เผลอรัก...จับใจ

10.0

เขียนโดย soso_sung

วันที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556 เวลา 14.15 น.

  20 chapter
  0 วิจารณ์
  21.96K อ่าน

แก้ไขเมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2556 20.49 น. โดย เจ้าของนิยาย

แชร์นิยาย Share Share Share

 

4)

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

บทที่4

 

            “เจ๊ๆ ตื่นๆๆ” เด็กที่ไหนมาเสียงดังแถวนี้นะ

            ซ่า!!

            “เฮ้ย!!” ฉันสัมผัสได้ถึงความเย็นของน้ำ ใครหน้าไหนมันกล้ามาสาดน้ำใส่ฉัน

            “นายทำบ้าอะไรเนี่ย แล้วเข้ามาได้ยังไง” พอฉันพรวดพราดลุกขึ้นเตรียมจะด่าก็ต้องเปลี่ยนใจเมื่อเห็นคนเผด็จการยืนถือถังน้ำโดยมีเด็กน้อยคีย์ยืนปิดปากขำคิกๆอยู่ข้างๆผู้เป็นพี่ชาย

            “ขี้เซาเป็นบ้า” เขาวางถังน้ำลงแล้วโยนผ้าขนหนูมาทางฉัน

            “เดี๋ยว...แล้วนั้นจะไปไหนกันนะ ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง” พวกเขายืนยิ้มกันอย่างมีความสุขที่ได้แกล้งฉันแล้วเดินจูงมือออกทางประตู ฉันที่ร้องโวยวาย เรียกเท่าไรก็ไม่มีใครหันกลับมา

            “เฮือกกก เมื่อกี้ฉันฝันไปหรอเนี่ย” ฝันเหมือนจริงมากเลย แต่หวังว่าฉันจะไม่ฉี่รดที่นอนนะ

            “เฮ้อ ค่อยยังชั่ว” เมื่อสำรวจว่าที่นอนยังแห้งสนิทอยู่ก็ทำให้เบาใจลงและกำลังจะนอนหลับต่อก็พลันได้ยินเสียงที่ไม่อยากจะได้ยิน

            “เจ๊อยู่ไม” ไม่จริงน่า

            “ตายละหว่า...” ฉันเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไร แถมยังลืมตั้งนาฬิกาปลุกอีก

            “อีกสิบนาทีจะออกไป” ฉันตะโกนออกไปโดยไม่รู้ว่าพวกเขาจะได้ยินหรือเปล่า แต่เงียบแบบนี้คงได้ยินแหละมั้ง

            ฉันไม่สนใจว่าพวกนั้นจะได้ยินหรือไม่ได้ยิน แต่สิ่งที่ฉันต้องสนใจก็คือฉันต้องรีบอาบน้ำแต่งตัว และตอนนี้ฉันก็ไม่รู้ว่าคว้าเสื้อตัวไหนมาได้ แต่ก็ใส่ๆไปก่อนเถอะนะ

            ปั้ง!!!

            “เสียงอะไรอีกละเนี่ย” ฉันที่กำลังจะใส่เสื้อก็ต้องหยุดชะงักและรีบใส่เมื่อได้ยินเสียงคนเดิน

            “อย่าบอกนะว่า” ว่าแล้วฉันก็รีบวิ่งพรวดไปที่จุดเกิดเหตุ

            “พวกนายทำอะไรกับประตูบ้านฉัน” เมื่อไปถึงก็เห็นซากประตูทั้งชั้นนอกและชั้นในได้พังเป็นเสี่ยงๆไปแล้วโดยบอดี้การ์ดชุดดำทั้งหลาย

            “ก็ตะโกนเรียกตั้งนานไม่เห็นมีใครตอบ ก็กลัวว่าจะเป็นอะไร” คนตัวใหญ่ตอบ

            “ใช่เจ๊ ผมเรียกจนเสียงจะหมดอยู่แล้ว ว่าแต่เจ๊ทำอะไรอยู่อ่ะ” เด็กน้อยถาม

            “แล้วนี้เจ๊แต่งตัวไรของเจ๊เนี่ย” เด็กน้อยชี้ตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วย้อนเท้าจรดหัวอยู่สองสามรอบ

            “เฮ้ย” เมื่อเห็นดังนั้นฉันก็ก้มดูว่าทำไมเด็กน้อยถึงได้ทำหน้าตาแย่ๆ และเมื่อก้มสำรวจดูก็ถึงกับจะเป็นลม   นี้มันผ้าขี้ริ้วที่ฉันใช้เช็ดพื้นนิ กับกระโปรงสีชมพูลูกไม้ที่ขาดเป็นริ้วๆเนื่องจากไอ้หมาข้างบ้านเข้ามาขย้ำตอนที่ฉันตากผ้า

            “หันไปให้หมดเลยนะ” ฉันออกสียงสั่งทันทีที่พบความผิดปกติของตัวเอง

            “ห้ามมีใครหันมาจนกว่าฉันจะสั่ง” เขาและเด็กน้อยก็ทำตามอย่างว่าง่าย แต่ดูเหมือนว่าจะหันไปหัวเราะกันซะมากกว่าเมื่อสังเกตได้ว่าหัวไหล่ทั้งใหญ่และเล็กสั่นกระเพื่อมๆ

            “ห้ามหัวเราะกันด้วย” ว่าแล้วฉันก็รีบวิ่งเข้าไปที่ห้องนอนเพื่อที่จะไปหาเสื้อตัวใหม่ และไม่นานฉันก็ออกมาด้วยสภาพปกติ

            “เสร็จแล้ว” ฉันเดินออกมาก็เจอคาร์ลที่ยืนมองนู่นมองนี้ภายในบ้านฉันอยู่

            “อืม” แล้วเขาก็เดินออกไปแล้วฉันก็ได้แต่เดินตามหลังเขา “อ่อ เรื่องประตูเดี๋ยวฉันโทรให้ช่างมาซ่อมแล้วนะ” แต่จู่ๆเขาก็หยุดกะทันหันทำให้ฉันที่เดินตามหลังเกือบเอาหน้าไปชนเข้ากับอกของเขา

            “เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”

            “เปล่า ฉันไม่ได้เป็นอะไร รีบไปเถอะ” ฉันเดินหลีกออกมาก่อนเพราะตอนนี้หน้าฉันแดงมากเลย ยืนห่างกันไม่ถึงเซนฯแถมกลิ่นน้ำหอมแบบผู้ชายของเขาทำให้ใจฉันกระตุกแปลกๆอีก ฉันต้องเป็นบ้าแน่ๆ

            “เจ๊เป็นอะไรไปครับ” พอเข้ามาถึงรถ เด็กน้อยก็หันมาถามเมื่อเห็นฉันลุกลี้ลุกลน

            “ไม่ได้เป็นอะไรจ๊ะ” ไม่ได้เป็นอะไรเลย ก็แค่เหมือนมีใครมาตีกลองรัวที่อก

            “เฮีย ครั้งนี้ผมจะต้องชนะแน่” เมื่อคาร์ลเข้ามานั่งในรถแล้วเด็กน้อยก็พูดด้วยความมั่นใจกับสิ่งที่จะเกิดครั้งหน้านี้

            “ขอให้จริงเถอะ ครั้งที่แล้วก็แพ้อย่างราบคราบ”

            “เออ...คือเราจะไปไหนกันหรอ” ฉันขัดทั้งสองคนที่เกทับไม่มีใครยอมใครจนลืมว่ามีฉันอยู่ด้วย

            “เดี๋ยวก็รู้เองแหละครับ” เด็กน้อยตอบหน้าระรื่น

            “เดี๋ยวรู้แล้วเมื่อไรละ” ฉันบ่นพึมพำกับตัวเองในใจ

            “ก็เดี๋ยวนั้นแหละ” จู่ๆคาร์ลก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉัน

            “เฮ้ย” ฉันตกใจผละหน้าออกมาทำให้ฉันที่นั่งชิดริมหน้าต่างหัวเลยไปโขกกับกระจกเข้าอย่างจัง

            “โอ้ย!!!”

            “เป็นอะไรหรือเปล่า” คาร์ลยืนมือมาจับหัวหัวฉันสำรวจว่าหัวของฉันได้แตกไม

            “ฉันไม่เป็นอะไร เอามือของนายออกไปนะ” ฉันพัลวันในการเอามือของเขาออกจากหัว

            “ก็จะดูให้ว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า”

            “ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า นายอยู่เฉยๆได้ไม” เขายังไม่ยอมลดราวาซอกยังคงเอาหัวของฉันไปดูให้ได้ว่ามีอะไรเสียหายหรือเปล่า

            “ฉันจะเป็นก็เพราะนายนั้นแหละ เอามือออกไปได้แล้ว”

            “ให้ดูดีๆก็สิ้นเรื่องไปแล้ว ทำเป็นหวงเนื้อหวงตัวไปได้”

และเพียงไม่นานหรือด้วยที่ฉันมัวแต่สนใจตาบ้าคาร์ลที่เล่นกับน้องชายของตัวเองหรือเปล่าทำให้เวลาในการเดินทางครั้งนี้ได้จบลงด้วยสถานที่เบื้องหน้าก็คือสวนสนุกนั้นเอง

            “ถึงแล้วครับ” ลุงคนขับรถคนเดิมบอกแล้วลงมาเปิดประตูให้

            “ขอบคุณนะครับ ไว้เสร็จเมื่อไรผมจะโทรไปเรียก”

            “ครับ”

            พอก้าวลงจากรถก็ได้ยินเสียงกรี๊ดร้อง เสียงหัวเราะ อย่างสนุกสนานซึ่งไม่ไกลจากที่เรายืนกันอยู่ นั้นทำให้รู้ว่าตอนนี้พวกเรากำลังมาที่สวนสนุก

            “แล้วไหนเพื่อนๆนายละ” คาร์ลหันไปถามน้องชาย

            “นั้นสิ นี้ก็ได้เวลาแล้วนะ” เด็กน้อยมองซ้ายมองขวาหาพรรคพวกของตัวเอง

            “นั้นไงมากันแล้ว” และกลุ่มเด็กๆชายหญิงประมาณสี่ห้าคนก็วิ่งปรี่มาหาพวกเรา

            “คีย์ ฉันคิดถึงนายจังเลย” เด็กหญิงน่ารักถักเปียสองข้างวิ่งเข้ามากอดคีย์อย่างเต็มรักโดยความคิดถึงอย่างมากมาย

            “ปล่อยฉันนะยัยเน่า” คีย์พยายามผลักเด็กหญิงถักเปียออกอย่างทุลักทุเล

            “สวัสดีค่ะคุณคาร์ล” เสียงหวานๆของผู้หญิงอีกคนดังขึ้นเรียกให้ฉันต้องละสายตาจากเด็กๆหันไปมอง

            “สวัสดีครับคุณเพ้ย”

            “เด็กๆตื่นเต้นน่าดูเลยนะค่ะ” คุณเพ้ยชวนคุย

            “ครับ” แต่หมอนี้ก็ไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย

            “แอะ แล้วนี้...” เมื่อคุณเพ้ยหันมาเห็นฉันก็ทำหน้าสงสัย

            “สวัสดีค่ะฉันไขไข่” ฉันรีบแนะนำตัวเองทันที

            “สวัสดีค่ะฉันหวังเพ้ยค่ะ”

            “เราไปกันเถอะ” ไม่ทันที่เราสองคนจะพูดคุยกันคาร์ลก็ลากฉันตามเด็กๆที่ตอนนี้วิ่งกันไปต่อคิวซื้อตั๋ว

            “นายปล่อยฉันนะ”

            “ปล่อยเธอก็ได้หลงกันพอดี เธอยิ่งเปิ่นๆอยู่ด้วย”

            “นายว่าฉันเปิ่นหรอย่ะ”

            “ก็ใช่นะสิ”

            “ทำไมพี่สาวนายสวยจังเลยละ” ก่อนที่ฉันจะได้จัดการกับตาบ้าก็มีเสียงเด็กผู้ชายในกลุ่มคนหนึ่งดังขึ้น

            “ก็เป็นแฟนกับเฮียเรานิ” เด็กน้อยคีย์ตอบความสงสัยของเพื่อนแต่นั้นทำให้ฉันทำตัวไม่ถูกเลยทีเดียวและแอบสงสัยว่า ฉันสวยด้วยตัวเองหรือว่ารัศมีของหมอนี้ทำให้ฉันดูดี

            “ไม่ใช่ พี่ชายคีย์ต้องเป็นแฟนกับพี่เพ้ยสิ ไหนเราสัญญากันแล้วไงว่าคีย์เป็นแฟนกับเพียวแล้วพี่คาร์ลเป็นแฟนกับพี่เพ้ย” เด็กหญิงถักเปียร้องขึ้น

            “ไม่ใช่ซะหน่อย ใครเขาอยากเป็นแฟนก่ะตัว ยัยเน่า” คีย์ตะโกนใส่หน้าเด็กน้อยโดยไม่สนว่าคนฟังจะรู้สึกอย่างไร

            “คีย์ไม่เอา เราเป็นผู้ชายน่ะขอโทษเพียวซะ” คาร์ลห้ามปรามคีย์ เมื่อเห็นน้องเพียวเริ่มเบ้ปากเตรียมร้องไห้

            “ฉันขอโทษ” คีย์ขอโทษอย่างไม่เต็มใจนัก

            “ไม่เป็นไรหรอก เราไม่ถือหรอกก็เราเป็นคนรักกันนิเน๊อะ” แล้วน้องเพียวก็กระโดดกอดคีย์          “ผมต้องขอโทษแทนคีย์ด้วยนะครับคุณเพ้ย” คาร์ลหันไปขอโทษคุณเพ้ยทันที

            “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เด็กก็แค่ยอกล้อกัน”

            “งั้น เราเข้าไปกันเถอะครับ” แล้วพวกเราก็ต้อนเด็กๆให้เข้าไปข้างในซึ่งก็ถึงกับตะลึงความอลังการของเครื่องเล่น และคนมากมายที่ต่างพร้อมใจกันมาอย่างไม่ได้นัดหมาย

            “คนเยอะเหมือนกันแหะ” พอเข้ามาข้างในก็เจอกับผู้คนมากกมายไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ที่มากันเป็นครอบครัวหรือหนุ่มสาวที่มากันเป็นคู่

            “เฮียผมอยากเล่นนั้นครับ” คีย์เดินเข้ามากระตุกแขนคาร์ลแล้วชี้ไปที่เครื่องเล่นหวาดเสียวที่กำลังตีลังกาอย่างบ้าคลั่ง

            “นายยังเด็กเล่นไม่ได้ เราไปเล่นตรงนู่นดีกว่า” คาร์ลชี้ไปที่เครื่องเล่นโซนเด็ก

            “โอเคครับ พวกเราไปกันเถอะ” คีย์ได้กลายเป็นหัวโจกนำเพื่อนๆไปเล่นเครื่องเล่นกันอย่างสนุกสนาน

            “นายไปดูเด็กๆกับคุณเพ้ยเถอะเดี๋ยวฉันไปรออยู่ที่ร้านอาหาร” ฉันบอกคาร์ลเมื่อเขาไม่ยอมเดินตามเด็กๆ

            “ไม่เป็นไร ฉันจะไปกับเธอด้วย”

            “แต่คุณเพ้อดูแลเด็กหลายคนไม่ไหวน่ะ นายเป็นผู้ชายไปช่วยคุณเพ้ยดูแลเถอะ” ฉันเหนื่อยกับเขาเลยเกิน อีกอย่างเราสองคนก็พึ่งรู้จักกันแต่เขากลับติดฉันหนึบเหมือนฉันเป็นอะไรกับเขาอย่างนั้นแหละ

            “คุณเพ้ยเก่ง เขาดูแลเด็กๆได้ดีอยู่แล้วแหละ ใช่ไมครับ” แล้วเขาก็หันไปถามคุณเพ้ย

            “อ่อค่ะ ถ้างั้นฉันไปดูเด็กๆก่อนนะค่ะ”

            “นายไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย คุณเพ้ยรอฉันด้วยค่ะ” ว่าเสร็จฉันก็วิ่งตามคุณเพ้อไปดูเด็กๆ

            “คุณไขไข่ไม่อยู่กับคุณคาร์ลละค่ะ” คุณเพ้ยหันมาถามฉันเมื่อฉันยืนอยู่ข้างๆมองเด็กๆเล่นเครื่องเล่นอย่างมีความสุข

            “ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันไม่ชอบขี้หน้าเขา อยู่ด้วยแล้วพาลทำให้อารมณ์เสีย” ฉันตอบยิ้มๆไม่ทันได้สังเกตแววตาของคนข้างๆที่มองมายากที่จะบรรยาย

            “หรอคะ แต่ฉันกลับคิดว่าอยู่กับเขาฉันรู้สึกอบอุ่นมากๆเลยละคะ” ฉันหันไปมองคุณเพ้ยด้วยความไม่คาดคิดแววตาของเธอจ้องมองมาทางฉันเหมือนมีอะไรบางอย่าง

            “ฉันว่าฉันไปซื้อน้ำดีกว่า คุณเพ้ยอยากได้อะไรไมค่ะ” ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร

            “ไม่ละค่ะ ขอบคุณนะค่ะ”

            “แล้วฉันจะรีบกลับมานะคะ”

            สายตานั้นมันคืออะไรกันนะ หรือว่าคุณเพ้ยกับหมอนั้นจะปิ๊งกัน ไม่น่าก็ในเมื่อเขาไม่เห็นมีท่าทีจะสนใจคุณเพ้ยเลยนิ หรือว่า...

ฉันคิดคนเดียวระหว่างทางเดินจนมาถึงร้านกาแฟ ก็ต้องมาสะดุดลงเมื่อเห็นคาร์ลที่นั่งจิบกาแฟสบายใจเฉิบ

            “แล้วเด็กๆละ”

            “เห็นไมละ” ฉันสวนกลับ

            “เธอนี้กวนจริงๆ”

            “ขอคาปูชิโนเย็นแก้วหนึ่งค่ะ”

            โชคดีที่คนไม่เยอะมากทำให้ฉันไม่ต้องเสียเวลาต่อแถวนานแถมไม่ต้องทนเห็นหน้าเขาอีก

            “คาปูชิโนเย็นได้แล้วคะ”

            “ขอบคุณค่ะ”

“ไปกันเถอะ” เมื่อฉันจ่ายเงินเรียบร้อยก็ถูกเขาคว้ามือแล้วเดินออกจากร้าน

            “จะไปไหน” ฉันพยายามดึงมืออกแต่เขาก็กลับกุมแน่นยิ่งกว่าเดิม

            “มาสวนสนุกทั้งทีเราก็ต้องมาเล่นให้สนุกกันไปเลย”

            “นี้นายโตแล้วนะยังจะมาเล่นอะไรเด็กๆแบบนี้อยู่อีก”

            “ความเป็นเด็กอยู่ที่ตัวเราทุกคนเพียงแต่ว่าเราจะแสดงมันออกมาให้เห็นหรือเปล่า” จู่ๆเขาก็หันมาพูดด้วยน้ำเสียงขี้เล่นพร้อมกับรอบยิ้มอย่างมีความสุข

            “เอ่อ...” รอยยิ้มของเขาทำให้ฉันหยุดชะงักไปเสี้ยววินาทีแล้วรู้สึกถึงแรงกระชากทำให้ได้สติกลับมา

            “ฉันว่าเรามาเล่นไอ้เจ้านี้กันเถอะ” เขาลากมาที่เครื่องเล่นรถไฟเหาะ ที่มีความยาวหลายกิโลเมตรมันเคลื่อนตัวด้วยความเร็ว 160กม./ชม. และยิ่งตัวเครื่องเล่นมาตรงที่หมุนเกลียวนั้นอีก ไม่กล้าคิดเลยว่าถ้าฉันขึ้นไปจะตกลงมาท่าไหน

            “ฉันขอบาย นายเล่นไปคนเดียวเถอะ” แค่เห็นก็ทำให้ฉันจะเป็นลมอยู่แล้ว ถ้าได้เล่นจริงๆฉันคงสลบคาเครื่องเล่นแน่ๆ           

            “ได้ยังไงล่ะ เรามาด้วยกันก็ต้องเล่นด้วยกันสิ” เขาดึงแก้วคาปูชิโนของฉัน(ที่ยังไม่ได้ดื่มสักนิด)ไปทิ้งที่ถังขยะแล้วไปต่อแถว

            “ฉันไม่อยากเล่น ฉัน..” แต่เหมือนฟ้าจงใจแกล้งฉัน เพราะเครื่องเล่นได้มาหยุดตรงที่ฉันยืนพอดี

            “ไปๆๆนั่งๆๆ” คาร์ลจัดแจงที่นั่งโดยการพลักให้ฉันไปหาที่ว่าง

            “ข้างหน้ายังว่างอยู่ครับ” ซึ่งพนักงานที่เห็นว่าเราสองคนยังเลือกที่ไม่ได้พนักงานเลยตะโกนบอก

            “เราไปกันเถอะ”

            “ฉันกลัวน่ะ” ฉันกุมแขนรั้งเขาไว้ไม่ให้ไปแล้วใช้สายตาอ้อนวอนอย่างสุดซึ้ง

            “ฉันอยู่นี้ทั้งคนเธอจะไม่เป็นอะไรแน่ๆ” เขาบอกด้วยความมั่นใจแล้วก็ออกเดินโดยที่ฉันก็พยายามใช้เท้าจิกพื้นอย่างสุดกำลัง

            “พร้อมนะครับ” เมื่อเสียงพนักงานบอกเจ้าตัวล็อคก็เลื่อนลงมาทำให้ฉันไม่สามารถออกไปไหนได้

            “คุณจับนี้ไว้ให้แน่นๆแล้วคุณจะไม่เป็นอะไร” เขาบอกให้ฉันจับตรงแฮนด์เมื่อเห็นว่าฉันยังคงกุมมือตัวเองไม่ปล่อย และสักพักเครื่องก็เริ่มทำงานโดยที่ฉันยังไม่ได้จับอะไรเลย

            “คุณ ปล่อยฉันลงเถอะ กรี๊ดดดด” แล้วความรู้สึกทั้งหมดของฉันก็เหมือนอยู่ในห้วงอากาศที่ไร้น้ำหนัก มันทำให้ท้องของฉันมวลไปหมดแล้วยังถึงตอนโค้ง หัวของฉันเหมือนจะหลุดออกจากบ่า นี้มันเครื่องประหารชีวิตคนชัดๆๆ ถ้าฉันรอดออกไปได้ฉันจะเผามันให้มอดไหม้เลยคอยดู ว๊ากก!เจ้าเครื่องบ้า

            “คุณไม่เป็นอะไรนะ” เวลาแห่งการทรมานได้หยุดสิ้นลง ฉันไม่สามารถยืนได้ด้วยลำแข้งของตัวเองเลยต้องให้เขาช่วยพยุงออกมา

            “ฉันอยากกลับบ้าน” ฉันพูดด้วยเสียงอ่อนแรง ปากซีดยิ่งกว่าไก่ต้ม ผมเพ้าที่ไม่เป็นทรงอยู่แล้วพันกันอย่างกับรังนก

            “อะไรกัน แค่นี้ก็หมดแรงแล้วหรอ”

            “นายไม่มาเป็นฉันนายไม่รู้หรอก!” กล้ามาพูดได้ยังไงว่าแค่นี้ โอ้ย! เผลอใช่แรงตะโกนไป ตอนนี้ฉันแถบจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว

            “ผม...ขอโทษ คุณไว้ไมเนี่ย” เห็นสภาพฉันยังจะถามอยู่อีกหรอ

            “ฉันอยากกลับบ้าน”

            “งั้นเราไปกินไอศกรีมกันเถอะ” นี้เขาฟังที่ฉันพูดไม

            “เธออยากกินอะไร” แต่เขาก็ยังลากฉันมาถึงร้านไอศกรีมจนได้ แล้วเขาก็มัวแต่สนใจมองไอศกรีมตรงหน้าไม่เห็นว่าหน้าฉันกำลังพะอืดพะอมอยู่

            “ฉันไม่อยากกิน”

            “กินอะไรหวานๆหน่อย คุณจะได้อาการดีขึ้น”

            “ขอบคุณแต่ฉันไม่อยาก...” เขายื่นไอศกรีมมาจ่อที่ปากฉันทำให้ฉันต้องกินมันอย่างเลี่ยงไม่ได้

            “มันจะช่วยเธอได้จริงๆนะ อร่อยไม” ถ้าหูฉันไม่เพี้ยนหรือว่ารสหวานของไอศกรีมทำให้ฉันเริ่มดีขึ้นละก็ ฉันได้ยินเสียงที่นุ่มๆอ่อนละมุนเหมือนรสหวานของไอศกรีมที่ฉันกำลังกินอยู่

            “เป็นอะไรไปละ หรือว่าไม่อร่อย” เขาถามพรางยื่นมือมาที่มุมปากของฉัน

            “อ่ะ” ฉันผงะเล็กน้อย แล้วเริ่มทำตัวไม่ถูกกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า

            “นี้คุณ มันอร่อยจนคุณอึ้งไปเลยหรือไง” เขาถามเสียงเข้มขึ้นนิดหน่อย

            “ใช่ มันอร่อยมาก อร่อยจนฉันไม่กล้ากินแล้ว” ว่าแล้วฉันก็ยื่นไอศกรีมที่กินไม่ถึงครึ่งคืนเขา

            “อ่าว ทำไมละ แล้วนั้นคุณจะไปไหน” ใครจะยืนให้เขาทำอะไรบ้าๆแบบนั้นอีกละ

            “ฉันจะไปเข้าห้องน้ำ” ฉันหันไปตอบก็เห็นว่าเขาเดินกินไอศกรีมที่ฉันคืนให้เขาเมื่อกี้

            “แล้วคุณรู้หรอว่าห้องน้ำไปทางไหน” เขาเดินยิ้มๆมาหยุดอยู่ตรงหน้า

            “ไม่รู้” ฉันก้มหน้างุดๆเพราะเขินกับรอยยิ้มล้อๆของเขา

            “ผมพาไป” ฉันยังไม่ทันได้ตอบ เขาก็กินโคนไอศกรีมเข้าไปในปาก เมื่อหมดแล้วเขาได้กุมมือฉันออกเดินอีกครั้ง

            “ที่จริงคุณบอกทางฉันก็ได้นะค่ะ เดี๋ยวฉันเดินไปเอง”

            “ความเปิ่นของคุณ คงไปไม่ถึงห้องน้ำหรอก”

            “หรือไม่จริง”

            “พอเถอะคะ ตอนนี้ฉันอยากกลับบ้านแล้ว”

“คุณรู้ไม ว่าเวลาของผมมันมีค่าแค่ไหน” จู่ๆเขาก็เอ่ยออกมา

            “ฉันจะไปรู้หรือไง”

            “หึหึ กว่าผมจะหาเวลามาเล่นอะไรที่คุณว่ามันไร้สาระนี้แทบยากมากเลยนะ”

            “นั้นมันก็เรื่องของคุณ” ฉันไม่รู้ว่าเขาต้องการจะสื่ออะไรให้ฉันฟัง

            “คุณไม่อยากรู้เรื่องของผมหรอ” เขาย้อนถาม น้ำเสียงที่ขี้เล่นของเขาได้กลับมานิ่งเหมือนเดิม

            “ฉันไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากฉัน แต่ฉันอยากจะขอร้องคุณให้คุณเลิกยุ่งกับฉัน”

            “คุณเกลียดผมขนาดนั้นเลยหรอ ที่ผมทำทั้งหมดก็เพราะ...”

            “พอเถอะค่ะ ฉันรู้แล้วว่าคุณอยากแกล้งฉัน คุณก็แค่...” เขายังพูดไม่ทันจบฉันก็พูดแทรกขึ้นมาเพราะสิ่งที่เขาแสดงออกมามันทำให้ฉันรู้สึกเข้าข้างตัวเองแต่ก็รู้อยู่แล้วว่าที่เขาทำไปทั้งหมดเพียงเพื่อแกล้งฉันเท่านั้นแต่สิ่งที่เขากำลังทำอยู่นี้มันกลับทำให้ฉันต้องหยุดคิดอีกครั้งเมื่อเขาคว้าตัวฉันไปจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว สัมผัสที่นุ่มนวลของเขาทำให้นึกถึงความอ่อนนุ่มของรสไอศกรีมที่ฉันพึ่งได้กิน ความหวานของมันทำให้ฉันมีความสุขอย่างไม่น่าเชื่อ แต่สิ่งที่แปลกไปกว่านั้นคือความนุ่มของลิ้นที่เข้ามาสอดแทรกเข้ากับรสหวานของไอศกรีมมันทำให้ฉันดื่มด่ำกับรสชาติที่แปลกใหม่ แต่มันไม่ควรจะเกิดขึ้น

            “พอเถอะค่ะ” ฉันตัดใจละจากสัมผัสที่หอมหวานนี้ อย่างจำใจ เพราะหากว่าฉันถลำลึกไปมากกว่านี้ มันอาจจะไม่หยุดอยู่แค่นี้ก็ได้

ฉันผละออกมาจากเขา ฉันไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เขาทำคืออะไร เขาเดินก้าวเข้ามาในชีวิตฉันทำไมในเมื่อฉันก็เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไร แต่เขากลับเป็นถึงนักธุรกิจแถมยังมีคนมากมายรายล้อมที่จะค่อยรับใช้ตามคำบัญชาที่เขาสั่งนั้นสินะ

 

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
10 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา