Kingdom Guardian

8.7

เขียนโดย mimosa

วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 23.09 น.

  14 chapter
  1 วิจารณ์
  22.62K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 กันยายน พ.ศ. 2557 21.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) Kingdom Guardian begin 2 : Destruction and begin

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

     

Kingdom Guardian begin 2

 

Kingdom Guardian begin 2 : Destruction and the beginning

 

                        การ เหาะด้วยตนเอง นั่งบนหลังสัตว์ที่สามารถบินได้ขนาดยักษ์เป็นภาพปกติของอาณาจักรลาพิวต้า ถ้าจะให้ขี่ม้า ม้าก็ต้องมีปีก เป็นเรื่องธรรมดาที่ประชากรแห่งอาณาจักรลาพิวต้าหรืออาณาจักรลอยฟ้าแห่งนี้ จะสามารถบินได้กันเกือบหมดทุกคนเพราะสภาพแวดล้อมกับความคิดเผื่อเกิดเหตุฉุก เฉิน บินกันได้หมดเปอร์เซ็นต์ปลอดภัยจึงสูงกว่า มือเล็กๆจับทัพพีคนซุปที่อยู่ภายในหม้อให้เข้ากันก่อนจะตักขึ้นมาเทใส่จานขนาดเล็กที่มีไว้สำหรับใส่ชิม เมื่อคิดว่ารสชาติใช้ได้แล้วก็จัดการตักใส่ชามที่เตรียมไว้

“ทำเสร็จแล้วเหรอเอเลน?” หญิงสาววัยกลางคนเดินเข้ามาถาม

“ครับ แต่ไม่รู้จะถูกปากพวกคุณลุงหรือเปล่า” เด็กน้อยหันมาตอบพลางก้มหน้ากังวลเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวเห็นดังนั้นก็ลองตักชิมดู

“รสชาติใช้ได้นี่จ้ะ แม่ว่าพวกคุณลุงเขาต้องชอบแน่ๆ” เธอพูดด้วยรอยยิ้มพลางลูบหัวลูกชายของเธอ

“จริงๆนะ” เอเลนเงยหน้าขึ้นมามองคนเป็นแม่ แววตาเป็นประกายสดใสด้วยความดีใจ

“จริง สิ แม่ว่าเรายกไปทั้งหม้อเถอะจ้ะ เพราะแม่คิดว่าพวกคุณลุงเขาต้องขอเติมอีกแน่นอน” คนเป็นแม่พูดด้วยรอยยิ้มก่อนที่สองคนแม่ลูกจะช่วยกันยกซุปออกไปที่ห้องอาหาร เนื่องจากไม่มีโต๊ะทำให้ต้องวางหม้อซุปขนาดใหญ่ไว้ตรงกลางวงซึ่งสมาชิกทุๆคนในบ้านจะมานั่งล้อมวงกันเพื่อทานอาหาร เอเลนนั่งลุ้นอยู่ข้างแม่เมื่อซุปคำแรกเข้าปากเหล่าสมาชิกในครอบครัวคนอื่นๆ

“เป็นไงบ้างครับ?” อดถามด้วยความกังวลไม่ได้ ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทำอาหาร แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ทำให้พวกลุงๆกิน ดังนั้นจึงค่อนข้างเป็นกังวลว่ารสชาติจะถูกปากหรือเปล่า

“นี่มันช่าง...” คำพูดเว้นช่วงของชายหนุ่มวัยกลางคน ผมสีดำผู้ปิดตาข้างหนึ่งด้วยที่ปิดตาสีดำดูคล้ายโจรสลัด ทำให้เอเลนกลั้นใจแต่ก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกในประโยคต่อมา “ช่างอร่อยมากๆเลยล่ะ ทำซุปสวรรค์ได้อร่อยเหมือนแม่เลยนะเอเลน”

“แซมมาเอลก็ชมเกินไป ก็แค่พอกินได้”เสียงนิ่งๆดังมาจาก เอ็มเบอร์ หญิงสาวผมสีแดงเพลิงผสมเลือดนกทำเอาเด็กน้อยใจแป้วแต่ในประโยคต่อมาของคุณเธอก็พอทำให้เด็กชายชื่นใจขึ้นมาบ้าง “จะอร่อยกว่านี้ถ้าใส่ซอสพริก”

“ผมจะ ปรับปรุงครับ” เอเลนพูดทั้งยิ้มแก้มแทบปริ รู้สึกดีใจที่พวกคุณลุงชอบ

“พี่ชาย ท่านพ่อเป็นยังไงบ้าง?” หญิงสาววัยกลางคนถามทำให้แซมมาเอล หยุดชะงักในท่าที่กำลังจะยกช้อนขึ้นจากชาม

“ท่านนอนนานขึ้น นั้นไม่ดีเลยคาร่า” แซมมาเอล พึมพำแต่มันดังพอที่จะทำให้ได้ยินกันทั้งบ้าน “งั้นเหรอคะ”

“ว่าแต่ คริสเตียน ล่ะคาร่า?” หลังจากคำถามพาเครียดกับบรรยากาศที่เกือบจะซึมเศร้าเมื่อครู่ เบียทริก หญิงสาววัยกลางคนผมทอง นัยน์ตาสีฟ้า ก็ถามขึ้นมาเพื่อเบี่ยงเบนเรื่องไม่ให้เครียด “เห็นว่าราชทูตมีอาการแปลกๆ คริสเตียนเลยไปตรวจดูน่ะ” คาร่าตอบ บรรยากาศเมื่อครู่จากที่เกือบตึงเครียดกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

“เอเลน เมื่อวานฉันเห็นเธอบอกกับพวกแช็ค ว่าอยากออกไปโลกข้างล่าง จริงหรือเปล่า” เอ็มเบอร์พูดขึ้นเสียงเรียบแต่มันกลับทำให้ภายในห้องอาหารกลับมาเครียดอีกครั้ง คาร่าหันมามอง ดวงตาสั่นระริก ด้วยความกลัว

“เอเลน ลูกคิดอะไรของลูกน่ะ!!โลกข้างล่างมันอันตรายนะ!”

“ผมรู้น่า...แต่...ผมอยากรู้ อยากเห็นด้วยตาของตนเอง คุณตาเคยเล่าให้ฟังถึงสิ่งที่เรียกว่าท้องทะเล ผืนป่าและขุนเขา และจากที่พวกคุณลุงและพวกพี่เล่า ถึงจะโหดร้าย แต่มันก็สวยงามมาก ผมอยากเห็นด้วยตาของผมเอง ถึงสถานที่ ที่พวกเราเคยอยู่”

“ไม่ได้นะ...”

“คาร่า พอเถอะ”

“แต่ พี่ชาย”

“เอเลน โลกข้างล่างมันโหดร้าย แต่ในขณะเดียวกัน มันก็สวยงามมากๆ ความปรารถนาของหลาน เขาเรียกว่า พวกที่พยายามตามหาอิสรภาพ พวกที่พยายามตามหาชีวิต ในตอนนี้หลานไม่มีอิสระงั้นเหรอ?”

“ก็...ไม่เชิงว่ามีหรือไม่มีหรอกครับ”

“อิสระน่ะ ไม่จำเป็นต้องไปไกลหรอก มันอยู่ที่ใจของเราต่างหาก”

“ก็จริง แต่ว่า...”

“เอเลน พี่เขาใจ” หลังจากการสนทนาที่ดูเหมือนเอเลนจะดื้อลั่นจนขนาดคนเป็นลุงยังเกลี้ยกล่อมยาก ทำให้ กาเบลีย เด็กหนุ่มผมสีนิลผู้ปิดตาข้างหนึ่งด้วยผ้าปิดตาสีขาว ข้างเดียวกับที่พ่อของเขา แซมมาเอล ปิด คนที่แทบจะเป็น หัวโจ่กของกลุ่มพูดขึ้นทำให้ทั้งห้องหันมามอง

“กาเบลีย หลาน...”

“ใจเย็นๆครับ อาคาร่า เอเลน ที่นั้นคือบ้านเก่าของเราและอิสรภาพของเรา จริงมั้ย?”

“อืม”

“แต่เพราะมันอันตราย น้องจึงยังต้องอยู่ที่นี่ก่อน ไว้พอโลกข้างล่างพร้อมที่จะลงไปเมื่อไร พี่สัญญาว่าจะกลับมารับน้องไปผจญภัยที่โลกข้างล่างนั้น”

“แต่...ผมไม่อยากรออยู่เฉยๆนี่นา” เอเลนพูดพลางก้มหน้า

“น้อง ยังอ่อนแอ เอเลน ขอยอมรับเรื่องพลังใจของน้อง แต่แค่นั้นเอาตัวรอดในโลกข้างล่างไม่ได้หรอก” กาเบลียพูดเสียงเรียบ แต่นั้นก็เป็นเหตุผลที่เถียงไม่ได้แต่เอเลนก็ยังดื้อรั้นอยู่ซึ่งกาเบลียรู้ ดี “เพราะงี้ไงเราถึงต้องรู้ข้อมูลของโลกข้างล่างและฝึกเพื่อเตรียมพร้อมไว้ เดี๋ยวพวกเราจะฝึกทุกๆอย่างให้น้องเองแต่ในระหว่างที่พวกเราไม่อยู่ น้องก็ฝึกปรือพลังจากโรงเรียนไปก่อนก็แล้วกัน กลับมาครั้งหน้า เดี๋ยวพี่จะสอนวิชาการเอารอดเพิ่มเติมให้” จากที่จะเถียงในตอนแรก อารมณ์ของเอเลนก็เย็นลงทันทียิ่งประโยคต่อไปมันยิ่งทำให้เขารู้สึกดีใจมากๆ

“พี่จะเตรียมพร้อมน้องเพื่อให้สามารถมีชีวิตรอดในโลกข้างล่างได้ และพอถึงเวลานั้น พวกเราก็จะได้ไปผจญภัยด้วยกันยังไงล่ะ”

“อืม”

“ห้ามเขาไปก็เท่านั้นคาร่า” แซมาเอลหันมากระซิบกับน้องสาวในขณะที่พวกเด็กๆกำลังคุยกัน

“รู้คะพี่ชาย แต่ หนูไม่อยากสูญเสียลูก” คาร่ากระซิบตอบกลับ

“พี่รู้ และพี่ขอสัญญาว่าน้องจะไม่สูญเสียเขาแน่นอน เพราะฉะนั้น อย่าขัดขวางนกที่กำลังจะโผปีกบินเลยนะ อีกอย่างเขาไม่ได้จะไปกันตอนนี้สักหน่อย น้องอย่าเพิ่งร้อนรนไป” แซมมาเอล พูดพลางยิ้มบางๆก่อนจะตักซุปเข้าปาก คาร่าหันมามองผู้เป็นพี่ชายก่อนจะถอนหายใจ

“ก็จริงของพี่นะคะ หนูจะเชื่อใจพี่และเอเลนก็แล้วกันคะ” คาร่าพูดพลางยิ้มบางๆตามพี่ชาย

 

+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

          2 ปีหลังจากนั้น

                         เด็ก ชายวิ่งรัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย แต่พอออกมาจากซอยแล้วกลับจ๊ะเอ๋กับฝูงคนขนาดใหญ่ แก้มใสพองด้วยความไม่พอใจ คิ้วเรียวสวยขมวดมุ่น พยายามกระโดดชะเง้อมองผ่านฝูงชนไปให้ได้แต่สุดท้ายก็ไม่เห็น ใบหน้ามนหันไปมองหลังคาสลับกับฝูงชน มองเช่นนั้นสักพักก่อนจะตัดสินใจกระโดดรวดเดียวขึ้นไปอยู่บนหลังคา รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าเมื่อพบกับขบวนนักสำรวจบุกเบิกที่นำขบวนด้วย รัชทายาทแห่งอาณาจักรลาพิวต้าตามขบวนด้วยเหล่าเลือดเนื้อเชื้อไขของกษัตริย์ และพวกขุนนางกับพวกผู้ติดตามทั้งหลาย ดวง ตาสีเขียวมรกตสบกับดวงตาสีฟ้าของญาติผู้พี่ที่มองสบมา เอเลนโบกมือให้กับกาเบลียที่กำลังเดินตามหลังแซมมาเอลผู้เป็นพ่อ ใบหน้าคมที่ดูเกือบจะเย็นชายกยิ้มอ่อนโยนให้กับญาติผู้น้องที่ลงทุนขนาดปีน ขึ้นไปดูคณะสำรวจบุกเบิกพื้นที่ของพวกเขาบนหลังคาบ้านใครก็ไม่รู้

“สาวสวยมาส่งถึงที่แบบนี้ ใจชื้นมากๆเลยเนอะ” ลีออน เด็กหญิงผมสีทองตัดสั้นพูดยิ้มๆพลางโบกมือตอบกลับเอเลนนิดๆ ทำให้กาเบลียเหล่ตามองส่วน เจสซิก้า น้องสาวฝาแฝดของลีออนก็หัวเราะคิกคักนิดๆ

“สาวสวยเหรอ พูดเรื่องอะไรน่ะ?” กาเบลียทำเป็นไม่ใส่ใจทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าน้องสาวของเขาคิดจะสื่อถึงอะไร

“อะไรกัน ก็เอเลนน่ะสิสาวสวยน่ะ นี่ถ้าโตขึ้นคงสวยเหมือนอาคาร่าแน่ๆ” ลีออนพูดยิ้มๆ

“ว่าพาเอเลนไปประกวดนางงามคงได้รางวัลที่หนึ่งไม่ก็ที่สอง น่ะนะ” เจสซิก้ากล่าวอย่างเห็นด้วย “ไปซะแล้วน้องสาวฉัน” กาเบลียพึมพำอย่างเอือมๆแต่ในใจลึกๆก็อดเห็นด้วยไม่ได้

“หึๆ เรากำลังจะเดินผ่านประตูกันแล้วนะน้องๆ” แช็ค พี่ใหญ่ของกลุ่มพูดขึ้นยิ้มๆทำให้สองน้องสาวที่กำลังหัวเราะกันคิกคักถึง โปรแกรมที่จะกลับมาทำในครั้งหน้าหยุดลง...แค่แปบเดียว...ก่อนจะกลับมาคุยกัน ต่อ

“กลับมาครั้งหน้าจะเป็นยังไงกันนะ” ราฟาเอลหรือราฟ เด็กหนุ่มผมสีแดงเพลิงพึมพำ

“ที่นี่ถูกป้องกันด้วยพายุหมุนแห่งกาลเวลาที่บิดเบือนตลอด มันก็ตอบยากนะว่าพอกลับมาแล้วที่นี่จะเป็นยังไง” แช็ค ตอบในขณะที่พวกผู้ใหญ่กำลังเปิดประตูมิติเพื่อไปยังอีกมิติหนึ่ง

“ถ้าพวกเราได้กลับมาด้วยน่ะนะ” โรวีน่า เด็กหญิงผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนน้องเล็กของกลุ่มพึมพำทำให้ทั้งหมดหันมามอง

“อันนั้นมันก็จริง แต่พวกเราจะได้กลับมาแน่นอน” กาเบลียพูดเสียงเรียบพลางหันไปมองพวกผู้ใหญ่ที่สามารถเปิดประตูมิติได้แล้ว

“นายรู้ได้ยังไง?” ราฟ หันมาถามรู้สึกหมั่นไส้นิดๆกับท่าทางสุขุมของอีกฝ่าย

“เพราะว่าฉันเชื่อมั่น พวกเราจะมีบ้าน มีอิสระและมีความสุข ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขกับครอบครัว และฉันก็สัญญาไว้กับคนๆนึง” กาเบลียตอบก่อนจะหันไปมองเอเลนที่ยังคงส่งรอยยิ้มสดใสมาให้พวกเขา

“แหม่~ ยิ้มให้คู่หมั้นตัวเองใหญ่เลยนะ~ แต่งงานเขาหอกันไปเลยไป๊ ไม่ต้องไปสำรงสำรวจมันแล้ว จะว่าไป แต่งตอนนี้ก็ดีเหมือนกันนะ เพราะเขาว่ากันว่า กินเด็กแล้วจะเป็นอมตะ” ราฟ ได้ทีแอบแขวะกาเบลียนิดๆหน่อยๆพอเป็นพิธีก่อนที่ทั้งหมดจะเริ่มเดินตามหลังเหล่าผู้ใหญ่ที่เริ่มเดินเข้าไปในประตูมิติ ซึ่งประโยคที่ราฟพูดนั้นทำให้กาเบลียปรายตามองก่อนจะ...

“พ่อง!” ตอบกลับให้คำงามๆทำให้ทั้งหมดพากันหัวเราะ ในขณะที่ทุกๆคนเริ่มจะเดินเข้าไปในประตูมิติกันหมดแล้ว กาเบลียหยุดยืนนิ่งทำให้แช็คกับราฟหันมามอง เด็กหนุ่มผมสีนิลก้มหน้า มือทั้งสองข้างล้วงกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันไปมองเอเลน ใบหน้าคมประดับด้วยรอยยิ้ม ปอยผมสะบัดตามแรงลมที่เกิดจากประตูมิติ แสงสว่างจ้าขับให้ใบหน้าคมที่หันมาดูหล่อเหลาและเจิดจรัส ริมฝีปากเรียวขยับช้าๆพอให้คนที่เขาสบตาอยู่จับใจความได้ จนเมื่อเอ่ยจบเขาก็เดินหายไปในประตูมิติก่อนที่มันจะปิดลง

            ดวงตาสีเขียวเบิกกว้างก่อนจะกลับมาเป็นปกติ รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้า มือเล็กล้วงลงไปในคอเสื้อพลางดึงบางสิ่งบางอย่างที่ห้อยอยู่ตรงคอออกมาพิศดู และสิ่งที่เขาหยิบออกมามันคือกุญแจ ของขวัญก่อนจากที่ไม่ธรรมดา เมื่อมองมันแล้วน้ำตาแทบจะไหลเมื่อคิดว่าต่อจากนี้คงไม่ได้พบพวกเขาไปอีกนาน

“เอเลน!” เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้เอเลนสะดุ้งก่อนจะรีบเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมาปริ่มๆ ขอบตาแล้วก้มลงไปมองข้างล่างก็พบกับเพื่อนผมสีทองของเขา...อาร์มิน...“ไปโรงเรียนกันได้แล้ว!”

“อืม!จะไปเดี๋ยวนี้แหละ!!” เอเลนตอบกลับก่อนจะเก็บกุญแจลงใต้ปกคอเสื้อแล้วกระโดดลงไปอยู่ตรงหน้าเพื่อนสนิทหัวทอง เด็กทั้งสองเดินไปโรงเรียนด้วยกันเหมือนตามปกติอย่างที่ผ่านๆ หากแต่กลับรู้สึกว่าบรรยากาศในช่วงเวลานี้ มันช่างแปลกๆยิ่งนัก

“ตื่นเต้นจังเนอะว่าวันนี้อาจารย์จะสอนเรื่องอะไร ฉันน่ะอยากเรียนเหมือนพวกวัยรุ่นเขาเร็วๆจัง” หลังจากเดินเงียบๆกันมานาน อาร์มินก็ตัดสินใจพูดขึ้นทำลายความเงียบ

“แต่ฉันไม่ค่อยล่ะ แต่เรื่องเรียนเหมือนพวกวัยรุ่น ฉันเห็นราฟบอกว่า คนอายุเท่าเราก็เรียนได้นี่” เอเลนหันมาคุยกับอาร์มิน

“นั้นมันขึ้นอยู่กับสักยะภาพของร่างกายของแต่ละบุคคลต่างหาก จริงสิ นายได้ข่าวเรื่องอาณาจักรแอตแลนติกหรือยัง?” จู่ๆอาร์มินก็ถามถึงอีกอาณาจักรขึ้นมาทำให้เอเลนรู้สึกสงสัยไม่ใช่น้อย

“ไม่นี่ ทำไมหรอ?”

“เห็นว่าอาณาจักรนั้นไม่ได้โผล่มาที่น่านน้ำในโลกนี้สักพักแล้ว จนมันดูผิดปกติ พอส่งคนไปดูก็พบว่า อาณาจักรนั้นล่มสลายที่อีกโลกไปแล้ว” อาร์มินเล่าซึ่งมันทำให้เอเลนรู้สึกเหมือนมีอุกาบาทตกลงมาบนพื้นโลกยังไงก็ไม่รู้ ทั้งกลัวและรู้สึกกังวลใจ

“มะ...มันเป็นไปไม่ได้หรอก ก็อาณาจักรนั้นแข็งแกร่งจะตาย” เอเลนพูดอย่างไม่อยากจะเชื่อ แต่สุดท้าย ความจริงก็คือความจริง...

“แต่อีกโลกมันโหดร้ายกว่านะเอเลนและความโหดร้ายนั้น ก็ทำลายอาณาจักรแอตแลนติกไปแล้ว” อาร์มินพูด ใบหน้าของเขาก้มลงก่อนจะหันมามองเอเลนที่หยุดยืนนิ่งก่อนจะเริ่มพูดต่อ “เดิมทีอีกมิตินั้น น่ะ เป็นโลกแรกของพวกเราด้วยซ้ำ แต่เพราะมนุษย์มีจำนวนมากขึ้นพวกเราจึงย้ายมามิตินี้ แต่มนุษย์ก็ยังคงเกิดขึ้นมาอีก ทำให้พวกเราต้องเจอกับเรื่องย้ายไปย้ายมาน่าปวดหัวนี่”

ใบหน้ามนจ้องมองเพื่อนของตนที่ยังคงพูดต่อไป ตัวเขาในตอนนี้บอกได้อย่างเดียวว่าเขารู้สึกช็อกมากๆ มากจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว

“อาณาจักรของเรานั้นอยู่กึ่งกลางระหว่างมิติ ถ้านายเลือกได้ นายจะลงไปยังมิติไหน? ระหว่างมิติที่มีความโหดร้ายโคตรๆกับมิติที่มีความโหดร้ายกว่า จะว่าไปมันก็ไม่ต่างกันเท่าไรน่ะนะ” อาร์มิน ถาม ใบหน้าของเพื่อนสนิทดูเรียบนิ่งจริงจังจนเอเลนรู้สึกหนาวสันหลังขึ้นมา ใบหน้ามนก้มลงมองพื้น แต่แล้วจู่ๆใบหน้าของกาเบลียกับคำพูดของเด็กหนุ่มก็ผุดขึ้นมาในหัว

 

 

... “สัญญานะว่าจะกลับมา”...

... “อืม พี่สัญญาว่าพี่จะกลับมา ถึงตอนนั้น ช่วยเป็นเจ้าสาวให้พี่ทีนะ”...

... “อะ...อื้ม!”...

... “หึ และเจอกัน เอเลน”...

 

 

             มัน อาจเป็นการคุยกันครั้งสุด และเป็นการสนทนาที่ไม่ได้ยาวอะไรมากนัก หากแต่ในตอนนั้นมันทำให้เอเลนรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ต่อภาพของกาเบลียภาพของครอบครัวก็พลอยผุดขึ้นมาในหัวด้วยและทุกๆอย่างที่ ครอบครัวสอนมาทำให้เอเลนตัดสินใจได้ เขาจึงเงยหน้าขึ้นมาตอบด้วยความมั่นใจ

“ไม่ว่ามิติไหน แต่ขอแค่ได้ไปกับครอบครัว ต่อให้มันโหดร้ายแค่ไหน ฉันก็ไม่หวั่นหรอก” เอเลนพูดด้วยความมุ่งมั่น ประกายในแววตาทำให้อาร์มิน เบิกตากว้างก่อนจะกลับมาเป็นปกติ

“งั้นเหรอ งั้นไม่ว่าโลกไหนฉันก็จะอยู่ข้างๆนาย” เด็กชายผมทองยิ้มหากแต่ประโยคหลังนั้นกลับพูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบาบวกกับเสียงสะบัดผ้าปูที่นอนจากบ้านข้างๆ ทำให้เอเลนไม่ได้ยิน “เมื่อกี้นายว่าไงนะ?” เอเลนถามด้วยความสงสัย แต่อีกฝ่ายคงตอบเหมือนเดิมหรอกนะ...

“ฉันแค่บอกว่า เราคงไม่ถูกลงโทษหรอกนะถ้าไปสายกันน่ะ” อาร์มิน หันกลับมาพูดยิ้มๆก่อนเดินนำหน้าต่อไปโดยมีเอเลนเดินตามมาติดๆ

“ไม่จริง น่ะ เมื่อกี้นายไม่ได้พูดแบบนี้สักหน่อย”

“เปล่านิ ก็พูดแบบนี้แหละ”

“นี่ปิดบังอะไรกันรึเปล่าอาร์มิน”

“เปล่าสักหน่อย”

“บอกมาเลยนะ เพื่อนกันห้ามปิดบัง”

“ไม่มีอะไรสักหน่อย”

 

 

 

                                                        เปรี้ยง!!!

 

 

 

                         สายฟ้าผ่าลงตรงกลางจัตุรัสกลางเมืองทำให้ทั้งเมืองสั่นสะเทือน คลื่นลมจากแรงระเบิดและแผ่นดินไหวทำให้ประชาชนที่อยู่บนอาณาจักรแห่งนี้พากันล้มลงไปกองกับพื้น ใครโชคดีจับอะไรไว้ได้ก็ยังพอทรงตัวได้อยู่ ควันลอยคลุ้งออกมา ทุกๆคนพากันหันกลับไปมองยังจัตุรัสก่อนจะพบกับร่างที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อสีแดงไร้หนังที่สูงราวๆ 60 เมตร

“น่ะ...นั้นมัน” อาร์มินพูดอย่างไม่เชื่อสายตาของตนเอง

“ทะ...ไททัน”เอเลนพูดเสียงสั่น ไททันขนาดมหึมาเริ่มเตะบ้านเมืองพังทลาย ในขณะเดียวกันก็เกิดสายฟ้าผ่าทั่วทุกสารทิศ ไททันเริ่มปรากฏขึ้นมาทีละตัวๆ ถ้าคิดว่านี่คือหายนะแล้วล่ะก็คิดผิด เพราะนอกจากไททันแล้ว มังกรขนาดมหึมาและฝูงมังกรนับสิบเริ่มโจมตีผู้คนอย่างบ้าคลั่งพอๆกับพวกไททัน

“เอเลน!!จะไปไหนน่ะ!!พวกเราต้องรีบหนีไปจากที่นี่!!!” อาร์มินตะโกนเรียกท่ามกลางฝูงชนที่แตกตื่น

“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าไม่มีแม่กับคนอื่นๆไปด้วย!!”เอเลนตอบแล้วมุ่งหน้าตรงไปยังพระราชวัง “บ้าจริง!!” อาร์มิน สบถก่อนจะวิ่งด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อตรงเข้าฉุดเอเลนแล้ววิ่งด้วยความเร็วรัดเราะไปตามฝูงชนเพื่อตรงไปยังพระราชวัง “นายไปคนเดียวจะทำอะไรได้ ฉันไปด้วย เวทย์มนต์ของฉันคงพอช่วยอะไรได้บ้าง” ทั้งสองตรงไปที่พระราชวังที่กำลังล่มสลายกลายเป็นซากปรักหักพัง ผู้คนมากมายกลายเป็นซากศพเต็มพื้น เปลวเพลิงลุกโหมกระหน่ำ ทำให้เมืองทั้งเมืองกลายเป็นทะเลเพลิง นครลอยฟ้าที่สิวิลัย กลายเป็นนรกในชั่วพริบตา เอเลนกับอาร์มินเข้ามาภายในพระราชวังได้แล้ว แต่ทว่ามันก็เต็มไปด้วยเศษซากของปราสาทที่พังลงมาปิดทางไว้ ทั้งคู่ต้องค่อยๆลอดผ่านช่องเล็กๆที่พอมีอยู่น้อยนิดเข้าไปภายในเพื่อไปหาองค์จักรพรรดิหรือก็คือตาของเอเลน

“รีบๆอพยพทุกๆคนออกไปซะ” สุ่มเสียงที่ทรงอำนาจเอ่ยขึ้น ฟังดูอ่อนแรงจากครั้งก่อนๆ เอเลนรีบวิ่งเข้าไปยังห้องบรรทมขององค์จักรพรรดิก็พบกับองค์จักรพรรดิกับพระมเหสี บรรดานางสนมและแม่ของเขา

“แต่ฝ่าบาท ท่านต้องไปกับพวกเรานะ” พระมเหสีลูคัสพูดทั้งน้ำตา

“แม่! ท่านตา!! ทุกๆคน!!!” เอเลนวิ่งเข้าไปกอดแม่ของเขาที่กำลังช่วยพระมเหสีลูคัสพยุงองค์จักรพรรดิอยู่

“เอเลน นี่ลูกมาทำอะไรที่นี่กัน” คาร่าที่กอดเอเลนกลับถามด้วยความร้อนรน

“อย่าพูดเรื่องนี้กันเลยครับ เรารีบออกไปกันเถอะ ก่อนที่ทางออกมันจะถูกปิด” เอเลนพูดอย่างร้อนรนก่อนจะพยายามออกแรงลากมือของแม่กับมือของตาของตนออกไปจากที่นี่

“เจอสักที” เสียงเรียบๆที่ฟังแล้วรู้สึกหนาวสะท้านดังขึ้นมาพร้อมกับไอเย็นสีดำ และร้างที่ปรากฏตรงหน้าของพวกเขาทั้งหมด ร่างสูงในอาภรสูงศักดิ์สีนิล ดวงตาสีนิลที่จ้องมองมา ชวนให้รู้สึกหนวาสะท้าน ความหวานกลัวเริ่มก่อตัวขึ้นกับทุกๆคน แต่มีเพียงคนเดียวที่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น นั่นก็คือองค์จักรพรรดิเอโลฮิม ดวงตาสองสีขององค์จักรพรรดิจ้องมองบุรุษผู้มาใหม่นิ่ง

“ทั้ง หมดนี้เป็นฝีมือของนายสินะ เอลิส” เอโลฮิมพูดเสียงเรียบทำให้ชายแปลกหน้าแสยะยิ้ม เอโลฮิมพยายามดันเหล่าภรรยาและลูกหลานมาไว้ข้างหลังของตน ทั้งๆที่สภาพร่างกายของเขานั้นล่อแล่เต็มที...ร่างเนื้อของเขากำลังจะ สลาย...พลังในตัวเขามีมากเกินไปจนมันเริ่มทำลายร่างเนื้อไปทีละนิดๆ...จนตอน นี้ มันกำลังจะสลายหายไป...แต่เขาจะยอมให้มันเป็นแบบนั้นในตอนนี้ไม่ได้...

“สภาพของท่านใกล้ไปแล้วสินะ ก็ดีเหมือนกัน ฉันจะได้ไม่เหนื่อยอะไรมากนัก” เอลิส พูด ความกดดันภายในห้องเริ่มมีมากขึ้นและที่แย่ที่สุดคงจะเป็นสภาพโดยรอบเริ่มมืดมิดลงเข้าไปทุกทีๆ “ยังไม่ใช่ตอนนี้หรอก” เอโลฮิม พูดก่อนที่ความมืดรอบข้างจะเริ่มหายไป รอบๆตัวเขาบังเกิดแสงสว่างอ่อน แสงนั้นแผ่ออกมาจากตัวเขาและแผ่ไปถึงคนรอบข้างเขา แต่กับ เอลิส เขากลับเดินถอยห่างออกมาจากแสงสว่างนั้น

“ตาแก่ตายยาก” เอลิส สบถเสียงเรียบก่อนที่รอบๆตัวเขาจะมีความมืดแผ่ออกมาเข้มกว่าเมื่อครู่ ความมืดของ เอลิส ปะทะกับ แสงสว่างของ เอโลฮิมทำให้เกิดประกายแสงสว่างจ้า ดูๆแล้ว เหมือน เอโลฮิมจะได้เปรียบเพราะพลังของเขามีมากกว่า แต่ทว่า...หากเขาใช้พลังไปมากกว่านี้ ร่างเนื้อของเขาก็จะ...สลายหายไป...

“เอโลฮิม อย่า!” ลูคัสตะโกนด้วยความเป็นห่วงสามีของตน

“ท่านพี่ อย่าเข้าไปคะ” เลทีเซีย น้องสาวของ ลูคัสและนางสนมของเอโลฮิมร้องห้ามพลางจับมือของ ลูคัสที่จะเข้าไปหาเอโลฮิมเอาไว้ เพราะในยามนี้ รอบๆตัวของเอโลฮิมนั้นมีพลังงานสูงมาก ถ้าเข้าไปใกล้ อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บได้หรืออาจถึงขั้นสลายหายไป...

“ปล่อยนะ เลทีเซีย ฉันจะไปอยู่ข้างๆ เอโลฮิม” ลูคัส พูดพร้อมกับพยายามสะบัดตัวออกจากการจับกุมของน้องสาวของตนจน นีโมซินี นางสนมอีกองค์ของเอโลฮิมและแม่ของคาร่าต้องเข้ามาช่วยจับ ลูคัสไว้ไม่ให้เข้าไปใกล้

“นีโมซินี พาทุกๆคนออกไปซะ” เอโลฮิม สั่งเสียงเรียบ

“แต่”

“ไป!! เดี๋ยวนี้ ได้โปรด”

นีโมซินีที่ในคราแรกจะคัดค้าน แต่เพราะได้ยินคำว่าขอร้องจากปากคนที่เธอรัก เธอจึงจำใจต้องทำตาม ดวงตาสีมรกตก้มลงมองฝ่ามือของสามีที่ผิวเนื้อเริ่มสลายหายไป เหลือเพียงแค่แสงสว่างสีขาวแทนที่เนื้อที่สลายไป น้ำตาก็ไหลลงมา...ถึงจะเห็นเช่นนั้น...เธอก็ยังอยากจะหวัง...

“คะ ยังไงก็ ตามพวกเรามาให้ได้นะคะ” นีโมซินี พูดด้วยความหวังว่าสามีของเธอจะตามออกไป...หวังว่าจะเป็นแบบนั้น...เธอคิดแบบนั้นก่อนจะหันไปหา ลูคัส “ไปกันได้แล้ว ลูคัส” “ไม่...ไม่! ฉันจะอยู่ข้างๆเอโลฮิม เขากำลังจะ...”

“ลูคัส ออกไปรอเขาข้างนอกด้วยกันเถอะนะ เขาจะต้องตามพวกเราอกไปอย่างแน่นอน” ลูคัสหันมามอง นีโมซินีทั้งน้ำตาก็พบว่าสภาพของ นีโมซินีก็ไม่ต่างกับตน เพียงแค่ว่า นีโมซินียังคงมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าและมีความหวังและความเชื่อมั่นว่าเอโลฮิมจะตามพวกตนออกไป...ถ้า นีโมซินี ยังเชื่อมั่นในตัวเอโลฮิมขนาดนี้...เขาเองก็...

“อืม...เขาจะต้องตามพวกเราออกไปแน่” ลูคัส พูดซึ่ง นีโมซินีก็พยักหน้ารับแล้วจูงมือพา ลูคัสออกไปจากห้องพร้อมกับคนอื่นๆที่วิ่งตามออกไป

“ยังกับจะให้ยอมออกไปง่ายๆงั้นแหละ” เอลิส พึมพำก่อนที่เงาของเขาจะพุ่งเข้าหาเหล่าคนสำคัญของเอโลฮิม แต่เงานั้นก็โดนแสงสว่างของเอโลฮิมทำให้หายไป เอลิส ปรายตามองเอโลฮิมที่ร่างเนื้อเริ่มสลายหายไปมากยิ่งขึ้น เหลือแต่เพียงร่างแสงสีขาวสว่างตาแทนที่ร่างเนื้อ “ยอมหายไปเพื่อคนครอบครัวงั้นเหรอ ช่างน่าสรรเสริญยิ่งนัก”

“ทำไมกัน เอลิส ทั้งๆที่นายเองก็มีสายเลือดของพระเจ้า ทั้งๆที่เราเป็นครอบครัวเดียวกัน เราไม่น่ามาสู้กันแบบนี้นะ” เอโลฮิม พูดด้วยความหวัง ว่าเขาน่าจะสามารถทำให้ ญาติของเขาตาสว่างไม่หลงผิดได้

“นั้นก็จริง แต่ขอโทษที ที่ฉันเกลียดการเป็นคนดีแล้วต้องทนทุกข์เหมือนนาย” เอลิส พูดก่อนที่จะมีเงาสีดำโผล่ขึ้นมาทางด้านหลังของเอโลฮิมแล้วเงานั้นก็แทงทะลุอกของชายหนุ่ม เลือด สีชาดไหลออกมาจากบาดแผลและที่ริมฝีปากของเอโลฮิม แต่มันยังไม่จบลงเพียงแค่นั้นเพราะมีเงาอีกเป็นจำนวนมากที่พุ่งเข้าแทงร่าง ของเอโลฮิมเสียจนร่างของเขานั้นเต็มไปด้วยเงาที่เหมือนกับหนามเสียบทะลุเต็ม ไปหมด

“ไม่อยากจะบอก แต่ก็นะ ฉันไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลยกับการฆ่าสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากความสุข” เอลิส พูดเสียงเรียบก่อนจะหันหลังให้กับร่างของเอโลฮิม

“อย่าหันหลังให้กับศัตรูที่ยังไม่ตาย พ่อของนายไม่ได้สอนรึไง” เอโลฮิม พูดด้วยเสียงที่ค่อนข้างเบา เลือดไหลออกมาจากริมฝีปากของเขาในขณะที่ร่างของเขาค่อยๆกลายเป็นแสงอย่างช้าๆ “หึ...อย่าง ...” เอลิส ยังไม่ทันที่จะพูดจบ เขาก็ต้องหยุดชะงักเมื่อเขาพบว่าตนนั้นไม่สามารถขยับขาได้ เขาก้มลงมองก็พบกับแสงสว่างที่เริ่มจ้าขึ้นจนเงาของเขาหายไป เอลิส หันกลับไปด้านหลังก็พบกับเอโลฮิมที่ร่างเนื้อกำลังสลายไปแล้วแทนที่ด้วยร่าง แสงกำลังแสยะยิ้มมาให้เขาก่อนที่ทุกๆอย่างจะกลายเป็นสีขาว...

.

.

.

                         อาณา จักรลาพิวต้าโดนถล่มโดยพวกเดอะริปเปอร์ที่รวมตัวกันก่อตั้งอาณาจักรขึ้น มากลายเป็นจักรวรรดิโอเดีย องค์จักรพรรดิเอโลฮิมเสียสละตนเองเพื่อช่วยครอบครัวของเขาโดยการใช้ระเบิด ร่างของตนเองซึ่งไม่มีใครสามารถรอดจากการระเบิดนี้ได้...แต่เพราะเขาในตอน นั้นไม่สามารถควบคุมพลังได้เนื่องจากอาการเจ็บจากการโดนเงาของ เอลิส ทำร้าย ทำให้เขาทำได้เพียงแค่ระเบิด เอลิส เพียงคนเดียว แต่ไม่สามารถระเบิดศัตรูที่มาบุกอาณาจักรของเขาทั้งหมดได้

.

.

.

 

“เร็วๆเข้า” นีโมซินี พูดพลางจูงมือของ ลูคัสและคาร่าวิ่งไปตามทางที่เริ่มถล่มลงมา

“แสงนั้นมัน” คาร่าพึมพำทำให้ ลูคัสชะงักแล้วหันไปมอง

“เอโลฮิม!!” ลูคัส ตะโกน พยายามจะวิ่งกลับไปทางเดิมแต่โดนเลทีเซียกับนีโมซินีจับไว้แต่ทว่า...

 

 

 

                                                     ตูม!!!!

 

 

 

                  จู่ๆ กำแพงก็ระเบิด ทำให้เกิดเป็นรูโหว่ขนาดใหญ่พร้อมกับการปรากฏตัวของมังกรร่างยักษ์ ลูคัส หันมามองด้วยใบหน้าเปื้อนน้ำตาและระเบิดโทสะออกมา

“ไปให้พ้นไอ้จิ้งจก!!!” ลูคัส ตะโกนก่อนที่ร่างของมังกรตรงหน้าจะกลายเป็นจิ้งจกตามที่ ลูคัสพูด “พลังแอนติมาเกีย เป็นแบบนี้นี่เอง น่าสนใจจริงๆ” เสียงนิ่งเรียบดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของชายหนุ่มผมสีนิลที่มีปีกค้างคาวอยู่บนแผ่นหลัง เขาจ้องมองมาที่ ลูคัสก่อนจะแสยะยิ้ม“เจ้าคงเป็นแม่พันธุ์ที่ดีได้ เด็กๆที่เกิดมาคงมีพลังที่ยิ่งใหญ่เป็นแน่”

“อย่ามายุ่งกับพี่ข้า!!” เลทีเซียตะโกนก่อนจะหันดาบเข้าหายบุรุษแปลกหน้า แต่ทว่า...

 

 

 

                                                            ฉึก!!

 

 

 

                              ...หอกเล่มยาว พุ่งเข้าแสบทะลุร่างของหญิงสาวต่อหน้าต่อตาทุกๆคน...ดาบที่อยู่ในมือของนางล้วงหล่นลงกับพื้น เลทีเซียหันหน้ามาหา ลูคัส พร้อมกับพึมพำ... “หนีไป ท่านพี่”

“เลทีเซีย!!!” ลูคัส ตะโกนแล้ววิ่งเข้าไปกอดร่างของน้องสาวฝาแฝดที่ในตอนนี้...ได้จากเขาไปแล้ว...

“อุ๊บ น้องสาวของท่านหรอกรึ ถึงว่าล่ะหน้าตาเหมือนกันยังกับแกะ แต่โทษที หอกมันหลุดมือน่ะ” ชายคนเดิมพูดยิ้มๆก่อนจะมาหยุดยืนด้านหลังของ ลูคัส ร่างบางหันมาจ้องบุรุษที่เพิ่งสังหารน้องสาวของตนด้วยแววตาเครียดแค้นก่อนจะคว้าดาบของน้องสาวมาไว้ในมือแล้วตวัดไปทางชายหนุ่ม แต่ทว่าร่างสูงกลับสามารถหลบได้ ลูคัสตั้งกาดเตรียมโจมตีอีกครั้งโดยไม่สนถึงฝีมือว่าอีกฝ่ายจะเก่งกว่าตนหรือไม่ นอกจากความรู้สึกต้องการแก้แค้น

“พาคนอื่นๆไปที่ท่าเรือซะ นีโมซินี” ลูคัส สั่งเสียงสั่น ร่างทั้งร่างของเขาสั่น ด้วยความรู้สึกโกรธจนสุดจะกลั้น

“แต่ว่า...ลูคัส...”

“รีบไปซะ!เดี๋ยวนี้!!”

“ไม่!!ฉันจะไม่ทิ้งเธอ เราเป็นครอบครัวเดียวกัน ก็ต้องไปด้วยกัน!!!”

“บอกให้ไปไง!!!” กล่าวแค่นั้นร่างของ โมซินีกับคนอื่นๆก็หายไป เหลือทิ้งไว้แค่ ลูคัสกับศัตรู

“ถึงจะส่งคนพวกนั้นไปที่อื่น ก็หนีพวกเราไม่พ้นหรอก แต่พลังของท่าน คงส่งไปได้แค่หน้าวังล่ะมั้ง” ชายหนุ่มพูดยิ้มๆก่อนจะสยายปีกค้างคาวของตน

“ไม่ใช่กงการอะไรของแก” ลูคัส พูดก่อนจะพุ่งดาบเข้าใส่ร่างตรงหน้า หวังแสบทะลุอก แต่ทว่าชายหนุ่มกลับสามารถหลบได้ซึ่ง ลูคัสก็พอเดาออกว่าศัตรูจะต้องมาทางข้างหลังแน่นอนจึงตวัดดาบไปด้านหลังแต่ก็ถูกฝ่ามือสีดำมะเมื่องนั้นจับที่ดาบของเขา ร่างบางพยายามสะบัดออก แต่แรงของเขากับแรงของศัตรู มันต่างกันเกินไป

“ฮึดสู้แบบนี้ ช่างน่าสนใจจริงๆ ฉันชักอยากเป็นคนแรกที่ได้สมสู่กับท่านแล้วสิ” ชายหนุ่มพูดพลางเลียริมฝีปาก มันทำให้ ลูคัสรู้สึกขยะแขยงเป็นที่สุด

“ฉันเป็นขององค์จักรพรรดิเพียงคนเดียวเท่านั้น” ลูคัส พึมพำก่อนที่บรรยากาศรอบๆตัวของชายหนุ่มจะเปลี่ยนไปจนร่างสูงชะงัก ใบหน้างดงามเงยขึ้นพร้อมกับดวงตาสีบุษราคัมที่เปล่งประกาย “แอนติมาเกีย!!!” ร่างสูงกระโดดถ่อยออกมาจากร่างบางที่ส่องแสงเป็นประกายเจิดจรัสพร้อมกับร่างเนื้อที่เปลี่ยนไป ปีกทั้ง 6 ข้าง งอกออกมาจากแผ่นหลังบาง ผมสีเขียวดูเป็นประกายสีทอง...ลูคัส วิวัฒนาการตน...กลายเป็น...อัครเทวทูต...

“หึ...วิวัฒนาการตน แบบนี้ก็ น่าสนุกสิ แต่ท่านไม่คิดจะห่วงตนเองหน่อยรึไง เพราะว่าถ้าท่านวิวัฒนาการตนแล้ว...” ชายหนุ่มพูดอย่างสบายใจ ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัว แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อร่างบางมาปรากฏตรงหน้าเขาพร้อมกับฝ่ามือบางที่เสียบทะลุอกของเขา

“ถ้าวิวัฒนาการตนแล้ว นั่นจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ฉันจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ ทำไมฉันจะไม่รู้ล่ะ” ลูคัส พูดก่อนที่ร่างของเขาจะค่อยๆเปล่งแสงออกมาก่อนที่มันจะระเบิดออกพร้อมๆกับร่างของ ลูคัสและศัตรูของเขา ...ขอโทษนะแซมมาเอล...แม่ขอโทษ...

.

.

.

                         

                              ชาวโอเดียจะจับเชลยไปใช้แรงงานหรือไม่ก็จับไปเป็นอาหาร ชาวโอเดียจะทรมานเชลยและใช้ประโยชน์จากร่างกายของเชลย และที่พวกมันทำบ่อยที่สุดก็คือสมสู่กับเชลยทั้งชายหญิงและบังคับให้เชลย กำเนิดทายาทให้พวกมัน ก่อนที่พวกมันจะควักหัวใจของทายาทแล้วเปลี่ยนให้เป็นพวกเดียวกับมัน ยิ่งเชลยมีพลังที่แข็งแกร่งและแปลกเท่าใด ยิ่งเป็นที่ต้องการมากเท่านั้น...พระมเหสีลูคัสยอมตาย...ดีกว่าถูกพวกโอเดียใช้งาน...

.

.

.

                              

         ร่างของเหล่านางสนมและลูกหลานขององค์จักรพรรดิเอโลฮิมปรากฏขึ้นมานอกพระราชวัง

“อึก ลูคัส โง่ยิ่งนัก” นีโมซินี พูดพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาเมื่อหันกลับไปเห็นระเบิดที่พระราชวัง “แม่คะ รีบไปกันเถอะ” คาร่าพูดพร้อมกับประคองร่างของ นีโมซินี ที่อ่อนล้าทั้งกายและใจจากการสูญเสียในสงครามครั้งนี้

“คะ...คาร่า” เสียงแหบพร่าที่ดังขึ้นทำให้ทั้งหมดหันไปมองก็พบกับชายหนุ่มในชุดเกราะที่เต็มไปด้วยเลือด ผ้าคลุมสีเขียวพลิ้วสะบัดไปตามสายลมที่พัด

“พ่อ” เอเลนเอ่ยขึ้นมาก่อนจะเดินไปหาร่างที่กำเดินมาทางพวกเขาแต่ทว่า...

 

 

                                                      !!!!!!

 

 

                         ร่าง ของ คริสเตียน เยเกอร์ แตกสลายไปต่อหน้าต่อตาของเอเลนพร้อมกับของเหลวสีดำที่ทะลักออกมาจากตัวของ เขาแล้วกลืนกินทุกๆคนที่อยู่บริเวณนั้น...มันคือ...ไวรัสสีดำ... คริสเตียนติดเชื้อ...และตายด้วยไวรัสสีดำ...ไม่เพียงเท่านั้น...เขายังฆ่านางเหล่านางสนมและลูกหลานขององค์จักรพรรดิ...แต่ว่า...

            ...ในบางครั้ง ไวรัสสีดำก็ไม่สามารถทำลายเลือกเนื้อเชื้อไขขององค์จักรพรรดิได้...

 

 

 

                                                          พรวด!!!

 

 

 

          ร่างของ นีโมซินี โผล่พรวดขึ้นมาจากทะเลเลือดสีทมิฬ ในร่างใหญ่ยักษ์ของเทพไททัน ในฝ่ามือของเธอ มือร่างของคาร่าและเอเลนอยู่ซึ่งทั้งคู่ ปลอดภัยจากไวรัสสีดำ

“อาร์มิน!!” เอเลนตะโกนเรียกหาเพื่อนสนิทที่หายไปตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้และก็พบร่างของเพื่อนของเขา กำลังย่อยสลายไปกับทะเลเลือดสีทมิฬ“อาร์มิน!!!!”

“หนีไปซะเอเลน!!!” อาร์มินที่สภาพเริ่มไม่ต่างอะไรกับซากศพเน่าเฟะตะโกนบอกเอเลนที่พยายามจะลงมาช่วยตนโดยมีคาร่าคอยจับห้ามไว้

“ไม่นะ!!ถ้าเราจะไป เราก็ต้องไปด้วยกัน!!!” เอเลนตะโกนบอกพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาไม่หยุด ดวงตาสีฟ้าที่ในยามนี้ไร้เปลือกตาเงยขึ้นมามองเพื่อนสนิทของตน...เพื่อสนิท ที่เขารักมากกว่าเพื่อนสนิท...รักมากถึงขั้นวาดฝันว่าในวันที่เขาโตกว่านี้ เขาจะมาขอเอเลนแต่งงาน... แต่มันก็คงเป็นไปได้ยาก...เพราะว่าเอเลนเป็นคู่หมั้นของรัชทายาทกาเบลีย... และเขาเองก็ไม่ได้มียศฐาบรรดาศักดิ์อะไร...เขาไม่อาจเอื้อมถึงเอเลนที่อยู่ สูงกว่าเขา...และเขาก็กำลังจะตาย...แต่...เขาอยากจะหวัง...

“เราจะได้เจอกันอีกเอเลน!!!”

“อะไรนะ?!”

“ตามหาฉัน เอเลน! ตามหาฉันให้เจอ!!!”

“แต่...”

“ฉันจะกลับมา เอเลน! ฉันจะกลับมา!!ฉันสัญญา!! นายเองก็สัญญาสิ ว่าจะตามหาฉัน!!!”

“...”

“อึก...เร็ว ...สัญญา”...สัญญามาสิ...ก่อนที่ฉันจะไป...ช่วยบอกทีว่าเราจะได้พบกัน อีก...ช่วยเป็นแรงยึดเหนียวให้ฉันได้กลับมาบนโลกใบนี้ที...

“ฉันสัญญา!!!ฉันจะตามหานายให้เจอ!!!”

“...ขอบใจ...”...ลาก่อนเอเลน...ฉันรักนาย...

 

.

.

.

 

     ร่างของอาร์มิน จมหายไปในทะเลเลือดสีทมิฬ แล้วเอเลนก็ไม่ได้พบกับเพื่อนของเขาอีกเลย... นี โมซินี พาลูกหลานของตนไปยังท่าเรือบินซึ่งเป็นจุดที่มียานพาหนะลอยฟ้าและประตูมิติ เพื่อใช้ไปยังต่างโลกและมิติอื่น...แต่โดยรวมคือสามารถทำให้ผ่านพายุหมุน แห่งกาลเวลาออกไปยังโลกภายนอกได้ง่ายขึ้นมากกว่า... แต่ทว่ายังไม่ทันได้ใช้อะไร แผ่นดินที่เหยียบก็ยุบลงไป ร่างทั้งร่างของ นีโมซินี ตกลงไปยังพื้นโลกพร้อมกับร่างของคาร่าและเอเลนในมือ...ภาพที่ติดตาของทั้ง 3 คนก็คือ อาณาจักรลอยฟ้า ลาพิวต้า กำลังแตกสลาย แผ่นดินที่เคยลอยอยู่บนท้องฟ้า เริ่มล่วงหล่นลงสู่พื้นโลก แต่แล้วจู่ๆ ก็บังเกิดแสงสว่าง จาก อัญมณีก่อนใหญ่ที่ลอยขึ้นไปเหนือนครลอยฟ้า...อัญมณีนั้นคือร่างของเอโลฮิ ม... ร่างขององค์จักรพรรดิ กลายเป็นผลึกแก้วทรงพลัง ซึ่งผลึกนั้นได้สร้างพายุที่รุนแรงกว่าเดิมขึ้นมาล้อมรอบอาณาจักรลอยฟ้าไว้ ...นั้นคือสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาเห็น...และเป็นภาพสุดท้ายของอาณาจักรลาพิวต้า...

 

.

.

.

 

           ยาม เมื่อองค์จักรพรรดิสิ้นพระชนม์ ร่างของพวกเขาไม่ใช่แค่จะกลายเป็นพลังงานแสงแต่จะกลายเป็นผลึกที่มีพลัง มหาศาล...และเหล่าผลึกขององค์จักรพรรดิทุกๆองค์จะคอยปกป้องลูกหลานและ ประชาชนของพวกเขาไปตลอดกาล...

                ใน ช่วงเวลาที่ไม่แน่นอน แต่อาจนานเป็นพันเป็นหมื่นปี อาณาจักรทั้ง 3 อันได้แก่ ยูโทเปีย,แอตแลนติกและลาพิวต้า ล้มสลายลง ประชาชนที่สามารถรอดชีวิต ซึ่งมีอยู่น้อยนิด กลายเป็นพวกเร่ร่อนไร้ที่อยู่ในสถานที่ต่างๆ โลกต่างๆและมิติต่างๆ กาลเวลาผ่านไป พวกเขาเริ่มจะลืมซึ่งตัวตนของพวกเขาเองและเลือนหายไป...แต่ก็มีคนบางกลุ่ม ที่ไม่มีวันลืม...และพยายามจะสร้างบ้านเพื่อให้ครอบครัว...เพื่อให้อาณาจักร ของพวกเขากลับมาคงเดิม... เอ เลน เยเกอร์ คู่หมั้นขององค์รัชทายาทกลายเป็นตกลงมายังพื้นโลกที่เคยเป็นอาณาจักรยูโท เปียแต่กลับถูกพวกมนุษย์ยึดเอาไว้ในช่วงเวลาที่อาณาจักรยูโทเปียล่มสลายไป แล้วประมาณ 1000 ปีเพราะผลของพายุหมุนแห่งกาลเวลาทำให้พวกเขาถูกพัดมายังอีก 1000 ปีข้างหน้า ...ไวรัสสีดำทำให้มนุษย์กลายพันธุ์เป็นไททัน ...คาร่า เยเกอร์ เสียสละชีวิตของตนเพื่อผนึกพวกโอเดียในมิตินี้ทั้งหมด แล้วเปลี่ยนร่างของตนกลายเป็นผลึกอยู่ใต้ดินเมืองชิกันชินะของวอลล์มาเรีย ของพวกมนุษย์...นีโมซินี ต้องพักรักษาตัวจากการโดนไวรัสสีดำ และต้องอยู่ห่างๆเอเลนเข้าไว้...เพราะนั้นคือชะตากรรมของเอเลน...

           เอเลน ถูก คริชา อดีตนักปราชญ์แห่งยูโทเปียหลอกลวงและถูกขังอยู่เป็นเวลานานก่อนจะหนีออกมาได้ เขาได้พบกับคนตระกูลแอคเกอร์แมน หนึ่งในตระกูลแยกย่อยของตะกูลดรากูล...และได้พบกับ อาร์มิน อัลเรโต้...เพื่อนของเขาที่กลับชาติมาเกิด... เอเลนจัดการฆ่า คริชา แต่อีกฝ่ายไม่ตายและหนีไปได้แต่ก็อยู่ในสภาพที่อ่อนแอมากๆ... จาก เหตุการณ์นั้น เอเลน กลายเป็นหัวหน้ากลุ่มปีกแห่งอิสรภาพ...เข้าทำสงครามกับมนุษย์เพื่อแย่ง ชิงอดีตอาณาจักรยูโทเปียคืนมาซึ่งพวกมนุษย์เรียกมันว่ากำแพง...และรอเวลา... ที่องค์จักรพรรดิแซมมาเอล หรือรัชทายาท กาเบลียกลับมา...ซึ่งสถานที่แห่งนี้เป็นเพียงที่เดียวที่พวกเขาจะได้เจอ กัน...พวกองค์จักรพรรดิแซมมาเอล ต้องรู้แน่ๆว่าชาวลาพิวต้าและผู้คนจากอาณาจักรอื่นจะต้องมารอพระองค์ที่ อดีตอาณาจักรยูโทเปียแห่งนี้อย่างแน่นอน...พวกเขาจะต้องมาอย่างแน่นอน...

           ชะตา กรรมของอาณาจักรทั้งสามคือล่มสลาย แต่มันไม่ได้มีแค่นั้น เพราะว่าแต่ละอาณาจักรนั้นมีผลึกขององค์จักรพรรดิหรือพวกเชื้อพระวงศ์รวมไป ถึงพวกตระกูลที่ภัคดีกับองค์จักรพรรดิอยู่...และอาจรวมไปถึงจิตวิญญาณที่สิง สถิตอยู่ที่อาณาจักรนั้นๆ...ทำให้มันไม่ได้ล่มสลายไปอย่างสิ้นเชิง อาณาจักรแอตแลนติก แผ่นดินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หลายส่วนซึ่งอาจเป็นสามหรือห้าส่วนจมลงไปในทะเล ในขณะที่อีกหลายส่วนซึ่งไม่แน่นอน กระจายไปตามมิติต่างๆและย้ายที่ตลอดเวลา อาณาจักรลาพิวต้าได้ผลึกขององค์จักรพรรดิเอโลฮิมชำละล้างเอาไวรัสสีดำออกไปหมด ในขณะเดียวกัน อาณาจักรแห่งนี้ก็ถูกล้อมรอบไปด้วยพายุที่ชอบบิดเบือนเวลาหรือก็คือพายุหมุนแห่งกาลเวลา นอกจากนี้มันยังไปค้างอยู่กึ่งกลางระหว่างมิติ 2 มิติอีกด้วย ซึ่ง อีกมิตินั้นคือโลกที่แท้จริงที่ชาวยูโทเปียสมควรไปอยู่ ส่วนอีกมิติคือ มิติที่ไร้อนาคตนั้นคือ มีชะตากรรมที่จะต้องถูกทำลายนั้นเอง ส่วน ยูโทเปียขนาดเล็กก็ได้ถูกมนุษย์ยึดครองและในตอนนี้ก็กำลังทำสงครามแย่ง ชิงอยู่กับทั้งไททันที่โดนไวรัสสีดำและกองกำลังปีกแห่งอิสรภาพ

                    ...การล่มสลายของอาณาจักรทั้งสาม...เป็นเพียงจุดเริ่มต้น...ของการถือกำเนิด...ราชอาณาจักรการ์เดียน...

 

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

 

 

TBC.  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา