มีความสามารถพอๆกับเธอ หรือมากกว่าเธอเข้ามาทำแทน..

               “เปล่าครับ.. มีคำสั่งจากท่านประธานใหญ่ ให้ปลดท่านรองออกจากตำแหน่งรองประธานบริษัท และแต่งตั้งคุณแคทลีน อังเคย์เคล เป็นรองประธานแทนครับ แต่ไม่มีคำสั่งให้ท่านรองไปประจำตำแหน่งใดในบริษัทครับ..”

               “ว่าไงนะ?” รัตมณีเอ่ยถาม ในขณะที่มองซองสีขาวที่เลขาของตน ยื่นมาให้อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะยื่นมือไปรับซองสีขาวดังกล่าวมาแกะดูภายในซอง ซึ่งมีเอกสารอยู่เพียงหนึ่งใบเท่านั้น และมองเพียงแค่แวบเดียว ก็รู้ทันทีว่ามันคือ..เอกสารไล่ออกจากบริษัท

               “.........”

               “ยังไม่เข้าใจอีกหรือค่ะ? คุณพี่..”

               “.........”

               “คุณพี่นะถูกคุณพ่อเฉดหัวอย่างสมบูรณ์แบบแล้วอย่างไงล่ะค่ะ.. หึ! นี่ค่ะ.. ฉันให้เป็นค่าอาหาร มันคงช่วยให้คุณพี่อยู่ต่อไปได้อีกสักสองสามวัน ก่อนที่จะกลายเป็นหมาข้างถนน”

               ..รัตมณีมองแบงค์พันจำนวนสองใบในมือของน้องสาว ที่ส่งยื่นมาให้กับเธออยู่ชั่วอึดใจ ก่อนที่จะยื่นมือไปรับเงินดังกล่าว พร้อมกับเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนจะเดินออกไปจากห้องทำงาน..

               “ขอบใจนะ.. ฉันจะเอาเงินนี้ไปซื้ออาหารอย่างที่เธอบอก แต่ว่าเป็นอาหารหมา ที่เหมาะกับเธอล่ะนะ! คุณน้องสาว..

               “กรี๊ดดดดดด!!!!”

               ..เสียงกรีดร้องของน้องสาวต่างมารดา ที่ดังลั่นห้องทำงาน ซึ่งแม้จะปิดประตูห้องทำงานแล้ว ก็ยังมีเสียงเล็ดลอดออกมาให้ได้ยินอย่างชัดเจนนั้น ทำให้รัตมณีที่หยุดยืนอยู่หน้าห้องทำงาน แสยะยิ้มออกมาอย่างนึกชอบใจ ก่อนจะก้าวเดินเร็วๆตรงไปที่ห้องทำงานของประธานบริษัท..

               “ท่านรอง รอเดี๋ยวก่อนสิครับ ตอนนี้ท่านประธานใหญ่ไม่อยู่ที่บริษัทหรอกครับ..”

               รัตมณีหันไปมองชายวัยกลางคน ผู้กลายเป็นอดีตเลขาของตนเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยพูดขึ้นมาเรียบๆ “ต่อให้ต้องรอจนถึงมืดค่ำ ฉันก็จะรอฟังจากปากของเขาเองเท่านั้น! ว่าเขาไม่ต้องการฉันอีกแล้ว..” รัตมณีเอ่ยพูดจบก็เปิดประตูห้องทำงานของประธานบริษัทเข้าไปทันที โดยไม่คิดจะฟังเสียงห้ามปราม ของชายวัยกลางคน และเลขาสาวที่นั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าห้องทำงาน..

               หลังจากที่เข้ามาในห้องทำงานแล้ว รัตมณีก็เดินไปทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้ ที่วางอยู่หน้าโต๊ะทำงานของผู้เป็นบิดา พร้อมกับพยายามปรับอารมณ์กำลังเดือดดาลของตัวเอง ให้กลับมาสงบนิ่งเยือกเย็นเหมือนเดิม และหลังจากนั่งนิ่งอยู่เนิ่นนานจนเริ่มจะใจเย็นลงแล้ว รัตมณีก็เริ่มจะกวาดสายตามองไปรอบๆ ห้องทำงานของผู้เป็นบิดา ที่ตัวเธอแทบไม่ค่อยจะย่างกรายเข้ามาสักเท่าไหร่นัก หากไม่จำเป็นจริงๆ..

               “หือ? สมุตโน้ต..” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำเบาๆออกมาอย่างนึกแปลกใจ เมื่อสายตาดันเหลือบไปเห็นสมุดโน้ตเล่มหนาเก่าๆ ที่ตกอยู่ข้างโต๊ะทำงานของผู้เป็นบิดา ก่อนจะยื่นมือไปเก็บสมุดโน้ตดังกล่าว ขึ้นมาเปิดอ่านอย่างนึกสนใจ..

 

               “..สิ่งที่ผมทำผิดที่สุด คือ การพรากคนที่เขารักกัน ผมรักคุณนะอลิซ แต่คุณคงไม่ได้รักผมเลยสินะ ผมทำให้คุณทรมาณ ทำให้คุณต้องฝืนใจยอมมีลูกกับผม รัน.. ลูกสาวของเราไม่น่าเกิดมาเลย..ตุ๊บ!”เสียงบันทึกที่ร่วงหล่นจากมือ เรียกสติของรัตมณีที่หลุดลอยไปกับข้อความที่ได้อ่าน ให้กลับคืนมา พร้อมกับร่างสูงอวบลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินออกจากทำงานไปอย่างเงียบๆ..

 

               “ท่านรองครับ..”

               เสียงเรียกจากชายวัยกลางคน ทำให้รัตมณีที่กำลังจะเดินออกไปจากบริษัท หยุดยืนมองอีกฝ่ายชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดสั้นๆ แล้วเดินจากไปโดยที่ไม่หันกลับมาอีก..

               “คุณธันย์ฝากบอกท่านประธานด้วยค่ะว่า.. ฉันรับทราบแล้ว จะไม่โผล่หน้ามาให้เขาได้เห็นอีก!”

               “ท่านรอง.. เดี๋ยวก่อนครับ! ท่านรอง!!..” เสียงเรียกของชายวัยกลางคนที่ดังตามไล่หลังมา แต่รัตมณีก็กลับไม่สนใจแม้แต่น้อย ร่างสูงอวบเดินทอดน่องไปเรื่อยๆตามท้องถนนที่มีรถวิ่งสวนไปมา ร่างสูงอวบของรัตมณีเดินมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาจนถึงยังหัวมุมถนนแห่งหนึ่งที่มีการตั้งศาลบูชา ซึ่งมีคนมากมายมาสักการะบูชาด้วยธูปเทียนดอกไม้.. รัตมณีหยุดยืนมองอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้นพนมมือไว้ศาลบูชาดังกล่าวหนึ่งครั้ง พร้อมกับเอ่ยพูดขึ้นมา..

               “ถ้าหากท่านศักดิ์สิทธิ์จริงล่ะก็.. ฉันขอให้มีคนที่รักฉันจริงๆ ฉันไม่ขอมากหรอก ขอแค่คนเดียวก็ได้ที่รักฉันจริง!”

    

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา