หฤทัยเสน่หา

9.8

เขียนโดย เอเจลิส

วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 เวลา 19.42 น.

  8 ตอน
  12 วิจารณ์
  9,756 อ่าน

แก้ไขเมื่อ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2557 19.51 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) เดินทาง

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

ตอนที่3 เดินทาง

 

                “อ้าว! รันรัน.. ไหนบอกว่ามีประชุมด่วนตอนเช้า ไม่ใช่หรือครับ?” สตีเฟ่นที่เดินกลับเข้ามาในห้องพัก เพื่อจะกลับมาเอาแฟ้มเอกสารที่ตนลืมเอาไว้ เอ่ยถามขึ้นมาอย่างแปลกใจแกมรู้สึกงุนงง เนื่องจากพอเปิดประตูห้องพักเข้ามา ก็ดันจ๊ะเอ๋เจอเข้ากับเพื่อนรักของตน กำลังนั่งจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง อยู่ภายในห้องนั่งเล่น ในสภาพสวมเสื้อผ้าชุดทำงาน ชุดเดียวกับที่เขาเห็นอีกฝ่ายสวมใส่ออกไปเมื่อตอนเช้าตรู่

               ..เกิดอะไรขึ้น?..

               สตีเฟ่นครุ่นคิดภายในใจอย่างนึกสงสัย เพราะถ้า้นับเวลาจากตอนเช้าที่เพื่อนรักของเขา รีบร้อนออกไปทำงาน นี่มันก็เพิ่งจะผ่านไปได้แค่ชั่วโมงกว่าๆเท่านั้นเอง! และตอนนี้เพื่อนรักของเขาก็น่าจะนั่งอยู่ในห้องประชุมของบริษัท ไม่ใช่ในห้องพักของเขา! หรือจะบอกว่าเพื่อนรักของเขานึกอยากจะเกเรงานขึ้นมา?..แต่ว่าคนอย่างรัตมณี อังเคย์เคล ก็ไม่ใช่คนไร้ความรับผิดชอบที่คิดทิ้งงาน แล้วหนีมานั่งเล่นอยู่แบบนี้นี่น่า! สตีเฟ่นพยายามครุ่นคิดหาคำตอบให้กับตัวเอง เมื่อเห็นคนเป็นเพื่อนรักนิ่งเงียบ ไม่ยอมตอบคำถามของตน แต่แล้วชั่วอึดใจต่อมาที่เสียงแป้นพิมพ์คีย์บอร์ดหยุดลง สตีเฟ่นก็ต้องเผลอเลิกคิ้วขึ้นมาด้วยความงุนงงมากยิ่งขึ้น กับคำพูดเอื่อยๆ ที่หลุดออกมาจากปากของคนเป็นเพื่อน..

               “ไม่มีทั้งประชุม หรืองานอีกแล้ว..”

                “เอ๊ะ..?”

                “ฉันถูกไล่ออกจากบริษัท”

                “ว่าไงนะ?!” สตีเฟ่นเอ่ยถามเสียงดังลั่น ด้วยท่าทีเหมือนจะตกใจกับสิ่งที่ได้รับรู้จากปากของเพื่อนรัก แต่แล้วชั่วอึดใจต่อมา.. ชายหนุ่มกลับหัวเราะเสียงดังลั่นห้องพร้อมทั้งเอ่ยพูดต่อ.. “หึหึๆ แบบนี้ต้องฉลองแล้วสินะ! อยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม? รันรัน.. เดี๋ยวผมเป็นเจ้ามือเลี้ยงเอง จะหูฉลามน้ำแดง เป็ดย่างปักกิ่ง หรืออาหารฝรั่งเศสก็ได้ ผมตามใจคุณเลย..”

                “ดูเหมือนนายจะมีความสุขจนออกนอกหน้าเลยนะ ที่เห็นฉันตกงาน..” รัตมณีเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง ไม่ได้แสดงถึงอารมณ์ใดๆ ในขณะดวงตาคู่คมก็เหลือบมองเพื่อนชายของตน ซึ่งยื่นมือไปหยิบขวดไวน์บนโต๊ะรินใส่แก้ว ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ ราวกับสุนัขจิ้งจอกตัวร้ายไม่มีผิดเพี้ยน

                “ก็นะ!.. อาจจะฟังดูไม่ดีสำหรับคุณสักเท่าไหร่ แต่สำหรับผม.. นี่ถือว่าเป็นข่าวดีในรอบปี!” สตีเฟ่นเอ่ยพูดยิ้มๆ ในขณะส่งยื่นแก้วไวน์ให้กับเพื่อนสาว ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้โซฟาฝั่งตรงข้าม พร้อมทั้งเอ่ยพูดต่อขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ในขณะมือขวาก็คลึงแก้วไวน์ที่ถืออยู่ในมือเล่นไปมา “ตั้งแต่ผมเริ่มก่อตั้งบริษัทบีซีกรุ๊ปขึ้นมา.. บริษัทที่พอจะมีฝีมือมาแข่งกับผมได้ก็มีอยู่หลายบริษัทด้วยกัน และบริษัทเอนเคย์กรุ๊ป ก็เป็นหนึ่งในนั้น.. แต่เอนเคย์กรุ๊ปก็ไม่ได้ถึงกับเป็นศัตรูคู่แข่งที่น่ากลัวมากมาย จวบจนกระทั่งเมื่อสองปีก่อน.. ที่เอนเคย์กรุ๊ปได้ทำการเปลี่ยนบุคลากรฝ่ายบริหารตำแหน่งรองประธานเป็นคุณ! ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำงานอยู่ในตำแหน่งพนักงานธุรการของบริษัท ตอนนั้นใครๆ ต่างก็พากันคิดว่า.. เอนเคย์กรุ๊ปที่เอาพนักงานธุรการมาเป็นรองประธาน คงได้ถึงกาลอวสานอย่างแน่นอน..”

                “.......”

               “แต่นั่นกลับเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่า.. โจนาธาน อังเคย์เคล เป็นคนที่ประมาทไม่ได้เลย แล้วผมก็คิดถูกจริงๆ! ตั้งแต่ที่คุณขึ้นมาเป็นรองประธานของบริษัทเอนเคย์กรุ๊ป ทั้งหุ้น และภาพลักษณ์ของเอนเคย์กรุ๊ปก็กลับสูงพรวดพราดขึ้นมา อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน..”

                “.......”

               “ไม่รู้หรอกว่าครั้งนี้.. มิสเตอร์โจนาธาน อังเคย์เคล คุณพ่อของคุณเขากำลังคิดอะไรอยู่? ถึงได้ไล่คุณซึ่งเป็นกุนซือหลักของเอนเคย์กรุ๊ปออกจากบริษัท แต่ว่าเอนเคย์กรุ๊ปที่ไม่มีคุณอยู่.. ก็เปรียบได้กับเรือที่ถูกปล่อยให้ลอยอยู่กลางทะเล ท่ามกลางลมพายุโหมกระหน่ำ โดยที่ไร้ซึ่งกัปตันนั่นเอง!

                “สำหรับพวกเขา ฉันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้นหรอกสตีเฟ่น..”

                คำพูดราบเรียบของเพื่อนสาว ที่ดูเหมือนจะไม่ได้ใส่ใจกับการสนทนาครั้งนี้เลยแม้แต่น้อย ทำให้สตีเฟ่นถึงกับเผลอเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย อย่างนึกแปลกใจในท่าทีของเพื่อนสาว ที่ดูเหมือนจะเรียบนิ่งเกินไป ทว่าถึงแม้จะแปลกใจหรือสงสัยมากสักเพียงใด แต่สตีเฟ่นก็กลับเลือกที่จะเก็บความสงสัยดังกล่าวของตนเอาไว้ภายในใจ ไม่เอ่ยพูดออกมา..

               “ถ้าคุณว่าอย่างนั้นผมก็ไม่ขัดข้องหรอกครับ เพราะความจริงเป็นอย่างไง? ทั้งคุณและตัวผมก็ย่อมรู้ดีอยู่แล้ว จริงไหมล่ะ..?” สตีเฟ่นเอ่ยพูดจบประโยค ก็กระดกไวน์ในแก้วจนหมดแก้ว ก่อนจะวางแก้วลงบนโต๊ะ พร้อมทั้งลุกขึ้นจากเก้าอี้โซฟาเดินไปนั่งลงบนที่วางแขนของเก้าอี้โซฟา ที่เพื่อนสาวของตนกำลังนั่งอยู่ในขณะนี้ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อขึ้นมา ในขณะที่ยื่นมือไปหยิบเรือใบลำน้อย ที่ทำมาจากธนบัตรแบงค์พันของไทย ซึ่งวางตั้งอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ กับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คของเพื่อนสาวขึ้นมามองดู..

               “แล้วจากนี้คุณจะเอาอย่างไงต่อล่ะ? รันรัน.. คงไม่บอกว่าเปลี่ยนอาชีพมาพับแบงค์พัน เป็นเรือใบขายหรอกนะ?”

               “เปล่านี่! เงินนั้นก็แค่นึกไม่ออกว่าจะทำอย่างไงกับมันดี..”

               “หา..?”

               “น้องสาวของฉันเขาให้มานะ เห็นบอกว่าเป็นค่าอาหารสองสามวัน ก่อนที่ฉันจะกลายเป็นหมาข้างถนน ก็เลยกะว่าจะเอาไปซื้ออาหารให้หมาจรจัดที่อยู่แถวข้างถนน ตามที่ยัยแคทลินบอก แต่ตอนนี้ฉันยังไม่มีอารมณ์อยากจะออกไปซื้ออาหาร ก็เลยพับเป็นเรือใบเล่นๆ ไปก่อน..”

               “.....!!!”

               “แต่อันที่จริงเงินสองพันสำหรับคนทั่วไป ก็คงอยู่ได้เกือบเดือนโดยที่ไม่ต้องทำอะไรล่ะนะ.. ว่าไปแล้วยัยแคทลินก็ใจดีเป็นเหมือนกันนะเนี่ย!”

               “เฮๆ รันรัน.. นี่คุณเรียกการกระทำแบบนั้น! ว่าใจดีหรือครับ? แต่ผมเรียกว่า..แดกดัน! เฉดหัวส่ง! เหยียบย้ำแบบจมดินมากกว่านะครับ!ต่อให้บนโลกใบนี้ เหลือน้องสาวของคุณเป็นผู้หญิงคนสุดท้าย ผมก็ไม่มีทางเอามาทำแฟนอย่างเด็ดขาด! ผู้หญิงอะไรนิสัยเหลือรับสุดๆ..”

               “ปากร้ายไม่เคยเปลี่ยนเลยนะนาย!.. แต่ก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะว่าจะได้ยัยแคทลินเป็นแฟน เพราะชั่วชีวิตนี้ฉันก็ไม่เอานายมาเป็นน้องเขย ของฉันเหมือนกันนั่นแหละ”

               คำพูดโต้กลับมาแบบไม่มีน้อยหน้าของเพื่อนสาวคนสนิท ทำให้สตีเฟ่นหลุดเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ พร้อมกับเอ่ยพูดขึ้นมา ในขณะที่ยื่นใบหน้าหล่อคมของตนเข้าไปใกล้ใบหน้าของเพื่อนสาว เพื่อมองข้อมูลบนหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค..

               “ครับๆ..แต่ครอบครัวของคุณเนี่ย! ก็ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคุณเอาสักเลยนะครับ หึ!..คุณนะหรือ? จะอดตายเป็นหมาข้างถนน ยิ่งพูดก็ยิ่งขำ! ต่อให้คุณไม่ต้องนั่งทำงานในบริษัทจนหลังขดหลังแข็ง คุณก็มีกินมีใช้เหลือเฟือจนเอาไปเที่ยวรอบโลกสักสี่ห้ารอบ ก็ยังทำได้สบายๆ จริงไหมล่ะครับ? ท่านผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ของบริษัทบีซีกรุ๊ป!” ท้ายประโยคสตีเฟ่นเอ่ยถาม พลางเหล่หางตาคมมองเพื่อนสาวที่นิ่งเงียบไม่ยอมเอ่ยพูดตอบโต้คำพูดของเขา เอาแต่จ้องมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ในขณะปลายนิ้วมือก็ระรัวบนแป้นพิมพ์ สตีเฟ่นมองเพื่อนรักของตนอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ ในขณะลุกขึ้นยืนจัดเสื้อสูทให้เข้าที่เข้าทาง..

               “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่ค่อยมีอารมณ์ คุยด้วยสินะ? ถ้าอย่างงั้นผมไปประชุมก่อนแล้วกัน อ่อ..รันรันถ้าหมดอารมณ์คุยแชทเมื่อไหร่ ก็เชิญแวะเข้าไปที่บริษัทได้ทุกเมื่อนะครับ ผมสั่งให้เลขาของผมจัดเตรียมห้องทำงานของคุณ ให้พร้อมใช้งานได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว”

               “อืมม์..”

               สตีเฟ่นมองเพื่อนรัก ซึ่งส่งเสียงในลำคอตอบรับคำพูดของเขา พร้อมกับยกมือขึ้นโบกไปมาไล่ให้เขาไปทำงานอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะคลี่รอยยิ้มบางเบาออกมาที่มุมปาก พร้อมกับยื่นมือไปตบไหล่ของเพื่อนสาวเบาๆ เป็นการให้กำลังใจ ก่อนจะเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ..

 

               ทางด้านรัตมณี หลังจากบานประตูห้องปิดลงเรียบสนิทแล้ว เจ้าตัวก็เอนหลังพิงพนักโซฟา พร้อมทั้งละสายตาจากหน้าจอคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค มองไปที่บานประตูห้องที่ถูกปิดเรียบสนิทอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะหันเหสายตากลับมามองหน้าจอคอมพิวเตอร์ ที่กำลังแสดงหน้าจอสนทนาออนไลน์ แล้วก็ต้องเผลอถอนหายใจออกมา เมื่อเห็นข้อความที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอ..  

                ‘..นี่ไม่ใช่การโฆษณานะค่ะ แต่กุ๊กกิ๊กได้มาจริงๆนะค่ะ ทำงานเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็ได้ตั้งห้าพันบาท! เพียงแค่มีอีเมล์ ไม่ต้องมีคุณสมบัติอะไรเลย ใครสนใจติดต่อมาได้ที่..’

                “เฮ้อ! ถ้าได้จริงอย่างที่ว่า.. โลกนี้คงไม่มีคนจรจัดมาเดินอยู่เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองหรอก ยัยบ้า!” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำกับตัวเอง พร้อมกับกดคลิกปิดหน้าจอสนทนาที่มีข้อความดังกล่าว แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นว่ามีหน้าจอสนทนาใหม่แทรกขึ้นมาแทน..

                 ‘..สวัสดีครับ คุณชื่ออะไรหรือครับ?..’

                รัตมณีมองข้อความทักทายแสนสุภาพที่ถูกส่งมาอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง อย่างนึกชั่งใจว่าจะตอบกลับไปดีหรือเปล่า? เพราะส่วนมากคนในโลกออนไลน์ที่เธอพบเจอ ถ้าเป็นผู้หญิงก็บ้าขายของ กับหลอกต้มตุ๋นชาวบ้าน ถ้าเป็นผู้ชายก็พวกหื่นกาม หรือดีหน่อยก็เป็นพวกบ้าสาวสวย ที่ขอให้ในลิตต์รายชื่อส่วนตัวของตน มีชื่อสาวสวยสะสมไว้ก็ยังดี!.. รัตมณีมองอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพิมพ์ข้อความทักทายตอบกลับไปแบบสุภาพเช่นกัน

                ‘..สวัสดีค่ะ ฉันชื่อรัน..’

                ‘..ชื่อน่ารักจัง ผมชื่อเจมส์ครับ คุณรันอยู่ที่ไหนหรือครับ?..’

                ‘..กรุงเทพค่ะ..’

                ‘..แถวไหนของกรุงเทพครับ..’

                ‘..ถามทำไมค่ะ?..’

                ‘..ผมจะได้ไปหาไงครับ..’

               ‘..มาหาทำไมค่ะ?..’

                ‘..ก็จะไปหาคุณรัน เพื่อพาคุณรันขึ้นสวรรค์ไงครับ ตอนนี้ผมอยากจะ XXX...’

           

               ..นึกแล้วเชียว! ว่าเป็นพวกนรกเฮงซวย หื่นแต่เช้าเลยนะแก! แล้วยังมาเจอตอนคนเค้ากำลังหงุดหงิดสักด้วย แกศพไม่สวยแน่!.. รัตมณีครุ่นคิดภายในใจอย่างรู้สึกหงุดหงิดสุดๆ ก่อนจะระรัวปลายนิ้วของตน พิมพ์ข้อความตอบกลับอีกฝ่ายไปอย่างรวดเร็ว

               ‘..อุ๊ยน่าสนุกจังเลยค่ะ! แต่ว่าให้ฉันไปหาคุณเองดีกว่านะค่ะ เพราะที่นี้คงจะไม่ค่อยสะดวกกับเรื่องอย่างว่า! ขอที่อยู่ด้วยค่ะ..’

                ‘..จะมาจริงๆหรือครับ? นี่เลยครับ.. 574 ซอยสุขุมวิท...ฯลฯ มาเร็วๆนะครับ อย่าให้ผมต้องรอนานนะที่รัก จุ๊บๆ ผมจะเตรียมเรื่องสนุกรอคุณไว้เลย..’

                รัตมณีมองข้อความดังกล่าว ด้วยแววตาเรียบนิ่งเย็นชาที่แฝงความเหี้ยมเกรียมเอาไว้อย่างชัดเจน ในขณะมือก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเบอร์โทรศัพท์เบอร์หนึ่ง ก่อนจะเอามาแนบหูของตน และรอสายอยู่เพียงชั่วครู่ ปลายสายก็ตอบกลับมา..

                “สวัสดีครับ บริษัทเคเน็ตติ้ง รับจ้างสารพัดยินดีรับใช้ครับคุณลูกค้า..”

                “ส่งพวงรีดสีดำประดับด้วยดอกลั่นทม พร้อมกับเตะผ่าหมากผู้ชายชื่อเจมส์ อยู่บ้านเลขที่ 574 ซอยสุขุมวิท..ฯลฯ และแนบข้อความไปด้วยว่า.. อย่าให้ฉันเจอแกในโลกออนไลน์อีก! ไม่อย่างงั้น.. คราวหน้าจะเชือดไอ้ลูกที่ห้อยอยู่ตรงหว่างขาของแกทิ้งซะ! ลงบิลเรียกเก็บเงินที่เดิมนะค่ะ..”

                “รับทราบแล้วครับคุณลูกค้า ขอบคุณที่ใช้บริการครับ..ติ๊ด!” หลังจากวางสายโทรศัพท์ไปแล้ว รัตมณีก็ยื่นมือไปจะกดปิดหน้าจอสนทนาทั้งหมดด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย แต่แล้วปลายนิ้วที่กำลังจะคลิกเม้าท์ ก็กลับต้องหยุดชะงักลงทันใด เมื่อมีหน้าจอสนหนาหน้าหนึ่งแทรกขึ้นมา..

                “ลุงกริซ..” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ เมื่อเห็นชื่อของคนที่เอ่ยทักตนในหน้าจอสนทนา ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเพื่อนต่างวัยของเธอ ที่คบหากันมานานพอสมควรแล้วนั่นเอง!

                ‘..สวัสดีครับหนูรัน ดีใจจริงๆที่หนูออนเข้ามา ลุงกำลังคิดอยู่เลยว่า จะชวนหนูได้อย่างไง?..’

                ‘..ชวน? ลุงกริซจะชวนหนูทำอะไรหรือค่ะ?..’

                 ‘..ชวนไปเที่ยวนะครับ..’

                ‘..ที่ไหนล่ะค่ะ?..’

                ‘..อียิปต์จ้า ออกเดินทางอาทิตย์หน้า..’

                ‘..อียิปต์? เอ๋..ไปอาทิตย์หน้า! ทำไมรวดเร็วแบบนั้นล่ะค่ะ?..

                ‘..รวดเร็ว? อ่อ..ใช่ๆ คืองี้ในกลุ่มของเรา เค้าวางแผนกันมาเป็นเดือนแล้ว โทษทีนะครับหนูรัน ที่ลุงบอกช้าไป..’

                ‘..ไม่หรอกค่ะ คนผิดเป็นรันที่ไม่ค่อยได้ออนเข้ามาต่างหากล่ะค่ะ แล้วไปกันทุกคนเลยหรือเปล่าค่ะ?..’

                ‘..จ้า คิดว่าทุกคนนะ เพราะทุกคนในกลุ่มว่างตรงกันพอดีในช่วงนั้น นี่ก็รอแค่คำตอบของหนูส้มโอ กับหนูรันนี่แหละ แต่ถ้าหนูรันไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะ เอาไว้คราวหน้าก็ได้..’

                รัตมณีมองข้อความที่ปรากฏบนหน้าจอคอมพิวเตอร์อยู่เนิ่นนาน ด้วยท่าทีเหม่อลอย ก่อนจะสะดุ้งขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นมา มือบางยื่นไปหยิบโทรศัพท์ที่กำลังส่งเสียงขึ้นมามองดู..

                “ได้เวลาประชุมกับฝ่ายการตลาดงั้นหรือ? หึ! ไม่จำเป็นอีกแล้วสินะ..” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำเบาๆ ในขณะทอดสายตามองข้อความที่ตนนั้นได้ตั้งเตือนเอาไว้ในโทรศัพท์อยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจปิดเครื่องโทรศัพท์ พร้อมกับถอดแบตเตอรี่ และซิมออกจากเครื่อง แล้วโยนตั้งเอาไว้บนโต๊ะ ก่อนจะเคลื่อนปลายนิ้วของตนไปวางที่แป้นพิมพ์คีย์บอร์ด พร้อมกับพิมพ์ข้อความสุดท้ายลงไป แล้วจึงปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ก่อนจะเดินออกจากห้องไป..

                ‘..ไปสิค่ะ รันว่างอยู่พอดีเลย..’

 

                 หนึ่งสัปดาห์ต่อมา..

                “นี่คุณแน่ใจนะค่ะสตีเฟ่น.. ว่ายัยรันมันสิงอยู่ในห้องของคุณจริงๆ”

                “โถ่! ที่รัก.. แล้วผมจะโกหกคุณไปเพื่ออะไรกันล่ะครับ?” สตีเฟ่นหันมาเอ่ยพูดกับคู่หมั้นสาวของตนที่กำลังตีหน้ายักษ์ใส่ตน อย่างนึกเอ็นดูแกมนึกขำคู่หมั้นของตน ที่อุตส่าห์ลงทุนบินตรงมาจากอเมริกา เพื่อมาหาเพื่อนรักของตัวเอง เพียงเพราะติดต่อกับเพื่อนรักของตนไม่ได้ ในขณะมือแกร่งก็ยื่นคีย์การ์ดไปเสียบเปิดประตูห้องพักของตน..

                “แล้วทำไมตลอดหนึ่งอาทิตย์มานี้! ฉันถึงติดต่อยัยนั้นไม่ได้เลยล่ะ? ไม่ใช่แค่ฉันเท่านั้นนะค่ะ แม้แต่กระทั่งยัยลิลลี่ หรือน้ำฝน สองคนนั้นก็ติดต่อยัยรันไม่ได้เหมือนกัน..” เรเชลเอ่ยพูดพร้อมกับรีบเดินแทรกร่างคู่หมั้นของตน ผ่านเข้าไปในห้องพักของคู่หมั้นตน ทันทีที่ประตูเปิดออก..

                “มือถือรันรันอาจจะเสียหรือเปล่า?”

                “ถ้าเสียแล้วทำไมคุณที่อยู่บ้านเดียวกันแท้ๆ ถึงไม่รู้ล่ะค่ะ..?”

                “เอ๋..ก็ตอนเช้าผมเจอหน้ารันรันก่อนออกไปทำงาน ตอนเย็นก็กลับมาทานข้าวกับรันรันทุกวัน เวลาประชุมก็ใช้ระบบออนไลน์ผ่านเน็ต ตลอดอาทิตย์นี้ก็เลยไม่ได้โทรเข้ามือถือของรันรัน สักครั้งเดียวนะครับ”

                “แก้ตัวชัดๆ! อย่าให้ฉันรู้นะค่ะว่าคุณแกล้งอะไรยัยรัน ไม่งั้นคุณโดนดีแน่! สตีเฟ่น..  รัน! อยู่ไหนนะ? อยู่ในห้องน้ำหรือเปล่า?” หลังจากขู่คาดโทษคู่หมั้นของตนเป็นที่เรียบร้อย เรเชลก็หันไปตะโกนเรียกเพื่อนรักของตน พร้อมกับเดินไปยังห้องต่างๆ ภายในคอนโดของคู่หมั้น..

                “ที่รัก! ผมไม่ใช่คุณนะครับที่จะชอบแกล้งรันรัน แล้วก็คงไม่ต้องรอให้ถึงมือของคุณหรอก เพราะรันรันคงสับผมเป็นชิ้นๆไปแล้วถ้าผมทำอะไรแบบนั้น..” สตีเฟ่นเอ่ยพูดพึมพำพร้อมกับส่ายหน้าไปมาอย่างยิ้มๆ เมื่อเห็นคู่หมั้นของตนเดินเข้าห้องโน้น เปิดประตูห้องนี้เพื่อตามหาเพื่อนรักของตัวเอง

               ..สตีเฟ่นมองคู่หมั้นของตัวเองอยู่ชั่วครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินตรงไปยังโซนห้องนั่งเล่น ที่อยู่ด้านในสุดของห้องพัก ซึ่งเพื่อนสาวคนสนิทของตน มักจะนั่งอยู่ที่นั้นเป็นประจำเสมอ แต่แล้วพอเปิดประตูห้องเข้าไป คิ้วเข้มบนใบหน้าหล่อคมของสตีเฟ่น ก็กลับมีอันต้องขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างนึกแปลกใจ เนื่องจากภายในห้องนั่งเล่นที่สมควรจะมีร่างอวบๆ ของเพื่อนรักกำลังนั่งอยู่ แต่เวลานี้กลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งวี่แววเงาของคนเป็นเพื่อน..

               “ออกไปข้างนอกงั้นหรือ..?” สตีเฟ่นเอ่ยพูดพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะก้าวเท้าเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่น เดินตรงไปยังโซฟาตัวนุ่มที่ตั้งอยู่ใจกลางห้อง แต่ก่อนที่ร่างสูงของสตีเฟ่นจะได้หย่อนตัวนั่งลงบนโซฟา ดวงตาคมกริบก็ดันบังเอิญเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง ตั้งวางเหลื่อมล้ำออกมาจากใต้หมอนอิง..

               “มือถือ..?” สตีเฟ่นเอ่ยพูด ในขณะที่ยื่นมือไปหยิบโทรศัพท์มือถือที่ตนจำได้ว่ามันเป็นของเพื่อนรัก แต่แล้วสภาพโทรศัพท์ที่ถูกปลดแบตเตอรี่ และปลดแม้กระทั่งซิมการ์ดออกจากเครื่องนั้น กลับทำให้สตีเฟ่นยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันยุ่งด้วยความงุนงงสงสัย

               “สตีเฟ่น! ฉันหาทั่วทุกห้องแล้วนะค่ะ แต่ไม่เห็นจะเจอตัวยัยรันเลย..”

               เสียงตะโกนจากคู่หมั้นสาว ทำให้สตีเฟ่นที่กำลังจัดการประกอบโทรศัพท์มือถือของเพื่อนรัก ให้กลับมาอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน จำต้องหันไปมองคู่หมั้นของตน พร้อมทั้งทำท่าจะเอ่ยพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่คำพูดดังกล่าวก็กลับถูกกลืนหายลงไปในลำคอเสียดื้อๆ เมื่อดวงตาคู่คมมองเห็นซองจดหมายสีขาว แปะอยู่ตรงเหนือประตูห้องนั่งเล่น และรวดเร็วเท่าความคิด ร่างสูงของสตีเฟ่นรีบเดินตรงไปที่ประตู พร้อมกับหยิบจดหมายดังกล่าวที่ติดอยู่เหนือประตู ออกมาดูแทบจะทันที!..

               “จดหมาย..? ทำไมเอาของแบบนี้ไปแปะไว้ที่เหนือประตูกันล่ะค่ะ?” เรเชลเอ่ยถามขึ้นมาอย่างนึกแปลกใจ ในขณะที่โน้มใบหน้าข้ามไหล่แกร่งของคู่หมั้นตน เพื่อมองดูข้อความภายในจดหมายดังกล่าว..

               “ตอนอยู่อเมริกา ห้องพักที่ผมเช่าอยู่กับรันรัน มักจะมีพวกขโมยบุกเข้าไปรื้อค้นข้าวของอยู่บ่อยๆ ผมกับรันรันก็เลยตกลงกันว่าถ้ามีของสำคัญอะไร จะซ่อนเอาไว้ที่เหนือประตูด้านในของห้องนะครับ”

               “หืมม์..เป็นวิธีซ่อนที่แปลกดีนะค่ะ แต่จะว่าไปทั้งๆซ่อนเอาไว้ในที่โล่งแบบนี้แท้ๆ แต่พอมาลองดูดีๆแล้วถ้าไม่ใช่คนที่ชอบสังเกตจริงๆ ล่ะก็.. คงไม่มีทางมองเห็นได้ อืมม์ๆ..ต้องบอกว่าสมกับเป็นวิธีของคนฉลาด อย่างยัยรันสินะเนี่ย! ว่าแต่?.. นี่คงจะเป็นจดหมายของยัยรันใช่ไหมค่ะ?”

               “คิดว่านะ..” สตีเฟ่นเอ่ยตอบคู่หมั้นของตน ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยจะเต็มเสียงนัก ในขณะมือแกร่งก็แกะเปิดซองจดหมาย ท่ามกลางภายในใจที่เผลอนึกสังหรณ์ใจขึ้นมาแปลกๆ แต่แล้วแผ่นกระดาษสีขาวที่ถูกดึงออกมาจากซองจดหมาย ยังไม่ทันจะได้คลี่เปิดออกอ่าน เสียงโทรศัพท์มือถือที่ตั้งวางอยู่บนโซฟา ก็กลับส่งเสียงดังขึ้นมาเสียก่อน..

               “อ้าว..นั่นมันโทรศัพท์ยัยรันไม่ใช่หรือ? นี่ยัยบ๊องส์นั้นออกไปข้างนอก โดยที่ลืมโทรศัพท์เอาไว้หรือ? ไม่ไหวเลยนะ.. กลับมาเมื่อไหร่จะบ่นให้ขี้หูแฉะไปเลย” เรเชลเอ่ยพูดบ่นพึมพำออกมา ในขณะเดินไปหยิบโทรศัพท์มือถือของเพื่อนรัก มากดรับสาย..

               “สวัสดีค่ะฉันเรเชลพูด.. นั่นใครพูดสายค่ะ? เอ๋..มิสเตอร์โจนาธาน!อ่อ..ตอนนี้ยัยรันไม่อยู่ค่ะคงจะออกไปข้างนอก มีอะไรจะฝาก..เฮ้ย!” เรเชลอุทานออกมาด้วยความตกใจ เมื่อโดนคู่หมั้นหนุ่มของตนกระชากโทรศัพท์มือถือไป แต่พอทำท่าจะโวยใส่อีกฝ่าย ริมปากบางเรียวได้รูปของเรเชล ก็กลับต้องปิดเรียบสนิททันที เมื่อได้เห็นสีหน้าโกรธจัดของคนเป็นคู่หมั้น ที่ไม่เคยได้เห็นมาก่อนเลยในชีวิตนี้!..

               “คุณทำอะไรรันรัน? มิสเตอร์โจนาธาน!..

                “........”

               “ตลอดมายัยนั้นเห็นคุณเป็นพ่อเพียงหนึ่งเดียวของตัวเอง ต่อให้คุณไม่เคยรัก ไม่เคยส่งเสริม ใช้งานเยี่ยงคนใช้เหมือนกับไม่ใช่ลูกของตัวเอง ยัยนั้นก็ไม่เคยพูดว่าร้ายคุณแม้แต่คำเดียว! บอกตรงๆ ผมนะเกลียดคุณเข้าไส้เลย ตั้งแต่ที่รู้ว่าคุณบังคับให้รันรันไปเรียนต่อที่อเมริกา แต่กลับไม่ยอมส่งเสียค่าเล่าเรียน หรือค่าใช้จ่ายแม้แต่บาทเดียว!”

               “........”

               “มิสเตอร์โจนาธาน อังเคย์เคล.. คุณนะ! ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นพ่อของยัยนั้นแม้แต่น้อย..!”

               “........”

               “สตีเฟ่น..” เรเชลเอ่ยเรียกชื่อคู่หมั้นของตนขึ้นมาด้วยเสียงแผ่วเบา ก่อนจะยื่นมือไปกุมมือของคู่หมั้นที่กำลังสั่นเทาเพราะความโกรธ พร้อมทั้งออกแรงบีบเบาๆ เพื่อระงับสติอารมณ์ของอีกฝ่ายที่กำลังขาดผึ่ง พร้อมกับทำท่าจะเอ่ยพูดอะไรบางอย่างออกมา หากแต่แล้วเจ้าตัวก็กลับหยุดชะงักปากของตัวเองเอาไว้ เมื่อดวงตามองเห็นกระดาษจดหมายเมื่อสักครู่นี้ ที่ตนยังไม่ทันจะได้รู้เนื้อหาข้อความภายในจดหมาย ถูกขย้ำทิ้งอยู่ที่ปลายเท้าของคนเป็นคู่หมั้น เรเชลมองกระดาษจดหมายดังกล่าวอยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะก้มตัวลงไปเก็บมาคลี่เปิดอ่านข้อความภายใน..

 

               ..ขอโทษนะสตีเฟ่น ที่ฉันไปโดยไม่บอกกล่าวกับนาย ฉันกลัวว่าถ้าบอกไปแล้ว นายอาจจะห้ามฉันไปก็ได้ ก็เลยตัดสินใจไม่บอกกับนายตรงๆ แต่ว่านายก็ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะ เพราะว่าฉันก็แค่ไปเที่ยวที่ไกลๆ เท่านั้นเอง..

               นี่! สตีเฟ่น.. ฉันนะถ้าเป็นอยู่อย่างนี้ต่อไป คงทำใจไม่ให้เกลียดพ่อของตัวเองไม่ได้แน่! สำหรับเขา.. ฉันจะหายไปเมื่อไหร่ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่ว่าอย่างน้อยก่อนที่ฉันจะหายไป ฉันก็อยากรักเขาจนถึงวินาทีสุดท้าย แม้เขาจะไม่เคยรักฉันเลยก็ตาม.. ฉันในสายตาของนาย คงจะเป็นคนที่บ้าสุดๆไปเลย ใช่ไหมล่ะ?..

 

                                        จากเพื่อนรักของนาย

                                        ..รัตมณี อังเคย์เคล..

 

                 เพียงแค่อ่านข้อความภายในจดหมายดังกล่าวจบ มือบางของเรเชลก็คว้าโทรศัพท์จากมือของสตีเฟ่น มาแนบหูของตน พร้อมกับเอ่ยพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง..

               “มิสเตอร์โจนาธาน ฉันจะพูดกับคุณเพียงแค่ประโยคเดียวเท่านั้น..”

                “.......”

                “ถ้าหากคุณไม่อยากมียัยรันเป็นลูกของตัวเอง ก็ยกให้คนอื่นไปซะ! เพราะยังมีคนอีกมากมาย ที่พร้อมจะรักยัยรันอย่างเต็มหัวใจ

                 “.......”

                “........

               “ลูกสาวทั้งคน ทำไมผมจะไม่รัก..”

               “เอ๊ะ..?”

               “ถึงจะเป็นลูกที่เกิดมาด้วยความไม่เต็มใจของภรรยา แต่รัตมณี อังเคย์เคล ก็คือดวงใจหนึ่งเดียวของผม ที่ปรารถนาอยากให้มีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างมีความสุข แม้ว่าจะไม่มีผมอยู่แล้ว..”

                 “นี่คุณ! หรือว่า..”

 

               อีกทางด้านหนึ่ง..

                ณ.กรุงไคโร ประเทศอียิปต์

                 อา..ร้อนสุดๆไปเลย นี่มันใช่เมืองอียิปต์ หรือว่าในนรกกันแน่ล่ะเนี่ย? ทำไมมันถึงได้ร้อนตับแลบขนาดนี้!”

                “ฮ่าๆ ช่วยไม่ได้ล่ะนะ.. ก็ตอนนี้มันเกือบจะบ่ายสองแล้วนี่น่า! เป็นช่วงที่อากาศร้อนที่สุดของที่นี้นะ แต่ว่ารันนี่ก็ไม่ถูกกับอากาศร้อนเหมือนเคยเลยนะ ตอนแรกก็นึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมรันถึงตกลงใจมาเที่ยวอียิปต์ได้”

                รัตมณีหันไปมองหญิงสาวรุ่นน้องเจ้าของเส้นผมสีแดงซอยสั้น ที่ส่งยื่นแก้วน้ำดื่มมาให้กับตน อยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง ก่อนจะรับแก้วน้ำดื่มดังกล่าวมาถือเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยพูดขึ้นมา..

                “ตกลงรับปากลุงกริซไปตอนเบลอๆนะ ก็เลยเผลอลืมเรื่องที่อียิปต์ เป็นเมืองอากาศร้อนสุดๆ ไปซะสนิท! เฮ้อ..คราวหน้าหลอกชวนพวกลุงๆป้าๆ ไปเที่ยวแถบเมืองหนาวดีกว่า แล้วเธอล่ะ? ส้มโอ.. เธอไม่น่าจะมาเที่ยวได้เลยนี่น่า เพราะตอนนี้เธอกำลังทำโปรเจคจบการศึกษาอยู่ไม่ใช่หรือ? แหวะ..อะไรล่ะเนี่ย? หวานแสบคอชะมัด..!” ท้ายประโยครัตมณีเอ่ยพูดโวยวายขึ้นมาทันที หลังจากจิบน้ำในแก้วที่เพื่อนรุ่นน้องเอามาให้เข้าไป..

                “ฮ่าๆ ชาหวานนะค่ะ”

                 “ชาหวาน? มันจะหวานอะไรขนาดนี้ เดี๋ยวก็ได้เป็นเบาหวานตายกันหรอก” รัตมณีเอ่ยพูดพร้อมกับส่งยื่นแก้วน้ำดังกล่าวคืนให้กับส้มโอ ก่อนจะหยิบขวดน้ำแร่ที่เสียบอยู่ข้างกระเป๋าสัมภาระของตนออกมาดื่ม

                “รันนี่ยังเป็นคนตลกไม่เปลี่ยนเลยนะค่ะ เพราะอย่างงี้ไงล่ะค่ะฉันถึงได้ตามมาเที่ยวด้วย นี่ก็อุตส่าห์หอบงานโปรเจคมาทำถึงที่นี้ด้วยนะค่ะ"

                “ลงทุนจังนะแม่คุณ! ว่าแต่ฉันชักจะอยากรู้ขึ้นมาสักแล้วสิ ว่าร่างกายของพวกลุงๆ กับพวกป้าๆ ทำมาจากอะไรกัน..? ทำไมแต่ล่ะคนถึงได้คึกคักร่าเริงกันสักขนาดนั้น!” รัตมณีเอ่ยพูดขึ้นมา ในขณะที่มองไปยังเหล่าพวกลุงๆป้าๆ ที่กำลังดื่มด่ำไปกับบรรยากาศของทะเลทราย และถ่ายรูปกันชนิดว่าพวกช่างภาพตัวจริง ยังต้องอาย!

                “ฮ่าๆ ทั้งป้าเอ๋ ลุงกริซก็เกษียณงานกันแล้ว พวกป้าพิศ ป้ากมล ลุงชิต พี่มอนก็ไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหนกัน ส่วนยัยวารินเองก็เป็นหนอนคอมพิวเตอร์ เก็บตัวอยู่แต่ในห้อง วันๆไม่ได้ไปไหนกับใครเขา ดังนั้น.. ปล่อยๆไปเถอะ ให้พวกเขาได้สัมผัสกับโลกกว้างให้เต็มที่”

                “ขอประทานโทษนะค่ะ คุณหญิงส้มโอ!.. จะสัมผัสโลกกว้างโลกแคบอะไรก็ไม่ว่าหรอก แต่การที่มาเดินร่อนเร่ถ่ายรูปแชะๆ ทันทีที่ลงจากเครื่อง โดยไม่ยอมไปเช็คอินโรงแรม เพื่อเก็บสัมภาระเอาไว้ก่อน แล้วก็ให้ฉันกับเธอมาเป็นนังแจ๋ว! ต้องมาคอยลาก คอยนั่งเฝ้ากระเป๋าทั้งหลายแหล่ ของพวกคุณท่านทั้งหลายเนี่ย! ไม่ทราบว่าพวกคุณๆ ทั้งหลายจะสัมผัสโลกกว้าง ให้มันถึงแกนโลกไปเลยหรือไงกัน..?” รัตมณีเอ่ยพูดพร้อมกับชี้นิ้วไปที่กองสัมภาระ ที่ตั้งวางกองสุมอยู่ด้านหลังของตนอย่างนึกเคือง

                “ฮ่าๆ..เอาน่าๆ!เดี๋ยวก็ได้เข้าพักในโรงแรมแล้ว เห็นลุงกริซบอกว่าจองโรงแรมสุดหรูไว้ให้เลยนะ แถมลุงกริซยังจะออกเงินค่าที่พักให้กับพวกเราด้วย”

                “โห..ฟังดูดีนะ! หวังว่าโรงแรมสุดหรูของลุงกริซ คงจะไม่ใช่โรงแรมที่มีเหล็กเส้นโผล่มา เพื่อหนีภาษีโรงเรือน ที่อยู่ถัดไปจากพิพิธภัณฑ์ไคโรอีกสามร้อยเมตรหรอกนะ”

                “เอ๋..ท่าทางเหมือนรันรู้ดีจัง เคยมาที่อียิปต์เหรอ?”

                “ไม่มีทาง! ร้อนสักขนาดนี้ฉันไม่ยอมมา เพื่อกลายเป็นหมูปิ้งตากแห้งอยู่แถวนี้แน่ๆ”

                “อ้าว..? หรือว่าศึกษาข้อมูลมาล่วงหน้าอย่างงั้นเหรอ?”

                “เปล่า..มีเพื่อนอยู่ที่นี้ต่างหาก!หมอนั้นมันเป็นคนช่างพูดนะ.. เล่าเรื่องอียิปต์สารพัดสารเพ ว่าเป็นประเทศโลกที่สาม มีการจราจรแออัด มีพวกหัวรุนแรงปะปนอยู่ในกลุ่มชาวบ้าน แต่ก็มีดีตรงที่เป็นประเทศแห่งอารยธรรมโบราณ แล้วก็ยังเล่าถึงเรื่องราวต่างๆ ในประเทศนี้อีกสารพัดเลยล่ะ! ถึงจะไม่อยากฟังสักเท่าไหร่ แต่พอเจ้าบ้านั้นมันเล่ามากๆ ฉันก็เลยเผลอไปจำเข้าจนได้นะ”

                “สุดยอดไปเลยนะรัน.. วิเศษจริงๆที่มีเพื่อนอยู่ที่นี้”

                “วิเศษเหรอ? หึ!..ลองเธอได้ฟังหมอนั้นมันจ้อก่อนเถอะ รับรองว่าเธอได้รู้สึกหนาวไปถึงทรวง”

                “เอ๊ะ..หนาวถึงทรวง?”

“นี่ถ้าหากรู้ว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่นี้ล่ะก็.. พนันได้เลยว่าเจ้าบ้านั้น จะต้องรีบแจ้นมาหาฉันถึงที่อย่างแน่นอน”

                “แหม..ท่าทางจะสนิทกันจังนะค่ะ”

                “อา..สนิทกัน ชนิดที่เรียกว่าสลัดทิ้งไม่หลุดเลยล่ะ!”

                “แล้วเพื่อนของรันคนนั้น เขาอยู่ส่วนไหนของอียิปต์เหรอ..?”

                “อยู่ที่ไหนนะเหรอ? อือ..เรื่องนั้นฉันเองก็จำไม่ได้แล้วล่ะนะ..”

                “เอ๋..ทำไมล่ะค่ะ? รันเป็นเพื่อนสนิทกับเขาไม่ใช่หรือ?”

                “ก็นะ..เธอเองก็รู้นี่น่า! เรื่องที่ฉันไม่ถูกกับอากาศร้อนแบบสุดๆ ดังนั้น.. ตอนที่ได้ยินว่าบ้านของเจ้าบ้านั้น อยู่ที่ประเทศอียิปต์ ฉันก็เลยจัดการปักหมุดบ้านของหมอนั้นเอาไว้ในรายชื่อสถานที่ ที่จะไม่ไปเหยียบอย่างเด็ดขาด!”

                “ฮ่าๆ เพราะอย่างงั้นก็เลยลืมสินะค่ะ..”

                “ถูกเผง!”

                “แล้วเพื่อนของรัน เขาทำอะไรที่อียิปต์เหรอ..?”

                 “อืมม์..ก็ทำหลายอย่างนะ แต่เท่าที่จำได้รู้สึกว่าเจ้าหมอนั้น จะชอบรับจ๊อบทำงานเป็นไกด์ พานักท่องเที่ยวต่างชาติทัวร์ทะเลทรายในเวลาว่างนะ”

                “เป็นไกด์ในเวลาว่าง? แล้วงานหลักของเขาล่ะค่ะ..?”

                “เจ้าของบริษัทส่งออกผ้าทอ ภาคตะวันออกกลางนะ..”

                “เอ๋!!..เจ้าของบริษัทใหญ่โตแบบนั้น มารับจ๊อบเป็นไกด์พาทัวร์เนี่ยนะ!?”

                หึ! เป็นคนที่บ้าสุดโต่งไปเลยใช่ไหมล่ะ..?”

                “ฮ่าๆ ก็นะ.. แล้วเขาชื่อว่าอะไรหรือค่ะ?”   

                “เออ..ชื่อว่าอะไรแล้วหว่า? อ่อ..ใช่ๆ ฮิมมาล ซาอิด กลอเฟียเรีย..

                “เฮ..รันจังนี่น่า!” เสียงทักทายที่ดังมาแต่ไกล ทำให้รัตมณีและส้มโอพร้อมใจกันหยุดคุยไปโดยปริยาย พร้อมกับทั้งคู่หันหน้าไปมองยังคนที่กำลังส่งเสียงทักทาย และโบกมือหย่อยๆในขณะที่กำลังวิ่งเข้ามาหาพวกตน..

                “อ้าวนั้นมันคุณไกด์สุดหล่อ ที่ลุงกริซให้ดูภาพเมื่อสี่วันก่อนนี่น่า.. ว๊าว! ตัวจริงก็หล่อล่ำบึ่กไปเลยนะเนี่ย รันเห็นด้วยไหมล่ะว่าเขาหล่อสุดๆไปเลย..” ส้มโอเอ่ยพูดขึ้นมา ก่อนที่ท้ายประโยคจะหันมาถามเพื่อนสาวที่เป็นรุ่นพี่ของตน แต่เจ้าตัวก็กลับต้องกลอกลูกตาในเบ้าตาไปมาด้วยความงุนงง เมื่อคนเป็นรุ่นพี่ของตน ไม่มีท่าทีดีใจที่ได้เห็นหนุ่มหล่อแล้ว แถมยังถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ราวกับว่าโลกนี้ได้จบสิ้นลงแล้วอีกต่างหาก! “เออ..เป็นอะไรหรือเปล่ารัน? ร้อนจัดจนหมดอารมณ์ดูหนุ่มหล่อเลยหรือไง?”

                “เหอะๆ พูดถึงผีบ้าไม่ทันไร.. ผีบ้าก็ดันจ๊ะเอ๋ออกมาเดินตอนกลางวันแดดร้อนเปรี้ยงๆเลยนะ! ทำไมไกด์ถึงเป็นนายได้ล่ะเนี่ย?! ซาอิด.. รัตมณีไม่สนใจรุ่นน้องของตน ที่กำลังนั่งอ้าปากเหวอด้วยความงุนงง แต่หันไปโวยใส่เพื่อนชายตัวดี ที่กำลังหัวเราะเสียงดังลั่น และยื่นมือมาดึงเส้นผมของเธอเป็นการทักทายทันที

                “ดีใจจริงๆ ในที่สุดรันจังก็ยอมมาบ้านของผมแล้ว คิดถึงจริงๆเลย ไม่ได้เจอกันตั้งแต่เรียนจบจากอเมริกาสินะ? นี่ถ้าพวกพอลและสตีเฟ่นรู้ว่าคุณมาที่นี้ล่ะก็.. พวกนั้นจะต้องช็อกจนน้ำลายฟูมปากแน่ๆเลย เพราะพวกนั้นพนันกับผมไว้ว่า คุณจะไม่มาบ้านผมที่อียิปต์อย่างแน่นอน เพราะอากาศที่นี้ร้อนสุดๆ..”

                “........”

               “แต่ในที่สุดรันจังก็มาแล้ว ฮ่าๆ แบบนี้ต้องจัดงานฉลองให้ยิ่งใหญ่ไปเลย”

                “........”

               “ตอนแรกที่ได้ยินชื่อของรันจัง จากมิสเตอร์คมกริซ ผมก็ยังนึกลังเลอยู่ว่าใช่หรือเปล่า?”

                “........”

               “ผมนอนคิดแล้วคิดอีก นั่งคิดเดินคิด ตอนกินอาหารก็ยังคิด และในที่สุดผมก็ตัดสินใจเชื่อในลางสังหรณ์ของตัวเอง เลยบอกว่าถ้าจ้างผมเป็นไกด์ จะลดให้ห้าสิบเปอร์เซ็นเลย”

                “.......”

                “แต่ตอนนี้ได้พบรันจังตัวเป็นๆแล้ว มิสเตอร์คมกริซครับ!.. ผมเปลี่ยนใจแล้วจะลดค่าไกด์ให้คุณเป็นแปดสิบเปอร์เซ็นเลยครับ แล้วเดี๋ยวจะพาไปพักโรงแรมชั้นนำของที่นี้ แล้วบอกให้เขาลดราคาให้พวกคุณห้าสิบเปอร์เซ็นต์ด้วยครับ”

                “โอ้..ขอบคุณมากๆครับ มิสเตอร์ฮิมมาล”

                “.......”

               “ดูเหมือนฉันพอจะเข้าใจความหมาย ของอาการหนาวไปถึงทรวงแล้วล่ะค่ะ ฮ่าๆ หล่อลากไส้ก็จริง.. แต่ว่าพูดมากจนฟังแทบไม่ทันเลย!” ส้มโอเอ่ยพูดเสียงกระซิบขึ้นมา หลังจากที่ไกด์หนุ่มหล่อตัวดี เดินไปพูดอะไรกับพวกลุงๆป้าๆ ที่ยืนห่างออกไป..

                “นี่นะถือว่ายังน้อยไป!.. ฉันเป็นเพื่อนกับเจ้าบ้านี้ตอนสมัยเรียนที่อเมริกา เจ้านั้นมันพูดจนคนอื่นพากันหนีหน้า แล้วฉันที่ดันไปทักมันเข้า ก็เลยพลอยซวยโดนเจ้าบ้านี้เกาะติดหนึบไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะในคลาสเรียน หรือตอนทำงานพิเศษ หรือตอนกินข้าว มันก็ตามมาจ้ออยู่ข้างๆตลอด”

               “ฮ่าๆ รำคาญแย่เลยสินะ”

                “ใช่..รำคาญสุดๆ แต่ว่าหมอนั้นก็เป็นเพื่อนที่ไม่เลวล่ะ! ผู้ชายด้วยกันยังยอมแพ้ในความเป็นสุภาพบุรุษของเจ้าบ้านั้นเลย ทั้งที่เป็นลูกครึ่งอิตาลีอียิปต์แท้ๆ แต่ก็ไม่เจ้าชู้ รักเดียวใจเดียว เหล้าก็ไม่ดื่ม ยาเสพติดก็ไม่ยุ่ง เสียอย่างเดียวคือเรื่องปากมาก! จนทำให้สาวๆพากันหนีหน้าไปหมด ตอนนี้ก็เลยโสดสนิท ดูเหมาะเป็นคนรักเลยใช่ไหมล่ะ? เธอไม่สนบ้างหรือไง? ส้มโอ..” ท้ายประโยครัตมณีแกล้งหันมาถามรุ่นน้องของตน เนื่องจากเห็นอีกฝ่ายแอบเหล่มองเพื่อนชายของเธอ ที่กำลังยืนคุยฟุ้งอยู่กับพวกลุงๆป้าๆ..

                “บ้าน่า! รันพูดอะไรก็ไม่รู้.. รันเองก็โสดไม่ใช่หรือ? แถมยังเป็นเพื่อนกับคุณซาอิดมาตั้งนานแล้วด้วย ทั้งคู่น่าจะเข้ากันได้ดีนะ..”

                “อย่าพูดอะไรให้ฉันสยองสิ! ถึงจะอยากได้แฟนสักคนแค่ไหน? แต่ว่าหมอนี้เป็นข้อยกเว้น สำหรับฉัน! เจ้าบ้านั้นถึงขั้นไปนั่งจ้อหน้าตาเฉย ตอนฉันกำลังจะเปลี่ยนชุดในห้องพักมาแล้ว แถมขนาดฉันแกล้งโยนกางเกงในใส่หัวของมัน เจ้าบ้านั้นก็ยังนั่งจ้อแบบไม่สะทกสะท้านอีก”

                “ฮ่าๆ คุณซาอิดจะเรียกว่าเป็นคนเหลือรับ หรือว่าเป็นคนที่สุดยอดไปเลยดีนะค่ะ?”

                “ไม่รู้สินะ..เพราะสำหรับฉันหมอนั้นถึงจะบ้าจนใครๆ เบือนหน้าหนีไป แต่ยังไงก็เป็นเพื่อนรักของฉันที่พึ่งพาได้ล่ะนะ.. เฮ้อ! ร้อนชะมัด! ไม่ไหวๆ.. ฉันไปหาที่หลบอากาศร้อนสักหน่อยดีกว่า! เชิญเธอนั่งชื่นชมความหล่อของเจ้าบ้าซาอิดไปก็แล้วกัน” ท้ายประโยครัตมณีแกล้งเอ่ยพูดแซวรุ่นน้องของตน ที่ยังคงนั่งแอบเหล่ตามองไปทางชายหนุ่มผู้เป็นเพื่อนของเธอ ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาที่หลบอากาศร้อน เนื่องจากตัวเธอเริ่มจะรู้สึกตาลายๆ วิงเวียนศีรษะ เหมือนจะมีอาการโลกมืดขึ้นมาเนื่องจากอากาศที่แสนจะร้อนอบอ้าว..

               

                “เฮ้อ..ค่อยรู้สึกเย็นขึ้นมาหน่อย!” รัตมณีถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมา หลังจากที่สามารถพาตัวเองเข้ามานั่งหลบแดดอยู่ในซากวิหารแห่งหนึ่ง ที่อยู่ไม่ไกลจากจุดที่เหล่าผ่องเพื่อนรุ่นลุงรุ่นป้าของตัวเอง กำลังถ่ายรูปกันอยู่ และหลังจากนั่งมาได้เนิ่นนานพอสมควร จนกระทั่งอาการแพ้แดดเริ่มหายไปแล้ว รัตมณีก็เริ่มจะหันหน้ามองไปรอบๆ วิหารที่ตนเองเข้ามานั่งหลบแดด

                “เอ๊ะ?วิหารนี้ดูแปลกชะมัดเลย ทั้งที่ภายในก็ดูโล่งกว้างอากาศสามารถถ่ายเทได้สะดวก แสงสว่างก็น่าจะส่องได้ทั่วถึงแท้ๆ แถมตอนนี้ด้านนอกของวิหาร ก็ยังมีแสงแดดจ้าสักขนาดนั้น.. แต่ทำไมภายในวิหารมันถึงได้มืดเหมือนกับกลางคืน แล้วอากาศก็เย็นสบายยังกับว่ากำลังนั่งอยู่ในห้องแอร์เลยล่ะเนี่ย!” รัตมณีเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาอย่างนึกสงสัย ในขณะที่คิ้วเรียวบนใบหน้าสวยก็ขมวดเข้าหากันแน่น

                ..ฟ่อ..ฟ่อ..ฟ่อ..  

                เสียงอะไรบางอย่างที่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ทำให้รัตมณีทิ้งความสงสัยดังกล่าวเอาไว้ พร้อมทั้งหันไปมองยังทิศทางที่มาของเสียงดังกล่าวทันที และภาพของสัตว์เลื้อยคลานตัวใหญ่ ที่กำลังส่งเสียงขู่ฟ่อๆ อยู่ตรงบริเวณข้างรูปปั้นหิน ก็ทำให้ดวงตาคู่คมสีฟ้าเข้มของรัตมณีสว่างวาบขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่มืออวบๆของเจ้าตัว จะยื่นไปคว้าหมับเข้าที่ลำคอของอสรพิษตัวร้ายอย่างรวดเร็ว!

                “โทษทีนะ! แต่ฉันยังไม่อยากออกไปตากแดดร้อนเปรี้ยงๆ ดังนั้น.. แกช่วยออกไปทีนะเจ้างู!” เอ่ยพูดจบประโยค รัตมณีก็เขวี้ยงร่างของเจ้างูตัวใหญ่ที่อยู่ในมือของตน ออกไปด้านนอกของวิหารทันที ก่อนจะพิงร่างกายของตัวเองกับรูปปั้นหินอีกครั้ง แต่แล้วช่วงจังหวะที่รัตมณีหันไปมองยังซอกหลืบ ที่อยู่บริเวณด้านข้างของรูปปั้นหินดังกล่าว ดวงตาคู่คมของรัตมณีก็ได้เห็นข้อความอะไรบางอย่างสลักอยู่บนฝาผนังวิหาร..

                “เอ๋..อะไรล่ะเนี่ย? สเมน..สเมนคา..อะไรฟ่ะ?” รัตมณีเอ่ยพูดขึ้นมาอย่างหงุดหงิด เมื่ออ่านข้อความดังกล่าวไม่ถนัด ก่อนจะลุกขึ้นนั่งย่องๆ และยื่นใบหน้าเข้าไปจนเกือบจะชิดฝาผนัง พร้อมทั้งใช้ฝ่ามือของตนปัดเช็ดคราบฝุ่นที่บดบังข้อความออกไป ก่อนจะอ่านข้อความดังกล่าวอีกครั้ง..

               “..สเมนคารา นามแห่งฟาโรห์ ผู้ถูกเรียกขานว่าเทพสงคราม บุรุษผู้มีรูปโฉมงดงาม ดุจดั่งรูปสลัก มีปัญญาเป็นเลิศหาใดเปรียบ เป็นชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม ที่เหล่าอิสตรีทั่วหล้า หรือแม้นแต่ชายชาติบุรุษ ต่างล้วนต้องสิเน่หา.. หึหึๆ ฟาโรห์องค์นี้มันอย่างไงกันล่ะเนี่ย..? รูปงามจนกระทั่งผู้ชายด้วยกันยังหลงรักเลยหรือ? แบบนี้ถ้าไม่หล่อขั้นเทพ ก็สงสัยจะเป็นพวกเสือไบแน่ๆเลย อ๊ะ..เดี๋ยวนะ! หรือว่ารูปปั้นหินนี้! จะเป็นของฟาโรห์องค์นี้...” รัตมณีเอ่ยพูดแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นหินที่อยู่ตรงหน้าของตนทันที แต่แล้วเจ้าตัวก็ต้องถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง เพราะรูปปั้นหินดังกล่าว ตรงส่วนที่เป็นศีรษะนั้นได้ถูกทำลายไปเสียแล้ว แต่ว่าถึงกระนั้นดวงตาคู่คมของรัตมณี ก็กลับยังคงไล่สายตามองรูปปั้นหินดังกล่าวอย่างพิจารณา พร้อมทั้งภายในใจก็เริ่มคิดจินตนาการไปถึงตัวจริง ของเจ้าของรูปปั้นดังกล่าว..

               “ดูจากรูปร่างของรูปปั้นหินแล้ว ท่าทางจะเป็นคนที่ดูดีไม่ใช่เล่นเลยนะ..เฮ้อ!แล้วนี่เราจะไปจินตนาการถึงคนในยุคเมื่อสองสามพันปีก่อนทำไมกันนะ? โอ๊ะ!..ตรงนี้ก็มีข้อความอยู่ด้วยเหรอเนี่ย?” ท้ายประโยครัตมณีเอ่ยพูดขึ้นมา เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นตัวอักษรไฮเออโรกลิฟิคตัวหนึ่ง โผล่อยู่บนฝาผนังด้านหลังของรูปปั้นหิน ตรงบริเวณช่วงขาของรูปปั้น ก่อนจะพยายามยื่นมือสอดเข้าไปในช่องแคบๆ ระหว่างช่วงขาของรูปปั้นหิน ไปปัดฝุ่นหนาเขลอะที่บดบังตัวอักษรที่เหลืออยู่ พร้อมทั้งพยายามยื่นใบหน้าเข้าไปให้ใกล้ที่สุด เพื่อที่จะอ่านข้อความดังกล่าว..

               “อือ..เขียนว่าอะไรกันนะ? ตัวสิงโตงั้นเหรอ? อ่อ..ใช่ๆ! อ่านว่า..ทว่า ช่างน่าเศร้ายิ่งนัก ชายผู้ที่เพียบพร้อมไปด้วยทุกสรรพสิ่งกลับไม่เคยรัก หรือเชื่อใจใครผู้ใดเลย กล่าวกันว่า.. ชั่วชีวิตของฟาโรห์สเมนคาราที่มีให้กับการทำสงคราม เพื่อปกป้องราชอาณาจักร ผู้ที่ได้รับความรัก และความไว้วางใจจากพระองค์ มีเพียงแค่สัตว์เลี้ยงตัวโปรด ที่คอยอยู่เคียงข้างพระองค์จนถึงวาระสุดท้ายเท่านั้น..” รัตมณีอ่านข้อความดังกล่าวจบแล้ว ก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรูปปั้นหินดังกล่าวอีกครั้ง พร้อมทั้งลุกขึ้นยืนเต็มความสูงของตน ในขณะมืออวบๆก็ยื่นไปสัมผัสตรงบริเวณใบหน้าของรูปปั้นหินที่ถูกทำลายจนมองเค้าเดิมไม่ออก..

               “หึ! เราทั้งคู่ตรงกันข้ามเลยนะ ฟาโรห์สเมนคารา.. ตัวท่านมีผู้คนมากมายหลงรัก แต่ท่านกลับไม่รักผู้ใดเลย ส่วนฉันอยากเป็นที่รักของใครสักคน แต่กลับไม่มีใครรักฉัน แม้แต่พ่อแท้ๆของฉันเอง..”

               “เฮ..รันจัง! เข้าไปทำอะไรในซากวิหารนั้นนะ..? ที่นั้นไม่รู้ว่าจะมีงู หรือพวกสัตว์มีพิษอยู่หรือเปล่า ออกมาเถอะครับมันไม่ปลอดภัย นี่ขนาดว่าอยู่ตรงที่โล่งนี้ เมื่อกี้ก็ยังมีงูตัวใหญ่ลอยมาจากไหนก็ไม่รู้เลยนะครับ..”

               “ฉันรู้แล้วซาอิด! เดี๋ยวออกไป..” รัตมณีเอ่ยพูดตะโกนตอบโต้คำพูดของเพื่อนชายของตนที่เอ่ยพูดตะโกนเข้ามาในวิหาร ก่อนจะยกมืออีกข้างวางลงที่ใบหน้าของรูปปั้นหินอีกด้าน แล้วเอ่ยพูดพึมพำขึ้นมาเบาๆ พร้อมกับยื่นใบหน้าไปซบตรงบริเวณช่วงอกของรูปปั้น ในขณะที่สองมือก็อยู่ในลักษณะท่าทาง โอบประครองใบหน้าของรูปปั้นหินดังกล่าวเอาไว้..

               “ถ้าหากพวกเราได้พบกัน ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่มันคงจะดีไม่ใช่น้อย ท่านเองก็คิดเหมือนกันสินะ? ฟาโรห์สเมนคารา..” รัตมณีเอ่ยพูดจบประโยค ก็ผละใบหน้าออกห่างจากรูปปั้นหิน พร้อมกับคลี่รอยยิ้มเศร้าๆ ให้กับรูปปั้นหินดังกล่าวชั่ววูบหนึ่ง ก่อนจะหันหลังเดินออกไปจากซากวิหารดังกล่าว

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9.5 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา