Kingdom Guardian

8.7

เขียนโดย mimosa

วันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557 เวลา 23.09 น.

  14 chapter
  1 วิจารณ์
  22.61K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 24 กันยายน พ.ศ. 2557 21.47 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3) Kingdom Guardian:พบกันครั้งแรก (ราชา X ไทย)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

    

 

 Kingdom Guardian:พบกันครั้งแรก (ราชา X ไทย)

 

 

 

                                             ...พบกันครั้งแรก...   

 

 

 

                         คริสต์ศตวรรษที่ 20 หลัง จากเร่ล่อนมาได้ราวๆ 500,000 ปีก่อนพุทธกาลและคริสตกาล ...เจฟฟรีย์ เคนดัลล์ เคอร์ การ์เดียน ราชา โซโลม่อน ...ชายหนุ่มร่างสูงสันทัด ผู้มีผมสีนิล หน้าตาหล่อเหลา นัยน์ตาสีทับทิมน่าหลงไหล... หลังจากที่ประเทศของเขาล้มสลายแล้วถูกลบออกไปจากประวัติศาสตร์ว่าไร้ตัวตน เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่พิสูจน์ไม่ได้ เขาก็เร่ล่อนไปทั่วโลกเพื่อหาที่ๆเขาและผู้คนของเขาจะสามารถอยู่ได้อย่างมี ความสุขและปลอดภัย...แต่ก็คงเป็นได้แค่ฝัน...เขายังสงสัยเสียด้วยซ้ำ...ว่า ทำไมเขายังมีชีวิตรอดอยู่ ทั้งๆที่เขาน่าจะตายไปแล้ว...ทั้งๆที่เขาน่าจะหายไปจากโลกใบนี้แล้ว...แต่ มันก็ดีแล้ว ที่อย่างน้อย เขาก็ยังรู้ว่าประชาชนของเขาส่วนหนึ่งยังมีชีวิตรอดอยู่ ถึงจะกระจัดกระจายกันไปตามที่ต่างๆบนโลกใบนี้ก็ตาม...และสิ่งที่ตัวเขาทำได้ ก็คือ หาที่อยู่ดีๆให้กับประชาชนของเขา เกาะล้างสักแห่งที่ไม่มีเจ้าของ...เกาะที่เอื้ออำนวยพอที่พวกเขาจะสามารถมี ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขได้ หรือไม่ก็อาจไปขอแบ่งพื้นที่บางส่วนกับชาติมหาอำนาจทั้งหลาย...แต่ก็...ถ้า ไม่ถูกไล่ก็ถูกตามล่าลบล้างเผ่าพันธุ์... ทั้ง เขาและคนของเขาน่ารังเกียจมากขนาดนั้นเชียวรึ?...ถึงต้องทำกันถึงเพียงนี้ ...พวกเขาไม่เคยไปทำอะไรให้ใคร...ขอเพียงแค่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขกับ ประชาชนของเขาก็เพียงพอแล้ว...ไม่ได้ต้องการอะไรมากนัก...แล้วทำไม...ต้อง รังเกียจเขาด้วย...รังเกียจเขาก็ไม่เป็นอะไร...แต่อย่าฆ่าประชาชนของเขาได้ ไม...

หลัง จากที่เดินด้วยอาการโซซัดโซเซ่จากการโดนยิ่ง โดนระเบิด และวิ่งหนีพวกทหารหัวซุกหัวซุนในประเทศแห่งนี้ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าประเทศอะไร มานานพอสมควร...มันทำให้เขาเริ่มคิดแล้วว่าตัวเขาคงไม่กล้าเสี่ยงที่จะไปขอ แบ่งพื้นที่กับใครหรือผูกมิตรกับใครอีกแล้ว...ตอนอังกฤษคนของเขาก็โดนจับเผา ทั้งเป็น...ตอนอเมริกาคนของเขาก็โดนชำแหละ...ตอนจีนก็โดนข้าวของปาไล่...ตอน อินเดียนี่ก็โดนหินปาไล่...ตอนที่ไปแอฟริกาก็โดนถีบส่งไปให้อียิปร์จับทำ มัมมี่...ตอนไปออสเตรเลียก็โดนเตะตกบึงจระเข้...ตอนฝรั่งยิ่งไม่ต้องพูด ถึง...และพอมาเยอรมันกับรัสเซีย...ก็เป็นอย่างที่เห็น...โดนไล่ล่ายังกับ สัตว์ตัวหนึ่ง...พอกันที...ถ้าโลกใบนี้มีแต่คนรังเกียจเขา...ก็พอกันทีกับ การผูกมิตร...โลกใบนี้มันโหดร้ายที่สุด!!...ไม่ ว่าจะเป็นประเทศในทวีปไหนก็ไม่ต่างกัน...โหดร้ายและน่ารังเกียจไปเสียหมด... บอกว่าตัวเองเจริญแล้ว แต่น้ำใจติดลบยิ่งกว่าพวกประเทศล้าหลังเสียอีก ยิ่งพวกประเทศล้าหลังยิ่งไม่ต้องพูดถึง...และประเทศที่เขาไม่ได้ไปก็คงไม่ ต่างกัน...โหดร้ายทั้งโลกนั้นแหละ...จะว่าไป...ตัวเองก็เป็นจิตวิญญาณของโลก นี่นะ...ไม่แน่...ที่คนทั้งโลกเป็นแบบนี้...อาจเป็นเพราะเขาก็เป็นได้...

“ทำไม...ไม่ ให้ฉันตายไปสักทีนะ...จะได้พ้นทุกข์พ้นโศกเสียที” ริมฝีปากที่แตกจนเลือดซิบพึมพำ ดวงตาสีแดงที่เคยสดใส หม่นหมองลง จ่องไปยังทางข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ขายาวๆก้าวเดินไปพร้อมๆกับสายลมที่เต็มไปด้วยควันกับฝุ่นคลุ้งและแรงระเบิด รอบๆข้าง แต่ชายหนุ่มก็ไม่สน ในขณะที่ผู้คนกำลังวิ่งหนีระเบิด เขากลับเดินไปเลื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย หลัง จากที่หนีทหารมาตกในเรือสิ้นค้าแล้วถูกส่งมาที่นี่ เขาก็โดนไล่ล่าอีกตามเคย...และตัวเขาในตอนนี้ ปรารถนาความตาย...ตัวเขาและประชาชนจะได้พ้นทุกข์พ้นโศกจากโลกที่แสนโหดร้าย ใบนี้เสียที...

“ภาพ ความฝัน...ที่เห็นเมื่อในยามเยาว์วัย...เป็นดั่งรอยขีดเขียน...ที่ไม่มีวัน เลือนไป...เปิดเผยความในใจ ณ ยามที่จารึกไว้...และเชื่อมโยงไปยังอนาคตที่วาดหวังไกล” ในขณะที่เดินไปรอให้ระเบิดมันตกลงมาบนกลางกบาลก็ร้องเพลงไปด้วย พร้อมน้ำตาที่ไหลรินกับความโหดร้ายบนโลกใบนี้ที่เขาเกิดมา...

“ฮึก...แม่จ้า...แม่อยู่ไหน” ...แต่แล้ว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทำให้ฝีเท้าของต้องเขาหยุดชะงักลง

 

 

 

 

                                             ตูม!!!!!!

 

 

 

 

 

 

ใน ขณะที่ระเบิดยังคงลงต่อไป ผู้คนยังคงวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ผู้คนตายเกลือนกลาด ต่างคนต่างวิ่งหนีฝุ่นตลบอบอวน กลับมีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นเข้ามาในโสตประสาทของเขา ถึงจะไม่ดังเท่าเสียงระเบิด แต่มันกลับทำให้โซโลม่อนหันไปสนใจกับเสียงนั้น...ก็ได้พบกับเด็กน้อยคนหนึ่ง เนื้อตัวมอมแมม ในอ้อมอกกอดตุ๊กตาแน่นพร้อมกับเดินร้องไห้ไปด้วย โดยไม่รู้ชะตากรรมของครอบครัวเลยว่ายังรอดอยู่หรือไม่ และไม่รู้เลยว่า ชะตากรรมของตนจะถึงคาดหรือไม่ ชายหนุ่มยืนมองด้วยแววตาสังเวช...ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาเมตตาใครไม่ลงแล้ว...พลางคิดในใจว่า...

ช่าง น่าสังเวชเสียจริง...ยังเด็กอยู่แท้ๆ...แต่ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้...แต่ จะให้ทำยังไงได้...ก็นี่มันช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่นะ...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด...

ใน ขณะที่ลมด้านหลังกระโชกแรงเพราะแรงระเบิดและเปลวเพลิงที่ลุกโชกช่วงท่วมหมู่ บ้านแห่งนี้ ...จู่ๆ เหมือนกับว่าชายหนุ่มจะเห็นอะไรสักอย่างจะล่วงลงมาตรงที่เด็กน้อยยืนร้องไห้ อยู่ซึ่งมันคือ...ระเบิด...

...ดีใจด้วย...กำลังจะพ้นทุกข์แล้วนะเจ้าเด็กน้อย... มอง ไปพลางคิดในใจก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาเหมือนยินดี...แต่มันจะใช่จริงๆน่ะหรือ?... เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา รอยยิ้มเป็นต้องหุบก่อนที่โซโลม่อนจะพยายามวิ่งไปหาเด็กคนนั้น แต่ร่างกายกับพยายามหยุดอยู่นิ่งๆ พยายามไปช่วย พยายามหยุดยืนดู พยายามไปช่วย พยายามหยุดอยู่ด้วย พยายามไปช่วย พยายามหยุดอยู่ดู....เฮ้ยยยยยยยยยยย!!!!! ต้องไปช่วยสิฟะ!!!นั้น เด็กนะเฟ้ย อนาคตของชาติเชียวนะเฮ้ย เด็กตัวเล็กแบบนั้นจะมาตายตอนนี้ได้ไงกัน มันโหดร้ายเกินไป แถมเด็กคนนั้นก็น่าสงสารอีกด้วย ...

จน สุดท้ายแล้วโซโลม่อนก็กระโดดไปช่วยเด็กคนนั้นจนได้...และแถมให้แบบพิเศษคือ ช่วยชาวบ้านทั้งหมดให้พ้นจากพวกทหารและระเบิดก่อนจะพามายังเมืองหลวง...

...สุดท้ายแล้ว...เราก็...เลวใส่ใครหรือประเทศไหนๆไม่ลงแหะ...

 

 

.

.

.

.

.

 

 

 

          ...สุด ท้ายแล้ว...เขาก็ช่วยชาวบ้านทั้งหมดให้พ้นจากระเบิดมหาภัยแล้วพามายังเมือง หลวง...และต่อจากนั้น...ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น...แต่ไม่รู้ ทำไม...ถึงได้รู้สึกสบายใจแบบนี้กันนะ...เราคงจะ...ได้ตายสมใจอยากแล้ว สินะ...เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องทนทุกข์อะไรอีกแล้ว...ต่อจากนี้...ความทุกข์ ทรมานทั้งหลายและฝันร้ายต่างๆคงจบแล้วสินะ... “

อ้ะ?...เริ่มรู้สึกตัวแล้ว”...นั้นเสียงใครน่ะ?...

“ฝัน ร้ายเหรอจ้ะ?...แย่จังเลย...น้ำตาไหลซะงั้น”...เสียงเดิมเอ่ยพร้อมกับสัมผัส ได้ถึงสัมผัสของผ้าที่เช็ดหยาดน้ำที่ไหลออกมาจากหางตา...ใครกันน่ะ?...ใคร ที่มาสนใจเราในช่วงเวลาแบบนี้...ทั้งๆที่ตลอดเวลา 500,000 ปีที่ผ่านๆมา...ไม่มีใครสนใจเราเลยสักคน... เปลือกตาค่อยๆลืมขึ้นและรู้สึกได้ว่า...มีใครบางคนนั่งอยู่ที่ข้างๆเตียงที่เขานอนอยู่...

“อ่ะ...ลืม ตาแล้ว ฟื้นแล้วสินะจ้ะ” เสียงนั้นยังคงดังอยู่ข้างๆ  เขาใช้เวลาอยู่สักพักในการปรับสายตาให้รับกับแสงไฟนีออนก่อนจะมองไป รอบๆ...รู้สึกสบายตัวแบบแปลกๆแหะ...

“เธอ เป็นใคร?” เสียงแหบแห้งหันมาเอ่ยถามกับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ นัยน์ตาสีน้ำตาลดูสดใสใต้กรอบแว่น นั่งส่งยิ้มมาให้เขาอยู่ข้างๆ “

ฉัน ชื่อไทยจ้ะ...หรือจะเรียกว่าเอกราชหรือเอกก็ได้นะจ้ะ...แล้วคุณล่ะ?” เอ่ยพร้อมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมซึ่งเขาเดาว่า อาจเป็นการแสดงความเคารพหรือการทักทายของคนประเทศนี้...ไทยงั้นหรือ?... อ๋อ...ที่แท้เขาก็อยู่ที่ประเทศไทยนี่เอง...

“เรียกฉันว่า...ราชา” เอ่ยออกไปพร้อมความรู้สึกเหมือนคอแห้งเป็นทะเลทราย

“อ่ะ...คง รู้สึกคอแห้งสินะจ้ะ” ไทยเอ่ยก่อนจะวิ่งไปหยิบแก้วน้ำมาแล้วช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นมานั่งก่อนช่วย จับพยุงแก้วน้ำให้เขาดื่มจนหมด

“ดีขึ้นไมจ้ะ?” ไทยเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบ

“ขอบ คุณนะจ้ะ ที่เมื่อสองวันก่อนคุณราชาช่วยคนของฉันน่ะจ้ะ” หลังจากที่พยุงให้เขานอนเช่นเดิมแล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดตอนที่เขาสลบไปให้ ฟัง...ว่าเขาช่วยชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นหนี และพอพาชาวบ้านหนีมาไกลจากพวกทหารต่างชาติและไกลจากระเบิดแล้ว เขาก็สลบไป พวก ชาวบ้านได้พาตัวเขามาในตัวเมืองหลวงเพื่อรักษาและเล่าเรื่องของเขาให้กับผู้ นำของประเทศนี้ฟังทำให้ผู้นำของประเทศแห่งนี้และไทยมาพบกับเขาเลยทำให้รู้ ว่าตัวเขานั้นไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นประเทศเช่นเดียวกับไทย ไทยจึงอาสาดูแลเขาจนกว่าจะหายดี

“แล้ว คุณไปทำอะไรมาหรอจ้ะ?...แผลถึงได้เต็มตัวขนาดนี้?” ไทยเอ่ยถามกับสภาพแผล พอมามองดูตัวเองแล้ว เขาในตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนแต่ก็มีผ้าพันแผลพันไว้ทั่ว หรือจะเรียกว่าพันไว้ทั่วทั้งตัวดี แต่ก็นะ แผลของเขามันก็เต็มตัวจริงๆนั้นแหละทั้งแผลเก่าแผลใหม่ แต่คงไม่แย่เท่าแผลใจที่จะทำให้เขาไม่ยอมที่จะไปผูกมิตรหรือทำความรู้จักกับ ประเทศไหนอีกแน่

“เรื่องนี้ฉันขอไม่ตอบนะ” ราชาเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นยืน

“อ่ะ...อย่า เพิ่ง...ขยับตัว...สิจ้ะ” ไทยเอ่ยอย่างอึ้งๆเมื่อคิดว่าพอราชาลุกขึ้นมาแล้วจะต้องล้มลงไปแน่เลยทำท่า จะไปช่วยพยุง แต่ก็ผิดคาดเมื่อชายหนุ่มลุกขึ้นมายืนได้หน้าตาเฉย

“ฉัน ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ...ขอบใจนะที่ช่วยทำแผลให้...ขอตัวก่อนล่ะ” ราชาเอ่ยก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตนมาใส่แล้วเตรียมตัวจะเดินออกไปจาก ห้องพัก

“ไม่ ต้องรีบไปก็ได้จ้ะ...คุณยังไม่หายดีเลย ถึงประเทศอย่างเราแผลจะหายเร็ว แต่ไม่เจ็บแผลบ้างเหรอจ้ะ?” ไทยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเดินมาขวางเขาตรงประตูบานคู่  

“เจ็บ น่ะ มันก็เจ็บ...แต่ฉันไม่อยากทำให้ประเทศของเธอเดือดร้อน และไม่อยากมีแผลเพิ่ม เพราะฉะนั้นฉันขอไปก่อนจะมีเรื่องดีกว่า” ราชาเอ่ยก่อนจะเดินผ่านไทยไป แต่ก็โดนไทยคว้าแขนเอาไว้จนเจ้าตัวต้องหันมามอง

 “คุณ ไม่ทำฉันเดือดร้อนหรอกจ้ะ...และฉันขอรับประกันได้เลยจ้ะ ว่าคุณไม่มีแผลเพิ่มหรอกนะ เพราะฉะนั้นพักที่นี่ก่อนเถอะนะจ้ะ อย่างน้อยก็จนกว่าแผลจะหาย” ไทยเอ่ยซึ่งมันทำให้ราชาอึ้ง...ไม่เคยมีใครเป็นห่วงเขาหรือชวนให้เขาอยู่ ต่อ...มีแต่ขับไล่ไสส่งให้เขาไปไกลๆ...พอมาเจอแบบนี้แล้ว...มันทำให้เขา รู้สึกแปลกๆ...แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ...เขารู้สึกดีใจ...

“ฉันอยู่ต่อได้จริงๆเหรอ?” ราชาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจพร้อมกับหัวใจที่พองโต

“จ้ะ” ฝ่ายตรงข้ามก็เอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม

“งั้นขอถามอะไรหน่อยได้ไม?”

“อะไรหรอจ้ะ?”

“ตา ของฉันน่ะ ไม่ได้น่ารังเกียจใช่ไม?” ราชาเอ่ยถามพร้อมกับหลุบตาต่ำ เพราะส่วนใหญ่แล้ว มีแต่คนรังเกียจเขาเพราะสีตาที่แตกต่างกันของเขา มันทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น แต่เขาก็พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีในสิ่งที่ตัวเองเป็น เพราะว่าอย่างน้อย เขาก็มองเห็น

“ไม่ นี่จ้ะ...ฉันว่า สวยออก สีสวยเหมือนทับทิมเลยล่ะจ้ะ” ไทยเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่มีคนชมเขาแบบนั้น...ซึ่งมัน ทำให้เขายิ้มออกมาได้ซึ่งรอยยิ้มของราชามันทำให้ไทยอึ้งก่อนจะหน้า แดง...เพราะว่าพอราชายิ้มแล้ว ช่างดูหล่อเหลาราวกับเทพบุตรก็มิปาน...

“ขอบใจสำหรับคำชม...และขอบใจที่ไม่รังเกียจฉัน...งั้นก็ ตกลง ฉันจะอยู่ต่อ แต่ต้องมีข้อแม้นะ”

“ข้อแม้อะไรหรอจ้ะ?”

“เธอต้องเรียกฉันว่า พี่ราชา”

...และ นั่นก็เป็นการเจอกันครั้งแรก...ของราชอาณาจักรอันลึกลับ กับ ประเทศเล็กๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แทบจะไร้บทบาทเช่นกัน...สอง ประเทศที่ถูกลืม...ที่โคจรมาพบกัน...ต่อจากนี้ไปจะเป็นเช่นไรกันนะ...  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
9 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
9 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา