เดชแม่ยาย

9.3

เขียนโดย ชนบท

วันที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2554 เวลา 23.54 น.

  7 ตอน
  7 วิจารณ์
  27.10K อ่าน
แชร์นิยาย Share Share Share

 

2) โสภาค่ะ เรียกโสเฉยๆก็ได้

อ่านบทความตามต้นฉบับ อ่านบทความเฉพาะข้อความ

.เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากนั้นอีก  19 ปี ต่อมา.....

 

....ที่ท้ายหมู่บ้านนางรอง มีบ้านหลังใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่บนเนินที่ดินที่เป็นของตัวเอง  เนินนี้กว้างใหญ่เนื้อที่กว่า 10ไร่ถูกล้อมไว้ด้วยรั้วปูนแน่นหนา ภายในนอกจากบ้านหลังใหญ่แล้วยังมีเรือนขนาดย่อมอยู่สองหลัง นอกจากนั้นภายในรั้วยังมีสระน้ำขนาดใหญ่และสวนหย่อมตบแต่งสวยงาม  ตรงเนินที่สูงหน้าบ้านมีศาลาทรงกลม มีโต๊ะหินอ่อนและเก้าอี้โยกไม้มะค่าตั้งอยู่  ในบ้านหลังนี้มีชายหนุ่มใหญ่อาศัยอยู่เพียงลำพังอายุราวๆเกือบๆ 40 ปี ชายคนนี้อื่ม....หน้าตาก็....พอดูดี...ก็แล้วกัน  รูปร่างของเขาสูงใหญ่  ค่อนข้างท้วมตามวัยที่มากขึ้น  แต่ท่าทางของเขายังคล่องแคล่ว  พูดจายังเอะอะเสียงดัง  และโผงผางแต่จริงใจ  ฐานะของเขาเข้าขั้นเศรษฐีบ้านนอก  และเป็นผู้ใหญ่บ้านที่ชาวบ้านเคารพนับถือผูกขาดการเป็นผู้ใหญ่บ้านของที่นี่มานานนับสิบๆปีชื่อเสียงความกล้าหาญของเขาระบือลือลั่นไปทั่วเขาครองตัวเป็นโสดมาตั้งแต่ยังหนุ่ม ทุกวันเหมือนเฝ้ารอใครบางคน และยังคงตั้งหน้าตั้งตารออยู่อย่างนั้น และการรอคอยนั้นดูเหมือนจะยาวนานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่เขาก็ยังเฝ้ารอต่อไปอย่างไม่ลดละ...ครับ...ชายหนุ่มใหญ่คนนั้นก็คือ....เอ่อ...ผมเองนี่แหละ....

....ผมเป็นผู้ใหญ่บ้านนางรองที่คนเคารพนับถือ หมู่บ้านที่ความเจริญหลั่งใหลเข้ามาดั่งสายน้ำป่าใหลหลาก ผมเป็นคนอายุเกือบๆ 40ปีที่ผ่านร้อนผ่านหนาวสู้ชีวิตมาอย่างโชกโชน ได้เรียนรู้เทคโนโลยี่ใหม่ๆ ตั้งแต่โทรศัพท์บ้านไล่มาจนถึงสิ่งที่นิยมในปัจจุบันที่เรียกว่า มือถือและ B.Bได้ใช้คอมพิวเตอร์ ได้ท่องอินเตอร์เน็ท ได้รู้จักเว็บทั้งหลาย ได้เห็นความก้าวหน้าของสิ่งประดิษฐ์อันทันสมัยมากมายได้รับรู้ข่าวและเรื่องราวความเป็นไปของโลกใบนี้และได้ร่วมอาศัยอยู่ในโลกยุคนี้ที่เรียกกันว่ายุคของการสื่อสารไร้พรมแดน....

 

วันนี้ก็เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาผมกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ที่ศาลาเสากลมหน้าบ้านในยามบ่าย  ผมนั่งเหม่อมองไปที่ถนนเฝ้าดูรถยนต์วิ่งผ่านไปมาด้วยความหวังว่าจะมีสักคันมาจอดและพาสร้อยกลับมาหาผม  สายใจแม่บ้านทรงโตหน้าตาเข้าขั้นสวยนำขนมมาวางที่โต๊ะหินอ่อน  เธอเป็นคนดูแลบ้านให้ผม พร้อมๆกับเป็นคู่สวาทบางครั้งยามที่ผมมีความต้องการ  เธออาศัยอยู่กับพ่อและแม่ในหมู่บ้าน  เธอเป็นหนึ่งในคนที่หมายจะมานั่งเป็นคุณนายที่บ้านนี้ดังเช่นหญิงสาวอีกหลายๆคนที่พยายามเข้ามามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผม แต่ไม่เคยมีใครเข้ามาเป็นได้เพราะที่ตรงนั้น  ผมเก็บเอาไว้รอให้สร้อยกลับมารับ  แต่ทว่า 19 ปีผ่านไป แม้นแต่ข่าวของเธอก็ไม่มีกลับมาเลย เธออยู่ที่ไหนนะสร้อย....

....เจ้าคมรุ่นน้องคนสนิทเก่าแก่ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันขับรถปุโรทั่งเข้ามาจอด  มันเดินเข้ามาแล้วยกมือไหว้ผมตามธรรมเนียมมันเดินมาทิ้งตัวลงนั่งข้างผม

“ว่าไงพี่?  วันนี้ไม่ไปไหนหรอ?”

“ไป?กูว่าจะไปเก็บเงินค่าเช่าที่ของตลาดกูน่ะ”ผมตอบเรียบแล้วเหม่อมองไปเรื่อยเปื่อย

เจ้าคมมองผมแล้วถอนหายใจ

“เมื่อไหร่พี่จะมีชีวิตชีวาทำตัวให้สมกับฐานะสักทีล่ะพี่?  ผมเห็นพี่อยู่เซ้งๆไปวันๆ พี่จะมัวเอาชีวิตทั้งชีวิตมาเฝ้ารอคนที่ไม่มีวันกลับมาทำไม?”

“กูรู้สึกว่าเขาจะกลับมา”ผมตอบไปเรียบๆไร้อารมณ์

“รู้สึก?  พี่รู้สึกมา 19 ปีแล้วนะ  แล้วพี่จะรู้สึกไปอีกกี่ปี?”

“ผมรู้ว่าพี่เป็นคนที่ไม่ยอมสิ้นหวังง่ายๆ แต่...นี่...มันหวัง...จน....”เจ้าคมหันมามองผมแล้วก็หยุดพูดอย่างเซ็งๆ

สายใจแม่บ้านทรงมหึมาหน้าตาหมดจดเดินถือถาดน้ำยิ้มหวานมาเสริฬให้เจ้าคม

“มาชวนพี่เค้าไปเที่ยวไหนล่ะวันนี้”สาวทรงโตเอ่ยถาม

“เปล่า?  ไม่มีอะไรทำเลยแวะมาคุยกับพี่เค้า”

เจ้าคมตอบแล้วตาวาวเมื่อสายใจก้มวางแก้ว ร่องนมคู่ใหญ่แทบจะล้นออกมาจากเสื้อคอกว้างคว้านลงมาถึงร่อง

“ชวนพี่เขาไปเที่ยวไหนบ้างก็ได้  แต่อย่าชวนไปซุกซนก็พอ?”

แล้วสายใจก็ยิ้มหวานก่อนสะบัดสะโพกอวบอัดเดินหายเข้าไปในบ้าน เจ้าคมกลืนน้ำลายตามดังเอื้อก

“พี่?  ทุกวันนี้ชีวิตของพี่นี่มันสุดยอดแล้วนา  ดูสิ บ้านช่องใหญ่โต เงินทองกิจการมากมาย สาวๆทั้งหมู่บ้านใครๆก็อยากได้พี่เป็นผัว เฮ้อ.....? ผมละไม่เข้าใจพี่จริงๆ....ไม่เข้าใจพี่เลย ว่าทำไมมหาความสุขใส่ตัวบ้าง นั่งมองห่อเหี่ยวไปอย่างไร้จุดหมาย ไปวันๆ ตื่นจากฝันในช่วงวัยรุ่นได้แล้ว...”

ส่วนผมก็นั่งเงียบฟังมันพล่ามไป  ไม่อยากต่อปากต่อคำกับมัน

เจ้าคมถอนใจ  แล้วมองผมอีกครั้ง  พ่อกับแม่ของผมไปสวรรค์หมดแล้ว เหลือเพียงสถูปของท่านที่ผมสร้างไว้ในบริเวณท้ายเนินยามเหงาผมมักจะไปนั่งที่นั่นลำพัง ส่วนพ่อกับแม่ของสร้อยก็ย้ายเข้ากรุงเทพฯไปอยู่กับลูกสาวแล้วข่าวคราวก็เงียบหายไป  คนเก่าๆแก่ๆเริ่มล้มหายตายจากไป  แล้วคนหนุ่มๆอย่างผมก็กลายมาเป็นคนเก่าๆแก่ๆแทนแล้วเด็กๆก็ขึ้นมาเป็นหนุ่มๆสาวๆแทน นี่คือวัฏจักร เก่าไปใหม่มา

“ไปตลาดกันเถอะ  กูนัดเก็บเงินตอนเช้า  นี่บ่ายแล้ว มึงขับรถให้กูนั่งหน่อย วันนี้กูไม่มีอารมณ์ขับว่ะ”

....เจ้าคมเดินไปที่รถโฟร์-วีลล์ คันใหญ่สีเขียวมันเป็นรถคันโปรดของผม วันที่ผมเห็นผมก็อยากได้เพราะหวังจะเอามาขับให้คนรู้ใจนั่ง  นอกจากเจ้าคมแล้ว  ผมไม่เคยให้ใครนั่งรถคันนี้  แม้นมันจะมีราคาถูกที่สุดในจำนวนรถยนต์ที่ผมมี  แต่ผมชอบใช้มันจนกลายเป็นรถประจำตัว และคนทั้งหมู่บ้านจะรู้ทันทีว่าผมมาแล้วหรืออยู่ที่ตรงนั้นเมื่อเห็นรถคันนี้  เจ้าคมถอยรถมารับผมที่ลานหน้าบ้าน  ผมเปิดประตูขึ้นนั่ง  สั่งให้มันตรงไปที่ตลาด....

....ตลาดสดบ้านนางรอง  ตลาดสดที่กว้างขวางสะอาด  และพลุกพล่านที่สุดในตำบล ผมสร้างขึ้นมาจากครั้งแรกบนที่ดินว่างเปล่าไร้คนสนใจ พัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นศูนย์รวมตลาดขายส่งสำคัญ หลังจากมาถึงผมก็เข้าออฟฟิตตลาดเคีรืยบัยชีและฟังรายงานละเยี่ยมบรรดาพ่อค้าแม่ค้าเรียบร้อย  ผมก็ให้เจ้าคมไปเอารถที่จอดอยู่ท้ายตลาด  ระหว่างที่ผมยืนรออยู่นั้น...

เจ้าชม  รุ่นน้องคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทักและยกมือไหว้

“หวัดดีพี่?  มาทำอะไร”มันยิ้มร่าตามสไตส์ของมัน

“ข้ามาเก็บเงินค่าเช่าแผงในตลาดนะสิ  แล้วเอ็งล่ะ?”ผมรับไหว้และตอบไปตามมารยาท

“ผมพาหลานสาวมาชื้อของ  มันเพิ่งมาจากกรุงเทพฯ  เรียนจบม.6 แล้วไม่มีทุนเรียนต่อ มันเลยมาอยู่ที่นี่ว่าจะมาขายหมูปิ้งที่หน้า  สำนักงาน อบต.หาค่าเรียนกับค่าหน่ยวกิจพี่อย่าลืมไปช่วยอุดหนุนบ้างล่ะ?”

ผมเองแปลกใจเพราะเจ้าชมมันไม่เคยมีญาติอยู่กรุงเทพฯ  แต่ก็ไมได้สงสัยอะไร

“เออ..ว่างๆแล้วข้าจะไปช่วยอุดหนุน”ผมรับปากส่งๆไป

“นั่นไง?มาโน่นแล้ว  เอ้าท์? ไหว้ผู้ใหญ่เสียสิ  ยัยโส..?”

ผมหันไปตามที่เจ้าชมบอก แล้ว....แล้วผมก็ได้เห็นภาพผู้หญิงที่งดงามที่สุดอีกคนในชีวิตของผม....

เด็กสาวคนนั้นเธอเดินเข้ามาใกล้   แล้วยกมือไหว้ผม  ผมรับไหว้แล้วตะลึงตาค้าง

เด็กสาวร่างเล็กพอเหมาะ  หน้ารูปไข่ผิวขาว  ตากลมโตแววใสซื่อเจือจะขี้เล่นซุกซน  จมูกโด่ง เรียวปากบางเหมาะเจาะรับกับใบหน้ารูปร่างสมส่วนไม่อ้วนไม่ผอมกำลังอวบอัดตามประสาสาววัยรุ่น  เธอใส่เสื้อยืดคอวีสีม่วง  กางเกงยีนต์เอวต่ำ  ผมยาวสยายย้อมสีน้ำตาลจางๆยามต้องลมพลิ้วไสว  ผมเห็นเธอถึงกับตะลึง แต่สำหรับคนอื่นๆ เธออาจเป็นเด็กสาวธรรมดาหน้าตาพื้นๆแต่งตัวบ้านๆ  แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเธอ......

....เธอเดินเยื้องกายเข้ามาในสายตาของผมราวกับภาพสโลว์  รอบกายของเธอสว่างไสว  จนผมรู้สึกว่าสรรพสิ่งรอบตัวผมมันหยุดนิ่งไปหมด  มีเพียงเธอเท่านั้นที่เคลื่อนไหวอยู่....

เด็กสาวเดินมาหยุดตรงหน้าผม  ดวงตากลมโตจ้องมาที่ผม  เมื่อตาประสานกันใจของผมเต้นตูมๆ  มือไม้สั่น จนเหงื่อซึมออกมา ลมหายใจติดขัด เลือดในกายฉีดพล่าน แทบจะยืนไม่อยู่

“เป็นอะไรไปล่ะพี่?”เสียงเจ้าคมทักเรียกสติที่กำลังจะเตลิดของผมให้กลับมา

“พี่เป็นไรไปหรอ?  ท่าทางเหมือนจะเป็นลม” เจ้าชมก็ทักผมด้วย

“เออ....กูไม่เป็นไร  แค่มันตื่นเต้นนิดหน่อย  เดี๋ยวกูก็หายแล้ว”

...ผมสะบัดมือจากการจับของเจ้าชมกับเจ้าคม  และสูดลมหายใจเข้าลึกๆ  พลันกลิ่นกายอันหอมระรื่นจากร่างกายของสาวน้อยตรงหน้าก็ถูกสูดเข้าไปเต็มปอดของผม  มันชื่นใจและหอมหื่นบอกไม่ถูก กลิ่นนี้มันเป็นกลิ่นที่คุ้นเคยและจางหายไปจากนาสิกของผมนานนับสิบๆปี  ใช่ตั้งแต่สร้อยจากไป  ผมไม่เคยได้กลิ่นนี้อีกเลย  คราวนี้ร่างกายของผมปั่นป่วนไปใหญ่  โดยเฉพาะตรงท่อนเอ็น ที่หลังๆมานี่มันมีหน้าที่เพียงใช้ฉี่และอยู่เป็นเพื่อนไข่ไม่ให้เหงา  มันเกิดแข็งโด่ตั้งลำมาดื้อๆ  ดีที่เป้ากางเกงยีนต์มันตึงรัดไว้  แต่ก็ยังสังเกตเห็นได้ชัดว่ามันโด่....

“ก็พี่อายุเยอะแล้วนี่  ระวังตัวไว้บ้างนะ  เป็นลมบ่อยๆ เดี๋ยวล้มหัวฟาดพื้น  อัมพาทส์จะถามหา”

ผมมองหน้าเจ้าชมตาขวาง”ใครอายุเยอะวะ  แค่กูเกิดก่อนมึงนานหน่อยแค่นั้นแหละ”

“อ้าวพี่?มีอารมณ์ด่าคนแล้วเรอะ  ผมเห็นพี่ไร้อารมณ์มานานแล้ว  ลมมันตีกลับหรือไง?”เจ้าคมพูดอย่างแปลกใจ

ใช่ผมทำท่าซังกะตายมานานแล้ว  ไม่ยินดียินร้ายอะไรมาโดยตลอด  แต่ทำไมตอนนี้ผมถึงคึกคักขึ้นมาได้  เด็กสาวคนนี้หรือคือที่มาของอาการประหลาดนี้ ที่มาของอารมณ์ที่เรียกว่า มีชีวิตชีวา.....

เด็กสาวหัวเราะคิกคักที่พวกเราเถียงกัน  ผมจ้องตาเธอแล้วเสียววูบในหัวใจ รู้สึกเขินๆเหมือนหนุ่มน้อยวัยรุ่นที่ได้เจอสาวที่ถูกใจ  ผมกัดฟันถามเธอไปอย่างลำบาก

“เอ่อ...เธอชื่ออะไรนะ?...”

เด็กสาวสบตาผม  แววตาขี้เล่นใสซื่อทำเอาผมร้อนหน้าวูบๆ

“โสภาค่ะ...เรียก..โส..เฉยๆก็ได้....”เสียงใสๆตอบมา

และยังดังก้องในหัวของผม  น้ำเสียงไพเราะจับใจ  “โสภาค่ะ...เรียก..โส...เฉยๆก็ได้.......”มันดังก้องตรึงใจอยู่อย่างนั้น

“เป็นไรไปพี่?”เสียงเจ้าคมเรียกผมออกจากภวังค์อีกครั้ง

“มึงเรียกอะไรกูนักหนาว่ะ  ไอ้วรนุชคม”ผมด่ามันอย่างหงุดหงิด  แต่เจ้าคนถูกด่ากลับทำสีหน้าแปลกใจ

เจ้าคมมองเด็กสาวและหันมามองผมและพยักหน้าทำท่าเข้าใจ

“เอ่อ...นี่ใช่ผู้ใหญ่บ้านนางรองหรือเปล่าคะ?”เสียงใสๆฟังแล้วชื่นใจถามมา

“ชะ...ชะ...ชะ...ใช่จ๊ะ...”

“แหมรูปร่างบึกบึ้นน่าเกรงขามสมคำเล่าลือเลยนะ”

“เอ่อ...หนูโสรู้จักลุงเอ้ย...ผม...เอ้ย...พะ..พี่...ด้วยหรอ?”

“โอ้โฮ้พี่?...รุ่นนี้พี่คุยด้วยกล้าแทนตัวว่าพี่อีกหรอ?”เสียงเจ้าชมขัดมา

ผมมองหน้าเจ้าชมตาขวาง”กูคุยกับมึงหรอ?เงียบไปเลยนะ...”

เจ้าชมหน้าสลดไป  เด็กสาวหัวเราะเสียงใส

“เรียกพี่ก็ยังไหวค่ะ?  ถ้าผู้ใหญ่อยากให้เรียกอย่างนั้น...”

“อืม..ดะ..ดี..เรียกพี่นี่แหละชอบ มันดูสนิทสนมดี...ว่าแต่เห็นเจ้าชมมันบอกว่าหนู..เอ้ย...โสขาดค่าเทอมกับค่าหน่ยวกิจเหรอ...เอ่อ.คะ..คือ...พี่อยากจะ...”

“หยุดเลยนะพี่...ยัยโสนี่หลานของผมนะ ถ้ามันอยากจะใช้ทางรัดหาค่าหน่ยวกิจอย่างนั้นล่ะก้อ  ที่กรุงเทพฯมีคนอยากออกให้มันเยอะเลย  ไม่ต้องถ่อมาขอพี่ถึงนี่หรอก...”

ผมมองมันตาขวางๆมันหน้าสลดไปอีกครั้ง

“มึงดูถูกกูนะนี่  กิจการกูเยอะแยะ  ขาดคนดูแลตั้งหลายที่  ถ้าหลานของมึงเขาอยากมาเป็นผู้ช่วยของกูนะ  กูก็จ้างได้ ไม่ต้องไปปิ้งหมูขายให้ลำบาก  มึงนี่ดูถูกกูนะ กูไม่ชวนน้องโสไปทำ..เอ่อ...สกปรกอย่างที่มึงคิดหรอก.....”

เด็กสาวมองผมตาเป็นประกาย  รอยยิ้มใสๆจับใจไม่วาย

“แล้วโสจะรับไว้พิจจารณานะค่ะ  ขอบคุณเอ่อ...พี่..ผู้ใหญ่ค่ะ...”เด็กสาวยกมือไหว้ผม”โส..เอ่อ..ขอตัวก่อนนะค่ะ..”

แล้วโสภาก็ยกข้าวของที่จะไปทำหมูปิ้งขายไปขึ้นรถมอร์เตอร์ไซร์พ่วงเก่าๆของเจ้าชม

“ไอ้คม?  มึงจะยืนเป็นวรนุชเฝ้าถังขยะทำไม  ช่วยน้องโสเขายกของขึ้นรถสิ”

“อะไรนะ?น้องโส....ช่างกล้าพูดนะ....แต่ทำไม ไม่เอารถตามไปส่งเลยล่ะ?”

“ทำตามที่กูสั่งพอ...”

“ตามบัญชาครับ....เจ้านาย....”

ผมยืนมองเจ้าชมขี่รถเก่าที่มีโสภานั่งพ่วงข้างๆออกไป ในใจคิดว่าเด็กน่ารักๆอย่างนี้ไม่สมควรมานั่งรถเก่าๆใกล้พังอย่างนั้นเลย  เด็กสาวหันมายิ้มให้ผม  ไม่พอน้อง พี่ขออีกหน่อย เออ..อย่างนั้นโบกมือให้พี่ด้วยอีหนู...นั่น...ดีมาก....โบกมือพร้อมรอยยิ้มหวานๆให้เราด้วย ถ้าจะมีใจให้เราบ้างแล้ว.....ทำไมถึงรู้สึกกระชุ่มกระชวยจังเลยวะ....

...รถโฟร์-วีลล์ล้อใหญ่ของผมวิ่งตรงกลับบ้านเจ้าคมรับเป็นสารถีเช่นตอนมา  ผมมองไปที่หน้าต่างกระจกติดฟิมล์  ใจคะนึงคิดถึงสาวน้อยวัยใสคนนั้นไม่จาง ทำไมได้อยู่ใกล้แล้วโลกนี้มันสุดสวยโสภาราวชื่อของเธอเสียจริง   รู้สึกราวกับสิ่งที่ผมรอคอยมาเกือบจะชั่วชีวิตกำลังจะสิ้นสุดลง

“พี่?ทำไมเงียบไปอีกแล้วล่ะ?”เจ้าคมทักผมเมื่อเห็นผมเงียบๆไป

“เปล่า?  กูกำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อย”

“เรื่อยเปื่อยที่ว่านะ  คิดอะไร คิดถึงเด็กคนนั้นหรือเปล่า”เจ้าคมถามแล้วยิ้มๆ

“บ้ากูกำลังคิดเรื่องงานโว้ย....”

“จริงอ่ะ?”เจ้าคมถามกระเซ้า...

“จริงสิว่ะ...”ผมตวาดมันไปแบบเขินๆ

“ผมเห็นพี่กลับมามีชีวิตชีวาผมก็ดีใจด้วย  ท่าทางอีหนูคนนั้นจะมีดีอะไรบางอย่างโดนใจพี่เข้าให้แล้วม้าง....จนทำให้พี่กลับมาคึกคักได้นะ”

“ไม่เกี่ยวกับเด็กคนนั้นหรอก  มึงนี่มั่ว”ผมดุเจ้าคมกลบเกลื่อน

“อ่ะ?ไม่เกี่ยวก็ไม่เกี่ยว แต่ผมดีใจด้วยที่พี่กลับมาร่าเริงได้อีกครั้ง  ชีวิตพี่จะได้มีสีสันเสียที...”

ผมมองกระจกที่ติดฟิมล์ดำก็เห็นภาพสาวน้อยปรากฎอยู่   พร้อมประโยคแรกที่เธอพูดกับผม

”โสภาค่ะ...เรียกโสเฉยๆก็ได้..”

ประโยคนั้นดังก้องซ้ำๆ โสภา....ชื่อที่ผมอยากเรียกบ่อยๆและก็อยากจะเรียกทุกวันเลย....

“กูก็คิดเหมือนมึงแหละไอ้คม?”ผมเอ่ยขึ้นมาหลังจากละสายตามามองไปยังเบื้องหน้า”กูรู้สึกว่าชีวิตของกูน่าจะมีสีสันและเรื่องราวอีกเยอะเลย....กูอาจจะได้พบกับเรื่องที่กูไม่คิดว่าจะได้เจอะได้เจอ และมันจะมาพร้อมๆกับเด็กคนนั้น...เด็กสาวที่ชื่อ...โสภา...น่ะ....”

ผมยิ้มน้อยๆที่มุมปาก  เสียงนั้นยังก้องอยู่ในหูของผม

“โสภาค่ะ....เรียกโสเฉยๆก็ได้................

 

คำยืนยันของเจ้าของนิยาย

✓ เรื่องนี้เป็นบทความเก่า ยังไม่ได้ทำการยืนยัน

คำวิจารณ์

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถเขียนวิจารณ์ได้


รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
คำวิจารณ์เพิ่มเติม...

โหวต

เนื้อเรื่องมีความน่าสนใจ
10 /10
ความถูกต้องในการใช้ภาษา
10 /10
ภาษาที่ใช้น่าอ่าน
8 /10

* ต้องล็อกอินก่อนครับ ถึงสามารถโหวดได้


แบบสำรวจ

 

ไม่มีแบบสำรวจ

 

 
รอสักครู่กำลังโหลดข้อมูล
ข้อความ : เลือกเล่นเสียง
สนทนา