เผลอรัก...จับใจ

10.0

เขียนโดย soso_sung

วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.15 น.

  20 chapter
  0 วิจารณ์
  22.13K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2556 20.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

3)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ
ขนาดตัวอักษร เล็ก กลาง ใหญ่ ใหญ่มาก
บทที่3
 
 
            “กริ๊ด นี้เธอทำบุญด้วยอะไรเนี่ย คุณคาร์ลก็ชอบเธอ เหวินอี้ก็ยังมาชอบเธออีก” ฉันเล่าเหตุการณ์วันนี้ให้ซูฟังและผลก็ออกมาเป็นอย่างที่เห็น เธอกรี๊ดกร๊าดไม่เกรงใจลูกค้าที่ตอนนี้เริ่มจะสนใจพวกเราแล้ว
            “เบาๆสิ ฉันขอแก้ข่าวว่าคุณคาร์ลของเธอชอบฉัน เขาก็แค่แกล้งฉันไปอย่างนั้น ส่วน
เหวินอี้เขาเป็นเพื่อนฉันต่างหากละ”
            “ไม่จริงหรอก ฉันไม่เชื่อ” ซูยังคงไม่เชื่อในสิ่งที่ฉันพูด
            “แล้วแต่เธอเถอะย่ะ” ฉันเลิกสนใจซูที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ล้อฉัน ฉันเลยมารับออเดอร์เมื่อสัญญาณจากโต๊ะลูกค้าดังขึ้น
            “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าจะรับอะไรดีค่ะ”
            “ขอเป็น...”
            ไม่ทันที่ลูกค้าจะได้สั่งก็เกิดเสียงเอะอะโวยวายดังจากหน้าประตูร้าน
            “ไขไข่ เธอทำแบบนี้ไม่ได้นะ”   
            ทีแรกเธอว่าจะไม่สนใจ แต่เพราะมีชื่อของเธออยู่ด้วยเลยทำให้เธอต้องละจากลูกค้าไปดูหน้าร้านว่าเกิดอะไรขึ้น
“ขอโทษนะค่ะ โปรดรอสักครู่” ฉันเอ่ยขอโทษแล้วรีบเดินไปที่เกิดเหตุเมื่อเห็นว่าคนที่มา อาละวาทคือใคร
            “อาเฉินนายมาทำอะไรที่นี้” ฉันเข้าไปถามอาเฉินที่ตอนนี้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟผลักพนักงานชายที่พยายามที่จะเข้าไปจับเขา
            “เธอต่างหากที่ทำอะไรลงไป” อาเฉินย้อนถามฉันด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง
            “ฉันไปทำอะไร” ฉันถามอย่างงงๆ
            “นี้เกิดอะไรขึ้นนะ” เสียงเฉียบขาดที่ฟังแล้วเป็นต้องขนลุกจากหัวหน้าดังขึ้นทางด้านหลัง
            “หัวหน้า” นี้ฉันต้องตายแน่ๆเลย
            “ไขไข่ ผู้ชายคนนี้ใครกัน” หัวหน้ากอดอกแล้วถามฉันโดยท่าทางนิ่งๆ
            “เพื่อน...”
            “ผมเป็นแฟนเธอ” อาเฉินตอบขึ้นมาด้วยเสียงเข้มแล้วมายืนขวางระหว่างฉันกับหัวหน้า
            “เขาไม่ใช่แฟนฉันค่ะ” ฉันผลักอาเฉินกระเด็นไปอยู่อีกฝากหนึ่งทันที
            “ไม่ว่าเธอสองคนจะเป็นอะไรกัน ฉันไม่สนแต่ฉันขอสั่งให้เธอจัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อยเดี๋ยวนี้”
            “รับทราบค่ะ” ค่อยยังชั่วที่เงาหัวฉันยังอยู่ ยังไม่ถูกประหารโดยการไล่ออก แต่เหมือนว่าคำภาวนามันไม่ได้เป็นอย่างที่หวังไว้
            “แล้วเธอก็เก็บของออกไปจากร้านฉันซะ” ฉันเข้าใจแล้วว่าการถูกไล่ออกมันเป็นยังไง ฉันเข้าใจถึงผู้หญิงแคชเชียร์คนนั้น เวรกรรมคงจะตามฉันทันแล้วสินะ
            “แต่หัวหน้าค่ะ” ฉันเข้าไปกอดแขนหัวหน้าแต่ก็ถูกเธอสะบัดออก
            “กฎของฉันมีให้ปฏิบัติตามไม่ใช่ให้แหก ถึงเธอจะไม่เคยทำตัวแย่ๆมาตลอดสามปี แต่ใครทำผิดก็ต้องได้ทำโทษ เข้าใจ๋!”
กฎของร้านนี้มี10ข้อ
ข้อที่1 ลูกค้าคือพระเจ้าแต่ถ้าหากลูกค้าพูดไม่รู้เรื่องก็ให้แจ้งความทันที
ข้อที่2 ห้ามมีเรื่องกันในร้านไม่ว่าจะเป็นพนักงานกับลูกค้าหรือพนักงานกันเอง
ข้อที่3 หากผิดกฎหรือทำให้หัวหน้าไม่พอใจไล่ออกสถานเดียวไม่มีข้อยกเว้น
ฯลฯ
คือผิดตั้งแต่ข้องสองแล้วขอไม่เสริมต่อนะเพราะช๊อคกับเรื่องที่เจออยู่
            “หัวหน้า” ฉันเรียกหัวหน้าที่เดินออกไปไม่สนใจอะไร ร่างกายของฉันก็เริ่มอ่อนยวบคล้ายหมดแรงต้องลงไปนั่งกองกับพื้น
            “ไขไข่เธอโอเคนะ” ซูเดินเข้ามาประคองฉันแล้วถามด้วยความเป็นห่วง
            “ไขไข่เฉินขอโทษ เฉินไม่ได้ตั้งใจ” เสียงของอาเฉินดังขึ้นทำให้วิญญาณที่ล่องลอยได้กลับเข้ามาในร่าง
            “นายยังมีหน้ามาเรียกฉันอีกหรอตาทึ้มไร้สมอง นายจะไปไหนก็ไปเลย ฉันเกลียดนาย” ฉันลุกขึ้นต่อว่าเขาด้วยความโกรธอย่างห้ามไม่อยู่
            “ไขไข่เธอยังโอเคอยู่ไม” แต่มันเป็นเพียงความคิดชั่ววูบของฉัน ฉันไม่สามารถตะโกนออกไปอย่างนางมารร้ายได้ เพราะฉันเป็นนางฟ้าที่ต้องรักษาภาพพจน์
            “ฉันยังโอเค ซูฉันอยากให้เธอช่วยหางานใหม่ให้ฉันไม่ว่างานมันจะเป็นแบบไหนก็ตาม”
            “ได้ทั้งนั้น ฉันจะรีบหางานให้เธอนะ” แล้วซูก็ดึงฉันไปกอดอีกที “เธอมีปัญหาอะไรโทรหาฉันได้เสมอนะ”
            “ขอบใจนะ ฉันจะไม่ลืมเธอเลย” ฉันกอดเธอตอบแล้วผละออกด้วยความเศร้า จบแล้วสินะ การเป็นพนักงานพาร์ทไทม์
           
 
            “เฉินไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอตกงานจริงๆนะ” พออกจากร้านอาเฉินก็พยายามพูดอธิบายในสิ่งที่เขาทำไปทั้งหมดและเหตุผลของเขาเป็นเพียงเพราะหึงฉันที่ฉันได้ไปกินข้าวกับเหวินอี้ แต่เขาไม่เคยได้ไปกินข้าวกับฉันแบบสองต่อสองเลย มันไม่ยุติธรรมกับเขา นี้คือสาเหตุที่เขามาอาละวาดในครั้งนี้มันชั่งมีสาระซะจริงๆ
            “เฉินจะไปอธิบายกับหัวหน้าของเธอว่าเฉิน...”
            “พอเถอะอาเฉิน ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียว”
            “เธอคงเกลียดฉันแล้วใช่ไม” อาเฉินถามด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวังและเจ็บปวด นัยน์ตาตาของเขาเริ่มมีน้ำคลอ
            “อาเฉิน ฉันขอโทษนะ แต่ตอนนี้ฉันอยากอยู่คนเดียวเงียบๆ” ถึงเขาจะเป็นตัวน่ารำคาญสำหรับฉัน แต่ตอนนี้ฉันไม่อยากจะสนใจอะไรทั้งนั้น
            “ไม่เป็นไร เธอมีอะไรก็โทรหาฉันนะ” อาเฉินเดินคอตกออกไปพร้อมกับน้ำใสๆที่ไหลออกมา
            “เฮ้อ... ตกงาน ฉันตกงานฉันไม่มีงานทำ ฮ่าๆๆๆ” และเมื่ออาเฉินเดินจากไปไม่นานฉันก็เดินคอตกตรงกลับบ้านพร้อมกับพูดคนเดียวและหัวเราะคนเดียวอย่างบ้าคลั่ง แต่ดีที่ว่าผู้คนแถวนี้ไม่ค่อยจะมีสักเท่าไร
            “เจ๊เป็นไรมากป่าวเนี่ย” จู่เสียงเล็กๆเหมือนเด็กผู้ชายดังไม่ใกล้ไม่ไกลจากที่ฉันยืนอยู่
            “มากเลยละ”
            “ผมทำให้เจ๊หายเศร้าเอาไม” เด็กน้อยยิ้มร่าเริงโดยเฉพาะแววตาที่แวววาวนั้นทำให้รู้สึกเหมือนเคยเห็นที่ไหน
            “ทำอะไรละ” ฉันย่อตัวลงไปถามด้วยความสนใจ อย่างน้อยมีคนทำให้หัวเราะก็อาจจะดีก็ได้
            “มาเป็นแฟนกับผมไง”คำพูดที่หลุดออกมาจากปากเล็กนั้นทำให้ฉันต้องมองอย่างอึ้งๆ
            “ฮ่าๆๆๆ” ฉันหัวเราะร่าแล้วคว้าตัวเด็กน้อยเข้ามากอด
            “เจ๊ ผมหายใจไม่ออก” เด็กน้อยพยายามผลักฉันออก
            “นายขอฉันเป็นแฟนหรอ ตัวแค่เนี่ย”
            “ทีแรกผมคิดอย่างนั้น แต่ตอนนี้ผมขอเปลี่ยนใจ โอ้ย!”
            “เด็กบ้า เรื่องแบบนี้อย่ามาล้อเล่นนะ ฉันเสียใจนะรู้ไม”
            “แล้วเจ๊จะมาเขกหัวผมทำไมละเนี่ย เจ็บนะรู้ไม”
            “ก็นายมาให้ความหวังฉันนิ” ฉันมองหน้าเด็กน้อยที่เอามือป้อมๆลูบหัวตัวเอง
            “เลิกเจ็บได้แล้ว ฉันไม่ได้ตีแรงซะหน่อย”
            “ตกลงเจ๊จะเป็นแฟนผมไมอ่ะ”
            “หนอย เด็กบ้า แก่แดดนักนะเรา รอนายโตก่อนฉันจะยอมแต่งงานด้วยเลยเอ้า” ฉันทำเป็นใจดียอมจะแต่งงานกับเด็กที่ห่างจากฉันเกือบรอบปี
            “ไม่เอาอ่ะ ถึงตอนนั้นเจ๊ก็แก่แล้วนะสิ” เด็กน้อยทำแก้มป่องกอดอกส่ายหัวไปมา
            “เด็กบ้า ว่าฉันแก่หรอ แล้วใครขอฉันเป็นแฟนย่ะ” ฉันยื่นมือเข้าไปดึงแก้มป่องๆนั้นทำให้เด็กน้อยถึงกับร้องเสียงหลงออกมา
            “โอ้ย!!...เจ๊ ผมเจ็บนะ” เด็กน้อยพยายามดึงมือของฉันให้ออก
            “น่ารักจังเลย” ฉันก็ยังไม่หยุดทั้งบีบทั้งดึงอย่างหมั่นเขียว
            “หยุดน่า”
            “หยุดก็ได้ แล้วนี้นายมากับใครเนี่ย” ฉันมองซ้ายมองขวาก็ไม่เห็นมีใครอยู่ตรงนี้สักคน       “พี่ชาย” เด็กน้อยตอบ
            “แล้วไปไหนซะละ” มองรอบตัวก็ไม่เห็นจะมีใครเลย และพอฉันจะลุกขึ้นเพื่อมองให้ไกลกว่านี้ว่าพี่ชายของเด็กน้อยอยู่ไหนก็เกิดอาการเซเพราะหน้ามืด ทำให้ฉันทรงตัวไม่อยู่ร่างกายเลยหงายไปข้างหลังเหมือนคล้ายเป็นลม และนั้นทำให้ฉันเตรียมรับกับความเจ็บแต่แล้วความเจ็บนั้นกลับไม่เกิด แต่กลับอะไรบางอย่างแข็งแรงมาประคองฉันไว้
            “เธอโอเคหรือเปล่า” เสียงนุ่มๆถามพร้อมคว้าตัวฉันและประคองให้นั่งลง
            “ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณมากคะ” ฉันกำลังจะขยับตัวลุกขึ้นเมื่อรู้สึกหาย แต่จู่ๆตัวฉันก็ลอยขึ้นโดยอ้อมแขนแข็งแรง
            “คุณทำอะไรนะ” ฉันดิ้นๆในอ้อมแขนด้วยความตกใจแต่ก็ไม่เท่ากับคนที่อุ้มฉัน
            “อยู่นิ่งๆสิเดี๋ยวก็ตกหรอก” เขาเตือนด้วยความหวังดี
            “เฮียคาร์ลไปไหนมาครับ ผมหาซะทั่ว” เสียงเล็กๆของเด็กน้อยดึงให้เราสองคนหันไปสนใจ แต่ในความสนใจของฉันก็คือ ผู้ชายคนนี้เป็นพี่ของเด็กน้อยอย่างนั้นหรอ
            “ไปทำธุระตอนนี้เสร็จแล้ว ไปขึ้นรถเถอะ”
            “แล้วกระเป๋าเจ๊ละครับ”
            “ทิ้งไว้นั้นแหละเดี๋ยวเทศบาลขยะก็มาเก็บไปทิ้งเองแหละ” เขาตอบอย่างไม่สนใจแล้วตั้งท่าจะเดินแต่ก็ต้องร้องออกมาเมื่อฉันบีบขอเขาอย่างแรง
            “นั้นมันกระเป๋าของฉันแล้วมันก็ไม่ใช่ขยะด้วย เก็บของๆฉันมาเดี๋ยวนี้  ไม่งั้นก็ปล่อยฉันลง”
            “โอ้ย ฉันหายใจไม่ออก” หัวของเขาสั่นคลอไปด้วยมือของฉันที่เขย่า แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยฉันลงแถมยังกอดฉันไว้แน่นยิ่งกว่าเดิม
            “โหดเป็นบ้าเลย” เสียงเล็กๆบ่นอย่างกลัวๆแต่ก็ยอมหยิบกระเป๋าขึ้นมาถือ “เจ๊ ผมหยิบแล้ว ปล่อยมือออกจากคอเฮียเถอะ”
            “นายจะปล่อยฉันลงได้หรือยัง” เมื่อเห็นว่าเด็กน้อยหยิบกระเป๋าฉันมาอุ้มกอดไว้อย่างดี ฉันเลยตวัดตาขวางมองเขา และเขาก็ยอมปล่อยฉันโดยดี
            “นายมีปัญหาอะไร” ฉันถามเขาอย่างหาเรื่องเมื่อเห็นว่าเขายังคงมองฉันไม่วางตา
            “เลือดเธอไหลนะ” เขายื่นผ้าเช็ดหน้ามาให้ฉัน
            “เฮ้ย!” ฉันเตะไปที่จมูกก็เจอเลือดที่ไหลออกมาไม่หยุด  
            “เอาไปเช็ดซะ” ไม่ต้องให้เขาบอกเป็นครั้งที่สองฉันก็คว้าผ้าเช็ดหน้ามาอุดรูจมูกทันที
            “นอนพักตรงนี้ก่อน” เขาพาฉันเดินมาหยุดที่เก้าอี้ริมทาง
            “ฉันคิดว่ามันหยุดแล้วนะ” ฉันหันหน้าไปหาเขาที่ยังคงยืนประกบอยู่ไม่ห่างโดยมีเด็กน้อยยืนอยู่ข้างๆ
            “ฉันคืนผ้าเช็ดหน้าให้” เพียงไม่นานฉันก็เช็คดูว่าเลือดได้หยุดไหลแล้วหรือยังพอเห็นว่าเลือดหยุดไหลแล้วฉันก็ยื่นผ้าเช็ดหน้าคืนเขา
            “มันไม่ใช่ของฉัน เธอเอาทิ้งเถอะ” นี้คือคำตอบของเขา
            “ไม่ใช่ของนายแล้วของใคร นายเป็นคนยื่นมาเองกับมือหรือนายรังเกียจเลือดของฉัน ฉันเอาไปซักแล้วคืนให้นายใหม่ก็ได้” เขานี้เหลือเชื่อเลย อะไรๆก็จะเอาทิ้งหมด
            “นายเงียบทำไม” หรือเขาไม่เข้าใจที่ฉันพูด
            “ก็มันไม่ใช่ของฉัน เธอจะคืนฉันได้ยังไง”
            “ไม่ใช่ของนายแล้วของใครละ” อารมณ์เริ่มจะพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆอีกแล้ว ฉันรู้สึกถึงความร้อนในโพรงจมูกคล้ายเลือดที่แห้งไปแล้วกำลังจะละลายไหลย้อยออกมาอีก
            “เอ่อ...ของผมเองครับ” จู่ๆก็มีเสียงแก่ๆดังขึ้นจากข้างๆ และพอฉันหันไปก็เจอกับ
            “ของคุณ...”
            “คุณลุงขับรถของผมเอง” ฉันได้ยินเสียงเหมือนแก้วแตกใกล้ๆ โอ้ย!! ทำไมชีวิตฉันถึงได้เป็นแบบนี้นะ เจอเรื่องหน้าแตกมาแล้วกี่ครั้งก็ไม่อายเท่าครั้งนี้มาก่อน
            “ฉันขอโทษ” ฉันตอบเสียงอ่อยๆแล้วก้มหน้ามือบิดผ้าเป็นพัลวัน อยากจะให้เลือดกำเดาไหลอีกรอบจัง
            “ไม่เป็นไร เจ้าของก็อยู่นี้แล้ว คืนเขาสิ” ฉันเห็นเขายิ้มน้อยๆที่มุมปากด้วย เมื่อกี้เขายิ้มเยาะฉันใช่ไม
            “นายไม่ต้องมายิ้มเลยนะ คุณลุงค่ะเดี๋ยวหนูซักคืนให้นะคะ แล้วก็ขอบคุณด้วยนะคะ” ประโยคแรกเสียงห้วนๆให้คนเป็นเข้านาย แต่สองประโยคหลังหันไปหาคุณลุงแล้วทำเสียงหวานๆ
            “ไม่เป็นไรครับเดี๋ยวผมเอาไปซักเองก็ได้” คุณลุงดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากมือฉันทันที
            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณลุง เดี๋ยวหนูกลับไปซักเอง หนูเกรงใจนะคะ” แล้วฉันก็คว้าผ้าเช็ดหน้ากลับมาถืออีกครั้ง
            “เลิกเล่นได้แล้ว” แล้วก่อนที่จะมากไปกว่านี้เสียงเข้มก็มาพร้อมกับมือที่กระชากผ้าไปถือเอง
            “ครับ” เหมือนจะรู้กันสองคนเพราะคุณลุงรีบวิ่งไปขึ้นรถและสตาร์ทรถทันที
            “เนี่ยไม่ต้องซักมันหรอกยังไงก็ไม่ออก” เขาชูผ้าเช็ดหน้าที่มีคราบเลือดแห้งกรังของฉันแล้วก็โยนทิ้งที่ถังขยะแล้วก็สั่งฉันเสียงเข้ม “ทีนี้ก็ไปขึ้นรถ”
            “ขึ้นรถไปไหน” ฉันถามเขา
            “คีย์” เขาเอ่ยชื่อใครสักคนแต่ก็ไม่ต้องสงสัยเพราะเด็กน้อยก็ได้เข้ามาลากฉันให้ขึ้นรถ
            “เจ๊รีบขึ้นเถอะก่อนที่เฮียจะโกรธ” เมื่อฉันทำท่าไม่ไปไหนเด็กน้อยคีย์ก็รีบพูดแล้วทำหน้ากลัวๆ
            “ทำไมฉันต้องทำตามด้วยละ เฮียนายไม่ใช่เฮียฉันซะหน่อย” เหมือนกับว่าฉันจะตัดสินใจได้ผิดเพราะฉันรู้สึกเหมือนลมเย็นๆผ่านไปวูบหนึ่ง
            “ว้ายย นายจะทำอะไรนะ ปล่อยฉันลงนะ” ฉันโวยวายใหญ่เมื่อคาร์ลอุ้มฉันแล้วเหวี่ยงพาดไหล่
            “ผมบอกแล้วไม่เชื่อ” เด็กน้อยคีย์เอ่ยออกมาพร้อมกับสายหัวไปมา
            “คุณทำบ้าอะไรเนี่ย” เมื่อขึ้นรถเสร็จแล้วฉันก็โวยวายไม่ยอมหยุด
            “อยู่เงียบๆสักนาทีได้ไม” เขาหันมาตอบนิ่งๆ
            “...” แต่สายตาของเขาบ่งบอกได้ดีว่ารำคาญฉันเต็มแก แล้วเขาจะเอาฉันขึ้นรถมาด้วยทำไม
            “เฮีย พรุ่งนี้วันหยุด อย่าลืมสัญญาของเรานะครับ” เด็กน้อยทวงสัญญาคนเป็นพี่ชายทันที
            “ได้สิ” เขาตอบแล้วก็ยีหัวเด็กน้อยอย่างเมามันส์ มองมุมนี้เขาก็น่ารักดี แต่พอนึกถึงเรื่องที่เขาทำกับฉันแล้วฉันยิ่งอยากจะอยู่ห่างไกลจากเขาเหลือเกิน
            “เจ๊ด้วยนะ พรุ่งนี้ผมจะไปรับ” จู่ๆเด็กน้อยก็หันมาคุยกับฉันทำให้ฉันต้องหยุดความคิดนั้น
            “หือ ฉันหรอ พรุ่งนี้ฉันไม่...” ฉันกำลังจะพูดว่าไม่ว่าง แต่พอสายตาเหลือบไปเห็นคนตัวโตก็แทบจะกลับลิ้นไม่ทัน
            “ไม่มีปัญหา กี่โมงละ”
            “เก้าโมง”
            “เก้าโมง!!!”
            “แล้วเจอกันนะครับ” ไม่ทันที่ฉันจะท้วงรถก็ได้มาจอดที่หน้าบ้านเรียบร้อย แถมยังถูกเจ้าของรถทั้งสองไล่ให้ลงจากรถด้วยสายตาอีกต่างหาก
            “จ๊ะ แล้วเจอกันนะจ๊ะ บ๊ายบาย” พอลงมาจากรถฉันก็ได้แต่พูดกับตัวเองพร้อมโบกมือลาด้วยความเศร้าใจ
            “เฮ้ย” ฉันถอนหายใจอย่างเหนื่อยล้ากับปัญหาที่เจอมาแต่ในเมื่อเราเกิดมาแล้วก็ต้องสู้ต่อไป
            “อย่างน้อยโลกก็ยังไม่มืด หาวิธีสู้ต่อไป สู้ๆๆขายไข่” ฉันให้กำลังใจตัวเองแล้วเดินเข้าบ้านตัวเอง
            “ให้ตายสิ แล้วฉันจะใส่ชุดไหนละเนี่ย” เด็กน้อยสร้างปัญหาให้ฉันอีกแล้ว
            “อยากจะบ้าตาย เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้ซักเต็มตะกร้า ส่วนที่มีในตู้ก็...” พอหยิบเสื้อผ้าที่อยู่ในตู้ที่ทั้งใส่ได้และไม่ได้ก็ได้แต่ถอดใจ
“โทรไปขอยืมอาเยียนดีไมนะ ไม่ดีๆๆ ขี้เกียจตอบคำถาม งั้น...ซูใช่ ซูต้องมีชุดให้ฉันยืมแน่ๆๆ แต่...ซู” ได้แต่มองกระจกแล้วจิตนาการภาพว่าตัวเองที่ใส่เสื้อผ้าของซูที่ไม่ต่างอะไรจากของผู้ชายสักเท่าไรก็ได้แต่ถอดถอนใจ
            “หรือฉันจะโทรไปยกเลิกดีนะ” แต่เห็นสายตาของเด็กน้อยที่เศร้าและสายตาดุๆของตาบ้านั้นแล้ว ก็ทำให้ไม่กล้า อีกอย่างก็ไม่มีเบอร์ด้วยแหละ
            “เฮ้อ เหนื่อยจังเลย” ไขไข่ล้มตัวลงนอนพร้อมกับหลับตาและเพียงเวลาไม่นาน ความเหนื่อยก็พรากให้เข้าสู่นิทราในเวลาต่อมา

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา